Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

‘ศิริกัญญา’ อัด!! นโยบาย ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ว่างเปล่า-ไร้เป้าหมาย-ไร้ตัวชี้วัด แถมไม่ตรงปกนโยบายช่วงหาเสียง ลั่น!! ให้อยู่เกรดเดียวกับรัฐบาลบิ๊กตู่

(11 ก.ย. 66) ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นสมาชิกคนแรกที่ขึ้นอภิปรายการแถลงนโยบายในวันนี้ โดยกล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบอกเป้าหมายว่ารัฐบาลใน 4 ปีนี้จะเดินทางไปด้วยเส้นทางไหน ด้วยวิธีการใด และจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ ซึ่งคำแถลงนโยบายเมื่อครู่นี้ ไม่แตกต่างไปจากเอกสารที่ออกมาก่อนหน้า ไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำพูดกว้างๆ ไม่มีตัวชี้วัดและมีแต่คำขยายเต็มไปหมด ถ้าบอกว่านี่คือจีพีเอส ประเทศก็คงหลงทาง ว่างเปล่า และเบาหวิว

พรรคการเมืองไหนก็ตามที่คิดกลับคำ ไม่ยอมระบุนโยบายที่หาเสียงไว้ในการแถลงนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผลที่รับฟังได้ พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน คำแถลงของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนขอให้อยู่ในเกรดเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ ที่น่าผิดหวังคือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาตรฐานตกจากสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายชัด มีนโยบายที่หาเสียงบรรจุไว้ตรงเกือบทั้งหมด มีกรอบเวลาตั้งแต่ช่วง 1 - 4 ปี

การแถลงนโยบายที่ดี สิ่งแรกที่ควรจะมีคือเป้าหมายที่ชัดเจน ตัวชี้วัดที่วัดผลได้ มีกรอบเวลาชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากให้ประเทศเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่มีตัวชี้วัดว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายนั้นหรือยัง ไม่ใช่การเขียนแบบพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนพูดว่า ‘น้ำเป็นของเหลว’

ต่อมา คำแถลงนโยบายต้องมีคำอธิบายแต่ละนโยบายที่ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร ไม่ใช่เหมือนเป็นแค่คำอธิษฐานหรือ wish list ที่สำคัญ การหาเสียงเลือกตั้งต้องเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องทำตามสัญญา ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็ไร้ความหมาย 

สุดท้ายต้องกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีรายละเอียดชัดเจน ตรงกับนโยบายที่ได้สัญญาไว้ กรอบเวลาก็ชัดมาก แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจว่ามาจากพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่มีทั้งรายละเอียด ไม่มีการกำหนดเป้า ไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

“คุณเศรษฐาแถลงเป้าหมายของบริษัทแสนสิริด้วยมาตรฐานการแถลงเป้าหมายของบริษัทระดับโลก มีเป้าหมาย กรอบระยะเวลา ตัวชี้วัดที่ชัดเจน แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐากลับแถลงเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรัฐบาลประยุทธ์ คือเลื่อนลอย ไม่ยอมสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมทั้งนั้น” ศิริกัญญา กล่าว

แต่ที่สำคัญ คือนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเล่มแถลงนโยบาย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำพูดไปอย่างชัดเจน จากที่มีตัวเลขเป้าหมายก็กลายเป็นนามธรรม จากที่มีตัวเลขระยะเวลาก็ตัดทิ้งไป

การแถลงนี้ ยังเป็นการแถลงที่ปราศจากความทะเยอทะยานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลับตาข้างหนึ่งแล้วก้าวข้ามความขัดแย้งเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สามจังหวัดชายแดนใต้ การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กล้าแตะเรื่องยากที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทั้งที่ตอนหาเสียงท่านกล้าหาญกว่านี้มาก คล้ายกับตอน พล.อ.ประยุทธ์แถลง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะสองเหตุผล กล่าวคือ

1) รัฐบาลกลัวการผูกมัด กลัวทำไม่ได้อย่างที่สัญญา หรือมองว่าบางนโยบายไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรหาเสียงกับประชาชนไว้แบบนั้นแต่แรก และ 2) การเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นโยบายเป็นคนละขั้ว ซึ่งสุดท้ายหาข้อตกลงไม่ได้จึงต้องเขียนให้ลอยและกว้างไว้ก่อน แถมที่มาของอำนาจต้องเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุน จึงไม่กล้าทำเรื่องยากที่ต้องปะทะกับใครเลย

ส่วนในด้านเนื้อหานั้น มีการแบ่งเป็นตามกรอบระยะสั้น และระยะกลางและยาว โดยในกรอบระยะสั้นมี 6 เรื่อง แต่ยังขาดเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง pm2.5 ความขัดแย้งทางการเมือง และชายแดนใต้ เรื่องเหล่านี้ไม่เร่งด่วนอีกต่อไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เมื่อไล่ดูนโยบายที่บรรจุไว้เหลือแค่ 3 เรื่อง ที่ตนอยากเน้นเป็นพิเศษคือการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ถูกลดทอนเหลือแค่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ทั้งที่ก่อนเข้าทำงานการเมือง นายกรัฐมนตรีเคยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ มีความคิดที่ตนสนับสนุนเห็นด้วยหลายประการ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในคำแถลงนโยบายแล้ว จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรียังคิดอยู่แบบเดิมหรือไม่ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังคงเดิมอยู่หรือไม่

ต่อมา ตนขอกล่าวถึงแหล่งรายได้และที่มางบประมาณ โดยเฉพาะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะออกแบบให้เป็นแบบใด รัฐบาลจำเป็นต้องมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน เพื่อรับประกันว่า 1 บาทในโลกจริงจะเท่า 1 บาทดิจิทัล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแหล่งที่มาของเงินน่าเชื่อถือหรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของร้านค้า และอาจเกิดเป็นเงินเฟ้อในโลกดิจิทัลขึ้นได้

การจะมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน 5.6 แสนล้านบาท มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้น คือ 1) การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ 2) เงินนอกงบประมาณ ซึ่งปัญหาของการใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567 จะไม่พออย่างแน่นอน เพราะงบประมาณ 3.35 ล้านล้านบาท มีหลายค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดทอนได้ เช่น งบประมาณชำระหนี้ ดอกเบี้ย เงินคงคลัง เงินอุดหนุนท้องถิ่น สวัสดิการตามกฎหมาย เหลือใช้จ่ายได้จริงๆ ก็แค่ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเอามาลงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ทั้งหมด

หรือหากจะใช้ดุลเงินสดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องลดรายจ่ายจาก 1.2 ล้านล้านให้เหลือครึ่งหนึ่ง คุมเงินนอกงบประมาณให้สมดุล ซึ่งเงินสดก็ยังคงจะไม่พออยู่ดี จะมีการกู้ชดเชยขาดดุลล่วงหน้ามาใช้กับโครงการนี้หรือไม่ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะเกิดค่าเสียโอกาสคือค่าดอกเบี้ย หากทำแบบนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงว่านอกจากงบประมาณจะไม่พอแล้ว เงินสดก็จะไม่พอด้วย

ส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณ ก็ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่แก้กรอบวินัยการเงินการคลัง หรือหากจะยืมเงินกองทุนหมุนเวียนมาใช้ ก็มีสองอยู่กองเท่านั้นคือกองทุนของผู้ประกันตนหรือข้าราชการบำนาญ ซึ่งก็ไม่สมควรที่จะทำ หรือสุดท้ายหากจะกู้ธนาคารรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีกรอบอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งวันนี้กำลังจะถึงจุดนั้นแล้ว หากจะกู้จริงก็ต้องแก้ ม.28 ของกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งก็จะไม่สง่างามเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องพึงระวังและไม่ได้อยู่ในคำแถลงนโยบาย คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสมควรทำ แต่การวินิจฉัยโรคไม่ถูกก็อาจจะนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าโตเฉพาะส่วนบน การลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมต้องจัดการระบบภาษีไปพร้อมกัน วิธีคิดนโยบายที่มีแต่การโยกกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น กลุ่มทุนที่สามารถมีอำนาจเหนือตลาดและผูกขาด ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยเปลี่ยนไปแล้ว ระดับหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เงินเฟ้อกำลังสูงทั่วโลก ส่งออกก็ไม่รุ่ง ตลาดก็กระจุกตัวขึ้น รัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

“ดิจิทัลวอลเล็ตย่อมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่มันไม่เพียงพอให้เกษตรกรขุดแหล่งน้ำบรรเทาภัยแล้ง ไม่สามารถทำให้เกษตรกรได้เอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ไม่สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกเพิ่มหรือไม่ตัดโอทีในโรงงานได้ จึงขอให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญให้ดี จะเทหมดหน้าตักแล้วหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของการแถลงกว้างๆ แบบนี้ คือท่านยังมีโอกาสได้แก้ไขในการแถลงงบประมาณ เพื่อส่งมอบนโยบายอะไรบ้างใน 1 ปีข้างหน้าจากนี้” ศิริกัญญา กล่าว

‘ดร.นิว’ ชี้!! 9 ปี ‘ก้าวไกล’ จากลัทธิหลบๆ ซ่อนๆ  ผงาดครองพื้นที่ ‘สื่อ-โซเชียลมีเดีย’ ไว้เกือบหมด 

(11 ก.ย. 66) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan’ ระบุว่า…

“9 ปีก่อน พวกเขาเป็นเพียงแค่ลัทธิที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบสร้างแนวร่วมอยู่ในซอกหลืบของรั้วมหาลัย แต่ทว่าทุกวันนี้พวกเขาได้ครองพื้นที่สื่อและโซเชียลมีเดียไว้เกือบทั้งหมด สามารถชี้นำทางความคิดช่วงชิงฐานเสียงมวลชนไปได้แล้วกว่าสิบล้าน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของใคร? ใครรู้ช่วยตอบที?”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก ดร.นิว ได้โพสต์ถึงการเลือกตั้งซ่อมระยองไว้ว่า “ถ้าก้าวไกลชนะ ก็คงเป็นภาพสะท้อนความสิ้นหวังทางการเมืองของประชาชน ที่ย่ำแย่ถึงขั้นหันไปพึ่งอสูรกายแก้วทางการเมืองกันแล้ว ถ้ายังคิดผิดทำผิด เลือกตั้งรอบหน้าได้ว้าวุ่นเลยทีนี้”

‘ชลน่าน’ ลั่น!! ถึงยุคเปลี่ยน ‘ความเห็นต่าง’ เป็น ‘ความร่วมมือ’ พร้อมสามัคคี ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพ

(11 ก.ย. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบคำถามประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและชมรมแพทย์ชนบทในยุคของ นพ.ชลน่าน เนื่องจากชุดบริหารที่ผ่านมา มีความขัดแย้งกับชมรมแพทยชนบท แต่ในวันเข้ารับตำแหน่งของ นพ.ชลน่าน มีสมาชิกชมรมแพทย์ชนบทเข้ามาร่วมยินดีและ นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ มอบพระพุทธรูปให้กับ นพ.ชลน่าน ว่า ทิศทางการทำงานของ รมต. และผู้บริหารแต่ละชุดอาจมีแนวทางตามนโยบายต่างไป แต่สำหรับตนให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก เพราะกลไกการขับเคลื่อนงานนั้น บุคลากรมีความสำคัญมาก เราจะมาดูเชิงระบบในภาพใหญ่ จึงมีความคิดว่ากระทรวงฯ น่าจะมาบริหารจัดการเอง มีคณะกรรมการบริหารงานบุคคลเอง มีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะ ตนก็พยายามจะผลักดันเรื่องนี้โดยการรวบรวมทุกภาคส่วนที่มีความปรารถนาต่อมิติสุขภาพของประชาชน

“ความเห็นต่างมีแน่นอน แต่เราจะแปลงความเห็นต่างนั้น มาเป็นความเห็นร่วม ทุกคนบอกผมว่าทุกคนมีความรักสมานสามัคคีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน พวกเรามองตา เมื่อช่างภาพบอกว่าคุณหมอมองกล้องหน่วย ทุกคนมองหมดเลย เพราะเราเป็นหมอในหัวใจของประชาชน มั่นใจว่าเราจะมีความรักสมัครสมานสามัคคี ขับเคลื่อนงานสุขภาพร่วมกัน” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าในยุคของ นพ.ชลน่าน จะไม่เห็นภาพม็อบมาเรียกร้องที่กระทรวงฯ แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะไม่ปิดกลั้นม็อบที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชนและบุคลากร ยิ่งเขามีความต้องการแต่เราตอบสนองความต้องการเขาไม่ได้ จึงมีการชุมนุมเรียกร้องตามระบบประชาธิปไตย

'สมชัย' เทียบฟอร์มแถลงนโยบาย 'เศรษฐา-ประยุทธ์' ชำแหละ 5 ข้อ คนหนึ่งวนไปวนมา อีกคนทำได้ไม่ถึง 30%

(11 ก.ย. 66) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแถลงนโยบายของรัฐบาล ดังนี้…

เมื่อคืนนั่งอ่านนโยบาย เศรษฐา แล้วกลับไปอ่านนโยบายประยุทธ์ 2

มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง

1. ความยาวนโยบาย : เศรษฐา ยาว 14 หน้า ของประยุทธ์ 33 หน้า
2. การใช้เวลาในการจัดทำหลังจากวันได้รับเลือกเป็นนายก จนถึงวันแถลงนโยบาย : เศรษฐา 21 วัน ประยุทธ์ 51 วัน
3. สไตล์การเขียน : เศรษฐา เป็นแบบพรรณนา แบ่งเป็น ระยะสั้น 5 เรื่อง ระยะกลางและยาว 3 กลุ่มเรื่อง โดยมีนโยบายเรื่องต่างๆ แทรกอยู่ ต้องไปอ่านจับประเด็นให้ได้ 

ส่วน ประยุทธ์ เป็นแบบวิชาการ แบ่งหัวข้อ ระยะยาว 12 ข้อ ระยะสั้น 12 ข้อ ในแต่ละข้อแบ่งเป็นข้อย่อย .1 .2 .3 อ่านจับประเด็นได้ง่ายกว่า

4. เดาเรื่องคนเขียน : เศรษฐา น่าจะเป็นคนในพรรค หรือหากใช้คนของราชการ อาจเวลาน้อยเลยได้แค่นี้ ส่วนของประยุทธ์ สภาพัฒน์ เขียนให้ชัวร์ 
5. ความรู้สึกเมื่ออ่านแล้ว : เศรษฐา วนไปวนมา คลุมเครือ แต่มีความหวังในบางเรื่อง เช่น เรื่องเงิน 10,000 บาท ได้แน่ สิ้นหวังบางเรื่อง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ พูดอ้อมๆ แอ้มๆ การปฏิรูปกองทัพ พูดเรื่องไม่ใช่แก่นสาร

ของ ประยุทธ์ อ่านแล้ว เหมือนอ่านแผนพัฒนาประเทศ เขียนไปงั้นๆ พอครบระยะ ห้ามกลับไปอ่านอีก เพราะทำได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ 

รอคำแถลงทางการ ที่จะเพิ่มความหวังประชาชนวันนี้ครับ

เปิดมุมมองผู้ร่วมงาน ในวันที่ 'ลุงตู่' โดนด่า ทัวร์ลงสารพัด แต่ก็ยังฮึดสู้ เพราะต้องเดินหน้าขับเคลื่อนชาติ จึงอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ 'ไม่มีราคา'

(11 ก.ย. 66) จากรายการเคลียร์ ชัดชัด ออกอากาศทางช่องเวิร์คพ้อยท์ ดำเนินรายการโดย ต๊ะ นารากร ติยายน ได้สัมภาษณ์ ‘รัชดา ธนาดิเรก’ และ ‘ไตรศุลี ไตรสรณกุล’ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานรับใช้ชาติและใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยมีบางช่วงบางตอนที่ต๊ะ นารากร ได้ถามคำถามว่า…มีช่วงหนึ่งที่เกิดไวรัลในโซเชียล ใช้ชื่อย่อว่า ‘ผนงรจตกม’ ในตอนนั้นพลเอกประยุทธ์โดนหนักมาก ท่านได้แสดงท่าทางต่อเหตุการณ์นั้นอย่างไรบ้าง? มีหงุดหงิด เสียใจบ้างหรือไม่?

น.ส.รัชดา ได้ตอบว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ ท่านไม่มาแสดงความรู้สึกกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากท่านคือความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่มีราคาแบบนี้ แต่ในความเป็นมนุษย์ เราก็เดาได้ว่าต้องรู้สึกอยู่แล้ว เพราะอยู่ๆ คนมาด่า ใช้คำพูดหยาบคาย บนสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง เป็นใครก็ต้องรู้สึก แต่ท่านก็ก้าวข้ามผ่านตรงนั้น และคุยเรื่องใหม่ๆ คุยเรื่องที่จะขับเคลื่อนบ้านเมืองด้วยรอยยิ้ม

น.ส.รัชดา กล่าวเสริมว่า บางจังหวะท่านอาจจะหงุดหงิด แต่ท่านก็จะบอกว่า อ่า ผมหงุดหงิดอะ ผมขอโทษนะ และท่านก็เดินหน้าต่อ

‘เศรษฐา’ แถลงนโยบายรัฐบาล  50 นาทีรวด  ลั่น!! เดินหน้าทุกนโยบายด้วยความซื่อสัตย์

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีครม. สส. และ สว. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ครม. มีนโยบายรัฐบาลมุ่งมั่นสร้างความสามัคคี ปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม นำไปสู่ความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศให้ก้าวหน้า วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศที่ถูกซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ยังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้เป็นรูปธรรม ขณะที่ปัญหาสังคมและการเมืองยังยืดเยื้อ ฝังรากลึก ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจประเทศกว่าร้อยละ 30.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่หมวดสินค้า ภาคส่งออกติดลบติดต่อกัน 3 ไตรมาส ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี หนี้สาธารณะสูงกว่าร้อยละ 61 อาจกลายเป็นข้อจำกัดด้านการคลังและการบริหารประเทศในอนาคต 
โชว์จุดยืนหนักแน่นพิทักษ์สถาบัน

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ส่วนภาคการเกษตร ประชากรกว่า 10 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของกำลังแรงงาน อยู่ในภาคที่ทำงานหนัก แต่กลับสะท้อนออกมาเป็นมูลค่าเพียงร้อยละ 7 ต่อจีดีพี ส่งผลให้เกษตรกรไทยมีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 3 แสนบาท ส่วนด้านการเมืองมีความเห็นต่าง แบ่งแยกทางความคิด ทำให้สังคมอยู่ในจุดน่ากังวล ข้อกฎหมายไม่ทันสถานการณ์บ้านเมือง ปัญหาทุจริต อาชญากรรม ยาเสพติดรุนแรงขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาความยากจน เหลื่อมล้ำ ทำให้ประเทศไทยขาดความพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ เกิดวิกฤตศรัทธาประชาชน กลายเป็นเป้าหมายของรัฐบาลนี้ต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน สร้างความพร้อม และวางรากฐานเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐบาลมีกรอบนโยบายบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วนได้แก่ กรอบระยะสั้น จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าประชาชนอย่างรวดเร็ว ส่วนกรอบระยะกลางและระยะยาว จะเสริมขีดความสามารถให้ประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันประเทศไทยเปรียบเหมือนคนป่วยที่ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วงโควิด-19 จนมีความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุน นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ เกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายรอบ รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบภาษี และจะช่วยวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศ เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่

“นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายเร่งด่วนอีก 4 ข้อ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชนได้แก่ 

1.การแก้ปัญหาหนี้สินภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนการเงิน สำหรับภาคประชาชน ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนากลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้ฟื้นตัวกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง 

2.ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน จะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทันที จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ วางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจแหล่งพลังเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า 3.ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อสร้างงานให้ประชาชนจำนวนมาก จะเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวด้วยการอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนขอวีซ่า การยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่ากลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย การยกระดับประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้า งานเทศกาลระดับโลก ปรับปรุงสนามบิน และจัดการเที่ยวบ้นของสนามบินทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ

และ 4.การแก้ปัญหาความเห็นแตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ รัฐบาลจะหารือแนวทางทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบกติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัย เป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง โปร่งใส เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ประเทศมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากสุดในการพัฒนาประเทศ

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลมีแนวทางสร้างรายได้ โดยใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเปิดประตูสินค้าและการบริการของประเทศสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ การเร่งการเจรจากรอบความร่วมทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุน การส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจกการค้าตามแนวชายแดน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ของโลก ส่วนภาคการเกษตร จะสร้างรายได้ภาคการเกษตร โดยใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพภาคการเกษตร การหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม การฟื้นอุตสาหกรรมประมง แก้ไขข้อกฎหมายให้เหมาะสม จะบริหารจัดการภาคการเกษตรที่ครบถ้วนทุกด้าน มีเป้าหมายทำให้รายได้เกษตรกรทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 4 ปี

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสร้างและขยายโอกาสให้ประชาชน โดยสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เพื่อสร้างโอกาสการมีอาชีพ รายได้ จะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน พิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนด ให้นำไปต่อยอดเข้าถึงแหล่งทุนได้ รวมถึงการปลดล็อกแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับของรัฐที่เป็นข้อจำกัดของประชาชน เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนในการสร้างรายได้ เช่น การปลดล็อกกฎระเบียบสุราพื้นบ้าน การบริหารรูปแบบการกระจายอำนาจ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานแต่ละจังหวัดให้ตอบสนองความต้องการประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาให้บริการ ขจัดช่องโหว่การทุจริต ลดค่าใช้จ่าย ให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น การสนับสนุนการสร้างซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ ยกระดับพัฒนาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ จะสร้างรายได้ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะ ซอฟต์เพาเวอร์การปฏิรูปการศึกษา สร้างศักยภาพของผู้เรียนตามความถนัด การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพประเทศ จะปรับโครงสร้างหน่วยงานความมั่นคงให้ทันสมัย จะร่วมพัฒนากองทัพให้มีศักยภาพ โดยเปลี่ยนรูปแบบเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารให้เป็นแบบสร้างสรรค์ ลดกำลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับสูง กำหนดอัตรากำลังในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สอดคล้องบทบาทภารกิจ ปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใส ขณะที่ด้านความปลอดภัยจะปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดจากสังคมไทย นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ การยกระดับนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาลในเมือง ลดความแออัดและภาระบุคลากรทางการแพทย์ การผลักดันกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ในอนาคต 4 ปีข้างหน้า จะเป็น 4 ปีที่รัฐบาลวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้ประเทศ โดยยึดหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกรณีการดำเนินงานที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินนโยบายรัฐนั้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างมีเป้าหมายทั้งในด้านการเจริญเติบโต การลดความเหลื่อมล้ำ การรักษาเสถียรภาพให้ความสำคัญกับกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด รัฐบาลจะใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสม จะตระหนักถึงข้อจำกัดด้านรายได้ โดยเฉพาะรายได้จากภาษีประชาชน จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ประชาชน

“ท้ายที่สุดรัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง จะตั้งใจ ทุ่มเทสรรพกำลังดำเนินนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน” นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ นายเศรษฐาใช้เวลาแถลงนโยบายทั้งสิ้น 50 นาที
 

‘สุริยะ’ มั่นใจ!! ชี้แจงปม ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ได้ทุกมิติ ย้ำ!! ทุกนโยบายรัฐบาลตอบสนองความต้องการประชาชน

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่จะมี สส. สอบถามและต้องตอบคำถามเรื่องนี้ ว่า ตนตอบได้ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่าจะชี้แจงอย่างไร เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก นายสุริยะ กล่าวว่า เรามีข้อมูลทั้งหมดที่จะชี้แจงครบทุกประเด็นไม่น่าเป็นห่วง

เมื่อถามว่า จะมีการเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ นายสุริยะกล่าวว่าแน่นอน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งข้อสังเกต นโยบายนั่งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียง นายสุริยะ กล่าวว่า ยืนยันว่าเราทำได้ ตนเชื่อมั่นว่านโยบายของรัฐบาลเป็นนโยบายที่ตอบสนองต่อประชาชน เราอธิบายนโยบายได้ทุกมิติ

เมื่อถามว่า นโยบายเร่งด่วนที่จะแถลงต่อรัฐสภามีความเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่าเหมาะสมแน่นอน

‘อนุทิน’ เตรียม 11 ขุนพล ร่วมแถลงนโยบายรัฐฯ 11-12 ก.ย.นี้ เน้นหลักนโยบายที่เคยหาเสียงกับ ปชช. ไว้เป็นหลัก

(10 ก.ย. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีการประชุมสส.พรรค และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ก่อนแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ระหว่างวันที่ 11 - 12 ก.ย.นี้ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุม ซึ่ง นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบได้ ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต้องถือว่ารัฐบาลชุดนี้มีการเตรียมตัวในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยความรวดเร็วมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเพิ่งมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ย.) ก็สามารถที่จะแถลงนโยบายได้แล้ว

“รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้อธิบายแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งในส่วนของพรรคภูมิใจไทยต้องใช้โอกาสนี้อภิปรายนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่พรรคเคยหาเสียงไว้หลายๆ เรื่อง ซึ่งพรรคได้เตรียมผู้อภิปรายไว้ทั้งสิ้น 11 คน แม้ว่าสส.ของพรรคมีความประสงค์อภิปรายมากกว่านี้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาทำให้พรรคจัดผู้อภิปรายไว้ 11 คน เฉลี่ยคนละ 5 - 6 นาทีเท่านั้น”

‘นายกฯ’ รับฟัง-ติดตามความคืบหน้าคดี ‘กำนันนก’ แล้ว พร้อมร่วมถกปัญหาเพื่อปราบปรามยาเสพติดหลายเรื่อง

(10 ก.ย. 66) ที่บ้านพิษณุโลก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการหารือการแก้ไขปัญหายาเสพติดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั้นๆ ว่า มีการพูดคุยหารือกันหลายเรื่อง ได้รับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้สั่งการอะไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ที่เข้าพบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังสั่งการอะไรไม่ได้ เป็นการมารับฟังข้อมูลเฉยๆ เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รายงานความคืบหน้าคดีกำนันนกหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้มีการรายงาน

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐา เปิดเผยอีกว่า วันนี้ได้มีการเดินดูภูมิทัศน์บ้านพิษณุโลก ถือว่าดี สะอาดสะอ้าน การดูแลรักษาดี โดยจะมาใช้บ้านพิษณุโลกประชุมบ้าง จัดเลี้ยงบ้าง แต่จะไม่ได้นอนที่นี่ 

‘สุทิน’ แจง ยังไม่มีการแต่งตั้งใคร ต้องรอหลังแถลงนโยบายต่อสภาฯ ยืนยัน!! เอกสารที่หลุดตอนนี้เป็นของปลอม และเกิดจากผู้ไม่หวังดี

(10 ก.ย. 66) จากกรณีที่มีเอกสารลับหลุดว่อนเน็ต เรื่อง การแต่งตั้งประธานที่ปรึกษาและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งแต่งตั้งบุคคลจำนวน 6 นาย โดยในจำนวนนี้มีชื่อของ นายพายัพ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทยที่ดูแลภาคอีสาน น้องชายอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานที่ปรึกษา รมว. กลาโหม และนายพอพงษ์ ชินวัตร บุตรชายนายพายัพ เป็นเลขานุการประจำตัว รมว.กลาโหม

และล่าสุด นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ‘สุทิน คลังแสง’ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่า…

ตามที่มีกระแสข่าวว่าผมแต่งตั้งบุคคลรับตำแหน่งต่างๆ นั้น ผมขอเรียนว่า ยังไม่มีการแต่งตั้งหรือเตรียมแต่งตั้งใครเลย เพราะ ณ เวลานี้ผมยังไม่สามารถสั่งราชการได้ เพราะต้องรอกระบวนการตามกฎหมาย คือ ต้องหลังจากการแถลงนโยบายต่อสภาฯ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ครับ

พร้อมทั้งยืนยันว่า “เอกสารเรื่องการแต่งตั้งหรือการเตรียมแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ เป็นของปลอมที่เกิดจากผู้ไม่หวังดีครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top