Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

‘อนุทิน’ ตั้ง คกก. ลุยสอบโครงการฮั้วประมูล ‘กำนันนก’ ลั่น!! ใครมีเอี่ยว เอาผิดตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

(18 ก.ย. 66) ที่ รร.รามาการ์เด้นส์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบโครงการที่อาจเข้าข่ายฮั้วประมูล ที่มีความเกี่ยวข้องกับนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’ ว่า ตนเชื่อว่าคดีดังกล่าวจะนำมาสู่การขยายผล ตอนนี้จะต้องตรวจสอบโครงการต่าง ๆ ทั้งหมดของกระทรวงมหาดไทย ว่าตรงไหนเข้าข่ายฮั้วประมูล ซึ่งตนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาและลุยเรื่องนี้

ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว แต่ในทางราชการมีข้อเสียว่าต้องมีหลักฐานมาประกอบ จะใช้ความรู้สึกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท้าทาย เป็นสิ่งที่ยาก และจำเป็นต้องขอข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นต้น ขณะนี้โครงการใหญ่ ๆ ได้รับการร้องเรียนเป็นจำนวนมากบางโครงการมีการทักท้วงแล้วแต่ยังเดินหน้าโครงการต่อ ซึ่งเราจะเข้าไปดำเนินการ ยืนยันว่าตนจะพยายามดำเนินการด้วยการหาพยานหลักฐานต่าง ๆ ว่ามีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ขณะนี้ยังไม่ได้ลงในรายละเอียด แต่ผมมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบ เร่งรัดให้การตรวจสอบเกิดขึ้นโดยเร็ว

เมื่อถามว่าถ้ามีคนในเข้าไปเกี่ยวข้อง จะมีการคาดโทษหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการทุจริตจะทำเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมีคนเข้ามาเอี่ยว

เมื่อถามว่าจะวางแนวทางการป้องกันในอนาคตอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด สิ่งใดไม่ดีต้องใช้กฎหมายดำเนินการให้เฉียบขาดโดยเร็วที่สุด ซึ่งคดีทุจริตไม่มีอายุความ 

'ชาดา' เดินหน้าปราบผู้มีอิทธิพล เร่งทำบัญชีแยกสีแดงเหลือง  วอน!! ให้เวลา 'เจ้าหน้าที่' ทำงาน ขอทุกคนใจเย็นๆ

(18 ก.ย. 66) ที่ รร.รามาการ์เดนส์ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ทั่วประเทศว่า ขณะนี้ได้ตั้งกรรมการโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทยเป็นประธาน ตนเป็นรองประธาน และมีปลัดกระทรวงเป็นคณะกรรมการ โดยจะมีการรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศก่อน และตรวจสอบดูว่ายังมีอิทธิพลอยู่หรือไม่ และมาตรวจสอบว่าในพื้นที่มีผู้มีอิทธิพลรายใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ โดยจะแบ่งพื้นที่เป็นสีแดงและสีเหลืองเพื่อทำข้อมูลใหม่ โดยจะเน้นย้ำถึงความเป็นธรรมกับผู้ที่ไม่ได้มีอิทธิพล ทั้งนี้ คดีของกำนันนก ทำให้ต้องตรวจสอบกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศก่อน

“ผู้มีอิทธิพลที่พฤติกรรมไม่ดีมีหลายรูปแบบ บางคนไม่ได้มีตำแหน่งแต่มีอิทธิพล แต่บางคนมีอิทธิพลมากถึงขั้นแต่งตั้งนักการเมืองได้ ก็จะต้องตรวจสอบไปตามขั้นตอน ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ” นายชาดา กล่าว

เมื่อถามว่าการตรวจสอบผู้มีอิทธิพลในจ.อุทัยธานี เป็นอย่างไร? นายชาดา กล่าวว่า จบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการแบ่งพื้นที่เป็นสีแดงและสีเหลืองเรียบร้อย โดยสีแดงนั้นมีน้อยมาก เมื่อถามต่อว่า ในพื้นที่จ.นครปฐมจะเป็นจุดต่อไปที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า ตรวจพร้อมกันทั่วประเทศทั้งหมด ส่วนจะมีการเปิดรายชื่อผู้มีอิทธิพลหรือไม่นั้น ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เนื่องจากกฎหมายไม่เหมือนสมัยก่อน เพราะมีกฎหมายป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล หากมีรายชื่อหลุดไปอาจจะถูกฟ้องร้องได้

เมื่อถามถึงการตั้งกรอบระยะเวลาการทำบัญชีสีแดงและสีเหลือง? นายชาดา กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่จ.อุทัยธานีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในหลายจังหวัดก็จบแล้ว การทำงานไม่ได้อยู่ที่กระทรวงมหาดไทยอย่างเดียว แต่มีกระทรวงอื่นมาร่วมทำงานด้วยเบื้องต้นสามารถรวบรวมข้อมูลได้ 20-30% แล้ว ซึ่งตนเองจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ขออย่าไปบีบเจ้าหน้าที่ให้เร่งทำงาน

เมื่อถามว่ากังวลไหมว่าผู้มีอิทธิพลจะเข้ามาแทรกแซง? นายชาดา ย้อนถามกลับว่า “ใครจะมาใหญ่กว่าผม” พร้อมหัวเราะแล้วบอกว่า “ผมตัวใหญ่” 

‘มท.1’ กร้าว!! จะใช้กลไกอำนาจรัฐเพื่อบ้านเมือง เร่งปราบมาเฟีย - กำจัดผู้มีอิทธิพลให้สิ้นซาก

(18 ก.ย. 66) ที่ รร.รามาการ์เดนส์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่งถึงนโยบายการจัดระเบียบสังคมและผู้มีอิทธิพลว่า เมื่อพูดถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล คนส่วนใหญ่คิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร เราต้องมาตั้งหลักกันใหม่ สำหรับกระทรวงมหาดไทย ผู้มีอิทธิพลหมายถึงคนที่ใช้อำนาจที่มีอยู่ในทางมิชอบ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเลงหัวไม้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอันธพาล คนดี ๆ แบบนี้ที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ ข่มเหงคนอื่น และก่อประโยชน์ส่วนตน ทำให้คนอื่นเดือดร้อน กีดกันคนอื่นไม่ให้ได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจบารมีในท้องถิ่น อำนาจเงิน และอำนาจสายสัมพันธ์ต่าง ๆ ถ้าใช้อิทธิพลประกอบคุณงามความดี เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ แต่ใช้อิทธิพลก่อให้เกิดความเดือดร้อน เสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ นี่คือสิ่งที่ต้องกำจัด หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยมุ่งจัดระเบียบสังคมให้สงบสุข ทำบ้านเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดอบายมุข ยาเสพติด ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง สิ่งใดที่ขัดต่อความมุ่งหมายนี้ เราจะใช้กลไกของรัฐที่พวกท่านทั้งหลายถืออยู่ในมือต้องกำจัดให้สิ้นซากไป

นายอนุทิน กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของรัฐบาลว่า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าไม่ใช่เงินสด มันมีวงเงิน เป็นการใช้ที่มีข้อกำหนด เช่น ใช้ในรัศมี 4 กม. แต่อาจจะเพิ่มเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอก็ว่าไปตามความเหมาะสม ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังดำเนินการอยู่ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้หาเสียงเรื่องนี้เอาไว้ เราก็ต้องเข้าใจ ตนก็เคยหาเสียงมาก่อนในส่วนของตน เมื่อเราหาเสียงอะไรแล้ว หน้าที่คือต้องทำให้สำเร็จ ถ้าหาเสียงมาแล้วไม่ทำเท่ากับเราหลอกลวงประชาชน ที่เราเข้ามาทุกวันนี้ได้เพราะไปสัญญากับประชาชนไว้ ที่บอกว่าสิ่งนี้ทำไม่ได้ เป็นการมอมเมาประชาชน เราก็มองว่าต่างคนต่างความคิด แต่เราก็น้อมรับรับฟัง ถ้าคิดโดยหลักการมันก็เป็นเงินบาท ซื้อของไทย ใช้ของไทย หมุนเวียนอยู่ในระบบของเรา และต้องสร้างการป้องกันเพื่อป้องกันการหักหัวคิวด้วย เราจะปล่อยให้เกิดไม่ได้

“ผมชื่อเล่นชื่อหนู ภารกิจของท่านคือราชสีห์ แต่สำหรับผมราชสีห์คือประชาชน ให้หนูช่วยเถอะครับ อะไรที่ติดขัดก็มาบอก แล้วก่อให้เกิดผลประโยชน์ประชาชน ผมยินดีทำและรับผิดชอบร่วมกับ พวกเราทุกคนไปช่วยราชสีห์กัน ราชสีห์ก็คงไม่ตะปบเรา ราชสีห์ก็คงอยู่กับเราด้วยความสง่างาม ด้วยความสมบูรณ์ เราก็เป็นหนูที่ช่วยราชสีห์ มันก็อยู่กันได้ด้วยความสุข ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ในนิทานอีสปหรอกครับ” นายอนุทิน กล่าว

'พงศ์พล' ไม่ติด 'รองอ๋อง' เบิก 1.3 ล้านบาททัวร์สิงคโปร์ แค่ถาม "นอนหลับสบายดีมั้ย บนภาระภาษีพี่น้องคนไทย?"

(18 ก.ย. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษก พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'หรูหราภาษีหลวง' ระบุว่า ...

ท่านรองจองที่พัก '12,500 ต่อคืน'

ตามเอกสารส่งสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนฯ วันที่ 11 ก.ย. 66 ... ปรากฏการเบิกงบทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท เพื่อให้รองประธานสภา และ สส. 6 คน ไปดูงานสิงคโปร์ ในเรื่องที่ไม่มีวาระเร่งด่วนอย่างใด เช่น ดูระบบสารสนเทศ ส่องระบบแรงงาน ชมสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ... เอาง่ายๆ ก็คือ ไปเที่ยว

เอาล่ะไม่เป็นไร เค้าอาจจะอยากพักผ่อนสันทนาการ ตามประสานักการเมืองใหญ่ ... จุดสำคัญที่ผิดสังเกต และเพิกเฉยไม่ได้คือ ค่าใช้จ่ายเกินจริงของทริป เช่น...

>> ที่พักหรู 4 คืน "คืนละ 1.25 หมื่น" รวมเป็น 5หมื่นบาทต่อคน
ทั้งๆ ที่โรงแรมคืนละ 1-2 พัน ก็อยู่ได้สบายใจกลางเมืองสิงคโปร์
เงินจำนวนนี้คนไทยทั่วไปไม่มีฐานะ เค้าสามารถเช่าที่ซุกหัวนอนได้ทั้งปี

>> ตั๋วเครื่องบินหรู 51,250 บาท ต่อคน
ทั้งที่บินไปใกล้ๆ แค่สิงคโปร์ ราคาตั๋วธรรมดาทั่วไปอยู่ที่ 4 พัน
(คนทั่วไปสามารถบินไปกลับ ได้เป็น 10 รอบ)

นี่คือความเท่าเทียมแบบไหน ... พูลวิลล่า ปาร์ตี้ จิบไวน์พรีเมี่ยมบนเครื่องบิน วิวดีที่เซ็นโตซ่า 

พวกคุณนอนหลับสบายดีมั้ย ... บนภาระภาษีพี่น้องคนไทย?

‘ชวน-นิพนธ์’ มอบเงินช่วยเหลือ-ตามติดการเยียวยาชาวมูโนะ วอนหน่วยงานเกี่ยวข้อง ช่วยเหลืออย่าง ‘เป็นธรรม-ทั่วถึง’

(17 ก.ย. 66) นายชวน หลีกภัย สส.พรรคประชาธิปัตย์, นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรประชาธิปัตย์, นายก อบต.มูโนะ, กำนันตำบลมูโนะ, นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุโกดังพลุระเบิด และโรงเรียนบ้านมูโนะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาและเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบ

นายนิพนธ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มาติดตามความคืบหน้าในการดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวมูโนะ และให้กำลังใจ หลังจากที่ได้ลงมาก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์ โดยมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้นำเงินมาเยียวยาและมอบผ่านไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ซึ่งบัดนี้ระยะเวลาผ่านไปพอสมควร และจากการสอบถามจากท่านนายก อบต. และท่านกำนัน ทราบว่าหลังจากนี้จะต้องมีการติดตามการดูแลเยียวยาให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม และดูแลเกณฑ์ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะต้องเป็นอย่างรวดเร็ว

นายนิพนธ์ ยังกล่าวอีกว่า เราต้องมองวิกฤตเป็นโอกาส โดยการเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้เป็นศูนย์กลางการค้าการขายของมูโนะ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของมูโนะ จัดวางผังรองรับความเจริญ พร้อมทั้งการจัดการป้องกันน้ำท่วมไปด้วยในคราวเดียวกันเนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่น้ำท่วมทุกปี

ด้านนายชวน หลีกภัย ได้กล่าวถึงการช่วยเหลือตั้งแต่เกิดเหตุ ว่า ได้ติดตามและขอบคุณในการช่วยเหลือจากทุกระดับที่ลงมาในพื้นที่ทั้งท้องถิ่นและดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย

จากนั้น นายชวน หลีกภัย และคณะได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านโนะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากพลุระเบิดเช่นเดียวกัน โดยได้มอบเงินจากมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ให้กับ ผอ.โรงเรียน จำนวน 20,000 บาท และมอบให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตซึ่งผู้เสียชีวิตนั้นเป็นอดีตกรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ อีก 20,000 บาท รวมจำนวนเงินที่มอบให้ทั้งสิ้น 230,000 บาท

‘ชลน่าน’ เปิดศูนย์ทันตกรรม-ไตเทียม รพ.วัดสมานรัตนาราม ตั้งเป้าขยายศูนย์บริการ ชู รพ.แพทย์แผนไทย รองรับอีอีซี

(17 ก.ย. 66) ที่โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) จังหวัดฉะเชิงเทรา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) พร้อมตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สาขาเขตสุขภาพที่ 6 ว่า…

จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการก่อสร้างโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ให้ได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน เท่าเทียม มีความเสมอภาค รวมถึงรองรับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และยังมีโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่จะช่วยในมิติการให้บริการประชาชนสมบูรณ์มากขึ้น โดยนำภูมิปัญญาไทยมาสร้างเสริมสุขภาพ

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า รพ.วัดสมานรัตนาราม เป็น รพ.ขนาด 150 เตียง ได้รับการสนับสนุนจาก ท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม รวบรวมงบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธากว่า 1 พันล้านบาท ก่อสร้างบนพื้นที่ 4 ไร่เศษ มีพื้นที่ใช้สอย 38,000 ตารางเมตร อยู่ห่างจาก รพ.พุทธโสธร 15 กิโลเมตร เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค 2563

ประกอบด้วย แผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ เภสัชกรรม เวชระเบียน และงานประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันได้เพิ่มบริการศูนย์ไตเทียม จำนวน 5 เตียง ตั้งเป้าขยายบริการเป็น 24 เตียง

โดยมี รพ.พุทธโสธร สนับสนุนบุคลากรแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุข มูลนิธิ รพ.วัดสมานรัตนาราม สนับสนุนเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงได้รับงบประมาณสนับสนุนบางส่วนจากสำนักงานเขตสุขภาพที่ 6

สำหรับ รพ.การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน สาขาเขตสุขภาพที่ 6 อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา ฟื้นฟู ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐาน

รวมทั้งศึกษา วิเคราะห์ วิจัย สร้างนวัตกรรม และพัฒนางานวิชาการในจังหวัดรับผิดชอบและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจากการเปิดให้บริการมาพบว่า ผู้ป่วยและประชาชนสนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมีแนวคิดที่จะเปิดบริการเพิ่มให้ครบทุกเขตสุขภาพ

‘เศรษฐา’ ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้าลดลงใน 1 ปี ยกเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมผนึกกำลังถกแผนปราบปรามเร่งด่วน

นายกฯ ประกาศขจัดวงจรยาเสพติดเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ผนึกกำลังถกแผนเร่งด่วน พร้อมเป็นประธานเผาทำลายยาเสพติดของกลางกว่า 25 ตัน ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้า 1 ปี ต้องลดลง ชี้!! ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ไม่กลัวคุก จี้เร่งยึดทรัพย์ ก่อนถ่ายโอน ตัดวงจรค้าซ้ำ

(17 ก.ย. 66) ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และหัวหน้าหน่วยราชการจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า เป็นที่ทราบกันดีว่านอกจากปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหายาเสพติดแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศไทย ช่วงที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงพื้นที่หาเสียง เป็นที่ประจักษ์ดีว่านอกจากปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งตนคิดว่าทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่ออกไปหาเสียงก็เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีตนในฐานะนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ และเป็นประธาน ในการทำให้ปัญหาเหล่านี้ในระยะอันใกล้ลดน้อยลง และหมดไปในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ที่ต้องรักษา และดูแลส่งคืนคนเหล่านี้กลับคืนอ้อมกอดของพ่อแม่ ให้มีอาชีพที่เหมาะสม รวมถึงการป้องกันที่ต้นน้ำด้วยว่าไม่ให้เขาไปเสพ เราจะมีมาตรการทำกันอย่างไร

ส่วนระยะสุดท้าย เมื่อมีการยึดยาเสพติดของกลางมาแล้ว จะต้องมีการกระชับเวลาในการทำลายให้สั้นลง รวมถึงเรื่องของระยะเวลาการยึดทรัพย์ เพราะหากใช้เวลานานจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนที่แข็งแกร่งสามารถกลับมาผลิตยาเสพติดได้อีก ตลอดจนจะต้องมีมาตรการในการป้องกัน การลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในประเทศ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีจุดเริ่มต้น และขอให้วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการขจัดปัญหาออกจากสังคมไทย

จากนั้น ที่บริษัท อัคคีปราการ จำกัด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ได้เป็นประธาน ในพิธีเผาทำลายยาเสพติดของกลาง โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) หัวหน้าส่วนราชการ จากการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมในพิธี พร้อมด้วยนายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ประชาชน จากหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เข้าร่วมกว่า 200 ราย ร่วมเป็นสักขีพยานในการเผาทำลายยาเสพติดครั้งนี้ โดยเป็นการทำลายของกลางยาเสพติดของกลางจากคดียาเสพติดจำนวน 100 คดี เป็น ยาบ้า 12,522 กก. ไอซ์ 11,656 กก. เฮโรอีน 418 กก. ฝิ่น 179 กก. คีตามีน 704 กก. และสารเสพติดอื่นๆ น้ำหนักรวม 25,517 กก.

ซึ่งทำลายโดยการเผาไหม้ด้วยระบบเตาเผาอุณหภูมิสูง 2 ชุด เผาไหม้ที่ 800 - 1,200 องศาเซลเซียส ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง พร้อมระบบควบคุมมลพิษอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายได้หมดสิ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชน

โดย นายกฯ ระบุ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเรื้อรัง ทุกครั้งที่ตกลงคุณพี่ใจรับข้อร้องเรียนจากประชาชนตลอด ทำให้สถาบันครอบครัวอ่อนแอ รัฐบาลมีนโยบาย ทั้งปราบปรามและบำบัด  ผู้ที่ติดยาเสพติดไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นผู้ป่วย ฉะนั้นต้องช่วยรักษา พากลับมาเป็นพลเมือง และลูกที่ดีของครอบครัวอีกครั้ง และจะต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วม ขอให้หน่วยงานทำงานใกล้ชิดกับประชาชน

“ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ที่ไม่ควรติดคุกติดตะราง แต่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกยึดทรัพย์ที่ได้มา ขอให้หน่วยงาน เร่งดำเนินการยึดทรัพย์ให้เร็วที่สุด อย่าให้เกิดการโอนถ่ายได้ง่าย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนขอเป็นประธาน ในการผนึกกำลังทุกหน่วยงาน และประชาชน แก้ไขปัญหา และจะติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยจะปฏิบัติงานอย่างมีนิติธรรมนิติรัฐ ให้ประชาชนอยากทำงานร่วมกับรัฐฯ และรู้สึกปลอดภัยที่จะแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่

รัฐบาลนี้เอาจริง ผมตั้งเป้าที่ชัดเจนให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาจะต้องลดลงให้ได้ภายใน 1 ปี ในรัฐบาลนี้จะต้องทำยาบ้าหมดไปให้ได้ ตนจะนำมาทำลายให้หมด เหมือนที่ทุกคนจะได้เห็นในวันนี้” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ เศรษฐา’ หนุนสร้าง ‘สนามบินเชียงใหม่’ 7 หมื่นล้าน เล็งเพิ่มเที่ยวบินรอบดึก รองรับ นทท.-ลดความแออัดสนามบิน

(17 ก.ย. 66) ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพื่อร่วมพูดคุยประเด็นการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี รับฟังการดำเนินการเตรียมการรองรับการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เช่น การพัฒนาปรับอาคารผู้โดยสารเดิม การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ (แต่อยู่ในพื้นที่เดิม) รวมถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ในการแก้ปัญหา capacity หรือความแออัดของผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่ปัจจุบันที่แม้จะมีการพัฒนาปรับปรุงสนามบินเพื่อรองรับผู้โดยสารแล้ว แต่เพื่อให้มีประสิทธิภาพรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นตามเป้าหมายคือ 20 ล้านคนต่อปี จึงต้องมีการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ขึ้น ส่วนการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืนนั้น ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า  AOT นอกจากดูแลเรื่อง EIA และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้วก็ให้ดูแลเยียวยาประชาชน ลดผลกระทบด้านเสียงให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รวมถึงเยียวยาจิตใจด้วย พร้อมสอบถามถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี จะเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับสนามบินปัจจุบันที่ผลกำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่ง AOT รายงานว่าเมื่อก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่แล้วเสร็จจะสามารถมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี และสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ในส่วนของระยะเวลาดำเนินการ 7 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม และขอเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ตามเป้าหมาย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น ขอให้ AOT และ ตม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเกิดความประทับใจและมีความปลอดภัย ขณะเดียวกันหากมีประเด็นการนำเสนอข้อที่เป็นไปในทิศทางอ่อนไหวและไม่ถูกต้อง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจกับสังคมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย หรือการใช้ Influencer ต่าง ๆ เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้าใจได้มากขึ้น

‘ชลน่าน’ เดินหน้าลุยฉีดวัคซีน HPV 1 ล้านโดส ฟรี!! ปกป้องหญิงไทยห่างไกลมะเร็งปากมดลูกทั่วประเทศ

‘หมอชลน่าน’ ประกาศเดินหน้านโยบาย 100 วันแรก เร่งฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้หญิงไทยอายุตั้งแต่ 11 - 20 ปีทั่วประเทศ จำนวน 1 ล้านโดสฟรี หลังตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มปีละประมาณ 6,500 ราย

เมื่อวานที่ 16 ก.ย. 66 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศเดินหน้าโครงการ Quick Win ที่จะเห็นเป็นรูปธรรมภายใน 100 วัน หลังรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขโดยหนึ่งในนั้น คือ การฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับหญิงไทยที่มีอายุ 11 - 20 ปีทั่วประเทศอย่างน้อย 1 ล้านโดส หลังพบมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 6,500 ราย

นายแพทย์ชลน่าน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม  มีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 2,000 รายโดยมะเร็งชนิดนี้ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) ที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่ต้องฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้กำหนดให้บริการฉีดวัคซีน HPV จำนวน 2 เข็ม เป็นสิทธิประโยชน์สำหรับนักเรียนหญิงชั้น ป. 5 ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 (ปัจจุบันมีอายุ 17 ปี) ดังนั้น ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป จึงยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้ ประกอบกับในปี 2562-2565 ทั่วโลกประสบปัญหาวัคซีนขาดชั่วคราวในช่วงโควิดระบาด ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ป.5 ในปีนั้น ซึ่งปัจจุบันอายุ 13-15 ปีไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

จึงได้กำหนดให้การฉีดวัคซีน HPV เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick win “มะเร็งครบวงจร” โดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนสำหรับหญิงอายุ 11-20 ปี ซึ่งได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรคเร่งกำหนดแนวทางการให้วัคซีน และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประเมินจำนวนกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมอบให้ สปสช. เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม

“การฉีดจะมี 2 ส่วน คือ กลุ่มเด็ก ป.5 - ม.6 จะฉีดผ่านสถานศึกษา (School-based program) โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการฉีดเป็นกลุ่มเหมือนกับที่เคยฉีดวัคซีนโควิด ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นเด็กนอกระบบการศึกษา รวมถึงหญิงอายุ 18-20 ปี ที่จบชั้น ม.6 แล้ว จะได้รับการฉีดที่สถานพยาบาล ตั้งเป้าหมายว่าต้องฉีดวัคซีน HPV ให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดสภายในเวลา 100 วัน” รมว.สาธารณสุข กล่าวสรุปทิ้งท้าย

'ธนาธร' เชื่อ!! 'พิธา' เข้มแข็ง พรรคไร้ห่วงปัญหาหัวหน้าคนใหม่ วอน!! ด้อมโฟกัส 'ประชาธิปไตย' เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องบุคคล

เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.66) ที่ร้าน Sol Bar อาคารอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดเผยภายหลัง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อให้ที่ประชุมพรรคเลือกหัวพรรคคนใหม่เพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน โดยนายธนาธร กล่าวว่า เชื่อว่าคุณพิธาเข้มแข็ง ตนให้กำลังใจคุณพิธา

เมื่อถามว่ามองคุณสมบัติหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ต้องเป็นอย่างไร? นายธนาธร กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีบุคลากรที่มีคุณภาพเยอะแยะ ใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็จะทำพรรคก้าวไกลตามแนวทางที่สืบสานกันมา ตั้งแต่อนาคตใหม่-ก้าวไกล อย่างมั่นคง

"เรื่องบุคลากรที่จะดำรงตำแหน่ง ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะพรรคก้าวไกลมีคนที่มีคุณภาพเยอะแยะไปหมดเลย" นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามว่าผู้สนับสนุนหลายคนรู้สึกเสียขวัญ ที่นายพิธา ต้องลาออก นายธนาธร ตอบว่า อย่าเสียกำลังใจ เดินหน้าด้วยกันต่อไป 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล' จะเป็นยังไงต่อ 'ไม่สำคัญ' ขอให้เรายึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย แล้วร่วมผลักดัน สร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยต่อไป

"ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องบุคคล เป็นเรื่องของอนาคตของประเทศไทย เรื่องนี้ใหญ่กว่าคน ใหญ่กว่าพรรคไปแล้ว เป็นเรื่องวาระที่จำเป็นของประเทศไทยที่จะต้องผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย" นายธนาธร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top