Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

‘เศรษฐา’ เผย จัดคณะรัฐมนตรีใกล้สำเร็จ หวังแถลงกรอบนโยบาย 8 ก.ย.นี้

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีชื่อนายพิชิต ชื่นบาน จะมานั่งตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ และก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสงสัยว่าจะมีชื่อนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นั่งตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายว่า ตนเข้าใจว่าคงได้รับมอบหมายให้ไปทำอย่างอื่น สำหรับนายพิชิตก็อยู่มานานแล้ว และเข้าใจว่าเสร็จ 100% แล้ว จริง ๆ ไม่อยากเปิดเผยชื่อเท่าไหร่ เพราะขณะนี้ตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ 2 วัน

เมื่อถามว่าจะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่อาจไปก้าวล่วง

เมื่อถามว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา วางกรอบแถลงนโยบายไว้ประมาณวันที่ 8 ก.ย.นี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าได้ก็ดี ซึ่งมีการนัดคุยเรื่องนโยบายกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอด โดยในวันที่ 30 ส.ค. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็จะเข้ามา วันนี้จะมีการคุยนโยบายกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วย และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมาคุยนโยบายบางส่วนกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งคิดว่าไม่น่ามีประเด็นอะไร อย่างไรก็ตาม เราได้ร่างนโยบายไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมีการนำของพรรคร่วมรัฐบาลมาเสริม หรือใครก็ตามที่มีนโยบายของพรรคก็สามารถนำมาหล่อหลอมเป็นนโยบายได้

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังหวังว่าพรรคเพื่อไทย จะนำบางนโยบายของพรรคก้าวไกลมาใช้บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า อะไรเป็นประโยชน์กับประเทศชาติเราก็จะพิจารณาหมด

เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนจาก สส.ในพรรคเพื่อไทย ถึงความไม่พอใจเรื่องการแบ่งกระทรวงนายเศรษฐา กล่าวว่า ใจเย็น ๆ นิดหนึ่ง อาจจะมีเซอร์ไพรส์อะไรบ้างนิดหน่อย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ขอให้ดูรายชื่อทั้งหมดและโครงสร้างในการแบ่งงานก่อน พยายามเต็มที่ให้ทุกคนไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่าการประชุม สส.พรรคช่วงเย็นวันนี้ต้องทำความเข้าใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนจะเข้าประชุมด้วย และถ้ามีโอกาสต้องชี้แจง หากมีปัญหาหรือความไม่เข้าใจภายในพรรคกันเอง เราคุยกันในบ้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในพรรคต้องชี้แจง ประนีประนอมกัน

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าโผ ครม.ชุดนี้เทียบไม่ได้กับครม.ชุดเก่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง และต้องให้เกียรติว่าที่รัฐมนตรีทุกท่านด้วย ขอโอกาสและขอให้ดูที่ผลงานเป็นหลัก

‘ฟองสนาน’ โหรดัง น้ำตาซึม!! เล่าถึงนายกฯ ในดวงใจ เผย นายกฯ ท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชัน ‘พันล้าน’ มาแล้ว

(28 ส.ค. 66) ฟองสนาน จามรจันทร์ นักพยากรณ์ชื่อดัง อดีตนักข่าวสายการเมือง และนักจัดรายการวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Fongsanan Chamornchan’ ในหัวข้อ ‘นายกฯ ในดวงใจท่านนี้เคยปฏิเสธคอมมิชชั่นประมาณพันล้านขึ้นมาแล้ว’ มีรายละเอียดดังนี้

‘อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน’ ผู้ดีรัตนโกสิทร์ เคยพูดไว้ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์นานมาแล้วว่า นักการเมืองและข้าราชการต้องไม่รับทั้งคอร์รัปชันและคอมมิชชัน

และแล้ววันหนึ่งที่ห้องโหรเล็กๆ ของแม่หมอที่ตลาดบองมาเช่ ห้องบี 263 ห้องนี้ วันๆ เจอข่าวเต็มไปหมด ทั้งดี-ร้าย… เพราะเป็นศูนย์รวมข่าวซุบซิบจากลูกค้าเพียบ

แต่รู้อะไรมามักจะเงียบ อย่างน้อยก็แค่คุยกันในครอบครัวสามคน พ่อคุณหนุ่ย-ลูกพราวฟอง-แม่หมอ

แต่คราวนี้-ถึงวันลา… คนแม่ขอเป็นลำโพงปากแตกหน่อยว่า…

มีเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าของโปรเจกต์ที่ค่อนข้างจะเข้าท่า ทะลุไปพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้

แต่ท่านปฏิเสธ… ไม่สนคอมมิสชันมหึมาหรือตามน้ำ… เป็นมูลค่าพันล้านขึ้น แล้วโครงการนี้ก็ไปลงประเทศอื่น

คนเล่าแม้จะเสียผลประโยชน์ ก็ยังบอกว่า จะเลือกท่าน

แล้วอย่ามาถามว่าคนเล่าเป็นใคร เพราะจำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช.คณะนี้ อย่าแหยม… ยิ่งหมั่นไส้อยู่

ขอจำแต่คุณงามความดีของคนชื่อ ‘บิ๊กตู่’ … (คนอื่นแม่หมอไม่เรียกบิ๊กหรอกจ้า เพราะโหลมาก)

แม่หมอน้ำตาซึมมาเล่าให้คุณหนุ่ยฟัง เล่าให้พราวฟองฟังเพื่อบอกว่า ทหารเสือท่านนี้ ร้องโฮก ไม่ใช่เอ๋ง

ทหารเสือท่านนี้ขึ้นไปกราบพระบาทในหลวง ร.9 บนสวรรค์ได้เต็มภาคภูมิ

ด้วยรักจากพี่ ที่อกหักเพราะรัก ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’

พี่ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักข่าวการเมือง ที่พอจะอวดท่านนายกฯ ของพี่ได้บ้างนิดหน่อยว่า ทำข่าวมาตลอดชีพ เริ่มจากสยามรัฐ ไม่เคยรับซองขาวค่ะ เพราะคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ+รุ่นพี่สยามรัฐสอนมาดี

ที่เล่าก็เพื่อจะบอกว่า คอมมิชชันที่หากท่านรับกับซองขาว หากพี่จะรับจำนวนต่างกันฟ้ากับเหวเลยเชียวค่ะ

'โย-พงศธร' ผู้สมัคร สส.ระยอง ก้าวไกล แจงเหตุไม่เสียภาษี  อ้าง!! ตอนนี้เริ่มถูกโจมตี เพราะหาเสียงได้สร้างสรรค์

(28 ส.ค. 66) นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือโย ผู้สมัคร สส. เขต 3 จังหวัดระยอง กล่าวถึงประกาศ ของ กกต. ระยอง ที่ตนเองไม่ได้เสียภาษี 3 ปีย้อนหลัง ว่า ตามที่ได้มีประกาศจากทาง กกต. ว่าตนไม่เสียภาษีนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเวลารับสมัครมีการให้กรอกอาชีพของผู้สมัคร สส. จะมีให้แนบ 2 แบบ คือแบบที่เป็นของบุคคลที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี ต้องแสดงเอกสารเสียภาษี 3 ปีย้อนหลัง กับแบบที่สอง บุคคลที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี จะเป็นแบบ สส. 4/7 คือเป็นใบรับรองตัวเองว่ามีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ซึ่งตนใช้แบบที่สองในการยื่น คือมีรายได้ไม่ถึง 220,000 บาทต่อปี ซึ่ง กกต. ก็มีการประกาศรับรองปกติ

เมื่อถามย้ำว่าเป็นเพราะรายได้ไม่ถึงใช่หรือไม่ นายพงศธร กล่าวว่า ใช่ ตนไม่ได้กังวล ถือเป็นกระบวนการตามปกติและมีเอกสารรับรองผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว ไม่กังวลว่าคนจะเข้าใจผิดว่าไม่เสียภาษี หากเรียกไปชี้แจงก็สามารถชี้แจงได้

เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะบอกชาวระยองที่หาเสียงอยู่ขณะนี้หรือไม่ นายพงศธร กล่าวว่า นอกจากเรื่องหาเสียงก็มีข่าวเรื่องของการโจมตีตน ตนเข้าใจว่าเป็นเพราะการเมืองที่พรรคก้าวไกลพยายามทำในเรื่องการหาเสียงเชิงสร้างสรรค์และพูดถึงว่าเราจะทำนโยบายอะไร ดังนั้น ฝ่ายที่โจมตี ตนขอให้พ่อแม่พี่น้องเข้มแข็ง รับฟังข่าวสารอย่างมีวุฒิภาวะ

‘เศรษฐา’ เรียก 8 สายการบิน ร่วมถกรับมือไฮซีซันไตรมาส 4 ปลื้ม!! สายการบินตอบรับฟรีวีซ่า เพิ่ม นทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ

(28 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ 8 สายการบิน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และหาแนวทางแก้ไขด้านการบิน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว โดยมีตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบาย, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่

ด้านตัวแทนของสายการบิน ได้แก่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผอ.ใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผอ.สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน), นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยเวียตเจ็ท, นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย, นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, นายชัยยง รัตนาไพศาลสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด, นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน), นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และนายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สายการบินนกแอร์ จํากัด (มหาชน)

สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการสะท้อนมายังนายกฯ และพรรคเพื่อไทย เช่น
1.) การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างน้อย 20%
2. การเพิ่มศักยภาพเครื่องบินให้ทันกับการปรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น
3.) การเพิ่มโอกาสผลักดันนักท่องเที่ยวในตลาดขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดียให้มากขึ้น
4.) การเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้มีความเหมาะสมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณที่ทุกคนสละเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล วันนี้พรรค พท. เรามาพร้อมกับว่าที่รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ว่าที่เลขานายกฯ ว่าที่ รมว.คมนาคม และว่าที่ รมช.คลัง วันนี้เราพร้อมมาฟังความคิดเห็นจากสายการบินทั้งหมดว่ามีอะไรให้เราช่วยเหลือบ้าง เมื่อถวายสัตย์ฯแล้วจะดำเนินการทันที ซึ่งรัฐบาลพรรค พท.มีความร้อนใจว่าไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ถ้าเราเริ่มทำงานได้ก่อนจะเป็นการแสดงความได้เปรียบ เพื่อให้ภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

นายเศรษฐา กล่าวว่า และขอขอบคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยกันส่งเสริมการทำงานกับรัฐบาล พท.ในการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ทั้งในเรื่องของการบริหารจัดการภายในสนามบิน การเพิ่มเที่ยวบิน การเพิ่มหรือขยายรันเวย์ เป็นต้น

ส่วนข้อเสนอของสายการบินต่างๆ ถือว่าเป็นความร่วมมือที่ดีในการร่วมกันส่งเสริม และสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นเรื่องดีที่ทุกสายการบินให้การตอบรับนโยบาย Free visa ในบางประเทศที่มีศักยภาพ เช่น จีน ซึ่งคาดว่าทุกสายการบินมีความต้องการขยายจำนวนเที่ยวบินรับนักท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลที่นำโดยพรรค พท.มีแผนที่จะไปโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศในปีหน้าในเที่ยวบินที่มีความพร้อม ซึ่งแต่ละสายการบินมีสัญญาณที่ดีว่า หากรัฐบาลสามารถเพิ่มความต้องการนักท่องเที่ยวไทยได้ สายการบินจะมีการแข่งขันกันโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตั๋วโดยสารได้ในราคาที่เหมาะสม

‘ทนายอั๋น’ ร้อง กกต. ปม ‘หมอวรงค์’ อยากเปลี่ยนระบอบ จี้!! ตรวจสอบแบบที่ทำกับ ‘พิธา’ เพื่อยืนยันความเป็นกลาง

(28 ส.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ‘ทนายอั๋น บุรีรัมย์’ พร้อม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ‘ลุงศักดิ์’ คนเสื้อแดง เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบและพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคพรรคไทยภักดี แถลงถึงจุดยืนของพรรคอยากเห็นประเทศเป็นระบอบการปกครองแบบใหม่ ที่อาจจะไปขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ตนเมื่อเห็นการแถลงข่าวของ นพ.วรงค์ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยภักดี เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดย นพ.วรงค์ ได้แถลงในทำนองที่ว่าอยากเห็นประเทศไทยเป็นระบอบใหม่ ไม่เอาแล้วกว่า 91 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับแรกคณะราษฎรจนถึงปัจจุบันพูดว่ามันคือ ‘ตราบาป-มรดกบาป’ ที่คณะราษฎรทิ้งไว้ และบอกว่าประเทศไทยควรเป็นระบอบราชาธิปไตย

ซึ่งตนเองในฐานะนักประชาธิปไตยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเป็นคนรุ่นใหม่ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ เห็นว่าถ้อยที่แถลงเป็นจุดยืนจองพรรคไทยภักดีนั้น ไปขัดกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอาจจะเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองดังกล่าวได้ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ที่ระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายภัทรพงศ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น มายื่นเพื่อให้ กกต.ทำตามมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหรือไม่ ก็ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เอาบรรทัดฐานที่ทำกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคไทยภักดี พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการผู้บริหารพรรค

ทำให้เห็นเลยว่า กกต.ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และทำให้เห็นว่า กกต.ยังเป็นคนกลาง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราที่มายื่นก็อยากเห็นประชาธิปไตยที่มั่งคง ก้าวหน้าเท่าเทียมอารยนานาประเทศ กกต.ควรแสดงให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้เลือกข้าง ไม่ใช่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยมายื่นเรื่องอะไรก็ตีตกไปหมด แล้วไปรับเรื่องแต่ฝ่ายที่เข้างข้างเผด็จการ เรามายื่นเรื้องวันนี้หวังว่าประธาน กกต.จะสั่งการโดยด่วนและนำเรื่องนี้ไปปรากฎกับศาลรัฐธรรมนูญภายในสัปดาห์หน้า

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สื่อยุคใหม่ มักเสนอข่าวด้านเดียว ซ้ำ!! ปิดกั้น ‘พื้นที่ถกเถียง-รับฟังความเห็นต่าง’

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สด ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในปัจจุบัน โดยในช่วงหนึ่ง คุณโบว์ได้กล่าวว่า…

“สิ่งที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจริงๆ ในสื่อหลัก และรู้สึกตกใจมาก ที่เมื่อเปิดไปดูรายการต่างๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองตามช่องโทรทัศน์ หรือทางสื่อหลัก เขาก็เชิญคนเดิมๆ มาออกรายการซ้ำๆ กันทุกช่อง หรือแม้แต่ในช่องเดียวกัน แต่ต่างรายการ เขาก็เชิญมาออกซ้ำอีกก็มี”

คุณโบว์ ได้เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อมีการเลือกข้างค่อนข้างมาก และเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว เขาก็ย่อมอยากให้เราได้ฟังความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ตามที่เขาอยากจะชี้นำเรา เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นไปในเชิงไหน และถ้ามันตรงกับความต้องการที่เขาจะชี้นำ เขาก็จะเชิญคนนั้นมาซ้ำๆ

“ขอยกตัวอย่างหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น ตอนที่มีประเด็นเรื่อง รองฯ อ๋องเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ ซึ่งตรงนี้โบว์เป็นคนเปิดประเด็นในส่วนที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึง คือ ในส่วนของแม่บ้านสภาฯ ซึ่งเป็นแม่บ้านจากบริษัท Outsource พูดในส่วนของเรื่องสภาพแวดล้อมการของแม่บ้าน เรื่องการใช้งบผิดประเภทเพื่อการหาเสียงของพรรคก้าวไกล จนเป็นที่ถูกพูดถึงเยอะ ช่อง Thai PBS ก็ยกทีมมาขอสัมภาษณ์ที่บ้าน ซึ่งโบว์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปอย่างละเอียดในเชิงหลักการทุกอย่าง ปรากฏว่าเทปนั้น ถูกงดออกอากาศ

ในช่วงเวลาเดียวกัน โบว์ก็เปิดดูรายการต่างๆ ในช่อง ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นว่า มีการนำเสนอที่ค่อนข้างเอียงเอนไปในอีกทิศทางหนึ่งเสียมาก และมีการให้พื้นที่กับทางรองฯ อ๋อง ในการอธิบายข้อเท็จจริงมากกว่า ในขณะที่เทปที่โบว์ให้สัมภาษณ์กลับถูกตัดทิ้ง” คุณโบว์ กล่าว

“โบว์คิดว่า ในประเด็นที่มันเป็นข้อถกเถียง และต้องถกเถียงกันด้วยข้อเท็จจริง ว่าถูกหรือผิด ทุกคนก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเลือกข้างแล้ว เราก็จะมีเหตุผลมาซัปพอร์ตความคิดของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญาในสังคม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญหา นั่นคือการไม่เป็นพื้นที่ให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอ แต่กลับใช้วิธีเลือก และคัดกรองความคิดเห็นที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งโบว์คิดว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนในจุดนี้ และเราก็เห็นผลที่ตามว่าเป็นอย่างไร”

“เราจะเห็นว่า คนที่มีความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถที่จะปรับ และเปลี่ยน หรือรับฟังกันได้ เพราะไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอให้รับฟังกัน ก็เลยต้องรับฟังความคิดเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ใครชอบแนวไหน เขาก็จะรับฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้ใครคิดอยู่อย่างไร จะคิดอยู่อย่างนั้น ใครที่ชอบใคร เขาก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ใครเกลียดใคร เขาก็จะเกลียดอยู่แบบนั้น

แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้น คือ ความเกลียดชังเหล่านั้น ถูกยกระดับด้วยการถูกบอกกล่าวซ้ำๆ ย้ำๆ ในประเด็นเดิม ในทิศทางเดิมๆ เมื่อมีการตอกย้ำหนักๆ เข้า ก็ทำให้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในตอนนี้ค่ะ” คุณโบว์ กล่าวทิ้งท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ร่วมประชุม ‘กบฉ.’ ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พื้นที่ จชต. พร้อมกำชับตรวจเข้มโรงงานสารประกอบระเบิด เพื่อลดความเสี่ยง

(28 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 3/2566 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม

โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปรับลดพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาใช้แทน และขอขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส, อำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี, อำเภอเบตง และอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ 20 ก.ย. ถึง 19 ธ.ค. 66 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 73 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ด้วย โดยให้ สมช.เสนอเรื่องไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป

ที่ประชุมรับทราบผลการปฎิบัติงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 วันที่ 20 มิ.ย. ถึง 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มของสถานการณ์ ที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้นตามลำดับ และมีสถิติการก่อเหตุความรุนแรงลดลง สามารถพัฒนาไปสู่การปรับลดพื้นที่ออกจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากขึ้น ทั้งนี้ โดยกำชับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ให้เข้มงวดตรวจสอบโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารประกอบระเบิด พร้อมเร่งรัดการช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานพลุดอกไม้เพลิงระเบิดที่ผ่านมาโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณ คณะกรรมการฯ หน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และกำลังพลทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และกล้าหาญ อย่างน่าภาคภูมิใจ สามารถแก้ปัญหา จชต.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่ผ่านมา และมีสถิติการก่อเหตุฯลดลง ตามลำดับ พร้อมทั้งได้ขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งได้กำชับ สมช. ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการเตรียมความพร้อมแก้ปัญหา จชต.ในระดับนโยบาย ที่ต้องขับเคลื่อนให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน มีความเป็นมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเตรียมรับนโยบายจาก ครม.ชุดใหม่ ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ต่อไป

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ มือเก๋าการเมือง ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ใน ครม.เศรษฐา 1

รู้จัก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่าที่ ‘รมว.คมนาคม’ ครม.เศรษฐา 1 หลังโผทุกกระทรวงเริ่มลงตัว

โผ ครม. ล่าสุด รัฐบาลเศรษฐา 1 ในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าลงตัวเกือบทุกตำแหน่ง ภายหลังการหารือร่วมกันของ 11 พรรคร่วมรัฐบาล และได้จัดสรรตามโควตาของแต่ละพรรคเรียบร้อย อาจมีเพียงบางพรรคที่อาจมีการสลับคน

แต่หนึ่งในโผที่ค่อนข้างแน่นอนคงหนีไม่พ้นกระทรวงเกรด AAA อย่าง ‘กระทรวงคมนาคม’ ที่นักการเมืองรุ่นเก๋า ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ จะหวนคืนนั่งเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม’ อีกครั้ง

THE STATES TIMES จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการเมือง และตำแหน่งต่าง ๆ ที่ ‘สุริยะ’ เคยผ่านมาบนเส้นทางการเมืองกว่า 25 ปี

‘สุริยะ’ ผันตัวเองจากนักธุรกิจ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในสีเสื้อของของพรรคกิจสังคม โดยเริ่มต้นด้วยการที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม - ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ก่อนที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2541 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ 

แต่ทว่าชื่อเสียงของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ’ เริ่มก้าวสู่ทำเนียบนักการเมืองระดับบิ๊กเนม เมื่อปี 2544 หลังจากแท็กทีม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ลาออกจากพรรคกิจสังคม แล้วย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ก่อตั้งพรรคใหม่ในขณะนั้น

ด้วยฐานเสียงของ สส.ภาคเหนือตอนล่างในมือของ ‘สมศักดิ์’ ผนวกกับการมีทุนใหญ่อย่าง ‘สุริยะ’ ทำให้มุ้งการเมืองในชื่อ ‘กลุ่มวังบัวบาน’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นมุ้งใหญ่ที่มีอำนาจการต่อรองสูงขึ้นมาในทันที

แน่นอนว่า ด้วยทุนและอำนาจต่อรองในมือ รวมถึงการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถคุยได้กับทุกก๊กทุกก๊วนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ ‘สุริยะ’ ขยับขึ้นเป็นแกนนำหลักของ พรรคไทยรักไทย ในเวลาไม่นาน มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค และผู้สมัคร สส. ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น พร้อมตามมาด้วยการเป็นเจ้ากระทรวงเกรดเอ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ปี 2544 และปี 2548) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ปี 2545 และปี 2548) เรื่อยมา โดย ‘สมศักดิ์’ ช่วยเหลือผลักดันอยู่เบื้องหลัง

ก่อนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กลุ่มของ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ที่ได้แยกออกมาตั้งกลุ่ม ‘วังน้ำยม’ ถูกลดบทบาทลง โดยตำแหน่งสุดท้ายของ ‘สุริยะ’ ในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย เหลือเพียงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ภายหลังถูกยึดอำนาจปี 2549 ‘สุริยะ’ เก็บตัวเงียบ เนื่องจากโดนพิษการเมืองเล่นงาน ซึ่งถือเป็นรอยด่างในชีวิตการเมือง ทั้งกรณีถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2550 จากคดียุบพรรคไทยรักไทย และถูก คสต. ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระภายในสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTX 9000 ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อปี 2548 แต่ต่อมา ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องไปเมื่อปลายปี 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แต่อย่างที่เราทราบกันดี นักการเมืองไทยที่ครบเครื่องทั้งบารมี ฝีมือ และสามารถประสานได้ทุกทิศ อย่าง ‘สุริยะ’ มักจะ ‘ว่างงาน’ ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ถูกจีบให้มาร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งในปี 2562 และมีส่วนสำคัญในการนำความสำเร็จมาสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบดูแลกระทรวงสำคัญอย่าง ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อีกด้วย ซึ่งหากย้อนดูอดีต จะพบว่า สำหรับพะยี่ห้อ ‘สุริยะ’ แล้ว กระทรวงที่ได้นั่งล้วนแล้วแต่เป็นกระทรวงระดับเกรดเอ และมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชวน พรรคประชาธิปัตย์, รัฐบาลทักษิณ ในนามพรรคไทยรักไทย จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ

และในการเลือกตั้ง ปี 2566 ล่าสุด ‘สุริยะ’ พร้อม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ได้ตัดสินใจโบกมือลาพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกลับเข้าไปร่วมงานการเมืองกับกลุ่มคนคุ้นเคยในสีเสื้อ ‘พรรคเพื่อไทย’ อีกครั้ง

ถึงแม้ว่า จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่บทบาทของ ‘สุริยะ’ ก็ยังคงโดดเด่นเช่นเดิม และเมื่อพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ชื่อของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็เป็นชื่อแรก ๆ ที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 1 ตัวทันที ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกระทรวงไหนเท่านั้น แต่ก็เป็นที่คาดเดาได้ว่าจะต้องเป็นเก้าอี้กระทรวงระดับเกรดเออย่างแน่นอน

และสุดท้าย โผก็ออกมาว่า ‘สุริยะ’ จะได้หวนคืนเก้าอี้ ‘รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม’ อีกคำรบ และแน่นอนว่า มันเป็นการอยู่ถูกที่ถูกเวลา อยู่ถูกพรรค อีกครั้ง และไม่ว่าจะไปอยู่พรรคไหน ก็จะมีโอกาสได้คั่วตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงหลักมาตลอด

ใครที่ว่าแน่ หรืออวดอ้างตนเองเป็นของแท้ในห้วงเพลาใด แต่ดูเหมือน มีแต่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นี่แหละ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ และผู้มากบารมีที่แทบทุกรัฐบาลจะขาดไม่ได้อย่างแท้จริง!!

‘สุชาติ’ อำลาตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ‘ข้าราชการ-ผู้นำแรงงาน’ มอบดอกไม้-ส่งกำลังใจเพียบ

(28 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ และศาลพ่อปู่ชินพรหมมา เนื่องในโอกาสอำลาตำแหน่ง โดยมี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่โถงด้านล่างกระทรวงแรงงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงานเสร็จสิ้นแล้ว นายสุชาติได้รับมอบดอกไม้พร้อมพบปะพูดคุยด้วยความเป็นกันเองกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยแต่ละหน่วยงานต่างมีป้ายข้อความให้กำลังใจ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความผูกพันที่ข้าราชการกระทรวงแรงงานพร้อมใจกันแสดงออกต่อนายสุชาติ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาวบ้านตัวแทนชุมชนแฟลตดินแดง ได้เดินทางเข้ามอบกระเช้าสิ่งของและดอกไม้ให้กำลังใจ เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสุชาติได้นำมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวชุมชนดินแดงได้ก้าวพ้นวิกฤต ขณะเดียวกัน มีผู้นำสหภาพแรงงานต่าง ๆ เดินทางมาร่วมมอบดอกไม้ให้ขอบคุณและให้กำลังใจนายสุชาติ ที่เป็นรัฐมนตรีในดวงใจช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ด้วยมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาลและกระทรวงแรงงานด้วยเช่นกัน ทำให้นายสุชาติถึงกับน้ำตาซึม ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่น้องแรงงานและข้าราชการที่มอบความรักให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการพูดคุยกับกลุ่มข้าราชการกระทรวงแรงงานอาวุโส ต่างประทับใจในตัวนายสุชาติ เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นคนใจดี ถึงลูกถึงคน หัวใจนักเลง และเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในประวัติศาสตร์กระทรวงแรงงานที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ซึ่งปกติจะอยู่เพียงแค่ 1-2 ปี แต่ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา นายสุชาติทำงานจนทำให้กระทรวงแรงงานเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคม

ข้าราชการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) รายหนึ่ง กล่าวว่า ข้าราชการประกันสังคมทุกคนต่างยกย่องชื่นชมนายสุชาติที่ทำงานหนักเพื่อผู้ใช้แรงงานและเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการ

“โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ร่วมหัวจมท้าย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา เพราะขณะนั้นประชาชนทุกข์ทุกร้อนกังวัลใจจากวิกฤติโควิด-19 จนต้องเปิดสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เป็นจุดตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีน และในที่สุด ท่านก็สามารถนำพาข้าราชการให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นมาได้” ข้าราชการรายเดิม กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า อะไรที่เป็นนโยบายที่ดีและเกิดประโยชน์กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานก็อยากให้ได้มีการได้สานต่อ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป และว่า อยากให้มีการผลักดัน พระราชบัญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม 3 ขอ ให้แล้วเสร็จ สร้างโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ มีแววนั่ง ‘รมช.มหาดไทย’ ประสบการณ์ สส. 5 สมัย ความรู้-ความสามารถพร้อม

การเมืองไทยหลังจากที่ได้นายกฯ ชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่ทุกวัน ประชาชนคอการเมืองต่างตั้งหน้าตั้งตารอว่า ‘ใคร’ จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใด และหน้าตาครม. เศรษฐา 1 จะคล้ายคลึงของเดิมหรือเปลี่ยนไปมาน้อยเพียงใด

แน่นอนว่าพรรคการเมืองที่คนให้ความสนใจและจับตาดูก็เป็น ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จะได้เป็นรัฐมนตรีตามโควตาไปยังพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย

-นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
-นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม
-นางพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย  
-นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท มีชื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์

ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โควตารัฐมนตรี 4 ตำแหน่ง เป็นว่าการ 2 ช่วยว่าการ 2 มีปัญหาในการจัดสรรตำแหน่งกันในพรรคอยู่บ้าง อย่างสายใต้ มีหลายคนควรได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้ง ‘วิทยา แก้วภารดัย’ แต่ในช่วงเลือกตั้งได้นับมอบหมายให้ไปดูแลพื้นที่ภาคอิสาน

‘ชุมพล กาญจนะ’ ที่สุราษฎร์ธานีกวาดมาได้ถึง 6 เสียง แต่ในเชิงลึกพบว่า ใน 6 เสียง เป็นสายชุมพลเพียง 3 เสียง อีก 3 เสียงเป็นสายกำนันศักดิ์-พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายกฯ อบจ.สุราษฎร์ธานี ที่จับทีมกันกับ ‘ชุมพล จุลใส’ (ลูกหมี) แห่งเมืองชุมพร และวิสุทธิ์ ธรรมเพชร แห่งเมืองพัทลุง จึงทำให้ชุมพลชวดตำแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับชุมพลอายุมากแล้วด้วย

เก้าอี้รัฐมนตรีจึงถูกสับโยกไปให้ ‘สุพล จุลใส’ (ลูกช้าง) สส.สมัยสอง อดีตนายกฯ อบจ.ชุมพร แต่สุพลขอสละสิทธิ์ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ การเป็นรัฐมนตรีต้องเสียสละ ทุ่มเท จึงไม่เหมาะ ขอสละให้คนอื่นเป็นแทน

หันซ้ายมองขวาก็เห็น ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ ยืนโดนเด่นอยู่ ปุ้ยจึงได้รับการเคาะให้เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยแทนสุพล ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสม เพราะปุ้ยผ่านประสบการณ์มามาก เป็น สส.4 สมัย ย่างเข้าสมัยที่ 5 แล้ว ก็ถือว่าส้มหล่น เป็นคนที่ไม่เคยคาดหวัง ไม่เคยวิ่งเต้นอยากจะเป็นรัฐมนตรี แต่ถึงเวลา บุญนำพา วาสนาส่ง มันก็หล่นมาเอง

ทางด้าน ม.ล.ชโยทิต กฤดากร สส.บัญชีรายชื่อ ที่มีชื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม แต่ล่าสุด ม.ล.ชโยทิต แจ้งไม่ขอรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ พรรคจึงเปลี่ยนชื่อเป็นนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ นั่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมแทน

กล่าวสำหรับพิมพ์ภัทรา เป็นทายาททางการเมืองของมาโนช วิชัยกุล อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย ท่านเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา เมื่อมีชื่อ ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา นั่งเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ในฐานะรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย คนนครศรีธรรมราชก็พากันเฮด้วยความดีใจ นอกจากความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์แล้ว คนนครศรีธรรมราชดีใจว่า สส.10 คน ควรจะได้มีรัฐมนตรีในจังหวัดนครศรีธรรมราชกับเขาบ้าง หลังจากเป็นจังหวัดที่ว่างเว้นรัฐมนตรีมานานกว่า 10 ปี (ไม่นับ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ) ที่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้เป็น สส.นครศรีธรรมราช เป็น สส.บัญชีรายชื่อ และเคยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คนที่ควรได้เป็นรัฐมนตรีในนามพรรครวมไทยสร้างชาติอีกคนคือ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ แต่คราวนี้กลับไม่มีชื่อ ช่วงแรก ๆ มีโผจะไปนั่งช่วยว่าการสาธารณสุข แต่วิทยาเคยนั่งว่าการมาก่อนแล้ว จึงไม่เหมาะที่จะไปนั่งช่วยว่าการ ประกอบกับโควตาที่ได้มาเพียง 4 เก้าอี้ จึงต้องเกลี่ยกันไป อีสาน กลาง กรุงเทพ และใต้ให้เท่า ๆ กัน ไม่เอนเอียงไปทางไหนให้คนกังขา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top