Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

'ชัยธวัช' รับ 'ก้าวไกล' พร้อมดำเนินการสอบทางวินัยต่อไป หลังทราบอดีตผู้สมัคร สส.กก. ละเมิดฯ โฆษกหญิงพรรคหนึ่ง

จากกรณี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา โฆษกหญิงจากพรรคการเมืองหนึ่ง เผยแพร่รูปภาพถ้อยแถลงขอโทษ ของ นายเกรียงไกร จันกกผึ้ง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ พรรคก้าวไกล ก่อนจะลบทิ้งในภายหลัง ซึ่งระบุไว้ว่า...

"เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 ผมได้ละเลยความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง และได้ละเมิดหลักการเรื่องความยินยอม (consent) จนทำลายความเชื่อใจและหวังดีของเธอ ซึ่งการกระทำในครั้งนี้ไม่ควรค่าแก่การให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นการกระทำอันร้ายแรงต่อจิตใจของเธอนั้น"

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ก.ย.66 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้ระบุว่า "ทีมผู้บริหารพรรคก้าวไกล เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าว เมื่อไม่กี่วันก่อน ทางคณะกรรมการวินัยของพรรคจะรีบดำเนินการสอบทางวินัยต่อไป"

‘ปชป.’ ยกทีมบุกระยอง รวมพลังช่วย ‘หมอบัญญัติ’ ชิง สส. วอนชาวแกลงเลือกคนขยัน-ผลงานเด่น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘บัญญัติ-สุทัศน์-นิพนธ์-คุณหญิงกัลยา’ รวมพลังช่วย ‘หมอบัญญัติ’ ชิง สส.ระยองวอน ชาว อ.แกลง อ.เขาชะเมา เลือกคนขยัน เข้าใจปัญหา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนระยอง

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 66 นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.พรรคประชาธิปัตย์, นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคฯ, คุณกัลยา โสภณพนิช รักษาการรองหัวหน้าพรรคฯ และนายสุทัศน์ เงินหมื่น อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่เขตเทศบาลตำบลเมืองแกลง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กล่าวช่วงหนึ่งว่า ที่น่าห่วงคือ วันนี้ที่ประชาชนเบื่อการเมือง เพราะเข้าใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ เลยไม่อยากที่จะไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอยืนยันว่า ยังไงการเมืองก็เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนโดยตรง แต่ที่ทำให้เบื่อหน่ายคือ การที่พี่น้องประชาชน ไม่ได้เลือกผู้แทนจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.) คนที่รู้ เข้าใจปัญหา และ 2.) คนที่ขยัน ติดตามการแก้ไขปัญหา ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้มีอยู่ครบถ้วนในตัว นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ และประชาชนจะได้ผู้แทนของพี่น้องประชาชนจริงๆ จึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่าได้โปรดให้การสนับสนุนหมอบัญญัติเพื่อให้ได้กลับเข้าไปทำหน้าที่ สส.ตามเดิม

ด้านนายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า คุณหมอบัญญัตินั้น เป็นคนที่ขยัน เป็นภาพจำที่โดดเด่นในการทำหน้าที่ได้อย่างดีทั้งในและนอกสภาฯ โดยเมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่ง รมช.มท. คุณหมอบัญญัติ ได้มีการประสานให้ตน ลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าบุกรุกทำลายพืชผลทางการเกษตร รวมทั้ง การจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อลดอุบัติเหตุในจังหวัดระยอง ที่เคยมียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงที่สุดของภาคตะวันออก และอีกหลายๆ ที่เป็นผลงานที่เกิดรูปธรรม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อต้องการสื่อให้พี่น้องประชาชนได้เห็นความตั้งใจทำงาน ความเข้าใจปัญหา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนระยองทั้งหวัดที่คุณหมอบัญญัติได้ตั้งใจจริง

สถาบันทิศทางไทย ออกแถลงการณ์ 7 ข้อ ‘อภัยลดโทษ’ ทักษิณ ไม่ใช่ ‘อภัยโทษ’

(2 ก.ย.66) ‘สถาบันทิศทางไทย’ ได้ออกแถลงการณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อราชกิจจานุเบกษา ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้อภัย ‘ลด’ โทษ นักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร ว่า...

“สถาบันทิศทางไทย อันประกอบด้วยนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิในหลายแขนง ได้เห็นร่วมกันถึงพระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏในพระมหากรุณาธิคุณให้อภัย ‘ลด’ โทษนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ

จึงใคร่ขอให้พสกนิกรและผู้จงรักภักดีได้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้

1.) ราชกิจจานุเบกษาเป็นประกาศพระมหากรุณาธิคุณ ‘พระราชทานอภัยลดโทษ’ กับนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ไม่ใช่ ‘พระราชทานอภัยโทษ’ แต่อย่างใด ดังนั้น นักโทษชายทักษิณยังมีความผิดมิใช่ได้รับนิรโทษกรรมหรือพ้นจากความผิดที่ได้เคยกระทำไว้  และหากต้องโทษในคดีอื่นๆ อีกก็ย่อมมิอาจขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการเฉพาะได้อีกเพราะถือเป็นที่สุดแล้ว

2.) นักวิชาการ อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม ได้ชี้ให้เห็นว่า ราชกิจจานุเบกษาคือการ ‘ตรา’ บันทึกความผิดของนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณเอาไว้แล้วในประวัติศาสตร์ มิมีสิ่งใดมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เลยนับจากนี้

3.) คำกล่าวในอดีตของนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณที่มักอ้างว่า โดนกลั่นแกล้งทางการเมือง โดนศาลตัดสินด้วยกระบวนการที่บิดเบี้ยว รวมถึงวาทกรรมผลพวงรัฐประหาร ล้วนแล้วแต่ไม่จริง เพราะนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณได้ยอมรับผิดทั้งหมดด้วยตัวเองก่อนขอพระราชทานอภัยโทษ

4.) ขบวนการปฏิรูปสถาบันที่นำโดยพรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่) คณะก้าวหน้า กลุ่ม NGO ที่ได้รับเงินต่างชาติ กลุ่มราษฎร กลุ่มทะลุวัง ย่อมมิอาจอ้างวาทกรรม ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ‘นิติสงคราม’ วาทกรรมสถาบันแทรกแซงการเมืองผ่านศาลและกองทัพได้อีกต่อไป เพราะนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณได้ยอมรับเองไปแล้วว่าได้กระทำผิดจริง

5.) การพระราชทานอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ เป็นไปตามระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้ ‘ธรรมราช’ อันเป็นพระราชอำนาจโดยหลักทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยมีนายกฯรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

6) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าการใช้พระราชอำนาจเช่นนี้เป็นพระราชอัจฉริยภาพ และพระราชวินิจฉัยเพื่อดับวิกฤติที่กำลังคุกคามประเทศไทยเราอยู่ ชาติไทยเราอยู่รอดมาได้ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ สิ่งที่เราเองก็มิอยากสูญเสียหรือมิอยากเห็นยิ่งกว่านี้ ข้อเปลี่ยนแปลงใดๆย่อมมิสำคัญเท่ากับทางรอดของประเทศชาติ

7.) ครอบครัวชินวัตร พรรคเพื่อไทย รวมถึงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่โน้มรับในพระมหากรุณาธิคุณพึงต้องแสดงความจงรักภักดีให้เป็นรูปธรรมเป็นที่ประจักษ์ คือ

7.1.) ยืนยันต่อระบอบการปกครองราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญดังที่เป็นมา
7.2.) ยืนยันอย่างเปิดเผยไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขสาระสำคัญรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2
7.3.) ไม่เร่งการแก้รัฐธรรมนูญ มุ่งแก้ปัญหาปากท้องของคนในชาติอันเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า
7.4.) ผลักดันกฎหมายควบคุม NGO ให้ออกมาได้โดยเร็ว เพราะสามารถตรวจสอบเส้นทางเงินของ NGO ที่รับเงินต่างชาติมาเคลื่อนไหวล้มล้างสถาบันฯ
7.5.) ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด สามารถสั่งปิดกับแพลตฟอร์มต่างชาติ Facebook, X(Twitter เดิม), Tik Tok ที่ปล่อยให้กลุ่มล้มล้างโพสต์ใส่ร้ายสถาบันฯ ต่อเนื่อง

ด้วยความเคารพ
สถาบันทิศทางไทย

อื้ออึง!! ‘ไผ่ ลิกค์’ หายวับ!! ครม.เศรษฐา 1 พปชร.ถูกตัดโควตาเหลือแค่ 3 ตำแหน่ง

พลันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ก็มีคำถามพุ่งมามากมายเกี่ยวกับบุคคลที่หลุดจากตำแหน่งไป จากเดิมที่เคยอยู่ในโผว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ให้เป็นที่สงสัยว่าเกิดจากอะไร พรรคการเมืองบางพรรคก็ถูกปรับลดโควตาลง ทั้งๆ ที่เคยมีโควตาตามสัดส่วน 9 : 1

ตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งรัฐมนตรี พบว่ามีการโปรดเกล้าลงมาเพียง 34 คน ทั้งๆ ที่ควรจะเป็น 35+1 คือบวกนายกรัฐมนตรีอีก 1 คน

ตรวจสอบลึกลงไปพบว่า พรรคพลังประชารัฐได้มาเพียง 3 ตำแหน่ง คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแล้วล้อม...

ชื่อของ ‘ไผ่ ลิกค์’ ที่มีโผว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ แต่หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ คุณสมบัติไม่ผ่าน หรือถูกตัดโควตาก็ไม่ทราบ แต่ถ้าตัดโควตา ก็ไม่เห็นว่าจะเอาไปเพิ่มให้ใคร ตรงไหน?

เรื่องนี้พลังประชารัฐจะว่าอย่างไร? มี สส.40 คน แต่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 3 คน ซึ่งข้อเท็จจริงควรจะได้ 4+ ด้วยซ้ำไป

หรือเกิดจากการเอาคืนของเพื่อไทย ที่เสียงของพลังประชารัฐมาไม่เต็ม มาแค่ 39 จาก 40 และคนที่ไม่มาเป็นถึงหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเสียงสมาชิกวุฒิสภาสาย พล.อ.ประวิตร ก็มาแค่หร่อมแหร่ม 4-5 คน จึงถูกตัดโควตารัฐมนตรีลง แต่โดยมารยาทควรจะบอกกล่าวกันก่อนไหม

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ เสียงเต็มทั้ง 36 เสียง แถมเสียงสมาชิกวุฒิสภา สาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาว่าเป็นเนื้อเป็นหนัง มี สส.36 คน แต่มีรัฐมนตรีถึง 5 ที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพลังงาน, นายกฤษณะ จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยคลัง (คนนอก), นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยเกษตร, นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม เป็นต้น 

เอาเป็นว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเนื้อเป็นหนังกว่าเยอะ!!

นอกจากนี้ยังมีชื่อบุคคลที่เคยอยู่ในโผ แต่หลุดมือไปตอนไหนไม่รู้ นอกจาก ‘ไผ่ ลิกค์’ แล้ว ยังมี ‘ชูศักดิ์ ศิรินิล’ ที่ควรได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายกฎหมาย และช่วยงานพรรคมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย มีมือดีเข้ามาล่วงโผ ดัน ‘พิชิต ชื่นบาน’ อดีตทนายถุงขนม เข้ามาเสียบแทน ‘ชูศักดิ์’ โดยไม่ได้ดูคุณสมบัติ ว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนถึง 6 เดือน ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติ ‘พิชิต’ จึงหลุดไปอีกคน 

สรุปง่ายๆ ว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย หรือจะให้ ‘พีระพันธุ์’ ดูแลแทน ในฐานะอดีตผู้พิพากษา

ส่วน พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ที่เคยเข้าวินในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ก็หลุดไปเหมือนกัน โดยมี ‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามาสวมแทน… ทราบว่า นายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ขอเปลี่ยนตัวเอง ต้องการคนมีประสบการณ์เข้ามาทำงาน จึงโยกพิมพ์ภัทรา จากช่วยมหาดไทย มานั่งว่าการอุตสาหกรรมแทนพิชชารัตน์ ซึ่งชื่อของพิชชารัตน์ก็หายไปจากสารบบ 2-3 วันแล้ว

ด้าน ‘วิทยา แก้วภราดัย’ ที่เคยมีชื่อเข้าชิงในรอบแรก ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข แต่ชื่อหลุดไปเมื่อเข้ารอบสอง ซึ่งเจ้าตัวอาจจะขอถอนเองก็เป็นได้ เพราะเคยนั่งว่าการสาธารณสุขมาแล้ว

ชื่อ ‘อดิศร เพียงเกษ’ หมอแคนจากพรรคเพื่อไทยก็ไปเข้ารอบ ไม่แตกต่างจาก ‘เสี่ยอ๋อย’ จาตุรนต์ ฉายแสง แต่ดูเหมือนว่า จะมีชื่อคนใหม่ๆ แปลกๆ เข้ามาแทนหลายตำแหน่งอยู่เหมือนกัน เช่น จักรพงษ์ แสงมณี มากพรรคไหนไม่ทราบ เข้ามานั่งช่วยต่างประเทศ

การตั้งรัฐบาลคราวนี้ พรรคที่เจ็บกระดองใจมากที่สุดน่าจะเป็นพลังประชารัฐ ที่มี สส.มากกว่ารวมไทยสร้างชาติ แต่ได้รัฐมนตรีน้อยกว่า ถึงเวลาพลังประชารัฐต้องมานั่งขบคิดแล้วละ จะว่าโควตาเต็มก็ไม่ใช่ เพราะตั้งยังขาดอยู่อีก 2 ตำแหน่ง หรือใครบางคนขาดคุณสมบัติ ส่งคนใหม่มาก็ตรวจสอบไม่ทันแล้ว เพราะรายชื่อส่งหมดแล้ว จะรอก็ไม่ได้ เพราะกำหนดการวางไว้หมดแล้ว วันศุกร์นำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้า โปรดเกล้าฯ ลงมา ‘เสาร์’ วันจันทร์เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน วันอังคารก็จะประชุม ครม.นัดแรก วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ‘ลุงตู่’ จึงมีอีเวนต์ อำลาทำเนียบรัฐบาลด้วย ‘รอยยิ้ม-น้ำตา’

แต่เริ่มต้น รัฐบาลเศรษฐา 1 ก็เห็นรอยร้าวแล้ว และน่าจะเป็นบทลงโทษที่สาสมกับเพื่อไทยต่อพลังประชารัฐ

‘พิชิต ไชยมงคล’ วิเคราะห์ ‘ทักษิณ’ ขอพระราชทานอภัยโทษ อาจเกิดคลื่นความขัดแย้งใหม่ในสังคม แต่ไม่ถึงขั้นลงถนน

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 1 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ

ทั้งนี้ นายพิชิต ได้ให้มุมมองต่อประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร ว่าจะส่งผลกระทบต่อการพยายามสร้างความปรองดองของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของคุณเศรษฐา ทวีสิน หรือไม่? อย่างไร? ดังนี้…

“ผมมองว่า ปมนี้ อาจจะเป็นปมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระลอกใหม่ในสังคมไทยได้ เนื่องจาก คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาจากพรรคเพื่อไทย ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจะไม่อยู่ใต้ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีอิทธิพลต่อพรรคเพื่อไทย ทั้งในทางความคิด และในทางปฏิบัติ

ผมตั้งข้อสังเกตแบบนี้ว่า เมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้าที่จะเป็น ‘รัฐบาลผสม’ ที่จะเดินหน้าสู่ความปรองดอง สลายสีเสื้อ สลายขั้ว...ก็คงต้องถามชัดๆ ว่า ทำแบบนั้นแล้ว ประชาชนได้อะไร? นี่คือการสลายขั้วแค่เพียงในส่วนของนักการเมืองหรือไม่? คำตอบนี้จะถูกตอกย้ำในกรณีของการปฏิบัติต่อนักโทษท่านหนึ่ง”

นายพิชิต กล่าวต่อว่า “สถานะของคุณทักษิณ ชินวัตร ในตอนนี้คือ ‘นักโทษ’ ที่ต้องถูกคุมขังตามคําพิพากษา แม้ว่าอดีตท่านจะเคยเป็นนายกรัฐมนตรี หรือตำแหน่งใดก็ตาม แต่เราต้องคำนึงว่า ปัจจุบัน ซึ่งคุณทักษิณเป็น ‘ผู้ต้องหา’ ด้วย”

“อย่างไรก็ตาม การที่คุณทักษิณได้รับการปฏิบัติเยี่ยงอภิสิทธิ์ชนเช่นนี้ ผมมองว่า คนในสังคม ไม่เพียงแค่กลุ่มที่เคยออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เท่านั้น แม้แต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยออกมาเคลื่อนไหวเพื่อคุณทักษิณ ก็อาจจะตั้งคำถามในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ว่าทำไมกลุ่มแกนนำ หรือแม้แต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อคุณทักษิณ ต้องติดคุก บางคนบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต”

“แต่ในขณะเดียวกัน คุณทักษิณเดินทางกลับมาที่ประเทศไทย พร้อมรับอภิสิทธิ์ขนาดนี้ ยิ่งมีการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย จนกระทั่งได้รับการพระราชทานอภัยโทษด้วยแล้วอีก เรื่องนี้ผมจึงเชื่อว่าจะทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นอย่างมากแน่นอน”

ทั้งนี้ นายพิชิต ยังได้ยกข้อมูลเกี่ยวกับระเบียบฉบับของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในปี 2561 และ 2564 ออกมาอ้างอิงด้วย ว่า...

“ในกรณีที่จะทูลเกล้าฯ ขอถวายฎีกา หน่วยงานราชการ หรือหัวหน้าส่วน หรือกระทรวงต่างๆ จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องดังต่อไปนี้...

1.) มีความเหมาะสมหรือไม่
2.) มีเรื่องร้องเรียนต่อกรณีนั้นหรือไม่
3.) จะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมาหรือไม่

อีกทั้ง กรอบระยะเวลาที่รัฐบาลต้องพิจารณา และถวายทูลเกล้าฯ ก็ยังมีความไม่ชัดเจน ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไร”

“ผมคิดว่า รัฐมนตรีที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ หากมีการพิจารณาภายใต้ระเบียบของสํานักนายกรัฐมนตรีที่ได้มีแนวทางข้อบังคับไว้ ก็คงจะทำให้สังคมได้กลับมาตรึกตรองอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ให้คุณทักษิณ ใช้ความไม่สมควร หรือมิบังควร ยื่นเรื่องไป แล้วทางผู้รับก็พร้อมรับและนำไปยื่นทูลเกล้าฯ ได้เลย ถ้าแบบนี้ ผมมองว่าจะยิ่ง ‘ตอกลิ่มความขัดแย้ง’ ในอนาคตได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” นายพิชิต กล่าว

จากกรณีของคุณทักษิณยื่นขออภัยโทษครั้งนี้ นายพิชิต ได้ทิ้งท้ายไว้ถึงเชื้อไฟแห่งความไม่พอใจของผู้คนคงจะกระพือชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในกลุ่มของคนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดงเองด้วยเช่นกัน เพียงแต่การแสดงออกนั้น คงยังไม่ถึงจุดที่จะก่อให้เกิดการประท้วง หรือลงถนน

แต่ที่น่าห่วงคือ ท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะดำเนินการต่อไปในรูปแบบใด เช่น จะไหลตามน้ำ หรือจะทำการตรวจสอบพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตามขั้นตอนของกระบวนการตรวจสอบ เพราะอาจเป็นตัวกำหนดท่าทีและการเคลื่อนไหวของประชาชน ก็เป็นได้…

‘วันชัย’ ทวนคำทำนาย!! ตอกย้ำ ‘เศรษฐา’ มา ‘ราหู’ ไป ความขัดแย้งจะไม่มีอีก ไพร่ฟ้าหน้าใสคนไทยเป็นสุข

(2 ก.ย. 66) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ทนายวันชัย สอนศิริ” ระบุว่า…

“ผมเคยบอกไว้เมื่อ 27 ส.ค. 66 ว่า เศรษฐามา… ราหูไป ความศิวิไลซ์แห่งประเทศจะบังเกิด ที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็น... ที่ไม่เคยเป็นจะได้เป็น... ที่ไม่เคยมีจะได้มี... ความสามัคคีปรองดองจะเกิดขึ้น ความขัดแย้งจะไม่มีอีกต่อไป ไพร่ฟ้าหน้าใสคนไทยเป็นสุข... เป็นความมหัศจรรย์พันลึก บรรจงลงตัวพอดี เห็นมั้ยล่ะ... พระสยามเทวาธิราชมีอยู่จริง มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ”

‘ภัทร เหมสุข’ เผย ‘หยก’ สูญเสียอนาคตเพราะเลือกทางผิด ซัด!! ผู้ใหญ่หลอกครอบงำเด็ก ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 66 จากกรณีที่ ‘หยก ธนลภย์’ เยาวชนอายุ 15 ปี ผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง ได้นอนขวางรถบัสของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ที่กำลังจะพานักเรียนไปเข้าค่ายภาษาจีน หลังทางโรงเรียนปฏิเสธไม่ให้หยกร่วมเดินทางไปค่ายด้วย เนื่องจากหยกไม่มีสถานภาพนักเรียนและไม่ได้จ่ายค่าเทอม (เพราะคืนค่าเทอมไปแล้ว) ทำให้ครูและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ พยายามให้หยกลงจากรถ แต่หยกไม่ยอม จนเพื่อนนักเรียนต้องช่วยกันอุ้มหยกลงจากรถ ทำให้ นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pat Hemasuk’ ถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า…

“สิ่งบางอย่างเดินหน้าแล้วถอยหลับกลับไม่ได้ สิ่งนั้นคือ ‘เวลาและโอกาส’ ของชีวิตที่เข้ามา
ผมอ่านข่าวบางข่าวเมื่อวานนี้แล้วสังเวชใจกับเด็กที่โดนการเมืองเข้าครอบงำ ใช้เป็นเครื่องมือจนชีวิตสูญเสียไปแบบไม่มีทางกลับไปดีได้เหมือนเดิม ในต่างประเทศมีกฎหมายคุ้มครองเด็กในเรื่องแบบนี้ คนที่ทำถึงขั้นติดคุกเลยทีเดียวถ้าไปใช้เด็กทำอย่างที่เห็น

ด่านแรกที่สู้จนถอดใจ คือ ครูและพ่อแม่ ที่ต้องตัดหางปล่อยวัด เพราะเด็กทำตัวแรงจนเอาไม่อยู่ ลองคิดดูว่าคนเป็นพ่อแม่ยังไม่เอา เนื่องจากเด็กเชื่อสังคมนอกโรงเรียน ทำผิดซ้ำซากจนเข้าสถานพินิจหรือคุกเด็กนั้น พ่อแม่และครูจะปวดใจแค่ไหน

วันนี้ที่เห็นเด็กต้องรับเรื่องราวอะไรมากมายเกินกว่าเด็ก ม.4 จะต้องพบเจอจากสังคม สายตาและแววตาบางภาพที่ออกสื่อ มันฟ้องว่าในใจของเด็กนั่นโดนอะไรและกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าสิ่งนี้ถือว่าแรงแล้วผมอยากให้รอดูไปอีกสองปี ตอนที่เพื่อนๆ ต่างก็แสดงความยินดีกันว่าพวกเขาคนโน้นคนนี้สามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้บ้าง อนาคตจะเป็น นักศึกษาแพทย์ วิศวะ สถาปนิก นักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ กันห้องละกี่คน แล้วในเวลาเดียวกันวันนั้นเธอจะได้จะมีอนาคตอะไรอยู่ในมือบ้าง

แววตาของเธอจากภาพบนสื่อวันนี้สะท้อนความคิดในใจของเธอ ว่าเธอเองก็เศร้าใจอยู่ลึกๆ ในพฤติกรรมของเธอ ที่ได้รับการตอบสนองจากเพื่อนที่เคยร่วมชั้นเรียนอย่างไรบ้าง แล้วอีกสองปีข้างหน้าผมพยากรณ์อนาคตได้เลยว่า แววตาของเธอจะเศร้ายิ่งกว่าวันนี้เสียอีก…

ผมไม่ได้โทษเธอคนเดียวหรอกนะ แต่ผมโทษผู้ใหญ่ที่หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือเสียมากกว่า วันนี้เธอไร้ประโยชน์ทางการเมืองแล้วก็โดนเขี่ยทิ้ง ตัดท่อน้ำเลี้ยง เพราะไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูส่งเสียให้สิ้นเปลืองไปทำไม ไม่ต่างกับหลายคนที่โดนเททิ้งมาก่อนหน้านั้น และอีกสองปีกว่าๆ คดีหลายคดีที่เธอเคยสร้างเรื่องเอาไว้ก็คงจะสิ้นสุดลง ตอนนั้นเธอก็คงไม่ได้เข้าสถานพินิจเหมือนเดิมแล้ว แต่เธออายุครบที่จะเข้าทัณฑสถานไปเรียบร้อย เป็นการเริ่มชีวิตวัยรุ่นที่น่าเศร้าใจเมื่อเทียบกับชีวิตในมหาวิทยาลัยของเพื่อนๆ ที่เคยนั่งเรียนห้องเดียวกันมา

เห็นภาพไหมครับ ว่าพวกผู้ใหญ่และนักการเมืองบางกลุ่มที่สร้างเธอขึ้นมานั้น จิตใจโหดร้ายแค่ไหน และมีเหยื่ออย่างเธออีกมากมายหลายคน ผมได้แต่คิดขอให้กรรมนั้นตามสนองคนที่หลอกใช้เด็กเหล่านี้ในเร็ววัน”

‘สุวัจน์’ ชี้!! ตำแหน่งผู้นําฝ่ายค้านสำคัญต่อการบริหารบ้านเมือง ย้ำ!! รัฐบาลมีเสถียรภาพ ฝ่ายค้านเข้มแข็ง ประเทศได้ประโยชน์

เมื่อไม่นานนี้ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเคลียร์ ชัด ชัด ช่องเวิร์คพอยท์ 23 ดำเนินรายการโดย ดร.ภูวนาท คุนผลิน เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 โดยมีประเด็นทางการเมืองที่น่าสนใจดังนี้

ปรากฏการณ์ ‘สลายขั้ว’
นายสุวัจน์ มองว่าที่ผ่านมาการแบ่งขั้วทางการเมืองมันแรงมากในประเทศไม่ว่าจะเป็นสี หรือจะเป็นอะไร แต่ละยุคแต่ละสมัย มีการเกิดความรุนแรง มีการสูญเสียเกิดขึ้น และวันนี้เราเห็นสิ่งที่มีอุดมคติว่า ‘จบสลายขั้ว’ สารพัดสีรวมกันได้หมด เพราะการเมืองนําไปสู่การเดดล็อก ทําให้มีการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้

ฉะนั้น พรรคการเมืองที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็คือ พรรคที่เป็นแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล อันนี้เหมือนเป็นราคาที่ต้องสูญเสียหมายความว่าต้องพยายามคลี่คลายวิกฤติในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ยกตัวอย่าง หมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนําท่านเคยบอกไว้ว่าจะไม่จับมือกับคนนั้น ไม่จับมือกับพรรคนี้ แล้ววันนี้ด้วยเหตุจําเป็นทางการเมืองว่าถ้าไม่จับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ พรรคแกนนําไม่สามารถจะรวบรวมเสียงที่นําไปสู่การมีนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลได้ จําเป็นจะต้องไปจับมือ

เมื่อจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ หมอชลน่าน แสดงสปิริตประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว (30 ส.ค. 66) พรรคการเมืองอาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้าง แต่สิ่งที่พี่น้องประชาชนได้รับ คือ การกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ ประเทศชาติเดินหน้า พี่น้องประชาชนมีความสุข

นายสุวัจน์ กล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสม ที่เรียกว่า ‘สลายขั้ว’ รัฐบาลผสม คือ พรรคแกนนําไม่สามารถที่จะกําหนดอะไรได้จะต้องแบ่งกระทรวงให้พรรคนั้นพรรคนี้ ไม่สามารถที่จะเป็นลีดเดอร์ชิพได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และพอแบ่งกระทรวงไปให้พรรคนั้นพรรคนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องภายในของแต่ละพรรคว่าจะไปจัดบุคคลอย่างไร มันเป็นขีดจํากัดของรัฐบาลผสม ซึ่งมันจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้เลยถ้าแลนด์สไลด์ ถ้าเกิดมีพรรคหนึ่งพรรคใดได้เกินครึ่งไปเลยไม่ต้องพึ่งพรรคอื่น แต่เมื่อเป็นรัฐบาลผสมสิ่งที่เห็น คือ เสถียรภาพ และเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองนั้น จะลดลง

บทบาทแกนนำฝ่ายค้านสำคัญอย่างไร?
นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน เป็นตําแหน่งที่สําคัญที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าจะต้องมีผู้นําฝ่ายค้าน และเป็นตําแหน่งโปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญต้องให้ความสําคัญกับตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน เพราะในการบริหารประเทศเมื่อเลือกตั้งมาแล้วก็มีรัฐบาลกับมีฝ่ายค้าน ผู้นํารัฐบาล ก็คือนายกรัฐมนตรี ผู้นําฝ่ายค้าน ก็คือ ตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน

ฉะนั้น ถ้าพรรคที่ได้อันดับหนึ่งของการเป็นฝ่ายค้านไม่รับตําแหน่ง ก็ต้องไปพรรคอันดับสอง พรรคอันดับสามที่จะไปเลือกกันตามที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

แต่ศักยภาพของความเป็นผู้นําฝ่ายค้านถ้าเป็นพรรคใหญ่ก็จะมีน้ำหนัก มีศักยภาพ ถ้าพรรคเล็กเป็นผู้นําฝ่ายค้าน ศักยภาพก็น้อย

“ถ้าตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน อยู่กับพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงเยอะๆ จะทําให้การทํางาน มีพลัง เป็นประโยชน์ต่อประเทศ คือ รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ประเทศได้ประโยชน์” นายสุวัจน์ กล่าว

นโยบายเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาล
นายสุวัจน์ กล่าวว่าทําอย่างไรของไม่แพง น้ำมันจะถูกลงได้อย่างไร ไฟฟ้าจะถูกลงได้อย่างไร เพื่อทําให้ต้นเหตุของราคาสินค้าต่างๆ มีราคาลดลง และทําให้ทุกคนมีงานทํา คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ทําอย่างไรนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทําอย่างไรส่งออกดีขึ้น ทําอย่างไรให้เอสเอ็มอีได้กลับมาทํางานกันอีกครั้ง ฉะนั้น ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล คือ จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจกลับมากระเตื้อง

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ เปิดขั้นตอน ‘ทักษิณ’ ขอพระราชทานอภัยโทษ ภายใต้กรอบที่มิควรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

(1 ก.ย. 66) รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 1 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก รศ.ดร.เจษฎ์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

เกี่ยวกับประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ตัวนายทักษิณ หลังเดินทางมาถึงประเทศไทย และได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกรมราชทัณฑ์แบบยังไม่ทันข้ามคืน ก็ถูกส่งตัวไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ และทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า มีสิทธิ์ขอตั้งแต่วันแรกตามกระบวนการกฎหมาย

>> แต่คำถาม คือ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? 
เพราะโดยปกติแล้ว ‘การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป’ ทางกรมราชทัณฑ์ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะถูกกระจายไปตามส่วนงานต่างๆ ของกรมราชทัณฑ์ โดยรายละเอียดต่างๆ จะมีการพิจารณาภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดโดยกรมราชทัณฑ์ ซึ่งจะมีระเบียบว่าด้วยระยะเวลาในการต้องโทษ และระเบียบว่าด้วยระยะเวลาในการชดใช้ หรือชำระตามโทษนั้นแล้ว

สมมตินายทักษิณ ได้รับโทษไปแล้ว 3-4 ปี ตามระเบียบขั้นต่อมา ก็จะไปอยู่ที่ ระเบียบชั้นนักโทษ ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีการได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษที่แตกต่างกันออกไป โดยมี กรมราชทัณฑ์ เป็นผู้รับผิดชอบในกรอบกว้าง ซึ่งท้ายที่สุด กรมราชทัณฑ์ ก็จะนำส่งเรื่องขึ้นมาให้ทางคณะรัฐมนตรีจะทำการพิจารณาตัดสิน จากนั้นจึงส่งต่อไปตามขั้นตอนกระบวนการ

เพียงแต่… ในกรณีที่ไม่ได้เป็นไปตามระบบ หรือมีกลไกอื่น อาทิ ‘การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย’ ในส่วนนี้ ผู้รับผิดชอบในการเสนอ จะเป็น ‘ครอบครัว ญาติ หรือ ตัวของผู้ที่ต้องโทษ’ นั่นเอง โดยจะเสนอผ่านกระบวนการของกรมราชทัณฑ์ เช่น หากต้องจำขังอยู่ที่ไหน ก็ต้องจำขังอยู่ที่นั่น หรือหากไม่ได้ต้องจำขังในเรือนจำ แต่หากต้องจำขังในสถานที่อื่น ก็ต้องยื่นเรื่องผ่านไปยังผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเรือนจำที่จะต้องจำขัง

ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของคุณทักษิณ ที่เดิมทีต้องถูกจำขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่ตอนนี้คุณทักษิณอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ดังนั้น จึงต้องส่งเรื่องผ่านไปยังทางผู้บังคับบัญชาของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากนั้น ผู้บังคับบัญชาจะทำการส่งเรื่องต่อไปตามขั้นตอน จนในที่สุด เรื่องก็จะถูกส่งไปถึงมือรองนายกฯ ที่เป็นผู้ดูแลฝ่ายกฎหมาย และถึงมือของรัฐบาล จนฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพิจารณาหรือทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นประการใด ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ท่าน

เนื่องจากมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ” โดยการใช้พระราชอำนาจในลักษณะนี้ เป็นการใช้พระราชอำนาจผ่านกลไก อันต้องมีผู้ทูลเกล้าฯ และผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ดังนั้น ผู้ทูลเกล้าฯ จึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผู้ต้องโทษนั้นเอง

รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวอีกด้วยว่า กรณี ‘การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย’ จะมีรายละเอียดไม่มากเท่ากับ ‘การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป’ ที่ต้องมีระบบและกระบวนตามขั้นตอนแบบแผนของกรมราชทัณฑ์ เพียงแต่ การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย ผู้ที่เป็นผู้นำเรื่องทูลเกล้าฯ ต้องมีความระมัดระวังมากกว่า เนื่องจากไม่มีระบบที่พิจารณารายละเอียดต่างๆ เชิงลึกอย่างชัดเจน

“อันที่จริงแล้วประเทศที่มีองค์อธิปัตย์ เช่น พระมหากษัตริย์, พระราชินี, สมเด็จพระจักรพรรดิ ทรงเป็นประมุข หรือประเทศที่มีประมุขของรัฐในลักษณะอื่น เช่น ประธานาธิบดี ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยนั้น จะยึด ‘รัฐประศาสโนบาย’ นั้น หรือจะไม่อภัยโทษให้แก่นักโทษบางประการ เช่น ค้ายาเสพติด, ค้าอาวุธเถื่อน, ค้ามนุษย์ หรือกระทำการเป็นภัยต่อมนุษยชาติ และการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกรณีการพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย เท่าที่ไปสืบค้นดู ก็ยังไม่เคยมีการพระราชทานให้แก่นักโทษคดีทุจริตมาก่อนแต่อย่างใด 

นั่นหมายความว่า หากกรณีของคุณทักษิณ ซึ่งถือเป็นกรณีแรกในการยื่นขอการพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย ภายใต้กลไกที่อาจจะไม่ได้มีความเข้มงวดในพิจารณารายละเอียดมากนัก แล้วได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ก็อาจจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งออกมาติติงว่ากล่าวอย่างแน่นอน หรือหากไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็ต้องมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ออกมาติติงว่ากล่าวเช่นกัน

ฉะนั้น เรื่องนี้มีโอกาสระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทสูงมาก จนอาจจะเข้าข่ายเรื่องมิบังควรเลยก็เป็นได้ เพราะเป็นเรื่องที่ควรจะรู้อยู่แล้วว่าอาจก็ให้เกิดปัญหา จนอาจมีกรณี ‘ทะลุฟ้า’ ได้ แต่ยังกระทำ ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่ทางคุณทักษิณ ต้องระมัดระวังให้ดี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันที่ 1 ก.ย. 66 ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีคำสั่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษลดโทษให้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี ภายใต้เหตุผลเพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน สืบไป 

ตรงนี้ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่า จะมีแรงกระเพื่อมใดจากสังคมดังที่ รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวไว้หรือไม่? และทักษิณ ชินวัตร จะดำเนินสถานภาพภายใต้กรอบความพึงพอใจของประชาชนที่คลางแคลงได้แค่ไหน คงต้องให้เวลาเป็นตัวตัดสิน...

‘ชัยวุฒิ’ อำลา ก.ดิจิทัลฯ ขอบคุณ ‘ลุงตู่-ลุงป้อม’ ที่ให้โอกาส ลั่น!! ถึงแม้จะเป็นแค่คนธรรมดา ก็ขอทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป

(1 ก.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

สวัสดีครับพี่น้องประชาชนทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องขอกราบขอบคุณพรรคพลังประชารัฐ ท่าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างสูง ที่ไว้วางใจให้ผมทำงานเพื่อบ้านเมือง ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกคนที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน เป็นช่วงเวลา 2 ปีที่ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิต 

และในฐานะนักการเมือง ซึ่งผมเริ่มงานการเมืองเป็น สส.สิงห์บุรี มาตั้งเเต่อายุ 29 ปี เเน่นอนครับ ผมจะมาถึงวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน และชาวสิงห์บุรีบ้านของผม ขอขอบคุณที่รักในความเป็นชัยวุฒิ ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่ผมได้เรียนรู้ในบทบาทของผู้บริหารบ้านเมือง สิ่งสำคัญ ไม่ง่าย เพราะเราต้องทำจริง ไม่ใช่เเค่พูด และผมคงไม่สามารถ ทำงานได้หากขาดกลไกของการขับเคลื่อน และความร่วมมือจากทุก ๆ คนที่มาทำงานร่วมกัน

ผมขอขอบคุณ ข้าราชการ พนักงาน ผู้บริหาร ทั้งหน่วยงานองค์กรในสังกัดและนอกสังกัดกระทรวงดีอีเอส อันเป็นที่รัก หลายคนเป็นเหมือน เพื่อน พี่ และผู้ใหญ่ ที่คอยแนะนำช่วยเหลือ ผมดีใจที่ได้ร่วมกันทุ่มเททำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมีความภาคภูมิใจทุกครั้งที่ภารกิจของพวกเราที่ทำร่วมกันประสบความสำเร็จ และนับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ทำงานร่วมกันกับพวกท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เราได้ทำงานร่วมกันมาจะอยู่ในความทรงจำของผมเสมอครับ

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านอีกครั้ง ที่ให้โอกาสผมทำงานรับใช้ ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผมได้รับ และผมจะรักษาไว้ตลอดไป ผมขอฝากรัฐมนตรีดีอีเอสท่านใหม่ เข้ามาเเก้ไขปัญหากลโกงและการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ ต้องรู้เท่าทัน ความเสียหายประชาชนเกิดขึ้นทุกวัน เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ สิ่งนี้คือความหวัง เป็นกำลังใจให้ครับ 

สำหรับผม ภายหลังจากนี้ ผมขอยืนยันว่าไม่ว่าจะมีตำแหน่ง หรือ เป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา ผมก็จะเดินหน้าทำงานเพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top