Saturday, 21 June 2025
POLITICS NEWS

'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ยึดมั่น 'หลักการ-มติพรรค' พร้อมเลือดรักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้พ่อ

ก่อนหน้านี้ THE STATES TIMES ได้นำเสนอเรื่องราวและผลงานของ 'สรรเพชญ บุญญามณี' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นดาวจรัสแสง เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทำตัว 'หิวแสง' แต่ผลงานคือเครื่องพิสูจน์ 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น' ไปพอสังเขป

มาในวันนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในบรรดา สส.หน้าใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นดาวเด่น นอกจากสรรเพชญบุญญามณีแล้ว ก็เห็นแสงระยิบระยับในตัวของ 'ร่มธรรม ขำนุรักษ์' สส.เขต 3 พัทลุง อีกคนหนึ่งที่ฉายแสงเจิดจรัส

ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 'ร่มธรรม' ก็ยึดมั่นตามมติพรรค 'โหวตงดออกเสียง' อีกคนหนึ่ง เป็น 1 ใน 6 

"ผมสั่งไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะทำอะไรลงไปคิดให้ดี การกระทำจะเกิดอะไรขึ้น ประชาชนชอบไหม สื่อชอบไหม ทำแล้วต้องหลบหน้าหรือไม่ ทำแล้วต้องแก้ตัวหรือไม่ ผมสั่งไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเลือกตั้ง จึงลงมติงดออกเสียงตามมติพรรค” นริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ผู้เป็นพ่อ อดีต สส.เขต 3 พัทลุง ที่เปิดทางให้ลูกก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง กล่าว

นริศ กล่าวยืนยันว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียงแน่นอน สุณัชชา โล่สถาพรพิพิธ รองโฆษกพรรคก็แถลงข่าวชัดเจน 

"มีท่านชวนขออนุญาตโหวตไม่เห็นชอบ ท่านบัญญัติขอโหวตตามนายชวน ไม่อยากให้นายชวนไปแบบโดดเดี่ยว"

กล่าวสำหรับ 'ร่มธรรม' ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของประชาธิปัตย์ ถ้าพลิกดูประวัติแล้วจะน่าสนใจยิ่ง ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ไปเรียนต่อที่รัสเซีย และหลังจบการศึกษาก็เป็นครูอาสาตระเวนสอนอยู่ในหลายประเทศ

'ร่มธรรม' ได้เลือดพ่อสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อนริศมีภารกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาเขียนหนังสือ 'ร่มธรรม' รับบทเรียนเองในคอลัมน์ 'ร่มไม้ใบบัง' ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เดิมนริศเขียนมานานหลายปี

'ร่มธรรม' ชักชวนเพื่อนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งเพจ Environman นำเสนอเนื้อหาแนวสิ่งแวดล้อม ส่วนบทบาทในสภา ก็ได้เห็นการอภิปราย การชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เช่น การเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม-เท่าเทียม ในทุกพื้นที่ การอภิปรายเกี่ยวกับผลงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และการอภิปราย ตั้งข้อสังเกตผลงานของไทยพีบีเอส เป็นต้น

เท่าที่ติดตามผลงานในรอบ 3 เดือน เมื่อเทียบกับ สส.คนอื่น และเป็น สส.หน้าใหม่ ถือว่ามีผลงานน่าสนใจ และผลงานเจิดจรัสพอ ๆ กับ 'สรรเพชญ บุญญามณี'

เรียกได้ว่า ทั้ง 'สรรเพชญ' และ 'ร่มธรรม' ถือได้ว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพ่อเป็นลมใต้ปีกอยู่ห่าง ๆ

‘ราเมศ’ ออกโรงป้อง หลักการ ‘ชวน’ ไม่ใช่มรดกความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของความถูกผิด-อุดมการณ์พรรค ที่ทุกคนต้องเรียนรู้

(25 ส.ค. 66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงประเด็นมติที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ว่า…

“ต้องยอมรับว่ามีข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงในหลายประเด็น การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนวันที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของนายชวน หลีกภัย ที่ได้แจ้งต่อที่ประชุมและได้บอกเหตุผลว่าเหตุอันใดที่มีความจำเป็นต้องโหวตไม่เห็นชอบ ไม่มีผู้ใดขัดข้อง มติที่ประชุมเป็นไปตามที่โฆษกที่ประชุม สส.คือนางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ได้ออกมาแถลงผลการประชุมคือ ที่ประชุมมีมติให้งดออกเสียง กรณีของนายชวน จึงไม่ใช่การฝ่าฝืนมติที่ประชุมแต่อย่างใด

นายชวนได้อยู่พรรคมานาน เป็นบุคคลที่ยึดมั่นในหลักความถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้อง นายชวนไม่ทำอยู่แล้ว และแนวคิดของนายชวน ในเรื่องการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ท่านได้ต่อสู้มาโดยตลอด ไม่ใช่ความเคียดแค้นส่วนตน แต่เป็นเรื่องความถูกผิด เป็นเรื่องของอุดมการณ์พรรค ประชาชนภาคใต้ยังจดจำการเลือกปฏิบัติกับพี่น้องในภาคใต้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ไม่ได้ยึดกฎหมายบ้านเมือง เหตุการณ์ที่กรือเซะที่ตากใบ การทุจริตโครงการจำนำข้าว เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เห็นว่าอุดมการณ์ในทางการเมือง ความซื่อสัตย์สุจริตการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีกหลายเรื่อง มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นายชวน หลีกภัย คือ ‘เสาหลักของพรรคประชาธิปัตย์’ ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีคนชื่อ ‘ชวน หลีกภัย’ ประชาธิปัตย์ไม่สามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ในวันนี้ และเชื่อว่าทุกคนในพรรคระลึกถึงบุญคุณของนายชวน ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับพรรคตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีใครคิดขับท่านชวนออกจากพรรค วันที่คนของพรรคเพื่อไทยแกล้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ท่านชวน คือคนที่ต่อสู้และต่อสู้ด้วยความยากลำบากจนชนะคดีพรรคไม่ถูกยุบ แนวคิดประสบการณ์ในทางการเมืองคือสิ่งสำคัญที่คนรุ่นหลังมีความจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อนำหลักการที่ดีไปปรับประยุกต์ใช้ในการนำพาพรรควันข้างหน้า เชื่อว่าทุกคนยอมรับว่าการเมืองเปลี่ยนไปมาก แต่พรรคประชาธิปัตย์มีหลักคิดที่ดีมีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เราทุกคนจะทำอย่างไรที่จะซึมซับสิ่งเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้า”

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ขณะนี้ก็ต้องแจ้งพี่น้องประชาชนว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างเต็มที่ ฝ่ายค้านคงไม่ใช่แค่การตรวจสอบอย่างเดียว แต่จะรวมถึงการทำงานในเชิงรุกที่ตนในฐานะโฆษกพรรคได้แถลงไว้ก่อนพรรคอื่น คือจะใช้กลไกของฝ่ายนิติบัญญัติในการผลักดันแก้ปัญหาให้กับประชาชน รวมถึงการยกร่างและการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนในการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่จำต้องมีการสังคายนากฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

‘สมยศ พลายด้วง’ 1 ใน 6 ‘งดออกเสียง’ เลือกเศรษฐานั่งนายกฯ ชาวสงขลาแห่ชื่นชม ‘อุดมการณ์มั่นคง-ยึดถือมติพรรคเป็นหลัก’

‘สมยศ พลายด้วง’ สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ เป็น 1 ใน 6 ที่โหวต ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรคในการรับรอง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี 

หากไล่เรียงดูการลงมติของ สส.พรรคประชาธิปัตย์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

ลงคะแนน ‘ไม่เห็นชอบ’

1.นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ
2.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ

ลงคะแนน ‘งดออกเสียง’ ตามมติพรรค

1.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ 
2.นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา 
3.นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์
4.นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง
5.นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง 
6.นายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา  

สำหรับ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นชอบ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี รวม 16 คน ประกอบด้วย

1.นายกาญจน์ ตั้งปอง
2.นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์
3.นายชัยชนะ เดชเดโช
4.นายชาตรี หล้าพรหม

5.นายเดชอิศม์ ขาวทอง
6.นายทรงศักดิ์ มุสิกอง
7.นายพิทักษ์เดช เดชเดโช
8.ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ
9.นายยูนัยดี วาบา
10.นายวุฒิพงษ์ นามบุตร

11.นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง
12.นายสมบัติ ยะสินธุ์
13.นางสุพัชรี ธรรมเพชร
14.นางสาวสุภาพร กำเนิดผล
15.พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่
16.นางอวยพรศรี เชาวลิต

และล่าสุด นายสมยศ พลายด้วง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “กระผมสมยศ พลายด้วง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ‘งดออกเสียง’

ผมยึดมั่นมติพรรคเป็นหลักครับ ผมเชื่อมั่นและเคารพในอุดมการณ์ของพรรคอย่างแน่วแน่ในการโหวตครั้งนี้ ไม่ว่าคนในพรรคจะโหวตอะไร แต่ตัวผมเองยังยึดถือในการประชุมพรรคที่ผ่านมา เพราะนี้เป็นการเมืองระดับประเทศ พี่น้องชาวเขต 3 และประชาชนทั่วประเทศเขาเห็นด้วย”

เมื่อเข้าไปตรวจเช็กการแสดงความคิดเห็นพบว่า มีคนชาวสงขลาเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงชื่นชมอยู่ไม่น้อย #นายหัวไทร ก็ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า ไลน์ของสมยศ พลายด้วง ก็มีคนชาวสงขลาส่งข้อความไปชื่นชมเป็นจำนวนมาก แต่มีเพื่อน สส.บางคนโทรศัพท์ไปขอให้ลบข้อความ และรูปภาพออกได้หรือไม่ แต่เจ้าตัวยันยืนยันในสิ่งที่ทำและเขียนไป

เมื่อพายุแห่งความขัดแย้งโหมกระหน่ำ ‘ประชาธิปัตย์’ ‘นายกฯ ชาย’ หรือ ‘นายกฯ ชวน’ ใครจะอยู่ ใครจะไป?

(25 ส.ค. 66) ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ แปลความได้ว่า “วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย” เป็นคำที่ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ สส.สงขลา เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ยกขึ้นมากล่าวอ้างกับสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้

สรรเพชญ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เลือดใหม่ของประชาธิปัตย์ ที่ได้รับเลือกเป็น สส.สมัยแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา สรรเพชญ เป็นทายาททางการเมืองของ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลือดใหม่อย่าง ‘สรรเพชญ’ ถือว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” และน่าจะมีพ่อเป็นเทรนเนอร์ที่ดี

3 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นบทบาทของสรรเพชญ ‘ทำหน้าที่ที่ได้รับที’ ในสภาฯ ได้เห็นการอภิปรายสะท้อนปัญหา ปรึกษาหารือในหลายประเด็น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากสี่แยกเกาะยอ การตั้งคำถามเรื่องการก่อสร้างอาคารหอยสังข์ที่คาราคาซังมาเป็นสิบปี

ในพื้นที่ก็เกาะติดมาตลอด 3 เดือน เสร็จภารกิจในสภาฯ ก็เดินหน้างานในพื้นที่ ประเดิมด้วยการเดินสายเจอกงสุลของแต่ละประเทศ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กล่าวได้ว่า เลือดใหม่ประชาธิปัตย์ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ คือ ‘ดาวฤกษ์’ คนหนึ่งที่น่าติดตามผลงาน

ส่วน ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ หรือ ‘วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’ เป็น ‘พุทธสุภาษิต’ ที่ติดอยู่กับโลโก้ประชาธิปัตย์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรค ตั้งแต่ยุค ‘ควง อภัยวงศ์’ ผู้ก่อตั้งพรรค และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และถือเป็นพุทธสุภาษิตที่ชาวประชาธิปัตย์ยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

การที่สรรเพชญ ยก ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ ขึ้นมากล่าวอ้าง ในเวลานี้เหมือนต้องการจะสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ มีใครบางคน บางกลุ่มก้อนไม่รักษา ‘สัจจัง เว อมตะวาจา’ กลับไปกลับมา

สถานการณ์ในประชาธิปัตย์ขัดแย้งชัดเจน ระหว่างขั้วของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รักษาการเลขาธิการ ที่ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว หลังนำพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยินในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยมี ‘นายกฯ ชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ และ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ เป็นแนวร่วมขับเคลื่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่โหวตเห็นชอบให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มนี้จะมี สส.อยู่ในมือ 16 คน ต่อไปนี้จะเรียกว่า ‘กลุ่ม 16’

กลุ่มของชวน หลีกภัย เป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย มี ‘บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-นิพนธ์ บุญญามณี’ เป็นแนวร่วม โดย ชวน-บัญญัติ โหวตไม่เห็นชอบ จุรินทร์โหวตงดออกเสียง และมีสรรเพชญ ที่งดออกเสียงด้วย

กลุ่มของเฉลิมชัยมีความพยายามสูงยิ่งในการขอเข้าร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เทียบเชิญ กลุ่มของเฉลิมชัยถึงขั้นส่งตัวแทนไปพบ ‘ทักษิณ’ ถึงฮ่องกง แต่ได้รับการปฏิเสธ แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนโหวตเพียงไม่กี่นาที ยังมีการพูดคุย-ต่อรอง กลุ่มจะโหวตให้ ไม่ได้ร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นไร แต่จะเป็นอะไหล่ให้ เผื่อพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคงอแง สุดท้ายกลุ่ม 16 ก็พากันโหวตเห็นชอบให้เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีในนาทีสุดท้ายของการโหวต

ส่วนกลุ่มของชวน หลีกภัย ไม่ประสงค์จะนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น เป็นฝ่ายค้านที่มีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างจริงจัง พร้อมสนับสนุน ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค รับบทบาทหนักในการฟื้นฟูพรรคอย่างทุ่มเท ซึ่งถ้าหันซ้ายมองขวาก็ยังหาใครเหนือกว่าอภิสิทธิ์ไม่มี แต่กลุ่มเฉลิมชัยก็เฟ้นหาคนลงแข่ง ก็ไปคว้า ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ มาลงแข่ง หลังจากเข็น ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ ไม่ขึ้น

ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ก่อตัวขึ้นในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทน ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ ที่รับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง จึงลาออกไป เมื่อสองขั้วเชียร์คนละคนกัน และเป้าหมายต่างกันชัดเจน

เกมล้มประชุมถูกกำหนดขึ้น เมื่อมีการประเมินว่าฝ่ายของตัวเองยังไม่มีโอกาสชนะ จากการคุมเสียงของโหวตเตอร์ยังไม่พอ จากจุดอ่อนของข้อบังคับพรรคที่ให้น้ำหนักกับ สส.ปัจจุบันถึง 70% ส่วนโหวตเตอร์อื่นๆ มีน้ำหนักเพียง 30% ในขณะที่กลุ่มของเฉลิมชัย กุมเสียง สส.อยู่มากกว่า 16 คน แต่กลุ่มของนายชวนจะกุมเสียงสาขา ตัวแทนจังหวัด และอื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักแค่ 30% โหวตอย่างไรกลุ่มของนายชวนก็แพ้

การประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ล้มลงแล้วถึงสองครั้ง ซึ่งในการจัดประชุมแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณ 3 ล้านบาท สองครั้งก็ 6 ล้านบาทเข้าไปแล้ว

ปัญหาในพรรคประชาธิปัตย์มาแตกหักเมื่อมีการประชุม สส.เพื่อกำหนดท่าทีในการโหวต มีแค่ 3 แนวทางคือ ‘เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง’ แต่เมื่อพรรควางตัวเป็นฝ่ายค้าน ‘เห็นชอบ’ จึงถูกยกไป มีการแลกเปลี่ยนกันว่าจะไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ‘งดออกเสียง’ แต่ ‘ชวน-บัญญัติ’ ขออนุญาตต่อที่ประชุมว่าจะขอโหวต ‘ไม่เห็นชอบ’

รองโฆษกพรรคแถลงข่าวชัดเจนว่า มติเสียงส่วนใหญ่ให้งดออกเสียง ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กในเวลาต่อมาว่า พรรคมีมติให้งดออกเสียง แต่เมื่อถึงเวลาโหวต มี สส.16 คน ยกมือเห็นชอบ 6 คน งดออเสียง และ 2 คน ไม่เห็นชอบ

เดชอิศม์ ขาวทอง นำทีม 16 สส.แถลงข่าวในวันต่อมา เหมือนกับว่าพรรคไม่ได้มีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อใกล้เวลาโหวต สส.ในกลุ่มก็มานั่งคุยกัน และเห็นร่วมกันว่าจะยกมือเห็นชอบ โดยไม่หวั่นเกรงต่อการถูกขับออกจากพรรค ถ้าถูกตั้งกรรมการสอบ เดชอิศม์ไม่หวั่นเกรง เพราะมีเสียง สส.อยู่ในมือจำนวนมาก กับเสียงที่ต้องใช้ในการขับสมาชิกออกจากพรรค 3/4 น่าจะเพียงพอ แถมตั้งเป็นปุจฉาไว้ด้วยว่า “ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร”

“ไม่รู้ว่าใครจะขับใคร” เป็นหอกที่แหลมคมพุ่งไปยัง ‘ชวน หลีกภัย’ ตรงๆ เลย เพราะชวนเป็นคนออกมาตอกย้ำว่า นายกฯ ชายเป็นคนพูดเองว่า “ใครไม่ปฏิบัติตามมติพรรค ก็ต้องลาออกไป”

ถึงเวลานี้ไม่รู้ว่า กลุ่มนายกฯ ชาย หรือกลุ่มนายกฯ ชวนต้องลาออกไป แต่ที่สำคัญสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ‘สัจจัง เว อมตวาจา : วาจาจริง เป็นสิ่งไม่ตาย’

ชาวเน็ตคอมเมนต์ไอจี ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถาม ‘ทักษิณ’ เป็นนักโทษหรือเทวดา หลังได้สิทธิ์ย้ายไปรักษาตัว รพ.ตำรวจ เจอตอบกลับสั้นๆ แต่เจ็บจี๊ด!!

(25 ส.ค. 66) หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนกลับมารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยถูกนำตัวส่งไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่จากนั้นช่วงกลางดึกนายทักษิณมีอาการแน่นหน้าอก จึงถูกนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ โดยพักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 หอผู้ป่วยรับรองระดับสูง

ก่อนตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่า นายทักษิณอยู่ในเรือนจำเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็อยู่นำตัวออกจากเรือนจำไปรักษาตัวยังโรงพยาบาล โดยกรมราชทัณฑ์ชี้แจงการปฏิบัติเช่นนี้ เป็นไปตามระเบียบ เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีความพร้อมด้านผู้เชี่ยวชาญ และอุปกรณ์การรักษา

ล่าสุดชาวเน็ตหลายคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ในไอจีส่วนตัวของ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ

โดยมีชาวเน็ตคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “นักโทษหรือเทวดาคะ?”

ทำให้อุ๊งอิ๊งตอบกลับโพสต์ดังกล่าวว่า “เทวดาค่ะ”

‘พิธา’ เผย โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ แล้ว ฝากกู้วิกฤตศรัทธา เป็นนายกฯ ของทุกคน

(25 ส.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ หรือ โย ผู้สมัคร สส. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.ระยอง พร้อมทีมงาน ได้เดินทางโดยรถแห่หาเสียง ลงพื้นที่ ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ ‘โย พงศธร’ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมา โดยมีชาวบ้านในพื้นที่แห่ต้อนรับ และ ขอถ่ายเซลฟี่ และ ขอลายเซ็น กับนายพิธา จำนวนมาก โดยไม่กลัวเปียกฝน

นายพิธา กล่าวว่า มาวันนี้ เพื่อมาพบปะกับพี่น้องประชาชน ขอคะแนนให้กับ ‘โย พงศธ’  รับรองจะไม่ผิดหวัง ส่วนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้โทรศัพท์แสดงความยินดี และ ยืนยัน คือ ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ก็ต้องยืนยันว่า วิกฤติของบ้านเมืองครั้งนี้ อาจไม่ใช้วิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่วิกฤตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและวิกฤตการศึกษา แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนในชาติ ในฐานะผู้นำจึงต้องรวมความคิดของคนในชาติให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน โดยได้ยินว่า นายเศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะเป็นนายกฯ ของประชาชน ก็ขออวยพรให้ทำได้ และทำได้จริงๆ

ส่วนเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า จากการจับขั้วหลายขั้วของพรรคการเมือง คิดว่าการทำงานน่าจะยากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ได้เคยพูดคุยกับคุณเศรษฐา ทวีสิน ในเวทีดีเบต พูดถึงการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า โดยหวังว่าจะผลักดันได้จริง ๆ หรือไม่ ยังหวังว่า วิกฤตที่ประเทศ ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไข และก็จะได้กู้วิกฤตศรัทธากลับมาสู่การเมืองไทย

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า ถึงจะเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่ยังมีหลายนโยบายที่สามารถผลักดันได้เพื่อให้ผลประโยชน์อยู่กับประชาชน ยืนยันว่าการทำงานเป็นฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบเพื่อให้รัฐบาลทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และปราบการคอร์รัปชันให้ได้มากที่สุด กรณีที่มีการจดพรรคการเมืองในชื่อ พรรคอนาคตไกล ไม่รู้จัก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เพิ่งได้ยินจากสื่อเช่นกัน

‘เศรษฐา’ นำคณะลงใต้รับฟังปัญหาผู้ประกอบการ หารือเสริมศักยภาพท่าอากาศยาน รับ นทท. ช่วงไฮซีซัน

(25 ส.ค. 66) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังท่าอากาศยาน จ.ภูเก็ต พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานภูเก็ต หารือเรื่องการขยายสนามบินภูเก็ตรองรับนักท่องเที่ยวและเดินตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานภูเก็ต

จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า ตนมารับฟังข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเรื่องการท่องเที่ยว เพราะสนามบินคือจุดแรกที่รับนักท่องเที่ยว อยากรับฟังปัญหาและดูว่าอนาคตอยากจะทำอะไร เพื่อไปร่างนโยบายตอบสนองความต้องการของท่าอากาศยาน รวมถึงเรื่องของนักท่องเที่ยวซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในระยะสั้นคือการท่องเที่ยวที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ต้องมีการรับฟังข้อมูลไปก่อนเพื่อเตรียมที่จะวางแผน ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในประเทศไทยเพียง 30% ขณะที่ประเทศจีนเองเผชิญสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย จึงไม่พยายามที่จะสนับสนุนนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่เราต้องพยายามทำให้ง่ายต่อการเข้ามาในประเทศ

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า สำหรับ จ.ภูเก็ตที่เป็นพื้นที่แรกในการลงพื้นที่นั้นปฏิเสธไม่ได้เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จึงมาดูพื้นที่นี้ก่อน ก่อนจะไปดูพื้นที่อื่นต่อไป และจะมีการพูดคุยเรื่องการขยายท่าอากาศยานทั้งภูเก็ต สุวรรณภูมิ และเชียงใหม่ต่อไป

เมื่อถามว่า เมื่อลงหาเสียงที่ จ.พังงา มีการสอบถามถึงเรื่องการสร้างสนามบิน การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า จะต้องปรึกษาสภาพัฒน์ก่อน เรื่องอยู่ในแม่แบบอยู่แล้ว ให้ติดตามกันต่อไป เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสนามบินภูเก็ตใกล้จะถึงจุดที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดแล้ว

เมื่อถามว่า ในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคเพื่อไทยจะดูแลในเรื่องเศรษฐกิจ ขณะนี้ตำแหน่งต่าง ๆ มีความชัดเจนแล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า มีความเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แต่ขอให้อดใจอีก 3-4 วัน คาดว่าน่าจะจบได้ เพราะต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล เพราะมีหลายพรรค

เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยลงตัวแล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยลงตัวหมดแล้ว

เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เคยยืนยันว่าต้องการกระทรวงเหมือนที่เคยยื่นข้อเสนอไว้ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง

เมื่อถามว่า วันนี้มีการลงมาดูเรื่องการท่องเที่ยว มีการควงว่าที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวมาด้วยหรือไม่ นายเศรษฐายิ้มและหัวเราะ พร้อมปฏิเสธ ตอบแค่ว่า “คำถามต่อไปครับ”

เมื่อถามว่า จะนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คงอยู่ในพรรคเพื่อไทยขอเวลานิดหนึ่ง

เมื่อถามย้ำว่า มีกระแสข่าวระบุว่ารายชื่อ ครม.ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในไม่กี่วันนี้ นายเศรษฐากล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ใช่ครับ”

เมื่อถามต่อว่า ในวันจันทร์หน้าจะสามารถตรวจสอบประวัติได้เลยใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า นั่นเป็นความคาดหวัง หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเราอยากให้มีการนับหนึ่งได้แล้ว แต่ความเป็นจริงนับหนึ่งไปแล้ว เนื่องจากมีการรับสนองพระบรมราชโองการ ต่อไปคงเป็นเรื่องการตรวจสอบรายชื่อ การเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ รวมถึงแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจะได้มีการประชุม ครม.นัดแรก ซึ่งตนอยากให้เร็วที่สุด เพราะเรามีภาระเร่งด่วน และครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เดือดร้อน

เมื่อถามอีกว่าการประชุม ครม.นัดแรกจะมีวาระเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนเดิมใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอรวบรวมทั้งหมดก่อน และจะแถลงให้ทราบ เพราะเป็นหลาย ๆ เรื่องที่เร่งด่วน รวมถึงการรับฟังกรณีภาคประชาชนอย่าง iLaw ที่มีการรวบรวมรายชื่อ

เมื่อถามถึง กรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี วางไทม์ไลน์ว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มทำงานได้ช่วงปลายเดือนกันยายน นายเศรษฐากล่าวว่า จะพยายามครับ ส่วนตัวอยากให้เร็วกว่านั้น เพราะมีหลายเรื่องเร่งด่วน เช่น เรื่องท่องเที่ยว

เมื่อถามว่าในการประชุม ก.ตร. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เลื่อนเคาะตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อรอนายกรัฐมนตรีเป็นคนดำเนินการ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคอยก่อน ให้ผ่านการถวายสัตย์ฯ ก่อน รวมถึงต้องมีการแถลงนโยบาย จากนั้นแล้วแต่ ก.ตร.จะมีการนัดประชุมเมื่อไหร่ และขอบคุณท่านที่ให้เกียรติ

เมื่อถามย้ำว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการควงว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาปฏิเสธที่จะตอบคำถาม บอกว่า “พูดเองเออเอง” ก่อนที่จะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และในช่วงเวลาดังกล่าว น.ส.สุดาวรรณก็ยิ้มหัวเราะชอบใจด้วยเช่นกัน และมีอาการเขินเล็กน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายเศรษฐาได้ถ่ายรูปร่วมกับ น.ส.สุดาวรรณ ที่มีกระแสข่าวจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ นพ.พรหมินทร์ ที่มีกระแสข่าวจะเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และทั้งสองคนก็ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องตำแหน่ง จากนั้นนายเศรษฐากล่าวว่า “ทั้งสองคนอยู่ในการดูแลของผม ถูกห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้”

‘อี้ แทนคุณ’ ฉะ ‘รองอ๋อง’ ทำตัวเป็นเด็ก-ไร้วุฒิภาวะ ‘มารยาท-การแต่งกาย’ ไม่เหมาะนั่ง ‘รอง ปธ.สภาฯ’

(25 ส.ค. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​ กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​ปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา​ รองประธาน​สภา​คนที่​ 1 จากก้าวไกลกระทำตัวไม่เหมาะสมไร้วุฒิภาวะ​หลายครั้ง​จนเป็น​เหตุ​ให้สภากลายเป็น​สภาโจ๊ก จนมี สส. จากพรรคเดียวกัน​ยังล้อ​เล่นตลกตอกย้ำ ความเป็​น ‘ประธาน​สภาหมูกระทะ’ ซึ่งไม่เคยปรากฏ​มาก่อนในประวัติศาสต​ร์ 

ล่าสุดกับการแต่งกายไม่เหมาะสม​จนกลายเป็น​ต้องมีเรื่องให้ สส. ประท้วงและประชาชน​ตำหนิทุกวันและยังปิดปากลิดรอนสิทธิ์​ สส. ในการประท้วงตนเองอีก​โดย​มี​ประชาชน​วิพากษ์วิจารณ์​อย่างกว้างขวาง​ว่าใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ให้​เกียรติ​สถานที่​และสมาชิก​สภาผู้แทนราษฎร​ที่ร่วมประชุม​อยู่ ​ทำเสมือน​เป็น​เด็กเล็ก ๆ เล่นในสนามเด็กเล่น​ จะเล่นอะไรจะทำตัวอย่างไร แต่งตัวขึ้นบนบัลลังก์​อย่างไรก็ได้ พ่วงด้วยคดี ‘โชว์​เชีย​ร์เบียร์’ ที่ผลิตคนละจังหวัดเป็นการทำผิดกฎหมาย​ก็ยังไม่สลด  

โดยเฉพาะ​อย่างยิ่ง​ตอนนี้​สถานการณ์​ชัดเจน​แล้ว​ว่า พรรคก้าวไกล​ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ตามธรรมเนียม​ควรมีสำนึกลาออกจากตำแหน่​งรองประธาน​สภา​ฯ หลีกทางให้พรรครัฐบาล​เป็น​แทนอย่าให้มองว่าไม่รู้เรื่องไม่สนใจ​ธรรมเนียม​ ไม่รู้​กาลเทศะ​อะไรเลย โดยบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ประชาชนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องแค่นี้ยังดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วจะสามารถดูแลประเทศชาติในเรื่องใหญ่กว่านี้ได้อย่างไร 

รวมทั้งอยากจะตั้งคำถามไปยังพรรคก้าวไกลว่านี่คือคนที่ ‘คัดมาอย่างดีที่สุด’ ในการมาดำรงตำแหน่งนี้แล้วใช่ไหม ถึงมีเรื่องให้เป็นที่ครหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน หรือจะรอถลุงเงินหลวงจากภาษีประชาชน​เพื่อโปรโมตตัวเองและพรรคของตัวเองให้หมดก่อนแล้วจึงค่อยลาออก ซึ่งย้อนแย้งกับนโยบายที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศไว้ว่าห้ามใช้เงินหลวงโปรโมตตัวเอง 

เรียกได้ว่าเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ไม่เคยสนใจหลักการจริยธรรม กฎระเบียบบ้านเมือง เป็น​แบบ​อย่างให้เยาวชนตีความ​เสรีภาพผิดจนเกิดความก้าวร้าวรุนแรงกระด้างกระเดื่องต่อกฎหมายบ้านเมืองจนเสียอนาคตไปหลายคน แต่ไม่เคยเห็นความรับผิดชอบใด ๆ ของคนในพรรคนี้เลย ซึ่งทำให้เชื่อว่าหากพรรคนี้อยู่ต่อไปยิ่งนานยิ่งทำให้สังคมมีแต่ถดถอยลง 

อยากเตือนไปถึง ‘หมออ๋อง’ อย่าตะแบงทำผิดไปมากกว่า​นี้​ก่อนที่จะ​ต้อง ‘ให้มันจบที่ คุกเรา’ อีกคน แค่นี้​ขาข้างหนึ่ง​ก็ก้าวเข้าไปรอในเรือนจำแล้วเพราะคดีก่อนหน้านี้ยังไงก็ผิดกฎหมาย​แล้ว ขืนยิ่งอยู่นานยิ่งมีปัญหา​และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหยุดทำเพื่อสนองต่อกิเลสตัณหาและอำนาจของตัวเองก่อนที่จะทำให้ภาพลักษณ์​รัฐสภาไทยแย่ลงไปกว่านี้

‘พิธา’ ลบตำแหน่ง ‘แคนดิเดตนายกฯ ไทย’ ออกจากไอจี พร้อมแชร์คลิปเศร้า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

(25 ส.ค. 66) ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ล่าสุดในอินสตาแกรม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ลบคำว่า ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย 30th Prime minister–designate of Thailand.’ ออกจากโปรไฟล์ของ อินสตาแกรม pita.ig เหลือแค่เพียงคำว่า ‘นักการเมือง’

นอกจากนี้ ยังได้แชร์คลิปจากผู้ใช้ TIKTOK ลงในไอจีสตอรี่ ซึ่งเป็นช่วงที่นายพิธาลงพื้นที่หาเสียงช่วงเลือกตั้ง พร้อมกับมีแคปชันว่า ‘ก้าวไกลไม่มีใครเลย นอกจากประชาชน’

ฉากทัศน์สลายขั้ว 'ก๊กแดง' ผนึก 'ก๊กเสื้อหลากสี' เกมที่ต้องทำ!! สกัด 'ก๊กส้ม' ทลายชาติ-ล้างราชวงศ์

มาถึงตอนนี้ การเมืองไทย ได้ก้าวสู่ยุค 'สามก๊ก' โดยสมบูรณ์ไปเป็นที่เรียบร้อย

1. ก๊กส้ม (151 คือ กก.) ก๊กนี้กำลังห้าว รุกทุกพื้นที่ ก้าวร้าวสุดๆ ไม่ยึดคุณธรรม ทำลายทุกคน 

= วุยก๊ก

2. ก๊กแดง (141+7 = 148 คือ พท. และวันนอร์) ก๊กนี้รุ่นพ่อแม่สร้างให้ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์  

= ง่อก๊ก

3. ก๊กหลากสี (71+40+36+25=172 คือ ภท. พปชร. รทสช. ปชป.) นำโดยก๊กเหลือง ก๊กนี้เรียกว่าแนวอนุรักษ์นิยม ยึดประเพณีบรรพบุรุษ ที่ดีงาม หรือพวกผู้ดีเก่า

= จ๊กก๊ก

***การเมืองไทยในอดีตเป็นยุค 2 ก๊ก แต่ปัจจุบัน เกิดก๊กใหม่เป็น 'ก๊กส้ม' ซึ่งกำลังเติบโตสุด ๆ จนกลายเป็น 3 ก๊กเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นไม่ว่า 2 ก๊กไหนได้จับมือกัน ก๊กนั้นก็จะครอบครองอำนาจได้ทันที

ก๊กส้ม ของ โจโฉ อยากเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงหาพันธมิตรไม่ได้ ไม่มีใครคบ

ในอดีตก๊กแดง ของ ซุนกวน และก๊กหลากสี ของเล่าปี่ ขัดแย้งกันหนักเป็นระยะเวลาร่วม 20 ปี ต้องหันมาจับมือกัน เพื่อต้านทานก๊กส้ม ที่กำลังเติบใหญ่

ยุคสามก๊กปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก บ้านเมืองแตกแยกอย่างหนัก 

ตอน #ยุทธศาสตร์หลงจง

ขงเบ้งตกลงร่วมงานกับเล่าปี่ ช่วยฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น โดยเสนอ #ยุทธศาสตร์หลงจง แก่เล่าปี่ ก่อนลงจากเขาโงลังกั๋ง

สาระคือ เล่าปี่ ต้องครอบครอง ดินแดนเกงจิ๋ว ให้ได้ก่อน แล้วไปเป็นพันธมิตรกับซุนกวนที่ครอบครองดินแดนกังตั๋งได้แล้ว เพื่อต้านทานทัพโจโฉ ที่ขยายอิทธิพลยึดดินแดนทางใต้ ถ้าไม่สามัคคีกัน #เกงจิ๋ว ของเล่าปี่ จะพังพินาศพร้อมกับ #กังตั๋ง ของซุนกวน

หลังจากนั้นสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง สะสมเสบียงให้พร้อม แล้วค่อยรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว อีกรอบ

และกุนซือ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า อย่าเพิ่งทำลายกันเอง เพราะถ้าทำลายกันเอง จะไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานทัพโจโฉ ดังนั้นทั้งสองแม้ไม่ใช่เป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่น แต่ต้องรวมกันยามมีภัย

การเมืองไทยยุคนี้ เกิดเป็น 3 ก๊ก ชัดเจนแล้ว และจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี ทางที่ประเทศชาติจะปลอดภัย ก๊กแดงกับก๊กเสื้อหลากสี ที่นำโดยเหลือง จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกันเพื่อสกัดก๊กส้ม ให้ได้

ถ้าแย่งอำนาจ ทำลายกันเอง อีก 4 ปีข้างหน้า จะถูก ก๊กส้ม กลืนกิน ทำลายหมดทุกก๊ก นอกจากไม่มีดินแดนให้ครอบครองแล้ว จะยังไม่มีที่นั่งในสภาอีกต่อไป  

ที่นี้แหละ ประชาชนทั้งแผ่นดินที่ไม่ใช่ประชาชนของ ก๊กส้มจะถูกทำลายราบจนสิ้นราชวงศ์ฮั่น

เรื่อง: มิสเตอร์เค

คอลัมน์: เล่าเท่าที่รู้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top