Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

ครม.ไฟเขียว เปลี่ยนระบบจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ออกเดือนละ 2 รอบ ลดพฤติกรรมกู้หนี้ยืมสิน

(13 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า “เรื่องที่ 7 เป็นเรื่องที่เราไม่เคยพูดคุยกัน ผมไม่ได้มีการแย้มถึงเรื่องนี้เลย แต่ผมตระหนักดีว่าเรื่องกระแสเงินสดของทุกคนในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงดำริให้เปลี่ยนการจ่ายเงินข้าราชการจากเดือนละ 1 รอบเป็นเดือนละ 2 รอบ”

“โดยรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งต้องมีการแก้ไขระบบอะไรหลายๆ อย่าง จึงทำเลยไม่ได้ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้เยอะพอสมควร ถ้ามีการจ่ายเงิน 2 รอบจะได้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องคอยให้ถึงสิ้นเดือนก็จะมีเงินแบ่งจ่ายออกมา” นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้าย

รู้จัก ‘ศิวพันธุ์ มานิตย์กุล’ มือพิฆาตหมิ่น 112 ยืนหยัดซัดสายหมิ่นด้วยกติกาที่เรียกว่า ‘กฎหมาย’

จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 66 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, MAYA Channel ช่อง 44, NAVY AM RADIO AM 720 kHz และวิทยุ KCS RADIO ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร บุญนาจเสวี ได้เชิญ คุณบูม ศิวพันธุ์ มานิตย์กุล นักออกแบบ ผลิต และนำเข้าเสื้อผ้า ผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน มาร่วมพูดคุย ในฐานะผู้สร้างสถิติการฟ้องร้องคดีผู้หมิ่นมาตรา 112 มากที่สุด ด้วยจำนวนถึง 9 คดี หากนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

โดยคุณบูม ถือเป็นมือฉมังในการแจ้งความคดี 112 ต่อผู้ที่ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ในพื้นที่ของ สภ.บางแก้ว-ศาลสมุทรปราการ ซึ่งมักจะอดทนไม่ได้กับผู้ที่ละเมิด 112 จาบจ้วงสถาบันฯ ทั้งในที่สาธารณะ และในโลกโซเชียลมีเดีย

“โดยนิสัยส่วนตัว ผมค่อนข้างจะเป็นบู๊ๆ อยู่แล้ว (ดูได้จากหน้าตา) เวลาเราพบเห็นการกระทำที่ไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะใด เราจะรู้สึกถึงความ ‘มากเกินไป’ และยิ่งมากขึ้นๆ จนลุกลาม มันบีบคั้นหัวใจเรานะ บีบคั้นหัวใจคนไทยที่ยึดมั่นในสถาบันฯ ฉะนั้นหากมีช่องทางด้านกฎหมาย ที่สามารถทำให้ชะลอหรือยุติปัญหาได้ เราก็ต้องใช้ช่องทางกฎหมาย”

คุณบูม เล่าว่า การใช้ช่องทางกฎหมายเพื่อจัดการผู้ละเมิดใน 112 นั้น ตัวเขาจะพยายามเก็บข้อมูลต่างๆ เอกสาร รูปภาพ ข้อความ หรือแม้แต่ในโซเชียล ก็มีโปรไฟล์และ URL ให้ตามเก็บเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งแรกๆ ก็งงๆ แต่พอทำไปสัก 2-3 ครั้งก็จะเริ่มเข้าใจวิธีการ ซึ่งง่ายต่อการที่เจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการต่อได้ดียิ่งขึ้น 

“ผมเป็นคนธรรมดานะ ไม่ใช่กลุ่มองค์กรใดๆ การกระทำของเรา ก็มาจากความอัดอั้น ภายใต้กติกาที่ถูกต้อง ซึ่งผมมองว่าคนไทยที่รักมั่นในสถาบันฯ ก็ย่อมคิดไม่ต่างกัน เปรียบเหมือนกับความศรัทธาในพุทธศาสนาแหละครับ หากมีใครมาหมิ่นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมาหยามตัวผมเหมือนกัน เป็นต้น ฉะนั้นผมก็ต้องแสดงออกตามกติกา โดยที่ผ่านมา ก็รับทราบได้พอสมควรว่ามีผู้ที่ต้องโทษและหนีคดีไปมากมาย”

เมื่อถามว่าหลายคนที่โดนคดีจากที่ คุณบูมฟ้อง รู้สึกอย่างไร? คุณบูม ตอบว่า “บางรายซึ่งเป็นญาติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของผู้หมิ่น แต่ต้องมาเจอหมายศาลวางไว้หน้าบ้าน ก็หดหู่นะ เพราะสิ่งที่เราเห็น คือ หลังจากนั้นคุณแม่ของผู้กระทำผิด เดินร้องไห้มาหา พนมมือ ขอโทษผม ซึ่งผมก็ตกใจและถามผมบอกคุณแม่เป็นอะไร? คุณแม่เขาก็บอกว่าเป็นแม่ของจําเลย ซึ่งผมก็ต้องอธิบายไปตามความจริงว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวระหว่างผู้ทำผิดกับผม แต่เป็นปัญหาของลูกคุณแม่กับกฎหมายของรัฐ พอท่านฟังท่านเข้าใจ แล้วก็เรียกน้องจำเลยมาฟังความจริง ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เข้าใจและยอมรับสารภาพ โดยไม่หวนกลับไปเชื่อทนายสิทธิที่มีแต่จะยื้อเพื่อให้ผู้ที่ทำผิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อยู่ในสภาพที่ไม่รอดคุก ส่วนจำเลยคนไหนที่แสบๆ และยังเถียงหัวชนฝา ผมบอกได้เลยว่า พออยู่หน้าศาล เรียบร้อยทุกคนครับ”

แน่นอนว่า หลังจากผันตัวมาเป็นประชาชนผู้ไม่ยอมต่อการหมิ่นประมาทสถาบันฯ ก็ทำให้ คุณบูม เริ่มสัมผัสประสบการณ์ทัวร์ลงเป็นระยะๆ  มีทั้งโพสต์ด่ามาทางโซเชียล / อินบ็อกซ์ / อีเมลล์ธุรกิจบ้าง ซึ่งคุณบูมมองว่า นี่คือการทำร้ายตัวเองล้วนๆ เพราะจากการเป็นผู้ฝักใฝ่ละเมิด 112 แล้ว ยังกลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแถมเข้าไปอีกคดี ซึ่งเรื่องคุณบูมเตือนว่า จะทำอะไรคงต้องคิดให้ดี เอาเวลาที่มีไปทำมาหากินเลี้ยงดูตนเองและพ่อแม่ดีกว่า

เมื่อถามว่า ทำไมถึงต้องมาทำอะไรเช่นนี้เอง? คุณบูมตอบว่า “สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่นะ แต่เพราะนี่คือประเทศของเรา ประเทศที่ถ้าไม่มีสถาบันฯ ความมั่นคงของประเทศจะอยู่ตรงไหน แล้วลูกหลานเราจะอยู่ยังไง ขณะที่ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นทหาร สิ่งที่ทำได้ ปกป้องชาติได้ จึงมีแค่วิธีนี้เท่านั้น”

คุณบูม กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ผู้ชมที่ติดตามสัมภาษณ์นี้อยู่ ก็คงมีทั้งคนรัก คนชัง และคนที่เฉยๆ ซึ่งผมเข้าใจดีว่าในช่วงของการเปลี่ยนรัชสมัย มันต้องใช้เวลาที่จะเปิดใจ และระหว่างทางเราจะพบเจอกับข่าวลือเยอะมาก อย่างคนรุ่นผมเองจะเข้าใจดี เพียงแต่สมัยนี้ข่าวลือ ข่าวปั่น ข่าวปล่อย และข่าวปลอม มันเยอะมาก คนที่จะเข้าใจความจริงได้ ต้องมีภูมิคุ้มกันสูง ต้องคิด วิเคราะห์ และมีความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย แล้วมองให้ออกว่าอะไรคือความเป็นจริง

“นั่นหมายความว่า เราต้องค้นหาความจริงให้เจอ ซึ่งทุกวันนี้เราค้นหาข้อมูลได้มากมาย เราสามารถพบเห็นภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในถิ่นทุรกันดารต่างๆ เพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้าน เราพบเห็นผลงานมากมายของท่าน และล่วงมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ทรงติดตามรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เยาว์วัย เรานี้มีหลักฐานประจักษ์ 

“แน่นอนว่า สังคมทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับเรื่องนินทา และเรื่องที่อยุติธรรมมากมาย ซึ่งจะเลือกเชื่อกันอย่างไรก็ตามแต่ละบุคคล แต่ผมมักพูดทุกครั้งว่า ไม่รักไม่ว่าแต่อย่าละเมิดกัน คุณก็มีสิทธิ์ของคุณ ผมก็มีสิทธิ์ของผม คุณไม่รัก ก็อย่ามาละเมิดสิทธิ์ความเชื่อและความรักของผม”

“ผมเชื่อมั่นว่าสถาบันกษัตริย์จะยังอยู่กับเมืองไทยไปอีกยาวนานแน่นอนครับ” คุณบูม ทิ้งท้าย

รับชมคลิปเต็มได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=LsLj5RYY5YM 

'ปิยบุตร' ติง 'ก้าวไกล' มุ่ง 'ประดิษฐ์โวหาร-อ่านโพย' มากไป แต่ยังดีมี 5 สส.โดดเด่น รอติดตามอภิปรายงบฯ ต่อ

(13 ก.ย. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แสดงความคิดเห็นภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา ที่เปิดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 วันที่ 11-12 กันยายน โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในการจัดเตรียมข้อมูลอภิปรายการแถลงนโยบายของ ครม.

นายปิยบุตรระบุว่า ขอตรวจการบ้านพรรคก้าวไกลในการอภิปรายการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี

3 ข้อชม

1.การแบ่งธีมประเด็นการอภิปรายเป็นหมวดหมู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยที่แล้ว
2.การสร้าง สส. ให้เป็นตัวแทนของแต่ละประเด็น ในอนาคตคงจะเห็น สส. อีกหลายคนขึ้นมาเติมในแต่ละประเด็นอีก
3.การเตรียมเนื้อหาและการจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ

2 ข้อติ

1.รอบนี้ติดใช้สำนวนโวหาร ตอด แซะ มากจนเกินไป การประดิษฐ์โวหารเพื่อดึงความน่าสนใจต้องมีอยู่บ้าง แต่ไม่ควรยึดเป็นเรื่องนำจนมากลบเนื้อหาหมด ต้องคิดจากเนื้อหาก่อน อย่าไปหลงคิดแต่ว่าต้องมีคำโวหารอะไรที่ฟาด ที่ปัง ที่สื่อจะเอาไปพาดหัวขยายผล

2.อ่านบทอภิปรายที่เตรียมมามากจนเกินไป จนไม่เป็นธรรมชาติ มี สส.ประมาณ 3 คนเท่านั้น ที่อภิปรายไหลลื่นโดยไม่ต้องจดจ่ออยู่กับกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์

ส่วน สส.ที่อภิปรายได้ดี ถ้าจัดได้ 5 คน (โดยตัด 3 สส.มืออภิปรายประจำของพรรคออกไปก่อนคือ ศิริกัญญา รังสิมันต์ วิโรจน์)

ก็ได้แก่

พริษฐ์ วัชรสินธุ
ชัยธวัช ตุลาธน
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์

รอติดตามการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ต่อไปครับ คาดว่าจะมี สส. หน้าใหม่แจ้งเกิดได้อีก อยากฝาก สส.ก้าวไกล ให้ลดเลิกความคิด ต้องหามุขหาคำให้ฟาดให้ปังลงไปบ้าง ถ้าเนื้อหาดีเสียอย่าง อย่างไรก็ปังโดยตัวมันเอง

แล้วก็พยายามลดเลิกการอ่านโพย ถ้าเราอินกับประเด็นนั้น ๆ ทำความเข้าใจมาอย่างดี ตระเตรียมมาเอง อย่างไรก็พูดได้จำได้ครับ

‘ดร.อนันต์’ ชื่นชม ‘ณัฐพล ก้าวไกล’ อภิปรายดี จบด้วยประโยคกินใจ ไม่ผิดหวังที่นั่งฟังจนจบ

(13 ก.ย. 66) ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"เนื้อหามีเหตุมีผล มีตรรกะให้คนฟังตามได้แบบไม่หลุด มีการให้ตัวอย่างประกอบชัดเจน มีการเสนอวิธีการแก้ไข วิพากษ์วิจารณ์ได้ตรงประเด็นแต่ไม่ก้าวร้าว จบการอภิปรายด้วยคำที่กินใจ...วันนี้ผมให้คะแนน สส. ท่านนี้สูงสุด ไม่ผิดหวังที่นั่งฟังจนจบ"

วัดใจ 'ครม.เศรษฐา 1' มุ่งแก้ 'ปากท้อง-ค่าครองชีพ' ทำได้ไว ไม่ติด แต่พันธกิจล้าง 'ผู้มีอิทธิพล-นักการเมืองตัวดี' ห้ามปล่อยไหล

สำหรับ นายหัวไทร ในนาทีนี้ นโยบายที่อยากให้รัฐบาลทำให้เข้มข้นจริงจัง และ ด่วนที่สุด คือ การปราบปรามยาเสพติด การลักลอบค้าของเถื่อน-หนีภาษี ปราบการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับ (ทั้งระดับนโยบาย-ปฏิบัติการ) ทำอย่างไรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตั้งแต่หน่วยงานเล็ก ๆ ระดับจังหวัด กรม กอง / อบต.เทศบาล อบจ.จะปราศจากการล็อกสเปก เล่นพรรคเล่นพวก / ฮั้วประมูล / เงินทอน ฯลฯ

ยิ่งปัญหาการพนันออนไลน์ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย นี่แหละที่เป็นที่มาของการสร้างผู้มีอิทธิพล

ไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน เพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอยู่แล้ว ส่วนน้ำมันแพงก็เป็นปัญหาพื้นฐานที่รัฐจะต้องเข้าไปรื้อโครงสร้างโน้นนี้นั้น เชื่อว่าไม่ยากที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาได้ เช่น โครงสร้างภาษี ค่าการคลั่น การนำเข้า-ส่งออก

เรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นเรื่องที่นักการเมืองไปหาเสียงรับปากกับประชาชนไว้เอง จะตั๋วใบเดียวขึ้นได้ทุกสายหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะต้องคิดแก้อยู่แล้ว แต่งานนี้ไม่อยากให้รัฐบาลควักเงินภาษีของคนทั้งประเทศ มาชดเชยการเดินทางของของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใครกินใครใช้ก็คนนั้นจ่าย แต่ต้องในอัตราที่เป็นธรรม ส่วนจะทำอย่างไร จะคุยกับเอกชนแบบไหน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพียงแต่ไม่อยากให้เอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาจ่ายแทนชดเชยให้เอกชน และรัฐบาลหยิบเอาไปอ้างเป็นผลงาน มันไม่ใช่ฝีมือครับ

เรื่องราคาสินค้าเกษตร ที่นายกรัฐมนตรี 'เศรษฐา ทวีสิน' พูดเองว่าจะไม่ใช้ประกันรายได้ตามนโยบายประชาธิปัตย์ และจะไม่รับจำนำ เหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ไม่ได้บอกว่าจะใช้มาตรการอะไร นอกจากพักหนี้พักดอก 'นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้' มันดูหลักลอยไปหน่อยกับการเล่นคำ สินค้าเกษตร 5 ตัวหลัก ข้าว, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มันสัมปะหลัง, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน คือพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ รัฐบาลจะใช้นวัตกรรมอะไร มาสร้างเสริม เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ไม่มีการบอกกล่าว

ปัญหาบางปัญหาเกี่ยวโยงกับนักการเมือง หรือพูดง่าย ๆ ว่า นักการเมืองนั่นแหละคือตัวดี ทำเสียเอง จึงเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

เอาแค่นี้ก่อน จริง ๆ มีปัญหาอีกมากมายที่คาราคาซังมายาวนาน แต่ขาดการเอาใจใส่ดูแลและแก้ไข เพราะบางปัญหามัน 'หยิกเล็กก็เจ็บเนื้อ'

'สรรเพชญ' สับรัฐบาลไม่จริงใจ 'กระจายอำนาจ' ไม่เห็นหัวท้องถิ่น  ชี้!! แค่ปล่อยวาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง หวังคะแนนเสียง

เมื่อวันที่ 12 ก.ย.66 ที่อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมอภิปรายวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2562 โดยระบุว่า...

“ต้องขอเรียนกับทุกท่านด้วยความเคารพอย่างตรงไปตรงมาว่า จากที่ได้อ่าน ได้ฟังนโยบาย เหมือนจะดูดี เหมือนจะเคลิบเคลิ้มตาม ว่านี่คือทิศทาง แนวทางการบริหารงานของท่าน ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แต่ภายใต้คำที่สวยหรู กลับเห็นอนาคตที่มืดมน ไร้ทิศทาง ในหลายๆ นโยบายที่ท่านได้หาเสียงไว้ เมื่อขมวดมาแล้ว กลับเห็นแต่นามธรรมกว้าง ๆ จับต้องไม่ได้”

สรรเพชญ ระบุต่อว่า “เท่าที่ทราบมา หลักการของการ กระจายอำนาจ คือ การลดบทบาท อำนาจภารกิจ หน้าที่ของรัฐส่วนกลาง รวมทั้งรัฐส่วนภูมิภาคลง และเอาอำนาจนั้นไปเพิ่มศักยภาพให้กับท้องถิ่น ทั้งในเรื่องงบประมาณ และทรัพยากรให้เขาสามารถดูแลตนเอง แต่เมื่อฟังท่าน แถลงนโยบายเรื่องผู้ว่า CEO  แล้ว เหมือนเป็นการสนับสนุนต่อยอดการกระจายอำนาจของไทยให้พัฒนาขึ้น แต่ผมคิดว่าตรงนี้ท่านอาจเข้าใจผิด สับสน หรืออาจแกล้งสับสน ที่กระผมพูดเช่นนี้ เพราะว่า แนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO มันคือโลกคู่ขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน ไม่เชื่อท่านลองขีดเส้น 2 เส้นดู อย่างที่ผมนำเรียนครับ มันเป็นคนละเรื่อง คนละหลักการกัน เนื่องจากแนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO คือ การบริหารงานแบบเอกชน แบบบริษัท ที่รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่เบอร์หนึ่งของจังหวัด อำนาจรัฐที่มันกระจุกตัวไปที่ผู้ว่า CEO เช่นนี้ มันไม่ใช่การกระจายอำนาจ หากแต่มันเป็นการขยายอำนาจรัฐส่วนกลาง ไปสู่ส่วนภูมิภาคให้กว้างขึ้น”

นายสรรเพชญ ได้กล่าวต่อว่า “มาถึงตอนนี้เราสามารถสรุปได้ไหมครับ ว่านโยบายหาเสียงของท่านมันเป็นเพียงวาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง เพื่อคะแนนเสียง เพราะท่านบอกว่าจะท่านจะเลือกตั้งผู้ว่าในจังหวัดที่มีความพร้อม ท่านบอกว่าท่านจะยกระดับพื้นที่เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ๆ แต่ภายหลังที่ท่านได้รับโอกาส ให้จัดตั้งรัฐบาล กลับไม่ปรากฏนโยบายเหล่านี้ ในการแถลงของท่านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำท่านยังจะทำเรื่องที่ตรงกันข้าม ไม่ต่อยอดการกระจายอำนาจไม่ว่า แต่ท่านกลับกระจุกอำนาจ และรวมศูนย์อำนาจ ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง กระผมชักไม่แน่ใจ หากจะใช้คำว่า ‘โกหกประชาชน’ ได้หรือไม่ หรือคำว่า ‘โกหก’ มันอาจน้อยไปสำหรับท่าน”

นายสรรเพชญได้ยกตัวอย่างสถิติงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เห็นความพยายามผลักดัน การกระจายอำนาจในประเทศไทย ผ่านการจัดสรรงบประมาณสู่ท้องถิ่น โดยกล่าวว่า “ผมอยากให้ดูสถิติที่น่าสังเวชใจครับท่านประธาน เกือบ 30 ปี ที่เรามุ่งผลักดันการกระจายอำนาจมา เราสามารถจัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ไม่ถึง 30% ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความมุ่งหมายของกฎหมายกระจายอำนาจต้องการให้ทะลุเพดาน คือ 35% สิ่งที่ท่านกลัว คือ ท่านกลัวว่าถ้ากระจายอำนาจให้ท้องถิ่น คือความสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีการทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้น แต่จากฐานข้อมูลงานวิจัยในปี 2564 พบว่าการทุจริตของ อปท. นั้นสร้างความเสียหายน้อยกว่าส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และรัฐวิสาหกิจ ขณะที่งบการเงินของท้องถิ่นได้รับการรับรองจาก สตง. ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาครัฐ / รัฐวิสาหกิจ ด้วยซ้ำไป” 

อย่างไรก็ตาม นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้ายโดยสรุปว่า "ตนยังมีความหวังอยู่ริบหรี่ ว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้าไม่นานนี้ จะนำเอาวาระเรื่องการกระจายอำนาจ เข้าไปเป็นวาระหลักวาระหนึ่ง ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันว่าท้องถิ่นในยุคต่อไปจะได้รับการเอาใจใส่ และมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด”

‘สุริยะ’ เร่งผลักดันนโยบาย 'รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ทุกเส้นทาง ภายใน 3 เดือน ขอนำร่อง ‘สายสีม่วง-แดง’ ก่อน ส่วนที่เหลือขอเวลา 2 ปี

(12 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ชี้แจงกรณีรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 2 ว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ส่วนระยะเวลาที่เห็นผลเป็นรูปธรรมนั้น เนื่องจากแต่ละเส้นทางมีระบบแตกต่างกัน ทั้งเรื่องการให้สัมปทานเอกชน บางเส้นทางรัฐดำเนินการเอง หรือบางเส้นทางให้ กทม.ทำ ดังนั้น การให้เก็บ 20 บาทตลอดสาย เท่ากันทุกเส้นทาง ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาเจรจาและวางระบบเทคนิคการทำตั๋วร่วมเป็นระบบเดียวกัน ต้องวางระบบคอมพิวเตอร์ให้เทคนิคเหมือนกัน ทั้งนี้ เส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองคือ สายสีแดงกับสายสีม่วง จะดำเนินการทันที เพราะกระทรวงคมนาคมทำเอง ภายใน 3 เดือน ประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้า 2 เส้นทางนี้ 20 บาทตลอดสาย

"ภายใน 2 ปี ประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้าทุกเส้นทาง 20 บาทตลอดสาย การที่ไม่สามารถเห็นผลได้ทันที เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการเจรจา และวางระบบตั๋วร่วม นโยบายนี้จะทำเพื่อคนทุกกลุ่ม นอกจากช่วยคนรายได้น้อย ยังช่วยให้คนใช้รถยนต์มาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ลดปัญหามลพิษ" นายสุริยะ กล่าว

รมว.คมนาคม กล่าวต่อว่า ส่วนการคำนวณราคาค่าโดยสารนั้น ขอยกตัวอย่าง หากอยู่รังสิตจะมากรุงเทพฯ ชั้นใน ที่สยาม ก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงมาลงที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ มาต่อสายสีน้ำเงินที่จตุจักร และต่อสายสีเขียวไปที่สยาม จากปัจจุบันค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 108 บาท แต่ถ้านโยบายสำเร็จ จะจ่ายค่าโดยสารแค่ 20 บาทตลอดสาย

'รมช.คลัง' รับ!! เงินไม่พอทำ 'สวัสดิการถ้วนหน้า' ชี้!! 'ภาษีที่จัดเก็บได้ยังห่างไกล-รัฐต้องคุมวินัยคลัง'

(12 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลุกขึ้นชี้แจงถึงนโยบายพักหนี้เกษตรกร ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า เรื่องการเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรก จะมีเรื่องการพักหนี้เข้าสู่ที่ประชุมเป็นเรื่องเร่งด่วนจะทำให้ได้ในไตรมาสสี่ปีนี้ โดยเป็นการพักหนี้ทั้งต้นและดอก พร้อมแผนสร้างรายได้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างปลูกและผลิตตามที่ตลาดโลกต้องการ และการพักหนี้ทั้งต้นทั้งดอกนี้จะทำให้เกษตรกรมีแรงทำมาหากินสร้างรายได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง เช่น การใช้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ดิน ลดจำนวนปุ๋ยเคมีและเพิ่มผลผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ ส่วนเรื่องการใช้ดาต้าเข้ามาสนับสนุนการเพาะปลูกนั้น เราจำเป็นต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกษตรกรทั่วไป

นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องหมูเถื่อนที่เข้ามานั้น ตนได้รับฟังปัญหานี้มาก่อนแล้วเป็นปัญหาใหญ่ที่ลามไปทั่วประเทศจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อหาแผนสั่งการต่อไป ขณะที่เรื่องของรายได้ครูและข้าราชการนั้นถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการดูแลประชาชน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญ และรับปากว่าจะไปดูแลเรื่องรายได้ให้เหมาะสมกับงบประมาณโดยรักษาไว้ซึ่งวินัยการเงินการคลัง

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า การแก้ปัญหาการพักหนี้เกษตรกร สมาชิกหลายท่านอภิปรายให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตนในฐานะรมช.คลัง รวมถึงนายกฯ เน้นย้ำการเดินหน้าเรื่องการพักหนี้ เราเตรียมการล่วงหน้าไปมากแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าภายในไตรมาสนี้จะเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องการพักหนี้เกษตรได้ การพักหนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะต่อชีวิตให้พี่น้องภาคการเกษตร หลังจากนั้นรัฐบาลจะมีโครงการอีกจำนวนมาก พร้อมกับวางเป้าเพิ่มมูลค่าทางเกษตรภายใน 4 ปี เพื่อให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง รวมถึงจะมีการเจรจาการค้าเอฟทีเอกับหลายๆประเทศเพื่อเปิดประตูการค้า เพราะรัฐบาลมองสถานการณ์เอญนีโญที่จะเกิดขึ้นเป็นโอกาส เพราะจะเกิดภาวะขาดแคลนด้านอาหารจำนวนมากในโลก ถ้าประเทศไทยสร้างความแข็งแกร่งด้านการเกษตรได้ เราจะกลับมาเป็นครัวโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ เกษตรกรจะลืมตาอ้าปากได้

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการพูดถึงสวัสดิการถ้วนหน้า เราต้องตื่นจากความฝันและอยู่กับความเป็นจริง เนื่องจากจีดีพีของไทยต่ำกว่าประเทศที่ทำสวัสดิการถ้วนหน้ามาก ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่การจัดเก็บภาษี ยังไม่สามารถอยู่ในจุดที่เราจะทำสวัสดิการถ้วนหน้าได้จริงๆ เราเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลกันมาช่วงหนึ่ง ทราบดีว่าข้อจำกัดคืออะไร ตนอยากถามกลับว่าหากท่านต้องการให้ทำสวัสดิการถ้วนหน้า ท่านคาดว่าจะเอางบประมาณมาจากไหน หรือท่านจะเอาเงินมาจากการขายทรัพย์สินของรัฐมาทำสวัสดิการถ้วนหน้า หรือจะขายกองทุน กู้แบงก์ แต่สำหรับรัฐบาลนี้เราตระหนักเรื่องวินัยการเงิน การคลัง ฉะนั้น เราคงจะทำแบบนั้นไม่ได้

“ด้วยภาระของรัฐบาลปัจจุบันหากทำสวัสดิการถ้วนหน้าจะเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีงบประมาณมากเพียงพอ ที่จะรองรับการจัดสวัสดิการถ้วนหน้า สิ่งสำคัญที่ทุกท่านทราบคือรัฐจะต้องจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลมีความตั้งใจเดินหน้าสวัสดิการโดยรัฐให้กับประชาชนในระดับที่เหมาะสม และจะทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน” รมช.คลัง กล่าว

‘บิ๊กทิน’ เข้า ‘กลาโหม’ วันที่ 13 เวลา 13.13.13 น. พร้อมสักการะศาลหลักเมือง-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงฯ

(12 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 13 ก.ย.66 นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมจะเข้ากระทรวงเป็นวันแรก โดยเดินทางมายังศาลหลักเมืองในเวลา 12.45 น. เพื่อทำพิธีสักการะศาลหลักเมือง จากนั้นเดินทางเข้าไปภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกลาโหม

จากนั้นขบวนรถ รมว.กลาโหม จะเคลื่อนขบวนจากศาลหลักเมือง เข้าประตูหน้ากระทรวงกลาโหม โดยมีทหารกองรักษาการ ยืนแถวจากนั้นให้พลแตรเป่าเคารพ ขณะที่รถของรมว.กลาโหม เคลื่อนเข้าประตูกระทรวงกลาโหม ในเวลา 13 นาฬิกา 13 นาที 13 วินาที (13.13.13. น.) 

เวลา 13.45 น. พิธีถวายราชสักการะและถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในศาลาว่าการกลาโหม

เวลา 14.00 น. พิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ ณ ลานอเนกประสงค์ ในศาลาว่าการกลาโหม

เวลา 14.30 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม ณ ห้องภาณุรังษี

จากนั้นจะเดินทางไปยังกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) ปากเกร็ด เพื่อไปถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่5 

สำหรับนายสุทิน คลังแสง เป็นรมว.กลาโหม ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ที่เรียกว่า รมว.กลาโหม เป็นคน 42 เพราะก่อนหน้าเป็นเสนาบดีกลาโหม เป็น รมว.กลาโหมพลเรือนคนที่ 6 ต่อจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.กลาโหม

'ศาสตรา' ชี้!! ท่องเที่ยวไทย 8 เดือนแรก โกย นทท.18 ล้านแล้ว แนะ!! จากนี้รัฐต้องเกาให้ถูกที่คัน อย่าเดินผิดทาง เป้าหมายไม่หลุด

(12 ก.ย. 66) นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘นายศาสตรา ศรีปาน - Sarttra Sripan’ ถึงสภาพการท่องเที่ยวไทย 8 เดือนแรกของปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาทะลุ 18 ล้านคนแล้ว โดยระบุว่า…

#ท่องเที่ยวไทยลุงตู่ทำไว้8เดือนแรก18ล้านคนจะทะลุเป้าแล้ว เมื่อวานผมได้ฟังนายกฯ ได้แถลงนโยบายเรื่องการท่องเที่ยว เนื่องจากมีเวลาที่จำกัดผมจึงไม่ได้อภิปราย 

ผมจึงขอเพิ่มเติมดังนี้

ด่านยังมีปัญหาเรื่องการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว และประชาชนคนไทย ยังมีการเรียกเก็บส่วยเข้าออก ? 

ค่าเหยียบแผ่นดินที่สามารถ นำเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศได้ เป็นค่าประกันรักษา บำรุงธรรมชาติ รวมถึงนำมาใช้เพื่อซ่อมแซ่ม สร้างสถานที่ท่องเที่ยวใน จ.สงขลา และทั่วประเทศ (ดูแลการท่องเที่ยวไทยด้วยตัวเอง) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งตัดสินใจ

Soft power ผมรู้สึกว่ารัฐให้ความสนใจมากแต่ยังเดินผิดทาง การทำงานยังไม่มีกึ๋นเท่าไหร่ โฆษณาแบบ direct sale ไม่ใช่การสอดแทรก ซึมซับ แทรกซึม ซึ่งถ้านำเอาไอเดียความสามารถในคนของเราที่เก่งด้านนี้จริง ๆ ที่เป็นสายครีเอทีฟ ทำหนัง ละคร ทำเพลง บวกงบประมาณจากรัฐลงไปมากกว่านี้ สามารถทำให้การท่องเที่ยวไทยไปไกล

Visa ฟรี ในประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เห็นด้วย แต่ต้องระวังผลกระทบที่ตามมา ด้านความมั่นคง คุณเศรษฐาต้องป้องกัน ทุนจีน ที่มาทำการท่องเที่ยวในไทยที่เราเรียก ‘ทัวว์ศูนย์เหรียญ’ รอยรั่วของการท่องเที่ยวไทย เงินไม่ตกถึงมือชาวบ้าน

ควรมี Visa ตามเทรนด์ เช่น workation visa 2 ปี คนมาทำงานด้วยพักผ่อนด้วย กรุงเทพคือเป้าหมายอันดับ 1 ของโลก แต่ visa ไม่อำนวยให้นักท่องเที่ยวอยากมา

ควรมี T visa (อันนี้ผมไปดูของเกาหลีมา ใช้ชื่อ K visa) เป็นวีซ่าที่ ให้คนสนใจมาเรียนรู้วัฒนธรรม เกาหลี 2 ปี เช่นเต้น k pop เรียนร้องเพลง เพิ่มยอดนักท่องเที่ยว ของเราก็มวยไทยไง production เราก็สุดเบอร์ แต่ราคาถูกมาก ถ้าดึงทั้งฝั่ง Southeast Asia เข้ามาที่นี่ประเทศไทย จะเกิดเงินหมุนเวียนมหาศาล

‘Sharing economy’ เช่น grab ผู้มีอำนาจควรฟันธงได้แล้ว

Home stay หรือ โรงแรมขนาดเล็ก ควรให้โอกาส Airbnb ควรผลักดัน หรือไม่? เพราะเงินเข้ากระเป๋าชาวบ้านโดยตรง

สร้างสนามบินอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้การท่องเที่ยวดีขึ้น อย่างเต็มประสิทธิภาพ ต้องทำทั้งระบบร้อยเรียงกัน หันมาดูคนตัวเล็ก ผับ บาร์ สถานบันเทิง ความปลอดภัย

ให้ความสำคัญจริง ทำให้จริง เกาให้ถูกที่คันครับ ตั้งเป้าหมายให้ไกลกว่านี้เพื่อเอาเงินเข้าประเทศปากท้องเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ที่ตั้งเป้าไว้ 20-25 ล้านคนยังไงก็เกินเป้า #เพราะที่ลุงตู่ทำไว้8เดือนแรกปีนี้ก็18ล้านคนเข้าไปแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top