Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

นาทีทอง!! ‘เศรษฐา’ โชว์ฟอร์มบริหารราชการแผ่นดิน ร่ายคาถากำราบ ‘นักการเมือง’ โหยเงิน-หิวอำนาจไม่ให้แผลงฤทธิ์

วันนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เริ่มต้นกันแบบตรงไปตรงมาว่า ขอแสดงความยินดีปรีดากับ ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ที่จะได้เริ่มงานสมบูรณ์แบบเต็มคาราเบล...หลังจากผ่านการแถลงนโยบายในวันจันทร์ที่ 11 ก.ย. ที่จะถึงนี้หลังจากที่เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณกันเป็นที่เรียบร้อย   

ต้องขีดเส้นใต้หลายเส้นไว้ตรงนี้ว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถาร ให้กำลังใจ พร้อมชื่นชมนายกฯ เศรษฐา ทวีสินว่าเป็นคนเก่ง ตามที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เปิดเผยกับนักข่าวนั้นมีคุณค่าเหนืออะไรอื่น...ต้องน้อมใส่เกล้าฯ รำลึกไว้ในทุกเมื่อ…และพึงระลึกว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ได้ถวายสัตย์ฯ เอาไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ด้วยถ้อยคำว่า  

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

พูดก็พูดเหอะ…ในอดีตรัฐมนตรีบางคนผ่านการถวายสัตย์ฯ หลายต่อหลายครั้ง แต่ไปทุจริตคดโกงสุดท้ายก็เข้าคุกเข้าตะราง…

ดูหน้าดูตา ครม.เศรษฐา ยังไม่ถึงกับต้องร้องว๊าววว!! แต่ขณะเดียวกันก็พอจะเข้าใจได้ว่าภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลผสม และระบบโควตาแบบการเมืองไทยได้แค่นี้ก็พอไปได้…สำคัญว่าหัวขบวนอย่าง ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา จะโชว์กึ๋นโชว์ฟอร์มความเก่งออกมาได้ยังไง จะรักษาดุลยภาพความเป็นตัวของตัวเอง กับการแทรกแซงจากภายนอกได้มากน้อยแค่ไหน…มีศิลปะในการบริหารจัดการอย่างไร...และป้องกันการถอนทุนของนักการเมืองบางคนที่หิวโหยทั้งอำนาจและเงินตราได้แค่ไหน?

รัฐบาลลุงตู่ 9 ปีที่ผ่านไป ก็มีการทุจริตโกงกินกันพอประมาณ แต่ตัวผู้นำไม่มีบาดแผล ก็เป็นภูมิคุ้มกันที่ดี ตรงนี้แหละที่เศรษฐาต้องยึดถือว่าคือผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่แท้จริง ทนทานและดีงามกว่าผู้มากบารมีชั้น 14 เป็นไหน ๆ

มาถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดีและห่วงใยไปยัง ‘บิ๊กอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ที่ถูกจัดวางเป็นรองนายกฯ อันดับ 1 เรียกขานว่า สร.2 นอกจากดูกระทรวงการค้าแล้วยังต้องมาดูงานความมั่นคง ดูแลตำรวจให้นายกฯ เศรษฐาด้วย..อันนี้น่ายินดี แต่ที่น่าห่วงคือสุขภาพของสหายใหญ่หรือบิ๊กอ้วนวันนี้ไม่น่าจะฟิตปั๋งเหมือนแต่ก่อน...หรือจะให้ฟิตปั๋งแบบ ‘บิ๊กทิน’ สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ก็คงไม่ได้ รายนั้นวันเสาร์ที่ผ่านมายังไปส่ายสะโพกโยกเต้นร้องเพลงลูกทุ่งฉลองวันเกิดของสหายศรชัย-อดิศร เพียงเกษ ที่สนามกอล์ฟดังเมืองกาญจน์อยู่เลย…

พูดถึง ‘บิ๊กทิน’ ก็คงปวดหัวในการจัดทัพทีมงาน ทั้งงานรูทีนธุรการ งานที่ปรึกษา ฝ่ายเสนาธิการทั้งโอลด์เติร์ก ยังเติร์ก และนักวิชาการ-นักการเมือง...ตามข่าวเบื้องต้นทราบว่าจะเอา พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ ‘บิ๊กเล็ก’ อดีตเลขาธิการ สมช. สายตรงลุงตู่เป็นเลขานุการรัฐมนตรี พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ‘บิ๊กแป๊ะ’ อดีตปลัดกลาโหมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี...

ราย ‘บิ๊กแป๊ะ’ นั้นน่าจะแน่แล้ว...แต่ราย ‘บิ๊กเล็ก’ ข่าวยังไม่ยืนยัน แต่ถ้าได้ทั้งสองท่าน ‘บิ๊กเล็ก เลียบด่วน’ ขอบอกว่าดีแน่...แต่ ‘บิ๊กแม้ว’ ว่าไงล่ะ…ท่านบิ๊กทิน!!??

สวัสดี

‘ก้าวไกล’ เสนอ ‘บิ๊กทิน-รบ.ใหม่’ เขย่ากองทัพ หากการันตี ‘ยกเลิกเกณฑ์ทหาร’ พร้อมร่วมมือ

(6 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงนโยบายของกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลชุดใหม่ เกี่ยวกับการยกเลิกการเกณฑ์ทหารว่า ขณะนี้สังคมกำลังจับตามอง ทางพรรคก้าวไกลจะมีการชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 ได้ให้อำนาจกองทัพสามารถบังคับคนที่ไม่อยากเป็นทหารเข้าเป็นทหารแม้ในยามที่ไม่มีสงคราม ทำให้มีช่องว่าง เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยอดผู้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารเฉลี่ย 30,000 คนต่อปี น้อยกว่ายอดกำลังพลที่กองทัพต้องการคือ 90,000 คนต่อปี ทำให้วันนี้ทุกฝ่ายคงเห็นตรงกันถึงราคาที่สังคมต้องจ่าย เมื่อมีการบังคับคนเข้าไปเกณฑ์ทหาร กระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพ หรือการทำตามความฝัน การใช้เวลากับครอบครัว ไปจนถึงการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในระดับสังคม

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น ถ้าเราอยากจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารให้สำเร็จ โดยไม่ให้กระทบภารกิจการรักษาความมั่นคง คือต้องลดยอดกำลังพลที่กองทัพต้องการ หรือลดยอดผี คือ ชื่ออยู่ในทะเบียนแต่ตัวไม่อยู่ในค่ายทหาร ลดทหารรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคง ทบทวนงานบางอย่างตามบริบทภัยความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปขณะเดียวกันต้องเพิ่มยอดสมัครใจในการเกณฑ์ทหาร ด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร ทั้งค่าตอบแทน ความปลอดภัย โอกาสในความก้าวหน้าของอาชีพ

“การยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร มี 2 แบบคือ 1.) ลุ้นยกเลิกแบบปีต่อปี ค่อยๆ ลดช่องว่างกำลังพล ตามแผนของกระทรวงกลาโหมปี 2566-70 ที่กำลังดำเนินการอยู่ และ 2.) ที่พรรคก้าวไกลเสนอ คือ เลิกแบบการันตีไม่มีเกณฑ์ทหาร คือการแก้ไข พ.ร.บ.รับราชการทหาร ปี 2497 ทำให้กองทัพไม่มีอำนาจ ในการบังคับคนเป็นทหาร ในช่วงไม่มีสงคราม เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเราจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารสำเร็จในกรอบระยะเวลาเท่าไหร่ เพราะสามารถกำหนดได้ในกฎหมาย ทำให้ผู้ที่เกณฑ์ทหารไม่ต้องมาลุ้นปีต่อปีเหมือนการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารแบบแรก ขณะเดียวกันจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้กองทัพปฏิรูปตัวเอง และให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร ก็คงต้องจับตาดูการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ว่าแนวทางการยกเลิกฯ จะเป็นอย่างไร” นายพริษฐ์ กล่าว 

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าการชี้แจงของนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เกี่ยวกับกับเรื่องนี้ ดูจะเป็นแนวทางการยกเลิกฯ แบบที่ 1 ถ้าในที่สุดออกมาเป็นแบบที่ 1 ก็เพียงแต่หวังว่ารัฐบาลจะมีความชัดเจนเรื่องกรอบเวลาว่าจะลดกำลังในแต่ละปีอย่างไรจนเป็นศูนย์ แต่ถ้าเป็นแบบที่ 2 พรรคก้าวไกลยินดีร่วมมือกับรัฐบาล เพราะเราได้ยื่นร่างแก้ไขกฎหมายรับราชการทหารเข้าสู่สภาฯ แล้ว อยู่ในขั้นตอนการรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่เซ็นรับรองให้สามารถถูกบรรจุในสภาฯ แล้วมีการถกเถียงกัน

เมื่อถามว่านายสุทิน ออกมาระบุยืนยันในเดือน เม.ย.ปีหน้า จะไม่มีการเกณฑ์ทหารแล้ว นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นแบบที่ 1 มันจะอยู่ในสภาวะที่ต้องลุ้นปีต่อปี ตัวเลขแรกในยอดกำลังพลที่จะลดในแต่ละปี ก็ยังไม่ได้มีการสื่อสารออกมา ถึงแม้ปีหน้าจะสามารถลดให้เหลือศูนย์ได้จริง แต่คงต้องมาลุ้นในปีต่อไปอีกว่า ยอดกองทัพจะมีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งอาจไม่ได้เป็นการรับประกันให้เยาวชนที่ต้องวางแผนชีวิตว่าจะมีความเสี่ยงในการรับการเกณฑ์ทหารหรือไม่

“การปฏิรูปกองทัพต้องมีไอเดียมาจากรัฐบาลพลเรือนที่เป็นกรอบการดำเนินการด้วย ไม่ใช่แค่ปล่อยให้องค์กรนั้นๆทำแผนที่ตัวเองคิดมาเพียงอย่างเดียว อย่างที่ผ่านมาอาจมีกฎหมายบางส่วนที่ทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือพลเรือนเช่น พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่า การตัดสินใจหลายๆ อย่างเกี่ยวกับงบประมาณ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของรมว.กลาโหม ที่เป็นตัวแทนของพลเรือน แต่กลับไปอยู่ในอำนาจของสภากลาโหมที่ประกอบไปด้วยข้าราชการทหารเป็นหลัก ทำให้ขัดหลักที่ว่ารัฐบาลพลเรือนควรอยู่เหนือกองทัพ” นายพริษฐ์ กล่าว

เมื่อถามถึงการหารือกับพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านร่วมกัน นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุย ที่ผ่านมามีแต่การพูดคุยในพรรคก้าวไกลเป็นหลัก 

‘เศรษฐา’ ย้ำ!! ครม. ทำงานเพื่อประชาชน ในฐานะรัฐบาลของทุกคน เน้นโปร่งใส!! ภารกิจใดทำได้โดยไม่ติดข้อกฎหมายให้เร่งทำทันที

(6 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) โดยช่วงหนึ่งระหว่างการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงแนวทางในการทำงานให้กับรัฐมนตรี ว่า ในฐานะรัฐบาลของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งได้พูดไปแล้วในหลายเวที ว่าจะเป็นรัฐบาลของประชาชน จะทำงานเพื่อประชาชน ที่ปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามรัฐธรรม และตามกฎหมาย มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาความแตกแยกทางด้านความคิดทั้งหลาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามทำงานแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อะไรที่ทำได้ก่อนโดยไม่ติดข้อกฎหมาย ขอให้ทุกท่านรีบทำ รีบสร้างผลงานออกมา เพราะว่าพี่น้องประชาชนทุกคนกำลังเดือดร้อน กำลังรอคอยการทำงานของรัฐบาล เมื่อทุกท่านเข้ากระทรวงแล้วขอเก็บรวบรวมข้อมูลมาประกอบการทำงาน พร้อมกับเน้นย้ำเรื่องการโปร่งใสในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้เข้าใจเห็นใจข้าราชการที่ตั้งใจทำงานมาตลอดทั้งชีวิต ต้องการความก้าวหน้าทางด้านการงาน เรื่องซื้อขายตำแหน่งไม่ต้องการให้เอาเปรียบข้าราชการ ขอให้ทุกท่านให้เกียรติข้าราชการ ส่วนการจัดเตรียมงบประมาณประจำปี ขอให้คณะรัฐมนตรีช่วยไปดูกระทรวงในกำกับว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายฯ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ขอให้คณะรัฐมนตรีตระหนักว่าเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าให้มีการแบ่งแยกพรรคพวก เป็นรัฐบาลที่ทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ 

“ทุกคน ในฐานะที่เป็นรัฐบาลของประชาชนคนไทยทุกคน ก็ขอให้ทำงานเพื่อประชาชน โดยยึดหลักของกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด เพื่อมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความเดือดร้อน สังคม และความแตกแยกทางความคิด ยืนยันว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ สิ่งใดที่สามารถทำได้ก่อนโดยไม่ติดข้อกฎหมาย ก็จะเร่งดำเนินการ ขณะเดียวกันขอเน้นย้ำในเรื่องของความโปร่งใสในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ” นายเศรษฐา กล่าว

เอกสารแถลงนโยบาย ครม. หลุด!! แบ่งกรอบทำงานระยะสั้น-กลาง-ยาว ครบ!!

(6 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ระหว่างที่รัฐบาลกำลังเตรียมการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภา มีเอกสารคำแถลงของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ออกมาเผยแพร่เป็นวงกว้าง โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ คือ กรอบการทำงานของรัฐบาลที่แบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

ระยะสั้นจะออกนโยบายการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิตอลวอลเล็ท จะทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนที่จะกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและกระจายไปยังทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก รัฐบาลเองก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี และที่สำคัญ การดำเนินนโยบายนี้จะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล

นอกจากนี้จะแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคประชาชนที่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนากลางและขนาดย่อม

ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที นอกจากนี้รัฐบาลจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงาน สนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจแหล่งพลังเพิ่มเติม

ตั้งเป้าจะเปิดประตูรับนักท่องเที่ยว ด้วยการอำนวยความสะดวกปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า และการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย การจัดทำฟาสแทร็ควีซ่าสำหรับผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE)

นโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือ การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา เพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

สำหรับนโยบายระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลมีแนวทางที่จะสร้างรายได้ โดยการใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อเปิดประตูการค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ให้สินค้าและบริการของประเทศ อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับตลาดเดินที่รวมถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เร่งการเจรจากรอบความร่วมทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

ในเอกสารแถลงนโยบาย ระบุด้วยว่า รัฐบาลจะดำเนินนโยบายเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นำความปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรี และนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชน รัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคงให้มีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21 รวมถึงรัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน โดยจะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนให้เป็นแบบสร้างสรรค์ ลดกำลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับสูง และกำหนดอัตรากำลังในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจปัจจุบัน และอนาคตของประเทศ

ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับรูปแบบและความเสี่ยงของภัยคุกคาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และนำพื้นที่ของหน่วยทหารที่เกินความจำเป็นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะการใช้เพื่อการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การเพิ่มพูนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และการใช้เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการสร้างเข้มแข็งด้านสังคมของประเทศ

รวมถึงยกระดับ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ

‘พีมูฟ’ จี้!! ‘เศรษฐา’ บรรจุข้อเสนอเรื่องที่ดินไว้ในนโยบายรัฐบาล พร้อมดันยกร่าง รธน.ทั้งฉบับ ตั้ง ‘สสร.’ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม

(6 ก.ย. 66) ที่ด้านหน้าสนง.กพ.เดิม ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ ‘P-Move’ นำโดย นายจำนงค์ หนูพันธ์ และ น.ส.ศิรวีย์ ทิพย์วงศ์ รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่อง ข้อเสนอของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เพื่อให้บรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล

โดยระบุว่า เนื่องจาก ช่วงรณรงค์การเลือกตั้งที่ผ่านมาภาคประชาชนได้จัด ‘เวทีภาคประชาชนเสนอนโยบายต่อพรรคการเมือง’ โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเสนอนโยบายด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อพรรคการเมืองและสื่อสารสาธารณะต่อประชาชนชาวไทย ถึงแนวคิดในการบริหารทรัพยากรโดยยึดหลักสิทธิชุมชน

โดยเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยพลังประชารัฐได้ตอบรับการเข้าร่วมเวที และได้ส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะทำงานธุรการเพื่อการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ มานำเสนอนโยบายของพรรค

ดังนั้น เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐดำเนินการตามนโยบายที่ได้ให้คำมั่นกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและประชาชน สามารถบรรลุตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ตอนรณรงค์การเลือกตั้งกับ ประชาชนในนามของพีมูฟ จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้บรรจุนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาป่าไม้-ที่ดิน รัฐสวัสดิการและประชาธิปไตย ไว้ในนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ดังต่อไปนี้

1.) ให้ยกระดับโฉนดชุมชนให้เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดที่ดิน ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ภายใต้มาตรา 10 (4) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562

2.) ผลักดันให้มีการทบทวนปรับปรุงการดำเนินงาน ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (มหาชน) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการกระจาย การถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน สู่เกษตรกรรายย่อยและผู้ยากจน รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้ง ‘ธนาคารที่ดิน’ ให้เป็นองค์กรที่มั่นคง และจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานอย่างพอเพียง

3). แก้ไขกฎหมายคืนความเป็นธรรมในเรื่องที่ดินและทรัพยากรป่าไม้ ให้แก่ประชาชนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม สังคายนากฎหมาย ที่ดิน-ป่าไม้ทั้งระบบ ทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิ.ย.2541, มติคณะมนตรีวันที่ 26 พ.ย.2561 และมติคณะรัฐมนตรีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.) เร่งออกกฎหมายว่าด้วยการนิรทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบ จากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ พ.ศ.....โดยระหว่างการออกกฎหมายดังกล่าว ขอให้ชะลอการดำเนินคดีและการบังคับคดีทางปกครอง ก่อนการพิสูจน์สิทธิ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายเกี่ยวกับคดีที่ดินป่าไม้ ตามที่อ้างถึง

5.) ผลักดันให้มีการจัดระบบสวัสดิการถ้วนหน้าแก่ประชาชนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

6.) ผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยให้การจัดตั้งและสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่สามารถกำหนดแนวทางได้ในทุกขั้นตอนโดยเร็ว

ทั้งนี้ เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายในการเปลี่ยน สปก. 4-01 ให้เป็นโฉนด ซึ่ง ขปส.ได้ประกาศจุดยืนไว้แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวมาโดยตลอด ดังนั้นจึงขอสงวนสิทธิ์ในการไม่ให้การสนับสนุนนโยบาย ‘การแปลงสปก.-401 เป็นโฉนด’ อย่างถึงที่สุด และขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบายดังกล่าว ด้วยความรอบรอบคอบรัดกุม ไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มนายทุน และทำให้เกิดวิกฤติความเหลื่อมล้ำและการกระจุกตัวของที่ดินมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ มีนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกมนตรี (สปน.) รับหนังสือดังกล่าวไว้เพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดทราบและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปซึ่งกลุ่ม ผู้ชุมนุมพอใจ และใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัย ก่อนที่จะเดินทางกลับ

‘ชลน่าน’ ยัน พร้อมยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค  รื้อระบบให้ ปชช. เข้าถึงการรักษาได้ทุกที่ ทุกเวลา

(6 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายแรกด้านกระทรวงสาธารณสุขที่จะดำเนินการว่า จะเป็นไปตามนโยบายที่เราจะแถลงต่อรัฐสภา เป็นเรื่องแรกที่เราจะต้องทำ

เมื่อถามถึงการยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค? นพ.ชลน่าน กล่าวว่า "เราใช้คำว่ายกระดับ เพราะเป็นโครงการเดิมแล้วปรับตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งเดิมมีลักษณะของคนที่มีรายได้ เมื่อเข้ารับบริการจะเสียค่าธรรมเนียม 30 บาท แต่เมื่อมีการปรับมาเรื่อย ๆ ตรงนี้ก็หายไป ตัดออกไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรายได้ก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อเข้ารับการรักษา

"ส่วนโครงการใหม่ที่เราจะทำนั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องการจ่าย แต่เราพูดถึงเรื่องยกระดับขึ้นมาเพื่อที่จะให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น โดยใช้บัตรประชาชนสามารถเข้ารักษาได้ทุกที่ เป็นการครอบคลุมเรื่องของคุณภาพและประสิทธิภาพ ถ้าระบบเราสมบูรณ์จะสามารถใช้ได้ทุกที่"

เมื่อถามว่า ระบบดังกล่าวจะใช้เวลานานหรือไม่? นพ.ชลน่าน กล่าวว่า "ก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ส่วนจะนานหรือไม่นั้นตนต้องขอดูในรายละเอียด"

'ชลน่าน' ปลื้มใจ!! หลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เผย 'ในหลวง' ทรงยิ้มแย้ม ตรัสชม ‘เศรษฐา’ เป็นคนเก่ง

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นครั้งที่ 2 ของตนเอง ต้องเรียนด้วยความเคารพว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปฏิสันถารที่ทำให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจอย่างมาก ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้กำลังใจ หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จสิ้นพระองค์ได้เดินเข้ามาหานายกฯ ด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม และพูดให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อมั่นว่านายกฯ จะทำหน้าที่ได้ดี พระองค์ท่านยังทรงชมนายกฯ ว่าเชื่อมั่นว่าเป็นคนเก่งอยู่แล้ว และทรงมีพระสรวล เราเองก็มีความปิติตามที่เราได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประเทศชาติและบ้านเมือง และปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกประการ

นพ.ชลน่าน กล่าวถึงแนวทางการเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุขหลังจากนี้ว่าส่วนตัวมั่นใจในการทำงาน เพราะนายเศรษฐา ได้มอบนโยบายชัดเจนว่าเราคือรัฐบาลของประชาชน เราคำนึงถึงประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ดังนั้น กลไกในการบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงสาธารณสุข อะไรที่ยึดโยงกับประชาชนดีอยู่แล้วเราก็ทำต่อไป อะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อตอบสนองของประชาชนได้ดีขึ้นก็ต้องดำเนินการ ดังนั้นจึงมุ่งอยู่ที่ประชาชน ทั้งสุขภาวะร่างกายจิตใจ รวมถึงสติปัญญา เราตั้งใจมุ่งมั่นที่จะใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ รวมถึงต้องวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไอที จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

‘พีระพันธุ์’ เผย ‘ในหลวง’ รับสั่ง ครม.ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ นำพาประเทศชาติเดินหน้า ประชาชนมีความสงบสุข-ร่มเย็น

‘พีระพันธุ์’ รับสนองพระบรมราโชวาท ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า-ประชาชนมีความสงบร่มเย็น พร้อมย้ำ ‘นายกฯ’ เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช.เรื่องพลังงานในการประชุม ครม.นัดแรก ด้าน ‘วราวุธ’ เผย ‘ในหลวง’ ทรงให้ซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประชาชน

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า พวกเราจะต้องรับสนองพระบรมราโชวาทพระองค์ท่าน เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า พัฒนาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ให้พวกเราปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า พี่น้องประชาชนมีความสงบร่มเย็น”

เมื่อถามว่า ดูเหมือน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของกระทรวงพลังงาน เรื่องของพลังงานจะบอกกับประชาชนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนคิดว่านโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ที่ได้บอกไปแล้ว ซึ่งมีนโยบายที่จะปรับลด โดยได้ไปดูเบื้องต้น โครงสร้างของราคาพลังงานทั้งหลาย โดยมี 2 ส่วน บางส่วนอยู่เหนือการควบคุม เช่น ราคาแก๊ส ซึ่งปรับลดในส่วนนั้นไม่ได้ แต่ในโครงสร้างราคาทั้งหมด มีหลายส่วนที่จะไปดู เบื้องต้นสามารถปรับลดได้อย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 12 ก.ย.จะมีมาตรการบางส่วนก่อนเลยหรือไม่ หรือต้องรอก่อน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากแถลงนโยบายเสร็จ และการประชุม ครม.นัดแรกก็ต้องมีมาตรการออกมา ซึ่งนายกฯ และกระทรวงพลังงานได้เตรียมการเรื่องนี้แล้ว ส่วนเรื่องของรูปแบบในการช่วยเหลือประชาชน อันดับแรก เพื่อให้เกิดความรวดเร็วจะใช้โครงสร้างเดิมก่อน ดูว่าส่วนไหนสามารถปรับลดลงไปได้ เพราะโครงสร้างราคาต่างๆ เหล่านี้ ประกอบไปด้วยหลายส่วน ส่วนไหนที่ปรับลดได้ก็ปรับลด ปรับลดราคาสุดท้ายที่ขาย เพียงแต่รัฐฯ ก็ต้องยอมเสียสละในส่วนที่เคยได้อยู่ ต้องยอมเสียสละออกไป

เมื่อถามว่า งบประมาณที่อยู่ จำเป็นต้องกู้ยืมหรือใช้งบประมาณในส่วนอื่น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตรงนั้นเป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง พยายามหาทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน หลักเกณฑ์ต่างๆ ของรัฐบาล คือ การไม่ไปสร้างอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตของประชาชน ต้องเป็นรัฐบาลที่สร้างการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเดินหน้าต่อไปในทุกเรื่อง

ส่วนเรื่องการแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหา ประเด็นหลักๆ มีหมด เช่น การป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบ เรื่องของสถาบัน เรื่องของความไม่เป็นธรรม เรื่องของกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงาน และข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเคยพูดเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อถามอีกว่า ถือเป็นการต่อยอดนโยบายของพรรค รทสช.ด้วยหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าต่อยอดได้ด้วยก็ดี

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาทว่า ขอให้มีสติปัญญาในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขอให้มีความขยันทำงานเพื่อประเทศชาติ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองความท้าทายของรัฐบาลชุดนี้อย่างไรบ้าง นายวราวุธ กล่าวว่า ตนว่าความท้าทายคือ มีปัญหาของประเทศชาติอยู่หลายมิติ ที่เป็นความคาดหวังของพี่น้องประชาชน คงจะต้องเร่งทำงานกันในทุกๆ มิติ

‘เศรษฐา’ น้อมนำพระราชดำรัสในหลวงบริหารแผ่นดิน ขอเป็นรัฐบาลของประชาชน มั่นใจ!! พรรคร่วมมีจุดยืนเดียวกัน

(5 ก.ย. 66) ที่โถงกลางตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยมีคณะรัฐมนตรี ยืนร่วมอยู่ด้วย โดยกล่าวว่า จะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการต่อไป ขอยืนยันเป็นรัฐบาลของประชาชน มาเพื่อเป็นตัวแทนของประชาชนทุกคน รัฐบาลนี้มีความตั้งใจ ปัญหามีมากมาย เราจะทำงานอย่างลืมความเหน็ดเหนื่อย ทุกวัน ทุกนาที เราจะเอาความต้องการของพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นที่ตั้ง 

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันศุกร์นี้จะลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคายเพื่อพูดคุยรับทราบปัญหากับพี่น้องประชาชนทุกคนเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป สัปดาห์หน้าวันจันทร์จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาล ต่อรัฐสภา รัฐบาลนี้จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยการฟื้นฟูความยุติธรรมอันเข้มแข็งยุติธรรมโปร่งใส โดยประชาชนมีส่วนร่วม รัฐบาลจะสร้าง ความปลอดภัยให้กับประชาชนให้ประเทศมีความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนในอนาคต พรบนัดพิเศษในวันพรุ่งนี้จะพูดคุยเรื่อง แถลงนโยบายในวันจันทร์หน้า

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ ขอพูดคุยภายในพรรคร่วมรัฐบาลก่อน ขอพูดคุยเป็นการภายในก่อนถึงจะแจ้งให้ทราบ ส่วนเรื่องการทำงานก็ยังต้องพูดคุยกันก่อนเพราะบางคนก็เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ขอย้ำอะไรทำได้ก่อนจะทำทันที และขอโอกาสให้รัฐมนตรีทุกคนทำงานก่อน

นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เคยพูดว่า 100 วัน จะทำเรื่องเงิน 10,000 บาท ให้เสร็จ ยังไม่เคยบอก แต่คิดว่าไม่เกินไตรมาสแรกปีหน้า และจะเป็นการจ่ายงวดเดียว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันว่า ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายแบ่งขั้วแบ่งก๊วน ยึดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง

“มั่นใจว่าทุกวันรัฐมนตรีทุกคนจะทำงานหนักนโยบายที่ประชาชนอยากได้ทำก่อนทำก่อน และยืนยันในวงกินข้าวกับรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ไม่ได้พูดว่าหากทำงานไม่ได้แล้วจะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงแต่อะไรที่ทำได้ให้ทำไปก่อนอะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องมาช่วยกันดู แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ทำอะไรเลย 

ทั้งนี้นายเศรษฐา กล่าวถึงการนอนที่ทำเนียบรัฐบาลว่า “ขอดูก่อนครับ”

“ขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลนี้ว่าเรามีความตั้งใจจริงเราตระหนักดีในปัญหาที่ประชาชนเผชิญอยู่ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจความแตกแยกทางความคิด เป็นพื้นที่รัฐบาลให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน แล้วจะจัดการปัญหา และมั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน” นานเศรษฐา กล่าว

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ 8 ก.ย.นี้ ภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ หวังคนไทยมีชีวิตดีขึ้น

(5 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมแถลง ‘นโยบายรัฐบาล’ ครม.เศรษฐา 1 ต่อรัฐสภา โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงต่อรัฐสภา มีนโยบายสำคัญภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ โดยมีความมุ่งหมายให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างโอกาสในการหารายได้ ดังนี้

>> นโยบายรัฐบาล 1 กระตุ้น 

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป สำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ในร้านค้าชุมชนและบริการที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่

>> นโยบายรัฐบาล 3 เร่ง

1. นโยบายเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลยังคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน

2. นโยบายเร่งลดหนี้ประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อลดภาระเกษตรกรในการชำระหนี้จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ 3 ปี และพักหนี้ธุรกิจที่เกิดร้อนจากโควิด 1 ปี รวมทั้งสนับสนุน Pico Finance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

3. นโยบายเร่งลดราคาพลังงาน ลดค่าครองชีพประชาชน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า แนวทางการดำเนินการในเรื่องราคาพลังงานนั้นมีเรื่องหลัก ๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และ ราคาไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน อีกทั้งยังช่วยค่าครองชีพอื่น ๆ เพราะพลังงานเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค 

>>นโยบายรัฐบาล 3 สร้าง

1. นโยบายสร้างรายได้ อาทิ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยการขับเคลื่อนท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ฟรีวีซ่า, การบริหารจัดการ (Operations)ของสนามบินเอง, การจัดการเที่ยวบิน (Flight), การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โดยตั้งเป้าหมายประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567

ขณะเดียวกันก็จะเร่งการสร้างรายได้จากการค้าการลงทุน ด้วยการใช้นโยบาย ‘การต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ’ ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทย เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ให้ได้มาซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก

นอกจากยังมีนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกร และราคาสินค้าเกษตร ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร แปรรูป ลดต้นทุน ปรับวิธีการผลิต ใช้ตลาดนำการผลิต ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมากที่จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้ง มาเป็นการปลูกพืชเพื่อการปศุสัตว์ หรือพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ แทนการนำข้าจากต่างประเทศ ควบคู่กับการการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่นการเลี้ยงโคเพื่อส่งออก รวมไปถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท

2. นโยบายสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การแจกโฉนดที่ดินให้แก่เกษตรกร แก้กฎหมายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้นำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเปลี่ยนมือได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าหาแหล่งทุนของเกษตรกร

ส่งเสริมการปลูกพืชยืนต้น เพื่อเป็นคาร์บอนด์เครดิต นโยบายส่งเสริม SME ด้วยการสนับสนุนและอุดหนุนภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ ผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ลดการผูกขาดทางธุรกิจอันเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของ SME

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพ 30 บาท ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมายกระดับการให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนมากขึ้น รวมทั้งจะเร่งผลักดันรัฐบาลดิจิทัล ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนได้บริการที่ดีขึ้น ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

3. นโยบายสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด ด้วยการจัดกลุ่มผู้เสพ คือ ผู้ป่วย ต้องดูแลรักษา ฟื้นฟูให้มีอาชีพกลับเข้าไปทำงานให้ได้ แต่จะจัดการกับผู้ค้า ผู้ผลิต ด้วยการนำกฎหมายยึดทรัพย์มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหยุดยั้งยาเสพติด รวมถึงนโยบายแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ

นอกจากนี้ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ภายใต้หลักปรัชญา ‘เรียนรู้เพื่อรายได้’ ด้วยการปรับหลักสูตรต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการสร้างรายได้ สร้างกลไกพิเศษให้ภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน ควบคู่กับการผลักดันนโยบาย soft power ในด้านต่าง ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top