Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

‘สุวัจน์’ ชี้!! ตำแหน่งผู้นําฝ่ายค้านสำคัญต่อการบริหารบ้านเมือง ย้ำ!! รัฐบาลมีเสถียรภาพ ฝ่ายค้านเข้มแข็ง ประเทศได้ประโยชน์

เมื่อไม่นานนี้ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเคลียร์ ชัด ชัด ช่องเวิร์คพอยท์ 23 ดำเนินรายการโดย ดร.ภูวนาท คุนผลิน เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 โดยมีประเด็นทางการเมืองที่น่าสนใจดังนี้

ปรากฏการณ์ ‘สลายขั้ว’
นายสุวัจน์ มองว่าที่ผ่านมาการแบ่งขั้วทางการเมืองมันแรงมากในประเทศไม่ว่าจะเป็นสี หรือจะเป็นอะไร แต่ละยุคแต่ละสมัย มีการเกิดความรุนแรง มีการสูญเสียเกิดขึ้น และวันนี้เราเห็นสิ่งที่มีอุดมคติว่า ‘จบสลายขั้ว’ สารพัดสีรวมกันได้หมด เพราะการเมืองนําไปสู่การเดดล็อก ทําให้มีการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้

ฉะนั้น พรรคการเมืองที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็คือ พรรคที่เป็นแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล อันนี้เหมือนเป็นราคาที่ต้องสูญเสียหมายความว่าต้องพยายามคลี่คลายวิกฤติในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ยกตัวอย่าง หมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนําท่านเคยบอกไว้ว่าจะไม่จับมือกับคนนั้น ไม่จับมือกับพรรคนี้ แล้ววันนี้ด้วยเหตุจําเป็นทางการเมืองว่าถ้าไม่จับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ พรรคแกนนําไม่สามารถจะรวบรวมเสียงที่นําไปสู่การมีนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลได้ จําเป็นจะต้องไปจับมือ

เมื่อจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ หมอชลน่าน แสดงสปิริตประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว (30 ส.ค. 66) พรรคการเมืองอาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้าง แต่สิ่งที่พี่น้องประชาชนได้รับ คือ การกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ ประเทศชาติเดินหน้า พี่น้องประชาชนมีความสุข

นายสุวัจน์ กล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสม ที่เรียกว่า ‘สลายขั้ว’ รัฐบาลผสม คือ พรรคแกนนําไม่สามารถที่จะกําหนดอะไรได้จะต้องแบ่งกระทรวงให้พรรคนั้นพรรคนี้ ไม่สามารถที่จะเป็นลีดเดอร์ชิพได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และพอแบ่งกระทรวงไปให้พรรคนั้นพรรคนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องภายในของแต่ละพรรคว่าจะไปจัดบุคคลอย่างไร มันเป็นขีดจํากัดของรัฐบาลผสม ซึ่งมันจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้เลยถ้าแลนด์สไลด์ ถ้าเกิดมีพรรคหนึ่งพรรคใดได้เกินครึ่งไปเลยไม่ต้องพึ่งพรรคอื่น แต่เมื่อเป็นรัฐบาลผสมสิ่งที่เห็น คือ เสถียรภาพ และเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองนั้น จะลดลง

บทบาทแกนนำฝ่ายค้านสำคัญอย่างไร?
นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน เป็นตําแหน่งที่สําคัญที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าจะต้องมีผู้นําฝ่ายค้าน และเป็นตําแหน่งโปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญต้องให้ความสําคัญกับตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน เพราะในการบริหารประเทศเมื่อเลือกตั้งมาแล้วก็มีรัฐบาลกับมีฝ่ายค้าน ผู้นํารัฐบาล ก็คือนายกรัฐมนตรี ผู้นําฝ่ายค้าน ก็คือ ตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน

ฉะนั้น ถ้าพรรคที่ได้อันดับหนึ่งของการเป็นฝ่ายค้านไม่รับตําแหน่ง ก็ต้องไปพรรคอันดับสอง พรรคอันดับสามที่จะไปเลือกกันตามที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

แต่ศักยภาพของความเป็นผู้นําฝ่ายค้านถ้าเป็นพรรคใหญ่ก็จะมีน้ำหนัก มีศักยภาพ ถ้าพรรคเล็กเป็นผู้นําฝ่ายค้าน ศักยภาพก็น้อย

“ถ้าตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้าน อยู่กับพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงเยอะๆ จะทําให้การทํางาน มีพลัง เป็นประโยชน์ต่อประเทศ คือ รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ประเทศได้ประโยชน์” นายสุวัจน์ กล่าว

นโยบายเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาล
นายสุวัจน์ กล่าวว่าทําอย่างไรของไม่แพง น้ำมันจะถูกลงได้อย่างไร ไฟฟ้าจะถูกลงได้อย่างไร เพื่อทําให้ต้นเหตุของราคาสินค้าต่างๆ มีราคาลดลง และทําให้ทุกคนมีงานทํา คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ทําอย่างไรนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทําอย่างไรส่งออกดีขึ้น ทําอย่างไรให้เอสเอ็มอีได้กลับมาทํางานกันอีกครั้ง ฉะนั้น ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล คือ จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจกลับมากระเตื้อง

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ เปิดขั้นตอน ‘ทักษิณ’ ขอพระราชทานอภัยโทษ ภายใต้กรอบที่มิควรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

(1 ก.ย. 66) รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 1 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก รศ.ดร.เจษฎ์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

เกี่ยวกับประเด็นการขอพระราชทานอภัยโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ตัวนายทักษิณ หลังเดินทางมาถึงประเทศไทย และได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกรมราชทัณฑ์แบบยังไม่ทันข้ามคืน ก็ถูกส่งตัวไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ และทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า มีสิทธิ์ขอตั้งแต่วันแรกตามกระบวนการกฎหมาย

>> แต่คำถาม คือ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? 
เพราะโดยปกติแล้ว ‘การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป’ ทางกรมราชทัณฑ์ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะถูกกระจายไปตามส่วนงานต่างๆ ของกรมราชทัณฑ์ โดยรายละเอียดต่างๆ จะมีการพิจารณาภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดโดยกรมราชทัณฑ์ ซึ่งจะมีระเบียบว่าด้วยระยะเวลาในการต้องโทษ และระเบียบว่าด้วยระยะเวลาในการชดใช้ หรือชำระตามโทษนั้นแล้ว

สมมตินายทักษิณ ได้รับโทษไปแล้ว 3-4 ปี ตามระเบียบขั้นต่อมา ก็จะไปอยู่ที่ ระเบียบชั้นนักโทษ ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีการได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษที่แตกต่างกันออกไป โดยมี กรมราชทัณฑ์ เป็นผู้รับผิดชอบในกรอบกว้าง ซึ่งท้ายที่สุด กรมราชทัณฑ์ ก็จะนำส่งเรื่องขึ้นมาให้ทางคณะรัฐมนตรีจะทำการพิจารณาตัดสิน จากนั้นจึงส่งต่อไปตามขั้นตอนกระบวนการ

เพียงแต่… ในกรณีที่ไม่ได้เป็นไปตามระบบ หรือมีกลไกอื่น อาทิ ‘การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย’ ในส่วนนี้ ผู้รับผิดชอบในการเสนอ จะเป็น ‘ครอบครัว ญาติ หรือ ตัวของผู้ที่ต้องโทษ’ นั่นเอง โดยจะเสนอผ่านกระบวนการของกรมราชทัณฑ์ เช่น หากต้องจำขังอยู่ที่ไหน ก็ต้องจำขังอยู่ที่นั่น หรือหากไม่ได้ต้องจำขังในเรือนจำ แต่หากต้องจำขังในสถานที่อื่น ก็ต้องยื่นเรื่องผ่านไปยังผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเรือนจำที่จะต้องจำขัง

ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของคุณทักษิณ ที่เดิมทีต้องถูกจำขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่ตอนนี้คุณทักษิณอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ดังนั้น จึงต้องส่งเรื่องผ่านไปยังทางผู้บังคับบัญชาของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากนั้น ผู้บังคับบัญชาจะทำการส่งเรื่องต่อไปตามขั้นตอน จนในที่สุด เรื่องก็จะถูกส่งไปถึงมือรองนายกฯ ที่เป็นผู้ดูแลฝ่ายกฎหมาย และถึงมือของรัฐบาล จนฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพิจารณาหรือทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นประการใด ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ท่าน

เนื่องจากมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ” โดยการใช้พระราชอำนาจในลักษณะนี้ เป็นการใช้พระราชอำนาจผ่านกลไก อันต้องมีผู้ทูลเกล้าฯ และผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ดังนั้น ผู้ทูลเกล้าฯ จึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผู้ต้องโทษนั้นเอง

รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวอีกด้วยว่า กรณี ‘การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย’ จะมีรายละเอียดไม่มากเท่ากับ ‘การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป’ ที่ต้องมีระบบและกระบวนตามขั้นตอนแบบแผนของกรมราชทัณฑ์ เพียงแต่ การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย ผู้ที่เป็นผู้นำเรื่องทูลเกล้าฯ ต้องมีความระมัดระวังมากกว่า เนื่องจากไม่มีระบบที่พิจารณารายละเอียดต่างๆ เชิงลึกอย่างชัดเจน

“อันที่จริงแล้วประเทศที่มีองค์อธิปัตย์ เช่น พระมหากษัตริย์, พระราชินี, สมเด็จพระจักรพรรดิ ทรงเป็นประมุข หรือประเทศที่มีประมุขของรัฐในลักษณะอื่น เช่น ประธานาธิบดี ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยนั้น จะยึด ‘รัฐประศาสโนบาย’ นั้น หรือจะไม่อภัยโทษให้แก่นักโทษบางประการ เช่น ค้ายาเสพติด, ค้าอาวุธเถื่อน, ค้ามนุษย์ หรือกระทำการเป็นภัยต่อมนุษยชาติ และการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกรณีการพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย เท่าที่ไปสืบค้นดู ก็ยังไม่เคยมีการพระราชทานให้แก่นักโทษคดีทุจริตมาก่อนแต่อย่างใด 

นั่นหมายความว่า หากกรณีของคุณทักษิณ ซึ่งถือเป็นกรณีแรกในการยื่นขอการพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย ภายใต้กลไกที่อาจจะไม่ได้มีความเข้มงวดในพิจารณารายละเอียดมากนัก แล้วได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ก็อาจจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งออกมาติติงว่ากล่าวอย่างแน่นอน หรือหากไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็ต้องมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ออกมาติติงว่ากล่าวเช่นกัน

ฉะนั้น เรื่องนี้มีโอกาสระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทสูงมาก จนอาจจะเข้าข่ายเรื่องมิบังควรเลยก็เป็นได้ เพราะเป็นเรื่องที่ควรจะรู้อยู่แล้วว่าอาจก็ให้เกิดปัญหา จนอาจมีกรณี ‘ทะลุฟ้า’ ได้ แต่ยังกระทำ ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่ทางคุณทักษิณ ต้องระมัดระวังให้ดี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันที่ 1 ก.ย. 66 ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีคำสั่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษลดโทษให้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี ภายใต้เหตุผลเพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน สืบไป 

ตรงนี้ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่า จะมีแรงกระเพื่อมใดจากสังคมดังที่ รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวไว้หรือไม่? และทักษิณ ชินวัตร จะดำเนินสถานภาพภายใต้กรอบความพึงพอใจของประชาชนที่คลางแคลงได้แค่ไหน คงต้องให้เวลาเป็นตัวตัดสิน...

‘ชัยวุฒิ’ อำลา ก.ดิจิทัลฯ ขอบคุณ ‘ลุงตู่-ลุงป้อม’ ที่ให้โอกาส ลั่น!! ถึงแม้จะเป็นแค่คนธรรมดา ก็ขอทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป

(1 ก.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

สวัสดีครับพี่น้องประชาชนทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องขอกราบขอบคุณพรรคพลังประชารัฐ ท่าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างสูง ที่ไว้วางใจให้ผมทำงานเพื่อบ้านเมือง ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกคนที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน เป็นช่วงเวลา 2 ปีที่ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิต 

และในฐานะนักการเมือง ซึ่งผมเริ่มงานการเมืองเป็น สส.สิงห์บุรี มาตั้งเเต่อายุ 29 ปี เเน่นอนครับ ผมจะมาถึงวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน และชาวสิงห์บุรีบ้านของผม ขอขอบคุณที่รักในความเป็นชัยวุฒิ ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่ผมได้เรียนรู้ในบทบาทของผู้บริหารบ้านเมือง สิ่งสำคัญ ไม่ง่าย เพราะเราต้องทำจริง ไม่ใช่เเค่พูด และผมคงไม่สามารถ ทำงานได้หากขาดกลไกของการขับเคลื่อน และความร่วมมือจากทุก ๆ คนที่มาทำงานร่วมกัน

ผมขอขอบคุณ ข้าราชการ พนักงาน ผู้บริหาร ทั้งหน่วยงานองค์กรในสังกัดและนอกสังกัดกระทรวงดีอีเอส อันเป็นที่รัก หลายคนเป็นเหมือน เพื่อน พี่ และผู้ใหญ่ ที่คอยแนะนำช่วยเหลือ ผมดีใจที่ได้ร่วมกันทุ่มเททำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมีความภาคภูมิใจทุกครั้งที่ภารกิจของพวกเราที่ทำร่วมกันประสบความสำเร็จ และนับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ทำงานร่วมกันกับพวกท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เราได้ทำงานร่วมกันมาจะอยู่ในความทรงจำของผมเสมอครับ

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านอีกครั้ง ที่ให้โอกาสผมทำงานรับใช้ ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผมได้รับ และผมจะรักษาไว้ตลอดไป ผมขอฝากรัฐมนตรีดีอีเอสท่านใหม่ เข้ามาเเก้ไขปัญหากลโกงและการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ ต้องรู้เท่าทัน ความเสียหายประชาชนเกิดขึ้นทุกวัน เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ สิ่งนี้คือความหวัง เป็นกำลังใจให้ครับ 

สำหรับผม ภายหลังจากนี้ ผมขอยืนยันว่าไม่ว่าจะมีตำแหน่ง หรือ เป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา ผมก็จะเดินหน้าทำงานเพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนต่อไป

‘เศรษฐา’ ชี้!! โครงการพักหนี้เกษตรกรเริ่ม ต.ค.66 ได้ทันที เล็งขยายกรอบดูแลหนี้สินข้าราชการ-ผู้ประสบวิกฤตโควิด

(1 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าถึงการลดค่าไฟว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ตนได้โทรไปหาว่าที่ รมว.พลังงาน วันนี้ก็จะหารือกันอีกครั้ง โดยนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบายพรรคเพื่อไทยและว่าที่เลขาธิการนายกฯ จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ ขอให้รออีกนิด เข้าใจว่าอยากรู้ว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการการพูดคุย ถึงเรื่องงบประมาณ อย่างไรก็ตามวานนี้ ( 31 ส.ค.) ทางประธานสภาอุตสาหกรรม ก็ได้แสดงความกังวลเรื่องลดค่าใช้จ่ายผู้
ประกอบกาาร ทั้งค่าไฟค่าพลังงาน แน่นอนว่าเราให้ความสำคัญสูงสุด และชี้แจงแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

เมื่อถามถึงเรื่องความคืบหน้าการพักหนี้เกษตรกร หลังจากที่ได้คุยกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย แต่เราต้องดูรายละเอียดว่าจะใช้จำนวนเงินเท่าไหร่ และจะเป็นการพักทั้งต้นและดอก หลักการเพื่อให้เกษตรกรมีเวลาไปฟื้นฟู ไปทำมาหากิน ไม่ใช่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องหนี้สิน ซึ่งเบื้องต้นประมาณเดือน ต.ค.สามารถทำได้ โดยตอนนี้ได้ให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารธกส. ไปดูเรื่องการอนุมัติ และประสานกับกระทรวงการคลังด้วย 

ทั้งนี้ เราจะไม่ดูเรื่องหนี้สินแค่เกษตรกร แต่เราจะดูแลเรื่องหนี้สินของประชาชน รวมถึงตำรวจ และหนี้สินในช่วงที่ประสบกับภัยพิบัติโควิด เราจะดูแลให้ครบทุกภาคส่วน ซึ่งการพักหนี้ชั่วคราวเป็นแค่การแบ่งเบาความทุกข์ ฟื้นฟูจิตใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเพิ่มรายได้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น นโยบายของพรรคเพื่อไทยได้มีการคุยกันถึงการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำ 

เมื่อถามว่าสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ออกมาตั้งคำถามว่าการฟรีวีซ่าที่นายกฯ พูดหมายถึงอะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องขอประทานโทษด้วยที่ตนพูดไม่ชัดเจน การฟรีวีซ่าไม่ได้หมายถึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่วีซ่าฟรีหมายถึงไม่ต้องขอวีซ่า หากไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า โดยจะเป็นการยกเว้นขอวีซ่าชั่วคราวในช่วงที่เป็นไฮซีซัน ซึ่งไม่ใช่แค่กระทรวงการต่างประเทศที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ตนได้ดูเรื่องของความมั่นคง และได้มีการคุยกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงการท่าอากาศยานด้วย ซึ่งเราต้องดูทั้งหมดในการที่จะเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการคุยกันหลายเรื่อง และมีการเห็นชอบในหลักการ ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกับว่าที่ รมว.มหาดไทยด้วย ซึ่งท่านก็บอกว่าเห็นด้วยที่จะช่วยกันผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะสามารถทำได้ภายใน 1 ต.ค. นี้

เมื่อถามถึงเรื่องการพัฒนากีฬาในประเทศ รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ในการกำกับการดูแลของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาหลายท่านเพื่อมาพบปะพูดคุยกัน การกีฬาแห่งประเทศไทย ยังมีเรื่องของกองทุนพัฒนากีฬา เข้าใจว่าอีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่ช่วงเอเชียนเกมส์แล้ว หลายสมาคมยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนค้างกันมาเป็นหลายล้าน ตรงนี้ก็ฝากผู้ที่ดูแลด้านกองทุนพัฒนากีฬาด้วย ว่าหากสามารถจ่ายเงินออกมาได้ก็เป็นขวัญกำลังใจให้กับนักกีฬา ที่จะไปแข่งขันในเอเชียนเกมส์ที่ใกล้เข้ามา เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับประเทศชาติ ซึ่งเท่าที่ฟังมาก็มีหลายสมาคมที่เดือดร้อน เมื่อถามว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถูกตัดงบ 150 ล้านบาทจะกระทบการจัดงานโมโตจีพีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตรงนี้น่าเป็นห่วง แต่ต้องมาดูก่อนว่า 150 ล้านบาทที่ตัดไป เอาไปทำอะไร มีทางไหนหรือไม่ที่จะคงไว้ซึ่งกิจกรรมต่างๆ

‘บิ๊กป้อม’ เปิดงาน ‘วันน้ำโลก ปี 66’ วอนคนไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า กำชับทุกภาคส่วน บริหารจัดการน้ำเต็มประสิทธิภาพ-รับมือภัยแล้ง

(1 ก.ย. 66) โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กทม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจัดกิจกรรม ‘ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ’ เนื่องใน ‘วันน้ำโลก ประจำปี 2566’ พร้อมมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เจตนารมย์ของรัฐบาลไทย ที่พร้อมเดินหน้าไปกับประเทศสมาชิก เพื่อยืนยันความร่วมมือ ภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ และไทยพร้อมรับข้อเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงาน และองค์กรด้านน้ำของประเทศสมาชิก เพื่อเพิ่มอัตราเร่งการพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ยังได้ รณรงค์ขอให้ประชาชน และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมบริหารจัดการน้ำ และใช้น้ำอย่างประหยัด เห็นคุณค่าในโอกาสนี้ด้วย

‘เศรษฐา’ ย้ำตรวจคุณสมบัติ รมต.เสร็จ จะนำยื่นทูลเกล้าฯ ทันที กำชับ สส.รับผิดชอบองค์ประชุม ยัน!! พร้อมตอบกระทู้ด้วยตัวเอง

(1 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบกลับคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีแล้วหรือยังว่า “ยังครับ เข้าใจว่าวันนี้น่าจะตอบกลับมา” โดยตนพยายามเร่ง โดยจะตามไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตอนนี้รอเพียงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเท่านั้น และตนไม่อยากให้ไปเน้นที่นายพิชิต ชื่นบาน ว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะดูคนอื่นด้วยเหมือนกันรอให้แน่นอนดีกว่า 

เมื่อถามย้ำว่า หากทุกอย่างเรียบร้อยจะสามารถยื่นทูลเกล้าฯ ได้ในวันนี้เลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ครับ นั่นคือความตั้งใจครับ” เมื่อถามถึงความคืบหน้าการร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาตอนนี้เรียบร้อยแล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังเหลืออีกนิด โดยวันนี้จะมีการพูดคุยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งน่าจะจบได้ด้วยดี”

เมื่อถามถึงกรณีสภาฯ ล่มเมื่อวันที่ 31 ส.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำเสียงข้างมาก จะกำชับพรรคร่วมในการให้ความสำคัญกับสภาฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ความรับผิดชอบต่อสภาฯ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และในการประชุม สส.สัปดาห์หน้า จะพูดคุยเรื่องนี้กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรเกิด”

เมื่อถามว่า เมื่อเป็นนายกฯ แล้วจะเข้าไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเองหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าติดภารกิจอะไรหรือไม่ เพราะอยู่ฝ่ายบริหาร แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อฝ่ายนิติบัญญัติด้วย หากฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อกังวลหรือข้อเป็นห่วง เป็นหน้าที่ของนายกฯ ที่จะต้องเข้าไปตอบ หรือมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยตอบ

เมื่อถามถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาระบุได้รับหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯแล้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังไม่ทราบเรื่อง”

เมื่อถามว่า หากรัฐบาลรักษาการดำเนินการตามขั้นตอนยังไม่เสร็จสิ้น รัฐบาลต่อไปจะดำเนินการอย่างไรต่อ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังไม่ทราบเรื่อง และเรื่องของนายทักษิณถือเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับทางพรรค”

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่อำลาตำแหน่ง นายเศรษฐาจะมีอะไรฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า วันที่ตนไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำเนียบ เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ถามว่าท่านจะไปทำอะไร เพราะเข้าใจว่าท่านชอบตีกอล์ฟ ซึ่งตนได้แนะนำว่าท่านควรไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ซึ่งท่านได้บอกว่า ลูกสาวของท่านทั้งสองคนไปเที่ยวต่างประเทศก็สนุกดี ตนจึงบอกให้ท่านลองให้ลูกสาวพาไปเที่ยวต่างประเทศ ขอให้รักษาสุขภาพให้ดี ไปเที่ยวต่างประเทศก็ขอให้สนุก

เปิดปรากฏการณ์ 'สังคมไทย' เริ่มย้อนไปนึกถึงผลงาน 'ลุงตู่' คุณความดี 9 ปีเริ่มทะลัก พอรู้ลุงต้องพัก ใจมันก็หวิวๆ โหวงๆ

(1 ก.ย.66) จากเฟซบุ๊ก 'Trachoo Kanchanasatitya' โดยนายตราชู กาญจนสถิตย์ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ '10 ข้อคิดของผมกับลุงตู่' ระบุว่า…

1. ผมโล่งอกดีใจที่ลุงจะไม่มีใครด่าลุงแบบไร้หลักการและเหตุผลอีกแล้ว เค้าจะด่าใครต่อไปก็ด่าไป แค่ไม่ด่าลุงแล้วกัน ผมพอใจตรงนี้

2. ใจมันหวิว ๆ โหวง ๆ นิดนึง ที่คนที่เคยรักษาความปลอดภัยให้เราจาก โรค M79 และ เชื้อโควิด จะไม่ดูแลเราแล้ว 

3. ดีใจที่อีกไม่นาน คำว่า เผด็จการ ในสายตาของใครหลาย ๆ คนจะชัดเจนขึ้น เผด็จการไม่ใช่การเป็นทหาร แต่นักการเมืองประชาธิปไตยบางคนอาจเผด็จการมากกว่า

4. ลุงแกล้งโง่เป็น ดีกว่าคนแกล้งฉลาด แต่โง่บรม

5. ลุงทำได้ไง ให้ซาอุดีอาระเบีย มาคืนดีกับไทย ผมทำงานปีแรก คือ ปีที่ซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์กับไทย ไม่มีใครง้อให้คืนดีมาได้ นี่จะเกษียณอยู่แล้ว มีนายกคนนึงทำได้ เราจะต่อยอดไปไกลมาก

6. ลุงทำให้ผมเห็นว่า ลุงไม่โม้ว่าลุงเก่ง ลุงไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่ลุงพร้อมเรียนรู้และฟังทีมงาน แต่ลุงมีการตัดสินใจที่ไม่เข้านอกออกในใคร อะไรดี อะไรไม่ดี ลุงฉลาดที่จะรู้ และตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุด

7. ลุงไม่ทำงานเอาหน้า งานของลุงอาจจะสำเร็จหลังจากลุงลงจากตำแหน่งไปนานแล้ว วันนั้นลุงรู้ว่า คนจะลืมไปแล้วว่าลุงคิดและผลักดัน มีคนจะมาเคลมเครดิต แต่ลุงไม่แคร์ ลุงทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ

8. ลุงไม่ได้เป็นหมอ ลุงไม่ได้เรียนเรื่องการผลิตวัคซีน มีคนเคยคิดว่า ไทยคงได้วัคซีนโควิดน้อยกว่าใคร แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัคซีนเหลือบาน เพราะคนไทยกลัววัคซีนมากกว่า กลัวโควิด…บ้าป่าววะ

9. คนชอบบอกว่า ลุงโง่ ผมก็งงมากว่า ลุงโง่ตรงไหน เอาอะไรมาวัด คนโง่เค้าจะสอบได้คะแนนแบบลุงเหรอ ไอ้คนที่ว่าลุงโง่ กล้ามาทดสอบไอคิวกะลุงไหม (อาจจะกล้า แต่ลุงคงไม่เสียเวลากะคนพวกนี้ ช่างมัน)

10. ลุงตู่เป็นมนุษย์ที่ลงลึก ลงรายละเอียด ติดตามอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกโซเชียล ลุงอ่านเองไหม ผมไม่รู้ แต่เดาได้ว่าลุงสร้างทีมเพื่อทำให้ลุงต้องรู้ ผมว่าลุงรู้ทุกเรื่อง แค่เราไม่รู้ว่าลุงรู้ เท่านั้นแหละ

11. ทองคำเปลวที่ลุงแปะหลังพระ ล้นออกมาแล้วครับ วันนี้ใครหลายคนเห็นทองหลังพระแล้ว ลุงไม่ต้องพูดเองครับ จะมีคนจำนวนมากพูดให้ลุงเอง ลุงอ่านเรื่องดี ๆ ของลุงให้ทันเถอะครับ

12. อ้าว เกินโควตา 10 ข้อแล้วเหรอ กฎนี้ใครคิด กฎผิดฉันไม่ผิด ไปแก้กฎก่อน อยากเขียนอีกสัก 100 ข้อ ยื่นญัตติด่วนเลย

ขออนุญาตใช้คำว่า รักและเคารพ อย่างที่สุดนะครับ

มโนทัศน์การเมือง!! เลือก สส.หลากพรรค มาแข่งกันทำงาน แต่สุดท้ายอาจได้ 'สส.งานศพ-งานบวช-งานแต่ง'

พันพรือล่าว…เมื่อมีคนโพสต์ว่า ต่อไปนี้จะไม่มี สส.นครศรีธรรมราช มีแต่ สส.เขต เขตใครเขตมัน 

....งง !!

สส.เขตก็คือ สส.จังหวัดนครศรีธรรมราช เพียงแต่ว่า จะมีกลไกอะไรมาประสานความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน 4 พรรค...

- ประชาธิปัตย์
- ภูมิใจไทย
- พลังประชารัฐ
- รวมไทยสร้างชาติ

ผมประเมินว่า สส.ทุกวันนี้ ทุกคนหวงเขตตัวเอง กลัวแพ้เลือกตั้งสมัยหน้า จึงทำงานในเขตตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงภาพรวมทั้งจังหวัด หรือภาพรวมทั้งประเทศไทย

เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้เราจึงจะได้เห็น สส.งานศพ, สส.งานบวช, สส.งานแต่ง แต่ไม่มี สส.มานั่งคิดโครงการ คิดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยภาพรวม และก็ไม่รู้จะเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหากับใคร 

...สส.ทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลักใหญ่ !!

สส.บางคนที่ยกมือสวนมติพรรค ก็ไม่ค่อยกล้าออกหน้า ออกชุมชน หลบหน้าหลบตา ตอบชาวบ้าน ตอบนักข่าวยาก ชาวบ้านสมัยนี้เขารู้ข้อมูล รู้ข่าวสาร เขากล้าที่จะโต้ตอบ สส.เหล่านี้จึงเลือกใช้ชีวิตอีกวิถีหนึ่ง จนกว่าจะมีทางออกในวิถีใหม่

สถานการณ์สำหรับนครศรีธรรมราชเมื่อ สส.10 คนมาจาก 4 พรรคการเมือง ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ก็จะต่างคนต่างเดิน ต้องสร้างกลไกในการประสานความร่วมมือ 

กลไกตัวนี้ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่ยกหูโทรศัพท์เชิญมานั่งประชุม แต่เป็นกลไกที่ผลักดัน ขับเคลื่อน ปฏิบัติภารกิจร่วมกัน คือ ทำหน้าที่ในการระดับสมองจากทุกภาคส่วน และนำข้อสรุปไปผลักดัน ขับเคลื่อนให้เกิดมรรค เกิดผลอย่างจริงจัง 

ซึ่งกลไกตัวนี้จะต้องเป็นในรูปคณะกรรมการร่วมที่มีตัวแทนจากทุกฝ่าย แต่ต้องไม่มากเกินไปจนเทอะทะ ต้อง 'จิ๋วแต่แจ๋ว' มีผู้ที่ทรงพลังเข้ามาเป็นตัวแทนในคณะกรรมการ ส่วนการได้มาของคณะกรรมการร่วม เกิดจากการสรรหาของแต่ละภาคส่วนแล้วเสนอตัวมาแต่งตั้งเป็นกรรมการ

ในระยะเริ่มแรกอาจจะงง ๆ ว่า แล้วเมื่อแต่ละภาคส่วนไปคัดสรรได้ตัวมาแล้วจะเสนอใคร ให้ใครแต่งตั้ง ก็ไม่ยาก ให้แต่ละคนที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว มานั่งคุยกันนอกรอบ แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นองค์กร จะใช้ชื่ออะไรก็ตกลงกันในที่ประชุม เลือกประธาน เลือกเลขาธิการขึ้นมา แล้วให้ถือว่าทุกคนที่เข้าร่วมประชุมคือคณะกรรมการ กำหนดบทบาท หน้าที่ให้ชัดเจนแล้วเดินหน้าทำงาน

คำว่า 'ตัวแทนจากทุกภาคส่วน' ก็คือตัวแทนจากทุกสาขาอาชีพ เช่น การเมืองระดับชาติ การเมืองท้องถิ่น ท้องที่ ภาคประชาสังคม ทนายความ นักเคลื่อนไหวทางสังคม เกษตรกร เหล่านี้ เป็นต้น

ถ้าเดินไปอย่างปัจจุบันบ้านเมืองไปยาก และประชาชนจะเสียโอกาสเหมือนเดิม เราเคยคิดกันไม่ใช่เหรอว่า ควรเลือกผู้แทนจากหลายพรรค เพื่อให้แย่งกันทำงาน แต่ผลวันนี้เป็นอย่างไร น่าจะพอเป็นบทเรียน บทสรุปได้ระดับหนึ่งนะ

กระบี่ผู้ครองรัฐ : ตำนานคนดีที่ไม่มีวันตาย

ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตห้าวหาญ" ทำปลายกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตซื่อตรง" ทำคมกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตเที่ยงธรรม" ทำสันกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตภักดี" ทำโกร่งกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตปราดเปรื่อง" ทำด้ามกระบี่

กระบี่วิเศษเล่มนี้ 
พุ่งแทงไร้สิ่งบดบัง
เงื้อชูไร้สิ่งกีดขวาง
ชี้ต่ำล้วนม้วยมลาย
ตวัดไร้ที่ต้านทาน
แทงบนกรีดแหวกหมู่เมฆ
แทงต่ำกรีดแยกแผ่นดิน

เบื้องบนเอาอย่างผืนฟ้า 
ทำตามวิถีสวรรค์
เบื้องล่างเอาอย่างผืนดิน 
ทำตามลำดับฤดูกาล

ใจเมตตาประชาราษฏร์ 
สงบร่มเย็นทั้งสี่ทิศ

เมื่อใช้กระบี่นี้ เฉกเช่นอสนีบาตผ่าฟาดทั่วทุกสารทิศ

ไม่มีผู้ใดไม่เคารพเชื่อฟังบัญชาผู้นำ

"กระบี่ผู้ครองรัฐ" 
สมควรเป็นเช่นนี้

ร้อยหมื่นคนในกองประชา
เคลื่อนไหวดุจคนๆเดียว

น่าเสียดาย บัดนี้
"กระบี่ผู้ครองรัฐ" เล่มนี้
ได้วางลงแล้ว

เหลือไว้แต่ตำนานเล่าขานสืบไป

โดย สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เพลาท้าทาย ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา’ ว่าที่เจ้ากระทรวงอุตสาหกรรม แม้ส้มหล่นใส่จนตีนบวม ก็ต้องสวมหัวใจแกร่งคนคอนสะท้อนกึ๋น

ด้วยความเป็นห่วงยิ่ง ‘ปุ้ย พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ สส. 4 สมัย พรรครวมไทยสร้างชาติ มีอาการป่วยหลังติดโผเป็นรัฐมนตรี ‘เศรษฐา’ ด้วยคนหนึ่ง

ช่วงแรกโผออกมาว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ตอนหลังพลิกมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะภูมิใจไทยต้องการคุมมหาดไทยแบบเบ็ดเสร็จ (เว้นนายเกรียง กัลป์นันท์ จากพรรคเพื่อไทย จังหวัดอุบลราชธานี) โดยมหาดไทยจะมีรัฐมนตรีช่วยถึง 3 คน จึงต้องส่งปุ้ยไปกระทรวงอื่น โควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีกระทรวงอุตสาหกรรม

แต่จริงๆ กระทรวงอุตสาหกรรม พรรครวมไทยสร้างชาติได้วางตัว 1 ‘พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ’ ทายาทของ ‘ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ’ ไว้แล้ว แต่เศรษฐาเป็นคนตัดสินใจเลือกปุ้ย เพราะต้องการคนที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมทำงาน ในขณะที่พิชชารัตน์ยังมีประสบการณ์น้อย

ที่บอกว่า ‘ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ ป่วย เนื่องจากว่า เจอ ‘ส้มหล่น’ ใส่จนเท้าบวม ร้องไห้ขยี้ตา จนตาบวม เพราะได้ตำแหน่งมาอย่างไม่คาดคิด หรือใฝ่ฝันมาก่อนเลย แค่ได้รับเลือกเป็น สส.ก็พอแล้ว

“ถ้าเจอปุ้ย บอกด้วยว่า พี่จะซื้อรองเท้าให้ใหม่” นักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งกล่าวเชิงเย้าหยอก ฝากไปถึงปุ้ย เพราะเท้าบวม ใส่รองเท้าคู่เก่าไม่ได้แล้ว และถ้าเจอกันจะหายาหยอดตาไปฝาก… 5555

กล่าวสำหรับ ‘ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ กับผม โดยส่วนตัวไม่รู้จักกัน เคยคุยกันบ้างสั้นๆ แค่สวัสดีกัน ปุ้ยเป็นคนง่ายๆ เจอใครก็ยกมือไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตน

ปุ้ย พิมพ์ภัทรา เป็นทายาททางการเมืองของ ‘มาโนชญ์ วิชัยกุล’ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย (ผู้จากไป) ปุ้ยเข้ามารับบทบาททางการเมืองแทนต่อ

ตอนเด็กๆ ปุ้ยเข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช และโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเคมีอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สมรสกับนายนิติรักษ์ ดาวลอย มีบุตร 2 คน

สมัยที่แล้ว ปุ้ย พิมพ์ภัทรา นั่งเป็นประธานกรรมาธิการศึกษา ปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่ง ที่ถือว่าเป็นปัญหาที่รุนแรงสำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเล และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ปุ้ย ตัดสินใจทางการเมือง ย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วยความรัก ความเมตตาของคนขนอม-สิชล ปุ้ยก้าวเข้ามาเป็นผู้แทนอีกสมัย และได้รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย

ปุ้ย พิมพ์ภัทรา เข้าสู่เส้นทางทางการเมือง โดยการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.นครศรีธรรมราช ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แทน นายมาโนชญ์ วิชัยกุล ซึ่งวางมือทางการเมือง ในการเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไปปี 2550 และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกเป็น สส.อีกสมัย กระทั่งในปี 2562 ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกเป็น สส.สมัยที่ 3

หลังจากนั้นในช่วงต้นปี 2566 ปุ้ย พิมพ์ภัทรา ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการเลือกตั้ง เป็น สส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ

ถือว่ากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นอีกภารกิจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ในวงการอุตสาหกรรมถือเป็นเครื่องยนต์อีกตัวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

หวังว่า ‘ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ จะไม่สร้างความผิดหวังให้คนไทย คนนครศรีธรรมราช ต้องแต่งตั้งที่ปรึกษาดีๆ สร้างทีมประชาสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง เดินหน้าฝ่าทุกปัญหาไปให้ได้ โอกาสมีแล้วต้องทำให้เต็มที่

‘เท้าบวม-ตาบวม’ แป๊บเดียวก็หาย อย่าได้วิตกกังวลไปเลย ชาวบ้านทุกข์ยาก เดือดร้อนมากกว่าเยอะ

เรื่อง : นายหัวไทร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top