Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

‘อัครเดช’ ย้ำ ‘มาตรการลดไฟฟ้า-น้ำมัน’ รทสช.ทำตามที่ได้หาเสียงไว้ วอนภาคเอกชนช่วยลดราคาสินค้า หลังต้นทุนในการขนส่งลดลง

(14 ก.ย.66) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลดค่าไฟฟ้า-น้ำมัน ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศนโยบายในการหาเสียงว่า จะลดค่าครองชีพประชาชน เมื่อได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ในฐานะรมว.พลังงาน ได้เสนอนโยบายลดราคาเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า ได้รับความเห็นชอบจากครม. ทางพรรครวมไทยสร้างชาติต้องขอบคุณครม.ที่ได้อนุมัติมาตรการที่นายพีระพันธุ์เสนอเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน

นายอัครเดช กล่าวว่า จากนี้ไปก็ขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมถึงภาคเอกชนทุกภาคส่วนได้ช่วยกันลดราคาสินค้าให้กับพี่น้องประชาชนด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เมื่อราคาน้ำมันดีเซลลดลงซึ่งถือเป็นต้นทุนในการขนส่ง ก็จะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลดลงด้วย กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคเอกชนก็ต้องช่วยกันสนับสนุนการลดราคาสินค้าให้กับประชาชนด้วยเช่นกัน

“ทั้งนี้ มาตรการลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และลดไฟฟ้าคงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะทำ หลังจากนี้กระทรวงพลังงานยังมีมาตรการอื่น ๆ ทยอยออกมาเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนให้ได้ทุกกลุ่ม ตามที่นายพีระพันธุ์ได้ประกาศไว้ เช่น การช่วยเหลือเกษตรกร การช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่ และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง นายพีระพันธุ์เพิ่งทำงานวันแรกหลังจากนี้จะทยอยมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ขอให้ประชาชน ติดตามมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะทยอยประกาศออกมา” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ต่อมาตรการดังกล่าวว่า รัฐบาลนี้มาจากประชาชน ผ่านการเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศอะไรที่ได้หาเสียงไว้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน เมื่อแต่ละพรรคการเมืองได้เข้าไปบริหารในแต่ละกระทรวง ก็จะนำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ไปขับเคลื่อน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ตระหนักดีว่า เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้สัญญากับประชาชนเอาไว้

“การที่ฝ่ายค้านได้วิจารณ์นโยบายดังกล่าวก็เข้าใจ แต่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเมื่อเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องใช้เงินงบประมาณในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือประชาชน แม้แต่พรรคฝ่ายค้านที่วิจารณ์ ถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลถ้าจะช่วยเหลือประชาชนก็ต้องใช้งบประมาณของแผ่นดิน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนต้องเกิดความโปร่งใสไร้การรั่วไหลของเงินงบประมาณ จะประชานิยมหรือไม่ประชานิยมไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน และเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับประชาชนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องยึดหลักเอาไว้” นายอัครเดชกล่าว

‘ภูมิธรรม’ ลั่น!! แก้ไข รธน. ทุกฝ่ายต้องยอมรับได้ จ่อหารือพรรคการเมือง ก่อนขยายสู่การลงประชามติ

(14 ก.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง มอบหมายให้ดูแลเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตลอด 4 ปีของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายร่าง แต่ที่สุดไปไม่ได้ หลายฉบับตกไป หลายฉบับค้างที่วาระ 2 วาระ 3 ในที่สุดไปอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และตัดสินว่าอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้อำนาจประชาชน ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญต้องไปถามประชาชนก่อนถึงจะแก้ได้ ทางปฏิบัติจึงต้องถามประชาชนก่อนว่าจะแก้หรือไม่แก้ และถ้าแก้จะแก้ด้วยกระบวนการแบบไหน อย่างไร ดังนั้นถ้าไม่เคลียร์ให้จบก่อน แต่ละกระบวนการจะค้างไม่คืบหน้า ส่วนประเด็นหมวดหนึ่งหมวดสองนั้นรัฐบาลยืนยันว่าหากมีการแก้ไขจะไม่แก้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ 

“แต่ปัญหาที่มีอยู่คือเรื่องเกี่ยวกับการได้มาซึ่งอำนาจในระบบประชาธิปไตย ได้มาอย่างไร และทำให้กระบวนการเอื้ออำนวยต่อการบริหารประเทศ ต่อการรักษาสิทธิเสรีภาพประชาชน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อให้มีความคิดเห็นที่หลากหลายในการช่วยกันคิดให้กระบวนการเดินหน้าไปได้ หาจุดที่พอดีให้เดินหน้า หากเราสามารถพูดคุยส่วนต่าง ๆ ได้จะค่อย ๆ แกะไปที่ละเปราะแล้วนำไปสู่การแก้ไขที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และจะเป็นการเปิดประตูบานแรกจนได้รัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นออกมา” นานภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราต้องเริ่มจากความเป็นจริงเพราะถ้าจะแก้อะไรที่หักหาญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เปิดอำนาจให้ ถ้าจะทำโดยไม่คำนึงถึงคนที่เห็นต่างทุกฝ่ายจะไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ดังนั้นการได้พูดคุยกันหาความพอดีกัน เพราะทุกฝ่ายยอมรับว่าการแก้รัฐธรรมนูญควรทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ส่วนจะทำวิธีการไหนจะเป็นการประนีประนอมของทุกฝ่ายเพื่อแกะที่ละปม โดยหลังจากนี้ตนจะเร่งตั้งคณะกรรมการที่มีมาจากทุกฝ่ายตามที่นายกฯ ได้สั่งการให้ดึงการมีส่วนร่วมของทุกคนเข้ามาและให้รายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่าการได้มาซึ่งคำถามที่จะให้ทำประชามติจะใช้เวทีรัฐสภาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เวทีรัฐสภา จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะคุยถ้าเห็นพ้องกันทุกฝ่ายก็เป็นจุดเริ่มต้นว่าคนที่เป็นตัวแทนคนในสังคมพอใจกับสิ่งนี้ แล้วนำไปสู่การตัดสินของประชาชน ถ้าเห็นด้วยเลยก็จะเป็นไปด้วยดี ถ้ามีความเห็นต่างก็นำความเห็นต่างมาปรับปรุงเพื่อลดช่องว่างความเห็นต่าง 

เมื่อถามว่ามีกรอบหรือไม่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเริ่มทำประชามติ นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกฯกำชับอยากให้ตนที่คลุกคลีเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมา ไปดึงความคิดเห็นเข้ามาซึ่งอาจจะเริ่มต้นจากการนำทีมที่ปรึกษาของแต่ละพรรคการเมืองมาพูดคุยกัน แล้วขยายตัวไปสู่กลุ่มวิชาชีพ ถ้าเห็นพ้องกันทั้งกลุ่มธุรกิจ ประชาชน ข้าราชการ ก็จะทำให้การขยับไปสู่การลงประชามติไม่ยากลำบาก

‘รมว.ศึกษาธิการ’ ประกาศนโยบาย ‘เรียนดี มีความสุข’ เล็งแจกแท็บเล็ต หวังลดภาระนักเรียน-ผู้ปกครอง 

(14 ก.ย.66) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมมอบนโยบายการศึกษา และแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย ‘เรียนดี มีความสุข’ ตนมีนโยบายลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง โดยให้เด็กเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา เรียนฟรี มีงานทำ และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีระบบหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา (1 นักเรียน 1 Tablet)

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า นโยบายอุปกรณ์การเรียน ต้องยอมรับว่าผู้มีโอกาสก็จะมีสื่อการเรียนการสอน แต่ผู้ด้อยโอกาส อาจจะไม่มี ดังนั้น เพื่อความเท่าเทียมเสมอภาคทางการศึกษาเราต้องจัดการแท็บเล็ต ส่วนการดำเนินการ ต้องมาศึกษาและดูงบประมาณในการดำเนินการ โดยดูว่า สามารถซื้อได้หรือไม่ ถ้าซื้อไม่ได้อาจจะเช่า หรือยืม โดยทำอย่างไรให้ทั่วถึง แต่อยู่บนพื้นฐานว่าสื่อการเรียนการสอนต้องมีก่อน สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนได้ทุกที่ ทั้งนี้เราจะยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและดำเนินการ

แฉพฤติกรรมติ่งพรรคส้ม สร้างเงื่อนไขกีดกัน ‘สมบัติ ทองย้อย’ ไม่ให้ใช้เงินกองทุนประกันตัว เพราะเห็นต่าง ‘ม.112 - เชียร์เพื่อไทย’

(14 ก.ย. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ คนเสื้อแดงกองเชียร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อกรณีนายสมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลดโทษ 2 กรรม จำคุกรวม 6 ปี เหลือ 4 ปี อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งศาลฎีกาหลังจากยื่นขอประกันตัว

โดยปีใหม่ระบุว่า อาจเพราะเขาเคยเป็นการ์ดเสื้อแดง อาจเพราะเขาเคยเป็นการ์ด 3 นิ้ว ช่วงที่ไล่ประยุทธ์ และเรียกร้องแก้ รธน. ประกอบกับเขาไว้หนวดเครารุงรัง จึงถูกหมายหัวมากกว่าคนอื่น ว่าเป็นพวกฮาร์ดคอร์

ทั้งที่คุณหนุ่มเป็นผู้ชายธรรมดา หาเช้ากินค่ำ มีความอ่อนโยนเหมือนคนเป็นพ่อที่มีลูกสาวทั่วไป เขามีความรักศรัทธาในพี่โทนี และ พรรคเพื่อไทย ไปม็อบก็เพราะอยากได้เลือกตั้ง อยากได้ความยุติธรรมคืนพี่โทนีและนายกปู แกทุ่มเทอยู่ทุกลมหายใจ ตั้งแต่ไทยรักไทยถูกยุบ ก็เพื่อการนี้

เนื้อแท้แล้ว คุณหนุ่มมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาก แกไม่สนับสนุนให้ยกเลิก 112 แม้ว่าแกจะโดนโทษ 112 หนักขนาดนี้ "ผมว่า 112 ไม่ได้มีปัญหา ปัญหาคือการบังคับใช้ สถาบันยังจำเป็นต้องมีกฎหมายพิเศษคุ้มครอง"

คุณหนุ่มเล่าให้ปีใหม่ฟังใน Clubhouse หลังวันที่แกได้ประกันตัวออกมารอบแรก ยืนยันหนักแน่นไม่เคยเห็นด้วยกับการยกเลิก 112 ซึ่งนี่เองเป็นเหตุให้คุณหนุ่มถูกทวงบุญคุณ ถูกผลักไสไล่ส่งไม่ให้ใช้เงินกองทุนประกันตัว

คุณหนุ่มติดคุกมาแล้วประมาณ 10 เดือน จึงได้ประกันตัวออกมาสู้คดีหลังเพียรพยายามยื่นขอศาลครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อศาลอนุญาตเขาก็ใช้ชีวิตอยู่นอกคุกมาเกือบปี รับจ้างติดเครื่องกรองน้ำหาเลี้ยงปากท้อง เวลาว่างก็ไปช่วยคุณเคทำกิจกรรมหลอมรวมแดงเหลือง

เมื่อวานเขาไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เขาสารภาพว่าโพสต์เองจริง ศาลจึงลดโทษให้เหลือ 4 ปี

ศาลเรียกเงินประกันตัว 6 แสน เพื่อออกมาฎีกาต่อ แต่ปัญหาคือ ‘แกไม่มีเงิน’ ที่ผ่านมาใช้เงินกองทุนประกันตัวของกลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มนั้น ซึ่งหลังประกันตัวออกมารอบแรก คุณหนุ่มเชียร์พรรคเพื่อไทย ไม่เชียร์พรรคเขา ประกอบกับท่าทีจงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่สนับสนุนการยกเลิก 112 ทำให้ติ่งกดดันไม่อยากให้คุณหนุ่มใช้เงินประกันของกองทุน

"ให้พรรคเพื่อไทยช่วยมึงสิ"
"ไม่อยากให้ใช้กองทุนประกันตัว"
"อยากเห็นมึงติดคุก"
นี่คือคำพูดของติ่งที่เราเห็นตามโพสต์ทั่วไป เป็นคำที่คุณหนุ่มเจ็บช้ำที่สุด

พวกเขาเปิดรับบริจาคโดยบอกผู้มีจิตเมตตาว่า เพื่อเป็นกองทุนประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 และนักกิจกรรมทางการเมือง ไม่ได้ระบุว่าคนนั้นจะต้องเลือกพรรคก้าวไกล ห้ามเลือกเพื่อไทย แต่วันนี้กลับมีเงื่อนไขกดดันแบบนั้นงอกออกมา

แปลว่าเขาทำเพื่อพรรคการเมือง ‘ก้าวไกล’ ไม่ใช่เพื่อมนุษยธรรม ใครถูก 112 กระทำถ้าไม่ใช่พวกเขา ความคุ้มครองช่วยเหลือก็จะไม่เจือจานไปถึง

คำกล่าวอ้างต้องแก้ 112 เพื่อไม่ให้ทำลายผู้บริสุทธิ์จึงเป็นเพียง ‘เทคนิคหาเสียง’ เท่านั้น

คืนนี้คุณหนุ่มยังอยู่ในคุก...กระบวนการขอประกันตัวยังไม่สำเร็จ พรุ่งนี้ก็ได้แต่หวังว่าคุณหนุ่มจะได้อิสรภาพออกมา เป็นสารถีขับพาคุณ เค สามถุยส์ ออกไปทำภารกิจ ‘สมานฉันท์’ เพื่อชาติ ภารกิจเพื่อพรรคเพื่อไทย เพื่อพี่โทนีเหมือนที่เคยปฏิบัติไม่ว่างเว้น

แต่ใครจะรู้ว่า อิสรภาพของเขาจะได้กลับคืนพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือเมื่อไหร่ เขาไม่มีใคร เขาไม่มีเส้นสาย เขาไม่มีเงินประกันตัว…

เขามีแต่หัวใจที่จงรักภักดีต่อสถาบัน หัวใจที่ผูกพันต่อพรรคเพื่อไทย หัวใจที่ศรัทธาต่อพี่โทนี เขามีแต่สิ่งเหล่านี้ แม้จะแลกกับอิสรภาพให้เขาไม่ได้ แต่ปีใหม่ก็เชื่อเหลือเกินว่า เขาไม่มีวันเสื่อมคลายจากศรัทธานั้น

สงสารสุดหัวใจ แต่ทำได้แค่รอ...รอฟังข่าวดีวันพรุ่งนี้…

‘พิธา’ ติดอันดับ ‘TIME100 Next 2023’ ด้านผู้นำที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย. 66) นิตยสาร Time สื่อดังในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลการจัดอันดับ ‘TIME100 Next 2023’ ว่าด้วยผู้นำหน้าใหม่จากทั่วโลกที่กำลังกำหนดอนาคตและกำหนดความเป็นผู้นำรุ่นต่อไป ซึ่งพบว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่ในรายชื่อ 100 บุคคลสำคัญในการจัดอันดับดังกล่าว

โดย Time บรรยายว่า สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของเขา ซึ่งพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงร้อยละ 38 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 คือชายผู้นี้ที่จบการศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พยายามทำให้วาระที่ถูกมองว่ารุนแรง (Radical) ของพรรคนั้นบรรลุเป้าหมาย นั่นคือการปฏิรูปกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์

นโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น การยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร นั่นทำให้เส้นทางของ พิธา ถูกสกัดขัดขวางทั้งจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตลอดจนความท้าทายมากมายจากข้อกกฎหมาย พิธา เล่าว่า ตนเริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่ถูกทางบ้านส่งไปเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งปัจจุบัน แม้พิธาจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขบวนการปฏิรูปที่เขาเป็นผู้นำสัญญาว่าจะสร้างแรงผลักดันต่อไป โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนไทย

“ผมภูมิใจกับความสำเร็จของเรา และเราสามารถทำอะไรได้อีกมากมายเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลในรัฐสภาและพูดในนามของประชาชน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าว

ครม.มอบ ‘หมอชลน่าน’ ตั้ง กก.ยกระดับบัตรทอง-ระบบสาธารณสุข ไฟเขียว ให้ผู้ป่วยเลือก รพ.ได้เอง ย้ำ ยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง

13 ก.ย. 66 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ว่า ภารกิจทางด้านสาธารณสุขนั้น ได้มอบหมายให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปแต่งตั้งคณะทำงานยกระดับมาตรฐานการบริการโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เช่น ในการไปรับบริการที่โรงพยาบาล จากเดิมที่ต้องรอคอยนานเป็นวันเพื่อพบแพทย์เพียง 2 นาที จากนี้จะเป็นระบบการนัดหมายเข้ารับบริการ เพื่อจะได้ไม่ต้องรอคอยที่โรงพยาบาลทั้งวัน หรือในบางกรณีที่เป็นเพียงการนัดหมาย เพื่อติดตามอาการ หรือรับยาเท่านั้น อาจไม่จำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่สามารถให้ญาติ ประสานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อขอรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้

นายชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ในเรื่องของการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ซึ่งจากเดิมจะต้องมีการขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นทาง ที่มีความยุ่งยาก และใช้เวลานาน ต่อจากนี้ไม่ต้องไปขอใบส่งตัวแล้ว เพราะข้อมูลผู้ป่วยมีอยู่ในฐานระบบที่เชื่อมโยงกันอยู่

นายชัย กล่าวว่า ที่สำคัญจากนี้ไม่ต้องมีโรงพยาบาลประจำแล้ว จากนี้หากผู้ป่วยอยู่ใกล้โรงพยาบาลไหน หรือชอบใจ มั่นใจโรงพยาบาลไหน ก็สามารถไปได้เลย เหมือนประกันเอกชนคอยดูแลสามารถเลือกไปโรงพยาบาลไหนก็ได้ นี่คือเวอร์ชันใหม่ เป็นเวอร์ชันที่เอาผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง ให้ประชาชนมีความสะดวก ไม่ใช่ให้ผู้ให้บริการมีความสะดวก นี่เป็นเรื่องใหม่มากๆ เป็นการยกระดับอย่างเห็นได้ชัด

ครม.เห็นชอบตั้งคณะกรรมการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ‘เศรษฐา’ นั่งประธาน ‘อุ๊งอิ๊ง’ รองฯ ‘หมอมิ้ง’ ประสาน

(13 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ประกาศเมื่อตอนหาเสียงไว้ว่า ซอฟต์พาวเวอร์นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยได้เล็งดำเนินการโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเราได้ปูเรื่องรายได้ว่ารายได้ขั้นต่ำของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นจำนวนเงิน 2 หมื่นบาทต่อเดือน และการสร้างตำแหน่งงานของแรงงานทักษะสูง 20 ล้านตำแหน่งไว้

“นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นรองประธาน, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษา และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการ โดยผู้ที่จะดำเนินการประสานงาน คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” นายสัตวแพทย์ชัย กล่าว 

เมื่อถามถึงการตั้ง น.ส.แพทองธาร มาเป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ จะให้ทำหน้าที่อะไรเป็นพิเศษ นายสัตวแพทย์ชัย กล่าวว่า คณะกรรมการนี้ น.ส.แพทองธาร จะเป็นรองประธาน ที่มีนายกฯ เป็นประธาน โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีบทบาทกำหนดแนวทาง รูปแบบ กติกา ว่าจะส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อดึงคนที่มีศักยภาพ และมีพรสวรรค์จากแต่ละครอบครัว ภายใต้วิธีการว่าจะเฟ้นหาอย่างไรต่อไป 

‘เศรษฐา’ พา ครม. ผ่านศึกแถลงนโยบายลื่นไหล คลอดนโยบาย ‘ลดราคาพลังงาน-พักหนี้’ ตามนัด

และแล้วรัฐบาลสูงยาวเข่าดี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็ได้ประเดิม ครม.นัดแรก วันที่ 13 ก.ย. เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว หลังจากที่ผ่านศึกแถลงนโยบาย 2 วันมาได้

ดังที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เคยเกริ่น ๆ มาบ้างแล้วว่า พรรคเพื่อไทยนั้นเป็นมวยเรื้อเวทีมา 9 ปีเต็ม ดังนั้นการกลับมาตึกไทยคู่ฟ้าอีกรอบในวันนี้จึงออกอาการเก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง บวกกับนโยบายที่ต้องลดโทนมาผสมผสานกันหลายพรรค กลายเป็นนโยบายไม่ตรงปก สองวันที่แถลงแทนที่จะเป็นฝ่ายขยี้ประเด็นนโยบายให้ได้ใจประชาชน สุดท้ายกลายเป็นเวทีที่เด็ก ๆ พรรคก้าวไกลเอาไปแจ้งเกิดแจ้งตายบนเวทีสภากันสลอน...

ดีที่เศรษฐาเป็นนายกฯ ชี้แจงพอจะรู้เรื่อง เป็นนายกฯ ที่อ่อนน้อมและไหว้สวย ช่วยทำให้ทุกอย่างมันพอลื่นไหลไปได้...

ไม่เท่านั้น ครม.นัดแรกมติต่าง ๆ ก็มาตามนัด ตั้งแต่เรื่องพักหนี้เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก 3 ปี ลดค่าไฟ-น้ำมัน พลังงาน และตั้งคณะกรรมการศึกษาประชามติตามรัฐธรรมนูญ โดยมอบให้ ‘บิ๊กอ้วน’ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ก็พอจะเป็นโมเมนต์ที่ดี ๆ อยู่พอประมาณ

ในส่วนของทีมงาน รัฐบาลเศรษฐาทยอยเปิดตัว โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม เลขานุการรัฐมนตรี เป็นไปตามโผที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เคยขานชื่อไว้คือ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สายตรงลุงตู่ พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ ‘บิ๊กเล็ก’ เตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 20 รุ่นเดียวกับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ส่วนที่ปรึกษารัฐมนตรีคือ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ‘บิ๊กอั๋น’ เตรียมทหารรุ่น 19 ก็เป็นอดีตเลขาธิการสมช. เหมือนกัน

งานนี้ต้องบอกว่า ท่านสุทิน คลังแสง สมุหกลาโหมโดนขนาบข้างด้วยอดีตเลขาธิการสมช. รับประกันซ่อมฟรีว่า งานการด้านความมั่นคงจะกล้าแกร่งอย่างแน่นอน ที่ลือ ๆ กันว่าจะให้นั่งขดังตาทัพแค่ 8-9 เดือนหรือไม่เกินปี ‘เล็ก เลียบด่วน’ ดูท่าว่าไม่น่าจะจริง น่าจะยาวโลดกว่านั้นแน่นอน

อ้อ ต้องขอกระซิบบอกท่าน ‘บิ๊กทิน’ ว่าดีแล้ว เป็นข่าวดีที่ ฯพณฯ ยืนยันว่า..สองพ่อลูกชินวัตรคือคุณพายัพ และนายพอพงษ์ ชินวัตร ไม่มีชื่ออยู่ในทีมที่ปรึกษา เพราะเมื่อ 3-4 วันก่อน มีชื่อหราอยู่ในคำสั่งไม่เป็นทางการว่า คุณพ่อจะเป็นประธานที่ปรึกษา คุณลูกจะเป็นเลขานุการประจำตัว ใครต่อใครออกมาต้านกันเจี๊ยวจ๊าว!!

ส่วนที่ท่านถือฤกษ์ 13.13.13 เข้าทำงานที่กระทรวง คือวันที่ 13 เวลา 13 นาฬิกา 13 นาที และเตรียมรายชื่อทีมที่ปรึกษาเบื้องต้นไว้ 13 คนนั้นก็ว่ากันไป คนไทยไม่ถือฝรั่งไม่เกี่ยว ขออย่างเดียว เราต้องเอี่ยวทั้งสหรัฐฯ และจีนให้เป็น และพัฒนากองทัพให้ทันสมัย ไม่ต้องไปติดกับดักคำว่าปฏิรูปของน้อง ๆ ก้าวไกลบางคนที่งัดตำราขึ้นมาท่องแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้…

อ้อ ปิดท้ายวันนี้ ถึงแม้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดที่ท่านชูรักแร้เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูว่าโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ดีเลิศประเสริฐศรีก็ตาม แต่บรรทัดนี้ขอแสดงความยินดีกับ สัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ หรือ ‘หมอชัย’ ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 91 ของพรรคเพื่อไทยมา ณ ที่นี้ด้วย

‘หมอชัย’ ใช่ใครอื่น คือนักธุรกิจขายอาหารสัตว์ เป็นนายกสมาคมอนุรักษ์และพัฒนาไก่พื้นเมืองไทย    ทั่วไปจะรู้จักในนาม ‘หมอชัย ไก่ชน’ แห่งสมาคมส่งเสริมไก่ชนไทย ที่มีทั้งแอ๊ด คาราบาว และเจ้าสัวซีพี  สิงสถิตอยู่นั่นแล…สวัสดี!!

เช็กโผ!! ‘ครม.’ ทยอยตั้ง ‘ที่ปรึกษารมต.-เลขานุการฯ’ ด้าน ‘ภูมิธรรม’ รักษาการฯ ‘นายกฯ-ต่างประเทศ’

(13 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 กันยายน 2566 มีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้…
1. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
2. นายธนรัช จงสุทธนามณี ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  
3. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป) 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ‘นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้…
1. นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
2. นายวัลลภ รุจิรากร ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป) 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ดังนี้…
1. นายกองตรี พิสิษฏ์ พิพัฒน์วิไลกุล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  
2. นายปัญญา ชวนบุญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)
3. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
4. นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)]   
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป) 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้...
1. นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 
2. นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอการแต่งตั้ง นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้…
1. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 
2. นาวาอากาศตรี พลเทพ สุนทโร ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป) 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ดังนี้…
1. นายสมคิด เชื้อคง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
2. นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
3. นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
4. นายชัย วัชรงค์ ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้…
1. นายมานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
2. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
3. นายณัฏฐ์พัฒน์ รัฐผไท ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง คือ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง  

ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเลื่อน นายลวรณ แสงสนิท อธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง แทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจากผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง 

ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดี (ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง (ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง 

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอการแต่งตั้ง พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้…
1. นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
2. นายกิตติ เชาวน์ดี ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ดังนี้…
1. นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์  ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2. นายวิศรุต ปู่เพ็ง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
3. นายนพ ชีวานันท์ ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
4. นายพิษณุ พลธี ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้…
1. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้...
1.1 นายภูมิธรรม เวชยชัย
1.2 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 
1.3 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร 
1.4 นายอนุทิน ชาญวีรกูล  
1.5 พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 
1.6 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน

‘พีระพันธุ์’ แจ้งข่าวดี ครม.เห็นชอบลดภาระปชช. เคาะดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ลดค่าไฟลง 30 สต.

‘พีระพันธุ์’ โพสต์แจ้งข่าวดี ครม.เห็นชอบกำหนดราคาดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ส่วนเบนซินจะคุมค่าการตลาดไม่ให้เกิน 2 บาทต่อลิตร เตรียมปรับลดเบนซินให้กลุ่มเปราะบางใช้ประกอบอาชีพ พร้อมปรับลดค่าไฟลง 30 สต. ตรึงราคาก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก.เหลือ 423 บาท

(13 ก.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงการลดราคาพลังงานว่า…

วันนี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตนได้เสนอเรื่องปรับลดราคาพลังงานต่อที่ประชุม ครม. ทันทีหลังเสร็จการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวาน โดย ครม.รับทราบและเห็นชอบกับแนวทางของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลังที่กำหนดให้น้ำมันดีเซลราคาไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท เบนซินเบื้องต้นจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบควบคุมค่าการตลาดไม่ให้เกิน 2 บาทต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารพลังงานอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ราคาเบนซินลดลงได้ในระดับหนึ่ง และจะร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาปรับลดราคาเบนซินให้กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้เบนซิน เพื่อการประกอบอาชีพที่เรียกว่ากลุ่มเปราะบาง เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และแท็กซี่ โดยเร่งด่วนต่อไป

ส่วนไฟฟ้าปรับลดจากราคาหน่วยละ 4.45 บาทเหลือ 4.10 บาท โดยจะดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปอีก เพื่อหาทางปรับลดราคาค่าไฟฟ้าให้เหลือไม่เกินหน่วยละ 4 บาท ส่วนก๊าซหุงต้มตามแนวโน้มตลาดโลกจะขึ้นทุกปลายปี เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวจะทำให้ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศไทยสูงตามไปด้วย แต่เราจะตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม ราคาเดิมต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นนโยบายของพรรค รทสช. เท่านั้น แต่บังเอิญตรงกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วย จึงสามารถดำเนินการให้เป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีและ ครม.ทุกท่านด้วย

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า แม้เรื่องนี้ในเบื้องต้นจะเป็นมาตรการระยะสั้น แต่เราก็ลงมือทำทันที ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ดังนั้น ขอให้มั่นใจว่า ตน และกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหาแนวทางและมาตรการอื่น ๆ ต่อไปเพื่อทำให้ราคาพลังงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมกับประชาชน และเพื่อสร้างเสถียรภาพความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนให้ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top