Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

จากอดีตผู้พิพากษา สู่ ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ผู้ปิดทองหลังพระ ‘ชนะคดีค่าโง่โฮปเวลล์-ฟื้นฟูการบินไทย’

เปิดประวัติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เจ้าของผลงานเด่น ชนะคดี ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ช่วยคนไทยไม่ต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยกว่าหมื่นล้านบาท

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ชื่อเล่น ‘ตุ๋ย’ เป็นบุตรของ พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์และเจ้ากรมการพลังงานทหาร และโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯ คนแรก ส่วนชีวิตครอบครัว สมรสกับ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม : โทณวณิก) มีบุตรธิดารวมกันทั้งหมด 4 คน

นายพีระพันธุ์ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนเดียวกับ ‘บิ๊กป้อม’ จากนั้น เรียนต่อปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบเนติบัณฑิตไทย ที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จบปริญญาโท กฎหมายอเมริกันทั่วไป (LLM) และเรียนปริญญาโทอีกใบ ด้านกฎหมายเปรียบเทียบ (MCL) ที่มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา

โดย นายพีระพันธุ์ มีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการ ก่อนมาเข้าสู่สนามการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เคยได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.เขต 3 กรุงเทพมหานคร เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นฝ่ายค้าน ในปี 2550 นายพีระพันธุ์ ถูกรับเลือกให้ทำหน้าที่เป็น รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเงา และได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จริงๆ ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551

ขณะที่ผลงานอันโดดเด่น คือ การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปช่วงที่ นายพีระพันธุ์ กำลังเบื่อหน่ายการเมือง และได้โบกมือลาพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพียงไม่ทันข้ามคืนถูกเทียบเชิญเข้าทำเนียบรัฐบาล ขึ้นชั้นเป็น ‘กุนซือ’ ประจำตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

บทบาทตอนนั้น คือ การนั่งตำแหน่งคู่ขนานทั้งฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ คุมชีพจรการเมืองในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ...

...อยู่ในทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร และต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป

หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ เชิดหัวขึ้น ได้ตามที่หลายท่านคงทราบกันแล้ว

ส่วนจุดพลิกผันทางการเมือง เกิดขึ้นเมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์ ทำการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายอภิสิทธิ์ ภายหลังแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังการเลือกตั้งในปี 2562 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ได้ สส.เพียง 52 ที่นั่ง โดยมีแคนดิเดตร่วมท้าชิงคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, นายกรณ์ จาติกวณิช, นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แต่คนที่ได้รับการคัดเลือกคือ ‘นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’

ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562 นายพีระพันธุ์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะมีชื่อถูกแต่งตั้งให้ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 และย้ายสังกัดเข้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก ก่อนจะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท การบินไทย ในปี 2563

จากนั้น ในเดือนเมษายน 2565 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่ในเดือนสิงหาคม 2565 จะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีเป้าหมายคือ จะรวบรวมคนทำงานทั้ง สส.รุ่นใหม่ รุ่นเก่ามารับใช้ประชาชน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2565 ก็มีข่าวว่า สส.พรรคประชาธิปัตย์ลอตใหญ่ เตรียมเลือดไหลย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนก็มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมจะลา ‘บิ๊กป้อม’ เพื่อมาสังกัดกับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้ง 2566 และก็เป็นจริงตามนั้น

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง ‘รัฐบาลสลายขั้ว’ ชี้!! ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ง่ายๆ

(27 ส.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความขัดแย้งทางการเมือง สลายหรือยัง?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23-25 ส.ค.จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆ ของประชาชน พบว่า ร้อยละ 87.63 ระบุว่า ไม่เคยไปร่วมชุมนุมใดๆ กับกลุ่มทางการเมืองเหล่านี้ ร้อยละ 4.35 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 3.13 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) ร้อยละ 3.05 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และร้อยละ 2.82 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม)

ด้านกลุ่มทางการเมืองที่ประชาชนมองว่าตนเองอยู่ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 69.47 ระบุว่า ไม่อยู่ในกลุ่มทางการเมืองใดๆ ร้อยละ 19.85 ระบุว่า กลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม) ร้อยละ 6.64 ระบุว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง)

ร้อยละ 2.59 ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) และร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ ‘สลายขั้ว’ ของพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 36.72 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 20.61 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 20.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 27.02 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 22.29 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 18.25 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทางการเมืองในอนาคต พบว่า ร้อยละ 39.39 ระบุว่า กลุ่มเสื้อส้ม กับ ทุกกลุ่ม (เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.) ร้อยละ 24.89 ระบุว่า ไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอีกต่อไป ร้อยละ 16.56 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 6.72 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อแดง

ร้อยละ 2.44 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง กับ กลุ่ม กปปส. ร้อยละ 2.29 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่ม กปปส. กับ กลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 0.53 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลือง กับ กลุ่ม กปปส. และร้อยละ 10.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘บก.ลายจุด’ โชว์กึ๋นเศรษฐศาสตร์ ชำแหละ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้!! หากแหล่งที่มาคือการสร้างหนี้ จะเกิดเงินเฟ้อ-ข้าวของแพงขึ้น

(27 ส.ค. 66) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ ‘บก.ลายจุด’ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมบัติ บุญงามอนงค์’ ระบุว่า…

เศรษฐศาสตร์ดิจิทัลลวอลเล็ต

- GDP ไทย 2022 อยู่ที่ 19.8 ล้านล้านบาท

- ดิจิทัลวอลเล็ต 540,000 ล้านบาท

- เพื่อไทยบอกว่าที่มาของเงินมาจากการบริหารงบประมาณ ตัดงบส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อมาทำโครงการ ในข้อเท็จจริง การใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหนึ่งที่สำคัญและมีผลต่อ GDP การชักเอาเงินออกจากการใช้จ่ายภาครัฐมาเป็นค่าใช้จ่ายของครัวเรือนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงยังสงสัยว่า กำลังซื้อภาครัฐที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างไร และเมื่อเทียบกับการให้การใช้เงินอยู่ในมือประชาชนจะส่งผลดีกว่าการใช้จ่ายภาครัฐอยู่ที่เท่าใด และเมื่อคำนวณ GDP ก็ต้องไปตัดลดส่วนของค่าใช้จ่ายภาครัฐลงแล้วบวกด้วยค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน

- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ได้รับการอัดฉีดผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อถึงที่สุดแล้วจะส่งผลต่อปัจจัยการนำเข้ามากน้อยเพียงใด เมื่อห่วงโซ่การผลิตและสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนกลายเป็นสภาพแวดล้อมสำคัญในการบริโภคในไทย ทั้งนี้รวมถึงการบริโภคพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตีฟู ที่ต้องกล่าวถึงปัจจัยการนำเข้าเพราะจะมีผลต่อการคำนวณ GDP

- การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนควรต้องพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการผลิตให้เพิ่มประสิทธิภาพและแข่งขันได้ คำถามคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้งบประมาณรัฐสูงขนาดนี้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างไร อันจะเป็นการชี้วัดการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง

- การแจกเงินหมื่นให้ประชาชน หากตกอยู่ในมือประชาชนผู้มีรายได้น้อยพวกเขาย่อมใช้จ่ายเงินนั้นอย่างเต็มที่ในการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะส่งผลอย่างเห็นได้ชัด แต่หากตกอยู่ในมือผู้มีรายได้ระดับหนึ่งที่ไม่มีความเดือดร้อน โอกาสที่ประชาชนเหล่านั้นจะใช้เงินหมื่นนี้ในการลดค่าใช้จ่ายประจำของตนเอง โดยเก็บเงินในบัญชีตนเองไว้แล้วใช้เงินในวอลเล็ตแทน เม็ดเงินดังกล่าวก็จะไม่ก่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและกลายเป็นเงินเก็บในบัญชีของคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามอาจโต้แย้งได้ว่าจำนวนคนที่มีกำลังทางเศรษฐกิจอยู่แล้วมีไม่มากนักเมื่อเทียบคนจนในประเทศ

- สภาวะทางเศรษฐกิจช่วงที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตดำเนินอยู่จะเป็นช่วงกระทิง ผู้คนจับจ่ายใช้สอยกันคึกคัก แต่หลังโครงการจบทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่้ภาวะใกล้เคียงก่อนหน้านั้น จมูกที่พ้นน้ำก็ต้องกลับมาอยู่ในระดับเดิม และอะไรคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะต่อจากนั้นเพราะนี่คือพลังบริโภคเทียม

- เราต้องไม่ลืมว่าไม่มีอะไรฟรี หากแหล่งที่มาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้มาจากการสร้างหนี้ นี่คือการใช้เงินของคนไทยในอนาคต และการลงทุนนั้นมีหลักอยู่ว่าสิ่งที่ลงทุนไปควรได้รับประโยชน์กลับคืนมากกว่าหรือไม่น้อยกว่าที่ลงทุนไป ต่อให้ผู้ชำระเงินเป็นคนไทยในอนาคตก็ตามที และยังมีปัญหาเงินเฟ้อข้าวของแพงขึ้นแล้วจะไม่ลดลงโดยง่ายหลังสินค้าขึ้นราคา

ปล.คุณสามารถตำหนิผมได้ โดยการอธิบายและโต้แย้งหักล้างสิ่งที่ผมอธิบาย

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ว่าที่ รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาลนิด 1 ดีกรีมือศก.ขั้นเทพยุคบิ๊กตู่ ชายผู้ประกาศกร้าว หากทำงานไม่ดีให้มาด่า แต่อย่าด้อยค่าประเทศ

ชื่อของ หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร หรือ ‘หม่อมปืน’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เริ่มปรากฏตามหน้าสื่อมากยิ่งขึ้น

แม้จะใหม่ในสนามการเมือง แต่ในแวดวงธุรกิจแล้ว ชื่อของ ม.ล.ชโยทิต เป็นที่รู้จักกันดี โดยหม่อมหลวงชโยทิต นอกจากจะเป็นผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี-ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเคยผ่านงานตำแหน่งสำคัญในภาคธุรกิจมาแล้วมากมาย เช่น กรรมการ และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) / ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) / กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

โดยผลงานเด่นจากรัฐบาลลุงตู่ของหม่อมปืน คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงของการหาเสียงเลือกครั้งใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ภายใต้แคมเปญที่ติดหูคนไทยทุกคนอย่าง ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ เน้นการสานงานของรัฐบาลเดิม

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่ ‘ม.ล.ชโยทิต’ จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ท่านเคยเข้ามางานให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่พักหนึ่งแล้ว เป้าหมายเพราะอยากเข้ามาช่วยชาติเป็นสำคัญในวันที่วิกฤติเศรษฐกิจและโควิด19 ถาโถม 

ดังนั้นการเมืองครั้งล่าสุดนี้ จึงเปรียบเสมือนลูกติดพันที่ถ้าทำต่อ ก็จะได้เห็นความสำเร็จที่เริ่มไว้ โดยหากประเทศเสียโฟกัส เสียการขับเคลื่อนหรือผลักดันไป ประเทศอื่นจะเอาไป แล้วไทยจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เช่น เสียอุตสาหกรรมอีวีไป หรือเสียอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไป เป็นต้น

ทั้งนี้หากตกผลึกแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ในมุมของหม่อมปืนนั้น จะพบหัวใจสำคัญหลักๆ ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชนที่เปราะบางเป็นเรื่องสำคัญ

“เราช่วยอย่างมีวินัย และพุ่งเป้าตรง และช่วยอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อะไรต่างๆ ที่ช่วยคนยากจน หรือผู้สูงอายุ นโยบายของรวมไทยสร้างชาติ มีครอบคลุมหมด แต่เราช่วยเขา เพื่อให้เขายืนขึ้นได้ และให้เขาปรับเปลี่ยนตัวเองในมิติใหม่ของเศรษฐกิจ เพื่อให้เขาแข็งแรงจริงๆ ไม่ใช่สอนให้เขาเป็นง่อย หรือแบมืออย่างเดียว”

หม่อมปืน เผยอีกด้วยว่า “รัฐบาลลุงตู่ได้แก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีวินัย ไม่ให้มีผลกระทบกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นั่นหมายความว่า คอนเซปต์นโยบายเศรษฐกิจของรวมไทยสร้างชาติ จึงต้องช่วยทำให้มีการมาร่วมกันสร้างชาติให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ไปจิกเงินของใครมาแล้วเอาไปให้คนอื่น หรือกู้มาแจก สิ่งที่เยียวยาเราต้องเยียวยาเพื่อให้คนไทยแข็งแกร่งขึ้น และเราก็หวังว่ามันจะลดน้อยลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น”

ม.ล.ชโยทิต ยังบอกอีกว่า เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปร่วมเป็นรัฐบาล ก็มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งเข้าไปทำไปแก้ปัญหาเช่นเรื่อง 'หนี้ครัวเรือน' ที่ต้องทำให้เสร็จ ทำให้ความไม่เป็นธรรม ได้รับการดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไปปลดโซ่ตรวนตรงนั้นและทำเรื่อง Infrastructure ต่างๆ ของประเทศ / เรื่องพลังงาน อุตสาหกรรมอีวี / Smart Electronics ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จ 

“วันนี้หลายประเทศจ้องจะแย่งจากประเทศไทย หากเราไม่มีเอกภาพ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งบอกว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังนอนอยู่ ต้องกระตุ้นก่อน เราก็จะไปผิดทางได้ เพราะว่าความเป็นจริง เราฟื้นแล้ว รัฐบาลปักธงทุกอย่างไว้แล้ว ตอนนี้ต้องทำให้มันเดิม จะถอยหลังทำไม เรื่องเหล่านี้คือเรื่องเร่งด่วนทั้งสิ้น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม จะแย่งไทยเราอยู่ทุกวัน ในทุกวันนี้”

‘ม.ล.ชโยทิต’ ย้ำด้วยว่า หากคนไทยยังแตกแยกกัน มาเสนอไอเดีย สองขั้ว สามขั้ว จะเดินหน้าไปไม่ได้ และต้องเลิกมาด้อยค่าประเทศ หากมองว่าใครทำเศรษฐกิจย่ำแย่ หรือทำงานได้ไม่ดี ให้มาโทษคนทำ

“ประเทศไทยเรามีดีครับ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เศรษฐกิจเราโตต่อเนื่องตลอด แต่คู่แข่งเราตก เราต้องมีความภาคภูมิใจในประเทศตัวเอง ไม่ใช่มาด้อยค่า ก็รู้ว่าอยากจะมาด่ารัฐบาล แต่ก็โทษคนทำสิ อย่ามาด้อยค่าประเทศ มาคุยกันตรงๆ ผมจะได้ตอบ”

และนี่ก็คือเสียงจาก ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ในยุครัฐบาลนิด 1 ที่คงต้องรอตามดูผลงานกันต่อไป
...................................

ประวัติโดยสรุป
- ชื่อ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ชื่อเล่น ปืน 
- การศึกษา : ปริญญาตรี เกียรตินิยมสาขา Economy History, University of London, UK
- ความเชี่ยวชาญ : บัญชี การเงิน การบริหารจัดการและบริหารธุรกิจ การบริหารหรือกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเศรษฐศาสตร์
- การฝึกอบรม : หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง (วตท.) รุ่นที่ 4 สถาบันวิทยาการตลาดทุน
- การอบรมหลักสูตรกรรมการ : หลักสูตร Corporate Governance for Capital Market Intermediaries (CGI 12/2016) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)

ประสบการณ์ทำงานล่าสุด
- ปี 2565 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ผู้แทนการค้าไทย
- ปี 2564 ที่ปรึกษารองนายกฯ และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน
- ปี 2564 ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
- ปี 2562 – 2563 กรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด

‘เสธฯ หนั่น’ ผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ในแวดวงการเมืองไทย ต้นฉบับการข้ามขั้วครั้งใหญ่ เจ้าของนิยาม “เลี้ยงไม่เชื่อง”

(27 ส.ค. 66) ‘พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์’ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คือผู้สร้างตำนาน ‘งูเห่า’ ขึ้นในวงการการเมืองไทยด้วยการดึง 13 สส.จากพรรคประชากรไทย ของ ‘นายสมัคร สุนทรเวช’ หัวหน้าพรรคประชากรไทย พลิกข้ามขั้วมาสนับสนุน ‘นายชวน หลีกภัย’ เป็นนายกรัฐมนตรี สมัย 2

13 สส.พรรคประชากรไทย จากทั้งหมด 18 คน ที่พลิกขั้วมาสนับสนุนนายชวน ประกอบด้วย นายวัฒนา อัศวเหม, นายพูนผล อัศวเหม, นายสมพร อัศวเหม, นายมั่น พัธโนทัย, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ, นายไกรสิทธิ์ ไกรสิทธิพงศ์, นายประกอบ สังข์โต, นายสำเร็จ อัจฉริยะประสิทธิ์, นายฉลอง เรี่ยวแรง, นายสุชาติ บรรดาศักดิ์, นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์

การถูกหักหลังในครั้งนั้น นายสมัครเปรียบเทียบว่า “เหมือนชาวนากับงูเห่า” เพราะก่อนการเลือกตั้ง นายวัฒนาตกเป็นข่าวมีชื่อในแบล็กลิสต์ ผู้พัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดของทางการสหรัฐอเมริกา จนไม่มีพรรคไหนยอมให้เข้าร่วม เว้นแต่พรรคประชากรไทยของนายสมัคร แต่แล้ว เมื่อนายสมัครยืนยันจะยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาลเดิม กลับมีลูกพรรคแหกมติไปลงคะแนนให้อีกฝ่าย ทิ้งให้หัวหน้าพรรคกลายเป็นฝ่ายค้าน ส่วนพวกตนเองสลับขั้วไปร่วมรัฐบาล “เลี้ยงไม่เชื่อง-ทรยศ-หักหลัง” คือนิยามง่ายๆ ของคำว่า “งูเห่า”

ย้อนกลับไปดูการเมืองในช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมต้องมีงูเห่า

ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาล ‘พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ’ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ค่าเงินบาทถูกโจมตีหนัก รัฐบาลโดยแบงก์ชาติก็นำเงินคงคลังออกมาสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท บางคนอาจจะบอกว่า “ลดค่าเงินบาท”

พล.อ.ชวลิต สุดจะต้านทานกระแส ประกาศลาออกเมื่อ 6 พ.ย. 2540 จึงเกิดการพยายามรวมเสียงเพื่อหานายกรัฐมนตรีคนใหม่

ฝ่ายรัฐบาลเดิมยังคงได้เปรียบ พรรคความหวังใหม่ และอีก 5 พรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันประกาศชู ‘พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ’ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ฝ่ายค้านพยายามรวมเสียงเพื่อชู นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาท้าชิง

เสียงฝั่งรัฐบาลที่ประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคประชากรไทย, พรรคเสรีธรรม และพรรคมวลชน 221 เสียง เหนือกว่า พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทย, พรรคเอกภาพ, พรรคไท และพรรคพลังธรรม ที่ได้ 172 เสียง

แต่พรรคเสรีธรรมและพรรคกิจสังคมเปลี่ยนขั้ว (4+20) ทำให้ช่องว่างกลับมาเฉือนกันแค่คะแนนเดียว อยู่ที่ 197 – 196 แม้เสียงจะปริ่มน้ำสุดๆ แต่มันสมองอันแหลมคมของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองเห็นประเด็นนี้ออก จึงแก้เกมโดยขอแค่แยกสมาชิกพรรคใดมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทั้งพรรค เกมจะเปลี่ยนทันที

พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีอยู่ 18 คน กลายเป็นเป้าหมายของ ‘เสธฯ หนั่น’ เจรจาดึงออกได้ถึง 13 คน แต่ตอนหลัง ‘นายชัยวัฒน์ ศิริภักดิ์’ ได้ลาออกจาก สส.ไป เกมพลิกทันที ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายสนับสนุนนายชวน รวมเสียงได้ 208 – 185

ผลจากการเปลี่ยนขั้วของ สส. 12 คน ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ในคณะรัฐมนตรีของนายชวน ถึง 4 คน คือ นายวัฒนา อัศวเหม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายประกอบ สังข์โต เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

หลังจาก เรื่องราวของงูเห่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้นๆ แต่ที่ยกเรื่องตำนานงูเห่าขึ้นมาเล่า เพียงแต่จะบอกว่า งูเห่าเกิดขึ้นครั้งแรกเป็น สส.ข้างมากของพรรคประชากรไทย 13 คน ไม่ใช่เสียงข้างน้อย หรือจำนวนน้อยถึงจะเรียกว่า “งูเห่า” ซึ่งไม่เป็นความจริง

'เป๊บซี่' เชื่อ!! โผสุดท้าย ครม.นิด 1 'บิ๊กเล็ก' จ่อขึ้นแท่น 'รมว.กลาโหม' ชี้!! เป็นสัญญาณดีจากคนในเรือนจำ 'ยอมถอย-ประนีประนอม'

(26 ส.ค.66) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ 'เป๊ปซี่' ผู้สื่อข่าวอาวุโสด้านการเมืองและความมั่นคงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ลุ้นโผสุดท้าย ครม.เศรษฐา

รมว.กห. ช่วงแรก ลือสะพัดเป็น นกม.จากตระกูล 'คลังแสง'

ก่อนมาจบที่ 'พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์' อดีตรองผบ.ทบ.
หัวแถวจากเตรียมทหาร 20 รุ่นบิ๊กแดง 'อภิรัชต์' 
มือ ยุทธการ-ข่าว และ ความมั่นคง ทบ. 
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณเป็น เลขา สมช.    
สายข่าวความมั่นคงยืนยันมีความเป็นไปได้สูงลิ่ว      .
'บิ๊กเล็ก' คนเคยสนิทใกล้ชิด 'ลุงตู่'
จะมาเป็น รมว.กห. ในโควตาคนนอกของเพื่อไทย 
แต่ยอมให้ลุงจัดหาบุคคลที่เหมาะสมมาช่วยงานความมั่นคง 
หาก 'บิ๊กเล็ก' มาจริงตามที่สายข่าวคาด                
ถือเป็นการส่งสัญญาณจากคนในเรือนจำ
ยอม 'ถอย-ประนีประนอม-ไม่แตกหัก' อย่างที่บางฝ่ายกังวล  

สร้างบรรยากาศชื่นมื่นแจ่มจันทร์สลายความขัดแย้ง
ก่อนเดินหน้าทำงานร่วมกัน !!!

‘เศรษฐา’ ฟิต!! ยกทัพลุย ‘พังงา’ รับฟังผู้ประกอบการ ‘ด้านท่องเที่ยว’ พร้อมผลักดันสร้างสนามบินแห่งใหม่ หวังกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ

(26 ส.ค.66) ที่รร.มอริซี เขาหลัก พังงา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพท. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.พังงา และ นายกฤษ สีฟ้า อดีตผู้สมัครสส.พังงาพรรคพท.โดยผู้ประกอบการได้เสนอให้มีการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ จัดระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ เพื่อรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้จ.พังงาและจังหวัดใกล้เคียง และขอให้รัฐบาลช่วยจัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในช่วงโลซีซัน

จากนั้นนายเศรษฐา กล่าวว่า แปลกใจไม่มีนายกฯ มาถึงจ.พังงาถึง 10 ปี เพราะทราบกันดีว่าพื้นที่โซนนี้เป็นแหล่งรายได้ที่มีอนาคต ทำรายได้ให้ประเทศ พรรคพท.ไม่มีสส.ในพื้นที่ ต้องขอบคุณนายกฤษ รวมถึงนายพร้อมพงษ์ที่ดูแลพื้นที่ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เพื่อไทยไม่มีสส. แต่ตนก็จะมาพื้นที่อีก แม้เราไม่มีสส.แต่เพื่อไทย ไม่ยึดเรื่องการเมืองแต่ยึดคนไทยทั้งประเทศ เราดูองค์รวมการพัฒนาประเทศเป็นหลัก วันนี้เศรษฐกิจตกต่ำมาก เราต้องเพิ่มรายได้ซึ่งการเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน คือเรื่องของการท่องเที่ยว เรารับฟังการสร้างสนามบินใหม่ ขอให้มั่นใจสนามบินใหม่รับเที่ยวบินขนาดใหญ่ได้แน่นอน และโครงการต่างๆ ที่มีการพูดถึงแม้หากดูรายโครงการอาจคุ้มทุนช้า แต่ถ้าดูองค์รวมผลตอบแทนน่าจะคุ้ม หากรัฐบาลพท.ผ่านการถวายสัตย์แล้วจะไม่ดูแยกโปรเจกต์ แต่จะดูองค์รวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่พังงา ภูเก็ต จะไปดูถึงระนอง รวมถึงจะไปดูเรื่องหลังบ้านเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องทำควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ การดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ก็สำคัญเช่นกัน สำหรับการท่องเที่ยวด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะมีการพักอาศัยระยะยาวและมีค่าใช้จ่ายที่ดี แต่ถ้าหลายจังหวัดเปิดพร้อมกันอาจขาดแคลนบุคลากร รัฐบาลก็จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ด้วย สำหรับเรื่องของอีวีบัส ผู้ว่าการท่าฯ ระบุติดต่อได้เลยพร้อมทำได้เลย เรื่องครม.สัญจร อาจแยกเป็นครม.เศรษฐกิจ หรือครม.มั่นคงเป็นกลุ่มเล็กสะดวกมากกว่า ยืนยันว่าจะกลับมาอีก 

จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์หลังพูดคุยกับผู้ประกอบการว่า มีข้อเสนอที่คล้ายคลึงกับจ.ภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน สนามบิน เมื่อถามว่าโอกาสสร้างสนามบินพังงา เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญของพรรคพท.ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น เมื่อถามว่าในระยะสั้นเราจะนำสนามบินเดิมมาปรับปรุงหรือจัดสร้างสนามบินใหม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดก่อน แต่หากจะทำก็อยากให้ดีเลย และเข้าใจว่ามีแผนอยู่แล้ว และมีการกำหนดที่ไว้แล้ว 

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กจะส่งต่องานให้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอบคุณ แต่ตนยังไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตนจะรับไปพิจารณา และมีหลายท่านที่อยู่ในรัฐบาลเดิม ก็จะไปพูดคุยและไปรับฟังงานที่ทำค้างไว้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ทำจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะสามารถต่อยอดไปได้ 

เมื่อถามว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์จะฝากไว้กับรัฐบาลใหม่ พรรคพท.จะสานต่ออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกันว่าในส่วนไหนที่สามารถทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพราะโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยเร็วพอสมควร ซึ่งต้องดูให้ดีก่อน ไม่อยากบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ย้ำว่าขอศึกษาก่อน 

เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ลงตัวขึ้นพร้อมที่จะเสนอชื่อเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใกล้เคียงมาก พยายามเต็มที่ โดยชื่อที่มีการนำเสนอในข่าวถือว่าใกล้เคียง เรามีคณะเจรจาและการเจรจาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยลงรายละเอียดไปถึงรัฐมนตรีช่วยฯ ว่าควบคุมกรมอะไร อยู่ในช่วงการต่อรอง สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือเรื่องของความถนัดของบุคคลที่จะมาดูแลในเรื่องของกรมนั้นๆ ด้วย เพราะเราต้องเอาเรื่องของความเจริญบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรอะไรอย่างเดียว อีกนิดเดียว ขอให้ใจเย็น เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยรอบนี้ ได้กระทรวงมหาดไทยไปคุมภูมิภาคท้องถิ่นทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูไปก่อน ขอดูก่อนว่าจะมีการแบ่งงานกันอย่างไร เพราะต้องมีรัฐมนตรีช่วยด้วย ขอให้ใจเย็นๆ

เมื่อถามว่าผู้แทนการค้าไทยที่ในรัฐบาลเดิมเหมือนจะมีบทบาทน้อย รัฐบาลใหม่จะนำมามีบทบาทอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าโลกเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเอฟทีเอ เรื่องการเปิดตลาดเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเชื้อเชิญนักลงทุนของต่างประเทศเข้ามา เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตามความเข้าใจของตน ผู้แทนการค้าไทยมี 5 คน และสามารถตั้งประธานได้อีก 1 คน จะเป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนาประเทศ ส่วนจะเป็นของพรรคพท.ทั้งหมดเลยหรือไม่นั้น ตรงนี้เราต้องให้เกียรติกันนิดนึง เราต้องดูความเหมาะสมและความสามารถของบุคลากร เมื่อถามว่าที่บอกว่าครม.สัดส่วนของพรรคพท.ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “นิดๆ หน่อยๆ 2-3 ตำแหน่ง” เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของพรรคพท.จะเป็นทีมที่แข็งแกร่งหรือไม่เพราะนายกฯ จะควบตำแหน่งรมว.คลังด้วยตัวเอง นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ ไม่อยากพูด แต่เราพยายามเต็มที่ ในสภาวะที่ค่อนข้างจะลำบากเศรษฐกิจที่มีปัญหา คาดว่ามีความคาดหวังสูง แต่ตนเชื่อว่าคนที่ถูกคัดเลือกตัวมาก็พร้อมที่จะทำงานบนความเหน็ดเหนื่อย 

เมื่อถามว่า รมช.คลังต้องทำงานรู้ใจรัฐมนตรีเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่ต้องทำงานร่วมกันได้ แต่เชื่อว่าทั้ง 11 พรรคที่มาทำงานร่วมกัน เข้าใจถ่องแท้ถึงความต้องการและปัญหาของพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่กระทรวงมหาดไทยที่เดิมมีชื่อของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดมีชื่อเป็นรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ท่านจะเสียใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจ และกระทรวงใหญ่ๆ ตนก็คิดว่ามีการพูดคุยกันแล้ว หลายคนที่เป็นผู้ใหญ่และไม่ใช่แค่พรรคเดียวก็มีความเข้าใจ และชำนาญไม่ใช่แค่กระทรวงเดียว หลายคนผ่านการทำงานมาเยอะ เชื่อว่าเหมาะสมและพร้อม เมื่อถามว่าวันที่ 28 ส.ค.นี้รายชื่อ ครม.จะเรียบร้อยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “หวังว่า” 

เมื่อถามว่ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะใช้ได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ขอดูรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งในวันที่ 28-29 ส.ค. นี้จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพบปะพูดคุยกัน เพื่อจะรวบรวมข้อมูลแล้วจะขอเขียนไทม์ไลน์อีกครั้ง หวังว่าในไตรมาส 1 ปีหน้าจะทำได้ เมื่อถามว่ามีผลสำรวจของศรีปทุมโพลระบุว่าพรรคพท.มีความนิยมลดลงจะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าผลงานอย่างเดียว วันนี้เราทำงานตลอดทุกวัน ทุกคนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ส่วนเรื่องของความคาดหวังของบุคคลอื่นนั้น เราควบคุมไม่ได้ และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจถึงความบอบบางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เราจะต้องเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้

ไม่พลิก!! 'อนุทิน' คุม 'มท.1' ฟาก 'ป๊อด' ผงาด!! อาจมีขบถ ปชป.ซบบ้านป่า ส่วน พท.พร้อมเดินหน้า แต่แอบผวา 'ทักษิณ' ทำความดีละลายหาย

'เลียบการเมือง' สุดสัปดาห์ กับ 'เล็ก เลียบด่วน' สัปดาห์นี้ ขอวิเคราะห์การเมืองกันแบบซุบซิบ...เมาท์มอยดีกว่านะครับ ก่อนจะได้ดูโผ ครม.จริงๆ กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้...

'เล็ก เลียบด่วน' สรุปอีกครั้งว่า... 'เพื่อไทย' ได้เป็นรัฐบาลรอบนี้เพราะมีลุง...มีลุงจึงมีเรา...152 เสียงของสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว.ที่ขานชื่อ "เห็นชอบ" ให้เศรษฐา ทวีสิน นั้น เป็น สว.สายบิ๊กตู่ร่วมๆ 145 คน ดังนั้นจึงชอบแล้วที่ 'เสี่ยนิด เศรษฐา' ไปขอบคุณลุงตู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นวัฒนธรรมใหม่ทางการเมือง...

เอาไปเอามา...ดูเหมือนว่าไฮไลต์การจัดโผ ครม. อยู่ที่เก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม...เมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นคำขาดขอคุม 'คมนาคม' พรรคน้องหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ก็โค้งคำนับทุบโต๊ะบอกว่า "ได้ครับ" แต่ขอแลกกับมหาดไทย...นั่นเป็นที่มาของอนุทินรอบนี้จะนั่งรองนายกฯ ควบ มท.1  

ส่วน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อเจาะกระทรวงพลังงานไม่ได้ ก็มาดูเมกะโปรเจกต์ที่กระทรวงหูกวาง...

กระทรวงหูกวาง หรือ คมนาคมรอบนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ให้จับตามองตำแหน่ง รมช.โควตาพรรคเพื่อไทยให้ดีๆ เขาคือ 'หมอหนุ่ย' นพ.สุรพงษ์ ปิยะโชติ นายก อบจ.กาญจนบุรี สายตรงของเจ้าสัวด้านขนส่งคมนาคม...คนนั้น  

เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 'หมอหนุ่ย' คนเชียงใหม่ แต่เคยเป็น สส.เมืองกาญจน์เมื่อปี 2554 เป็นแม่ทัพบัญชาการการรบ โดยมีเจ้าสัวสนับสนุนยุทธปัจจัยไม่อั้น ทำให้เพื่อไทยกวาด สส.เมืองกาญจน์ได้ 4 เขตจาก 5 เขต...วันนี้เลยได้รับบำเหน็จขึ้นแท่น รมช.แฮปปี้ทั้งเจ้าสัวและหมอหนุ่ยรวมทั้งคนเมืองกาญจน์ฯ...

รายนี้ก็เป็นการตบรางวัล จัดให้ตามที่คุณขอมา...ว่าที่รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬา คนใหม่ ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ออกอาการเคอะเขินระหว่างเดินทางร่วมทริปดูงานด้านการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต-พังงากับ ท่านนายกฯ เศรษฐา...ไม่ใช่ใครอื่น 'สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล' ลูกสาวคนโตของ 'กำนันป้อ' วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เสี่ยแป้งมันคนโตแห่งโคราชนั่นเอง...

เลือกตั้งรอบนี้ กำนันป้อ จับมือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กวาดสส.โคราชเกือบเกลี้ยง...เพื่อไทยเลยจัดให้สองเก้าอี้...ประเสริฐว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม...กำนันป้อส่งคุณหนูสุดาวรรณคุมท่องเที่ยวฯ ยินดีด้วยนะครับ

สื่อมวลชนบางสำนักเขียนถึง 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า...อกหักพักบ้านป่า...ซึ่ง 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรผิดหรอกที่เขียนน่ะ แต่อย่าซ้ำเติมท่านนักเลย แค่เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 จปร.17 หลายคนแหกโผไปยกมือโหวตให้ 'เศรษฐา' ทั้งๆ ที่ตกลงกันว่าจะงดออกเสียงก็ชีช้ำพอแล้ว...โดยเฉพาะรายของ 'บิ๊กกี่' พล.อ.นพดล อินทปัญญา...เพื่อนเลิฟลุงป้อม งานนี้สนับสนุนนายกฯ เพื่อไทยเต็มลำ ทำไงได้ล่ะ...ก็สุดที่เลิฟของ 'บิ๊กกี่' เป็น สส.อยู่ที่พรรคเพื่อไทยนี่นา…

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไปก็คงอยู่ภายใต้การคอนโทรลของน้องชายบิ๊กป้อม คือ 'บิ๊กป๊อด' พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ว่าที่รองนายกฯ / รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...อนาคตพรรค พปชร.แม้จะดูเทาๆ มัวๆ แต่อาจจะอยู่ยืนยาวกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ...ดีไม่ดีว่ากันว่าหากในอนาคตกลุ่ม 16 แห่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกขับหรือขับตัวเอง อาจจะมาซุกกายอยู่บ้านป่ารอยต่อใน พ.ศ.ใหม่ก็เป็นไปได้...ไม่เชื่อลองไปถามเดชอิศม์ ขาวทอง

และสุดท้าย...ท้ายสุด เหนือการควบคุมของ นายกฯ เศรษฐา...แต่จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลเศรษฐา...แฟนคลับพรรคเพื่อไทยฝาก 'เล็ก เลียบด่วน' กระซิบกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ว่า หากพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตรไม่บริหารให้อยู่ในความพอดีของความเป็นนักโทษ...ต่อให้รัฐบาลสร้างผลงานดีแค่ไหนก็จะละลายหายไปกับความเสื่อมศรัทธาที่จะเกิดขึ้น...

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีในระดับพอสมควรแล้ว คนไทยให้อภัยและชื่นชมที่ทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะทำลายโอกาสดีๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะได้ฟื้นตัว มีพลังสู้กับพรรคก้าวไกลและปัญหาของชาติ 

ก็ช่วยไม่ได้...เอวัง!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘อั้ม เนโกะ’ ซัด!! ด้อมส้ม แต่งนิยายดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทยชี้!! ‘ก้าวไกล’ ปิ๋วตั้งรัฐบาล เพราะตัวเองไม่มีเสียงมากพอ

เมื่อไม่นานนี้ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ ‘อั้ม เนโกะ’ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Aum Neko’ โดยช่วงหนึ่ง ‘อั้ม เนโกะ’ ได้อธิบายถึงปมดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทย ว่า ทักษิณพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกมาตั้งนานแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่เคยทอดทิ้งหรือลืมคนที่ลี้ภัยเลย พร้อมทั้งบอกสาเหตุที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะไม่มีเสียงที่มากพอ โดยระบุว่า…

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล ดีลในเรื่องที่ว่าหักหลังพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะว่าในหนังสือดาราหรือหนังสือแต่งนิยายดารา เขาบอกว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคุณทักษิณจะไม่สามารถกลับไทยได้ อยากจะขําเป็นภาษาแมว พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้ง ในขณะสิบปีที่ผ่านมาที่อั้มต่อสู้ คนที่อยู่ในพรรคส้มไม่เคยอยู่เคียงข้างอั้ม”

“คุณทักษิณบอกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกอะไรยังไงก็ว่ากันไป แต่ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ เขาเห็นดีเห็นแดงกับคนที่ลี้ภัยอย่างพวกเราไหม? อั้มขอยืนยันตรงนี้ว่า คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมคนที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ… คุณคิดได้ยังไงว่าเขาต้องกันซีนพรรคก้าวไกล ไม่ให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อที่ทักษิณจะได้กลับบ้านได้ ขอด่าดัง ๆ คุณดูความจริงก่อน”

“ความจริงมันคืออะไร? คือรัฐบาลของพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งได้เลย เพราะคุณไม่มีเสียงมากพอในสภาฯ คุณมี 151 เสียง ไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเสียงพรรคอื่น หรือพึ่งเสียง สว. แล้วคุณโกหกต่อสาธารณชนบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เสียงของเราพอแล้ว นั่นคือ ‘คุณโกหก’ จริง ๆ คุณจัดตั้งไม่ได้ ทุกคนเห็น โลกเห็น แฟนคลับเห็น ว่าคุณจัดตั้งไม่ได้ แล้วคุณเองก็ไปโทรศัพท์คุยกับพรรคที่เป็นพรรคฝั่งรัฐบาลเผด็จการที่คุณด่า ทุกพรรคคุณไปคุย คุณไม่ได้เอามาคุยหน้าไมค์ด้วยซ้ำ แล้วคุณบอกว่าคุณดีเลิศ ประเสริฐศรี สามารถจัดตั้งได้ เพราะคุณคิดว่าเขาจะยกมือให้คุณ สรุปคือ คุณโกหกต่อสังคม แต่ประชาชนก็ปล่อยผ่าน เพราะว่านี่คือพรรคก้าวไกล…”

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล และหักหลังพรรคก้าวไกล ถ้าคุณทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะถลกหนังตลบหน้าพรรคก้าวไกลเหมือนแมวข่วนหน้า นั่นแปลว่า เขาก็ไม่ต้องมานั่งยกมือ ไม่มานั่งโหวตให้คุณ ไม่ต้องมาอะไร แต่เขาพร้อมโหวตให้ตั้งแต่คุณยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จําได้ว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. เข้ามาในสภาฯ คุณไม่ใช่เป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่งนะ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่เขายอมที่จะยกมือขานชื่อของ ‘คุณธนาธร’ ให้ทั้งพรรค ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้”

“ถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลของคุณสามารถไปรวบรวมคนมาได้ สามารถที่จะจัดตั้งได้ พรรคเพื่อไทยเขาก็ยังจะยกมือให้คุณ ทุกวันนี้ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกล คุณกลับมาจับมือพรรคเพื่อไทยได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมยกมือให้คุณ แต่ประเด็นคือคุณไม่มีความสามารถในการหาเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ และของฝั่ง สว. รวมกันให้มากพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณจัดตั้งไม่ได้ คุณบอกว่าคุณประกาศเองเลยว่า ขอส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย แล้ว พอคุณส่งไม้ต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยเขาก็ทําทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยไปกันซีนพรรคคุณ เพื่อที่จะดีลให้ทักษิณกลับบ้านได้ ขอโทษค่ะ… อันนี้คือคุณบิดและมาหาว่าดิฉันเป็นนางแบก คนนั้นคนนี้เป็นนางแบก คุณพวกส้มบิด บิดจน โอ้โฮ! ลําไส้เจ็บไปหมดเลย คุณไม่มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณด่าพรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมือง สร้างข่าวลวงว่าคุณทักษิณกันซีนไม่ให้พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล คุณทําเองไม่ได้ แล้วคุณมาดักเพื่อไทยต่อ คือต่อให้พรรคก้าวไกลสามารถมาเป็นประธานรัฐสภาได้ มันทําให้เสียงของพรรคก้าวไกลได้เกินครึ่งหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลเอาพิธาตีเมียมาเป็นนายกได้ไหม? ก็ไม่ได้เพราะความจริงคือคุณมีแค่ 151 แค่นั้น คุณอย่าฝัน คุณยังไม่ได้เกินครึ่งสภาฯ เลย คุณยังไม่ได้พรรคเดียวเกิน 250 เสียง ยังไม่ได้พรรคเดียวถึง 375 เสียง”

“ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถจัดตั้งพรรคได้ และพวกส้มบิดทั้งหลาย เลิกเชื่อละครน้ำเน่าที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและทักษิณว่า ดีลเพื่อที่จะไปกันซีนพรรคคุณได้แล้วค่ะ”

‘สาธิต’ ยกพลร่อนหนังสือ จี้ ‘จุรินทร์’ ลงดาบ 16 สส.โหวตเศรษฐา ซัด!! ทำพรรคเสื่อมเสีย 'สิ้นศรัทธา-เป็นปฏิปักษ์-ผิดข้อบังคับร้ายแรง'

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคกลาง พร้อมด้วย นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ รักษาการกรรมการบริหารพรรค นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ลงโทษผู้มีพฤติกรรมทำผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพรรค ด้วยการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรค และที่ประชุม สส.ของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความแตกแยกในพรรค

หนังสือระบุว่า กระผมนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกจำนวนหนึ่ง พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. (“สส.”) กระทำความผิด ฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2566 (“ข้อบังคับพรรคฯ”) และจรรยาบรรณพรรค ปชป. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส.ของพรรค ปชป.อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม ส.ส. โดยไม่สุจริต โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป.ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส.ของพรรค ปชป. “ลงมติงดออกเสียง” ต่อมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามี สส.ของพรรค ปชป. ได้แก่ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรค ปชป. เกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรคฯ คนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติของพรรค เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค และกระทำความผิดข้อบังคับพรรค อย่างร้ายแรง เนื่องจากตามข้อบังคับพรรค สส.ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค ดังนี้

ข้อ 18 ระบุว่า “สมาชิกมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับพรรค และมติคณะกรรมการบริหารพรรค (2) รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 96 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นผู้ลงมติว่าจะจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่”
ข้อ 115 ระบุว่า “นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับตามหมวด 4 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกแล้ว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัย ดังต่อไปนี้ (6) ห้ามดำเนินการอื่นใดอันอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 124 ระบุว่า “การลงโทษสมาชิกผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นจากสมาชิกภาพจะกระทำได้ต่อเมื่อปรากฏว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการให้พรรคเสียหายอย่างร้ายแรง หรือทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค หรือผู้ถูกกล่าวหาได้ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคหรือจรรยาบรรณของพรรค มติหรือคำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรค”

หนังสือระบุอีกว่า 2.การกระทำของนายเดชอิศม์สร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทำความผิดของนายเดชอิศม์ ในข้อ 1. ข้างต้นแล้ว นายเดชอิศม์ยังกระทำการสร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรงด้วยการพูดจาไม่น่าเชื่อต่อสาธารณชน พูดกลับกลอกไม่มีความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้...

2.1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ไปฮ่องกงเพื่อแก้บนให้แก่ภรรยาเท่านั้น นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อแก้บนหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย เนื่องจากได้บนไว้ให้ภรรยาชนะการเลือกตั้ง ส่วนได้ไปพบนายทักษิณหรือไม่ ไม่ขอพูดดีกว่า” และยังพูดถึงเรื่องการร่วมรัฐบาลต่อไปอีกว่า “ส.ส.ในกลุ่มของนายเดชอิศม์ จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นายเดชอิศม์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมติพรรค และการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่จะเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่มีอยู่ รวมกับ ส.ส.ปัจจุบัน เหมือนปี 2562 ที่มีการเถียงกัน 1 วัน 1 คืน สุดท้ายมีมติ 61 ต่อ 16 ให้ร่วมรัฐบาล ถ้าไปก็ไปทั้งพรรค และยืนยันจะไม่มีใครฉีกมติพรรค และไม่มีงูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ภายใต้มติของกรรมการบริหารพรรค”

2.2 แต่ทว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณและพูดคุยถึงการร่วมรัฐบาลจริง และยังมีการพูดถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนหนึ่งว่า “จริงๆ หลักของประชาธิปัตย์ การร่วมรัฐบาลตนคิดคนเดียวไม่ได้ โดยหลักแล้ว 1.ต้องเทียบเชิญก่อน 2.กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วม ส.ส. 25 คน รวม 52 คน ซึ่งการประชุมนี้ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรถือเป็นมติพรรค” และกล่าวยอมรับว่าได้เจอนายทักษิณที่ฮ่องกงจริงเมื่อโดนถามว่าไปฮ่องกงไหมจึงตอบว่า “ไป ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดนายทักษิณพอดี ส่วนเจอนายทักษิณหรือไม่ นายเดชอิศม์กล่าวว่า เจอครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากพูดเพราะกลัวว่านายทักษิณ หรือใครก็ตามจะเสียหาย ซึ่งนายทักษิณสนิทสนมกับตนส่วนตัว เพราะเคยลงสมัครพรรคไทยรักไทยปี 2548 ซึ่งก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครอยู่แล้ว” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ส่วนตัวผมจริงๆ ผมอยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแนวคิดของเราอยากแก้ปัญหาประชาชนจะแก้ได้”

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริง พรรค ปชป.ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรค ปชป.ก็ไม่เคยมีมติเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่อย่างใด หากพรรค ปชป.จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องมีมติพรรคจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาล และจะต้องมีการแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีดังเช่นนายเดชอิศม์จะสามารถดำเนินการเจรจาโดยการตัดสินใจเพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของนายเดชอิศม์ จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่านายเดชอิศม์ พูดจากลับไปกลับมา และการเข้าไปพูดพบนายทักษิณเพื่อพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาลนั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วนายเดชอิศม์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึง สส.ของพรรค ปชป. พึงดำรงตนปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค และมติของพรรค รวมถึงจรรยาบรรณของพรรคอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนและสมาชิกพรรคคนอื่น ดังนั้น การกระทำของนายเดชอิศม์ จึงเป็นเหตุสมควรให้ได้รับการลงโทษตามข้อ 124 ของข้อบังคับของพรรค

3.นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค แต่ต่อมากลับกระทำการฝ่าฝืนมติพรรคอย่างชัดเจน เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรค ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรคและทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามที่ก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องทำตามมติพรรค หากใครลงคะแนนเสียงขัดมติพรรคจะต้องลาออก แต่ต่อมาพวกเขากลับดำเนินการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนมติพรรคโดยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรคทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรค ปชป. และอุดมการณ์ของพรรค ปชป. ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้พรรค ปชป.ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ การกระทำทั้งหมดดังที่ได้เรียนข้างต้นของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช กับ สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ทำให้เห็นว่าเจตนาของ สส.ทั้งหมดในการแหกมติเป็นการส่อให้เห็นว่าอยากร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรค ปชป.จะไม่ได้มีมติให้เข้าร่วม ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาและความนิยมต่อพรรค ปชป. อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าว การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. เนื่องจากพรรคไม่เคยมีมติหรือเห็นชอบในการเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด และพรรคได้มีมติอย่างชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในการให้ความเห็นชอบบุคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จงใจกระทำการฝ่าฝืนกับข้อบังคับพรรคด้วยการฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. อีกทั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรค ทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค และทำให้พรรค ที่มีอุดมการณ์มั่นคงมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานนั้นได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมศรัทธาและคะแนนนิยมของประชาชน ทำให้พรรคได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างชัดเจน จึงเป็นการกระทำความผิดข้อบังคับข้อ 18, 96, 115 และ 124

ด้วยเหตุผลดังที่เรียนไว้ในข้างต้นนี้ ขอให้รักษาการหัวหน้าพรรคตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนการกระทำความผิดดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและดำเนินการลงโทษ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน ที่กระทำการผิดข้อบังคับพรรค ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. ทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับพรรคด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top