Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

‘ศาลฎีกา’ ฟัน!! ‘ช่อ’ โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ผิดจริยธรรมร้ายแรง สั่งถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้ง-ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(20 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกา สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษา คดี คมจ. 1/2565 ที่ ป.ป.ช. เป็นผู้ร้อง ยื่นขอให้วินิจฉัย กรณีกล่าวหา น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม โพสต์ข้อความพาดพิงสถาบันฯ

ศาลมีคำพิพากษาว่า น.ส.พรรณิการ์ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามกฎหมาย ให้ถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนคำขออื่นให้ยก

ทั้งนี้สืบเนื่องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2562 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ น.ส.พรรณิการ์ กรณีโพสต์ภาพและข้อความจำนวนมากในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทางที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิบังควร อันเป็นพฤติการณ์หรือการกระทำที่ส่อไปในทางขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ น.ส.พรรณิการ์ เป็น สส. ได้รับโปรดเกล้าฯ และได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนก็ได้ระบุว่า จะปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

ต่อมาวันที่ 28 ก.พ. 2565 ที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูล น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่บังคับใช้กับ สส. กรณีโพสต์ภาพและข้อความจำนวนมากในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปใน

‘ฮิวแมนไรท์ฯ’ โดดป้อง ‘ปีใหม่’ ชี้ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ หลังถูกศาลเตี้ยคุกคาม จี้!! ‘ก้าวไกล’ อย่าเพิกเฉยต่อการล่าแม่มด

(20 ก.ย. 66) จากกรณี ‘ปีใหม่ ศิริกุล’ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ ทำจดหมายเปิดผนึกถึง คุณชัยธวัช ตุลาธน รักษาการเลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอความเป็นธรรม และ ขอความคุ้มครองจากการถูกนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่1 ถูกคุกคามไล่ล่าแม่มด

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอตช์ โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ @sunaibkk ระบุว่า…

‘สิทธิมนุษยชน’ ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย #ก้าวไกล @MFPThailand ไม่ควรเพิกเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ #ปีใหม่ ซึ่งละเมิดหลักการเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพที่พรรคยึดถือ การใช้ศาลเตี้ยล่าแม่มดคุกคามกันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย ถ้าใครได้รับความเสียหายจากสิ่งที่ปีใหม่เขียนก็ควรแจ้งความดำเนินคดีตามสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่ใช่ทำแบบนี้ (อ่านรายละเอียดโพสต์ของปีใหม่ขอความเป็นธรรมและความคุ้มครอง >> https://facebook.com/100009093048764/posts/pfbid05yRpUCjxo25WC6WdSQ7C3PMKKgvowJW9t31i8jzA3CfTxGw89ysuMd4Suya9Dabnl/?mibextid=I6gGtw <<)

สะดุดตา ‘เสี่ยเท้ง’ ผู้ติดตาม ‘รองอ๋อง’ ทัวร์สิงคโปร์ ที่แท้อดีตเต็ง ‘รมว.ดีอีเอส’ ผู้ช่ำชองสงครามไซเบอร์

ต่อกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้งบประมาณเดินทางไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ 1,379,250 บาท ของ ‘รองอ๋อง’ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 และคณะผู้ร่วมเดินทางรวม 12 คน ระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน โดยมีเหล่าชาวประชาจากพรรคก้าวไกล รวม 6 ชีวิตอยู่ในนั้น ... นาทีนี้คงมีผู้สันทัดกรณีต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปพอหอมปากหอมคอ

แต่ส่วนตัวของ Mr. K ดันไปตหงิดกะพ่อหน้านวล ชวนมองที่ชื่อ ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อจากก้าวไกล และสาวหน้าหวาน 'เพ้น-ทิสรัตน์ เลาหพล' สส.กทม.เขตที่ 29 (บางแคเหนือ-บางไผ่-หนองค้างพลู) มีรายชื่อร่วมติดคณะไปด้วยเล็กน้อย ว่าจะไปทำอันหยังก่อ...

เพราะหัวข้อในการไปดูงานหนนี้ ‘รองอ๋อง’ ให้เหตุผล ว่าเป็นการไปดูงานเพื่อพัฒนาเรื่องของ รัฐสภาดิจิทัล Smart Parliament ที่สิงคโปร์มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการอำนวยความสะดวกเรื่องของงานนิติบัญญัติ และดูเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ทำให้เกิดการแก้ปัญหาเรื่องของหมอกควันได้ นั่นเอง

ในส่วนของ เพ้น Mr. K เอง ก็ไม่ค่อยคุ้นตาใต้ผลงานการเมืองเป็นรูปธรรมมากนัก แต่ก็หวังว่าคงมิได้แค่ไปช้อปยับให้เปลืองภาษีชาวประชาเล่นๆ ส่วน ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หากยังพอจำกันได้ ถือเป็นอดีตตัวเต็ง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส จากก้าวไกล มีโอกาสเข้ามาในวงการเมือง ผ่านการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการของพรรคก้าวไกล ฝ่ายพัฒนาระบบข้อมูล และดิจิทัล เป็นหัวโขนหลัก

ซึ่งจะว่าไปแล้ว หากมองเผินๆ ก็ประจวบเหมาะเสียนี่กระไร เพราะเมื่อมองคุณสมบัติ ก็มิใช่เรื่องไกลตัวกับบทบาทของ ‘เสี่ยเท้ง’ ที่ดูเหมาะจะถูก ‘รองอ๋อง’ หนีบไปทัวร์ด้วย

แต่ที่บอกว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวนั้น อาจจะมิใช่เรื่องการผสานความชำนาญในสายดิจิทัลกับงานของประเทศ ก็เป็นได้ เพราะเดิม ‘เสี่ยเท้ง’ ก็จัดเป็นนายทุนพรรคก้าวไกลรายสำคัญ และว่ากันว่า กองทัพไอโอด้อมส้มเกลื่อนโซเชียล ที่ทำให้ 14 ล้านเสียงเทใจมากาให้ก้าวไกล ก็มาจากกลยุทธ์ของเขาผู้นี้

งานนี้ พอมองมุมกลับ เลยไม่รู้ว่า ‘เสี่ยเท้ง’ แค่ถูกหนีบไป หรือ อาสาพาตนเองไปศึกษาวิทยาการล้ำหน้าด้านใดในแดนลอดช่อง เพื่อมาส่งต่อความสนุกๆ รูปแบบไหนให้ด้อมส้มในโซเชียล ได้สร้างแรงสั่นสะท้านสังคมไทยกันแน่

อันที่จริง การชวดตำแหน่ง แคนดิเดต รมว.ดีอีเอส ไป หลังความดื้อรั้นของพรรคที่ไม่ยอมถอยแก้ 112 จนทำให้ ‘เสี่ยเท้ง’ (นายทุนพรรค) หลุดเก้าอี้จากกระทรวงฯ ก็ดูจะทำให้เขากล้ำกลืนอยู่ไม่น้อย เพราะแหล่งข่าวของ Mr. K แว่วให้ฟังว่า หาก ‘เสี่ยเท้ง’ ได้ก้าวขึ้นมานั่งเจ้ากระทรวงดีอีเอส อาจจะได้เห็น ‘สงครามไซเบอร์’ ครั้งใหญ่ ในฐานะมือกลยุทธ์แห่งหน่วยกองทัพไอโอส้มแน่นอน แต่จะเป็นหัวข้อลงลึกใด ก็หาระบุให้ชัดได้ไม่!! (แอบใบ้: สะเทือนสถาบันฯ)

สำหรับประวัติของ 'เสี่ยเท้ง-ณัฐพงษ์' พกพาปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยที่บ้านมีฐานะพอควร จากธุรกิจของบริษัท ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท เรืองปัญญา เคหะการ จำกัด ประกอบธุรกิจด้านอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวเรืองปัญญาวุฒิ ภายใต้การนำของ นายสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ บิดาของนายณัฐพงษ์ กับยอดขายรวม 2 บริษัทเฉียดๆ 700 ล้านบาทในช่วงปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ ยังเคยเป็นผู้บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท เมเนจเม้นท์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ absolute.co.th ผู้ให้บริการคลาวด์ โซลูชัน ก่อนเข้ามาทำงานทางการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอนาคตใหม่ ก่อนจะย้ายมาพรรคก้าวไกล หลังอนาคตใหม่โดนยุบ และมีโอกาสนั่งเป็นกรรมาธิการงบประมาณ ในปี 2562-2566 ด้วย

จากนั้น ช่วงปี 2555 บริษัท ABSOLUTE ก็ก้าวเข้าสู่ กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตามมาด้วยปี 2556 เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความทันสมัย ที่พัฒนาระบบขายอสังหาริมทรัพย์ ระบบทรัพยากรบุคคล พัฒนา ระบบขายอสังหาริมทรัพย์ (Real-estate) สำหรับบริหารจัดการ งานขาย บ้าน, คอนโด ฯลฯ

รวมๆ แล้วโปรไฟล์ไม่ธรรมดา!!

ฉะนั้น หากจะว่าไปแล้ว ... การร่วมคณะไปดูงานต่างประเทศของหนุ่มหน้านวลผู้นี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และต่อให้เขานั้นจะมีฐานะร่ำรวยเพียงใด แต่เมื่อได้สิทธิจากการเป็น สส. ติดกายมาแล้ว ก็หวังให้ไปทำงานเพื่อชาติ อย่างที่ปากว่าจริงๆ ก็พอ...

เรื่อง: Mr. K

‘เด็ก รทสช.’ ชี้!! ‘ราคาพลังงานลด-จบค่าโง่โฮปเวลล์’ ยก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ

(20 ก.ย. 66) นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ หรือ ‘บอย’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Itthipat Settayukanon’ เกี่ยวกับการปรับลดราคาน้ำมันดีเซลล่าสุด ซึ่งเป็นผลงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน โดยระบุว่า…

“วันนี้ได้มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 2.50 บาทต่อลิตร เรื่องนี้ถือเป็นผลงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน”

“ซึ่งตั้งแต่ที่ท่านพีระพันธุ์ ได้มาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ท่านนั้นได้ทำคุณประโยชน์มากมายต่อประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดค่าไฟ จาก 4.10 บาทต่อหน่วย ลดลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย อีกทั้งวันนี้ ยังมีการปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงไปอีก 2.50 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนคนไทย”

“และอีกหนึ่งผลงานชิ้นสำคัญ คือ คดีมหากาฬ ‘โครงการโฮปเวลล์’ ที่ท่านพีระพันธุ์ได้ทำไว้ ซึ่งช่วยให้คนไทยชนะคดีอภิมหาโครงการด้านคมนาคม ทำให้ไม่ต้องเสียเงินกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด แม้แต่บาทเดียว นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านพีระพันธุ์ ที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศไว้ได้”

“ผมขอฝากทุกท่านร่วมติดตามผลงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกันเยอะๆ นะครับ รับรองว่าท่านพีระพันธุ์จะมีนโยบายดีๆ ออกมาให้กับพี่น้องประชาชนทุกท่านอีกแน่นอนครับ” นายอิทธิพัทธ์  กล่าวทิ้งท้าย

‘หมอเดชา’ เผย ตัวเลขค่าใช้จ่าย ‘นายกฯ เศรษฐา-รองฯ อ๋อง’ ลั่น!! ไม่แปลกใจ ทำไม ‘ยุคลุงตู่’ 9 ปี ฐานะการเงินมั่นคงขึ้น

(20 ก.ย. 66) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

คนไทยเพิ่งเลือกสมาชิก​สภา​ผู้แทน​ราษฎร​ (สส.)​ และจัดตั้งรัฐบาล​ชุดใหม่ได้ไม่ถึงเดือน ก็มีข่าวทั้งจากฝ่ายรัฐบาล​ (เศรษฐา)​ และฝ่ายค้าน (หมออ๋อง)​ เรื่องการใช้จ่ายที่ดูฟุ่มเฟือย

เมื่อนำไปเปรียบกับการใช้จ่ายในงานแบบเดียวกัน​ ของนายกฯ​ คนก่อน​ (ลุงตู่)​ ยิ่งเห็นชัด

ระยะเวลา​ 9​ ปี​ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ของลุงตู่​ ไม่มีข่าวเช่าเหมาลำ​ เครื่องบินเดินทาง และทางด้านรัฐสภา​ ก็ไม่มีข่าวประธาน​ฯ หรือรองประธานสภาฯ​ พาลูกพรรคเดินทางดูงาน

จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจาก​ 9​ ปี​ของยุคลุงตู่​ ประเทศไทย​มีฐานะการเงินการคลังมั่นคงขึ้น

ข้อมูลตัวเลขทางการ​ บ่งบอกฐานะของประเทศไทย​ที่รัฐบาล​ชุดใหม่รับไว้ มารอดูกันว่า​ เมื่อจบหน้าที่ของรัฐบาลเศรษฐาแล้ว​ ฐานะของประเทศ​จะเป็นอย่างไร…

‘ศิธา’ เปรียบ!! รัฐบาลเศรษฐาดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา ชี้!! ต้องให้เวลาทำงาน หวัง!! ไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง

เมื่อวานนี้ 19 ก.ย. 66 ที่ทำการพรรคก้าวไกล น.ต.ศิธา ทิวารี แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ถึงแววการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง ว่า ดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา อาจจะมีคนจำนวนมากผิดหวังกันบ้าง เพราะช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา คนก็คาดหวังว่า เครือข่ายของรัฐบาลชุดเก่าจะออกไป ซึ่งตอนนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อ หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองรัฐบาลก็สามารถดำรงอยู่ได้ครบวาระ ต้องปล่อยให้เขามีโอกาสได้ทำงาน

ส่วนขัดใจการบริหารของรัฐบาลตรงไหนบ้างนั้น ตนว่าประชาชนก็คงค่อย ๆ ปรับความรู้สึก ถามว่าขัดใจหรือไม่นั้น หลายคนก็คงรู้สึก เพราะในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาเราก็คาดหวังไว้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็คงปรับอารมณ์กันได้บ้างแล้ว คิดในแง่บวกว่าดีกว่า 9 ปีที่ผ่านมา

ในฐานะที่เป็นอดีตทหาร มองศักยภาพการทำงานของนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพลเรือนคนแรก ที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในการดำรงตำแหน่งนี้ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ตนมองว่านายสุทินเป็นนักการเมืองที่อาวุโส อยู่ในการเมืองมานาน เลือกตั้งก็ประสบความสำเร็จมาตลอด ถ้ามองในแง่ดีก็คือเป็นนิมิตรหมายอันดี จริง ๆ แล้ว ระบบของประเทศทุกประเทศต้องเป็นระบบสั่งการทางเดียว ต้องควบคุมกลไกทุกอย่างให้ได้ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม เรื่องการศึกษา แต่ปรากฏว่า ประเทศไทยผิดแผกแตกต่างจากประเทศอื่น คือทหารไม่ได้ฟังคำสั่งจากรัฐบาล ถ้าเกิดขยับมาในจุดที่พอดี ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ไม่อย่างนั้น อาจจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกได้

ในอีกมุมหนึ่งการที่นายสุทินนั่งกระทรวงกลาโหมจะสามารถบังคับบัญชากระทรวงในเรื่องต่าง ๆ ได้จริงมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องรอดู แต่เท่าที่ดูในหลาย ๆ เรื่อง ก็มีการปรับเรื่องเกณฑ์ทหาร ตนมองว่า 

1.พลทหารมีความจำเป็นที่จะต้องมีในกองทัพ 
2.คือมีจำนวนประมาณ 100,000 คนต่อปี หากเกณฑ์ 2 ปี ก็แบ่งปีละ 50,000 คน

ทั้งนี้ คนที่ต้องการเป็นทหารจริง ๆ มีน้อย แต่ความต้องการทหารมีจำนวนมาก จึงเกิดการบังคับให้มีการเกณฑ์ทหาร หากเป็นแบบสมัครใจไปเลยน่าจะดีกว่า ตนยังยืนยันว่า ทหารจำเป็นต้องมี แต่ต้องมีในปริมาณที่เหมาะสม

‘โฆษก รบ.’ แจง!! ‘นายกฯ’ ภารกิจแน่น ร่วมประชุม UNGA ที่สหรัฐฯ วอนกลุ่มจับผิดหยุดให้ข่าวเท็จ-ด้อยค่าความทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง

โฆษกรัฐบาล แจง นายกฯ ร่วมประชุม UNGA 78 สหรัฐฯ ภารกิจแน่น จวกกลุ่มตามจับผิดให้ความเท็จต่อประชาชน แจงถึงไทย 24 ก.ย.ทั้งที่ประชุมเสร็จ 22 ก.ย.เพราะเวลาต่างกัน ยันผลหารือนักลงทุนได้ประโยชน์คุ้มค่าแน่นอน

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัย ชัชวรงค์ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงภารกิจเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เกิดข่าวลือและการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริงในสังคมไทย โดยระบุว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี ในการเดินทางมาปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ถูกด้อยค่า และจับผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ตลอดเวลา

สำหรับภารกิจนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้มี 3 ด้านหลัก คือ การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ซึ่งมีประเด็นหลักเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ที่นายกรัฐมนตรียังเป็นเจ้าภาพการประชุมในกรอบของอาเซียน โดยนายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องดังกล่าว และยังจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

ขณะที่ ช่วงเย็นของวันที่ 19 ก.ย. 66 นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เข้าร่วมประชุม

นอกจากนี้ การเดินทางครั้งนี้ยังมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้นำโลก เช่น ประธานาธบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรี เวียดนาม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงประธาน FIFA และท่านนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะแสวงหาโอกาสพัฒนาทีมฟุตบอลไทยในเวทีโลก รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกในประเทศไทย

โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรีได้เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และดึงการลงทุนจากต่างชาติให้ไหลเข้าประเทศไทย เนื่องจาก ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา การลงทุนขนาดใหญ่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบผู้บริหารขนาดใหญ่ 8-9 บริษัท อาทิ Black Rock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเงินทุน 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 250 ล้านล้านบาท แค่เพียงบริษัทเดียวจะเห็นว่ามีเงินลงทุนมากขนาดไหน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังจะได้พบกับผู้บริหาร SpaceX, Tesla, Google, GoldMan Sachs, CitiBank, J.P.Morgan และ estee Lauder, Microsoft, บริษัทเหล่านี้ เมื่อรวมกันแล้วมีเม็ดเงินลงทุนนับพันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจการเงินการลงทุน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังจะพบหารือกับทีมประเทศไทย ทีมีทูตพาณิชย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือสร้างโอกาสการค้าการลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้ทิศนทางว่า ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าทางเศรษฐกิจอย่างไร และยังจะมีโอกาสพบปะกับชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ เพื่อรับฟังว่าคนไทยในสหรัฐฯ มีปัญหาอย่างไร และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือในประเทศไทยทำอะไรบ้าง

“กิจกรรมทั้งหมดอัดแน่นเพียงเวลา 3 วันกว่าเท่านั้น แต่ยังมีการจับผิดถึงภารกิจ ทั้งๆ ที่มีภารกิจอัดแน่นจนถึง 22.00 น.วันที่ 22 ก.ย. 66 แต่ทำไมกลับถึงไทยในวันที่ 24 ก.ย. 66”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพมายังนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ใช้เวลาเดินทางร่วม 20 ชั่วโมง และเวลาไทยก็เร็วกว่าเวลาในนิวยอร์ก 11 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อออกเดินทางจากนิวยอร์ก เวลา 22.00 น. วันที่ 22 ก.ย. 66 ซึ่งในประเทศไทยเป็น 09.00 น.ของวันที่ 23 ก.ย. 66 และการเดินทางกลับใช้เวลาประมาณ 20 ชม. ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จะเดินทางถึงไทย เวลา 08.40 น.ของวันที่ 28 ก.ย. 66 จึงแปลได้ว่า การเอาเวลาไปตามจับผิด จึงเป็นความเท็จทั้งหมด 

ส่วนกรณีเครื่องเช่าเหมาลำการบินไทยนั้น รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร ซึ่งรับผิดชอบการบริหารจัดการเที่ยวบิน ได้ชี้แจงไปแล้ว กรณีว่าทำไมมีการนำผู้ไม่ใช่ข้าราชการการเมืองและข้าราชการการเมืองมาด้วยนั้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า ท่านมองว่าบุคคลใดก็ตามที่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ หากเดินทางมาร่วมคณะ จะสามารถช่วยงานได้ จะเป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะใครก็ตามที่สามารถเข้ามาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ขณะที่บางท่านเป็นคณะทำงานของนายกรัฐมนตรี มาแต่ต้น บางท่านเพิ่งเข้ามา

ส่วนกรณีบุตรสาวของนายกรัฐมนตรีนั้น เดินทางมาด้วยการออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งวิธีการคำนวณนั้นมีอยู่แล้ว หารเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัว คิดเป็นเท่าไหร่ ก็จ่ายเป็นราคาเต็ม และรัฐบาลไทย ก็จ่ายน้อยลง

“ยืนยันว่าการเดินทางมาสหรัฐฯ เพื่อร่วมประชุมของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โปรแกรมแน่นเอี้ยด และประเทศไทยได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน”

‘สาวชาวเน็ต’ ส่งจดหมายเปิดผนึก ร้อง ‘ปธ.สภาฯ-ก้าวไกล’ เหตุถูก ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ ตามคุกคาม หลังประกาศยุติสงครามเหลือง-แดง

(20 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เรื่อง ขอความเป็นธรรม และ ขอความคุ้มครองจากการถูกข้าราชการการเมือง (ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1) เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ข่มขู่คุกคาม ไล่ล่าแม่มด และ ใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับให้เอกชนสนองความต้องการให้ตน

เนื้อหาของจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 เวลาเช้า ดิฉันได้ทราบข่าวจากเพื่อนเฟซบุ๊กว่า นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่1 (นายปดิภัทธ์ สันติภาดา) ได้โพสต์ และ ทวีตข้อมูลส่วนตัวของดิฉัน อาทิ ชื่อเล่น อายุ วันเดือนปีเกิด บ้านเลขที่ ที่อยู่ หมู่บ้าน รูปพรรณสัณฐานที่พักอาศัยของดิฉัน เช่นสีประตูรั้วบ้าน สีรถยนต์ที่ดิฉันใช้ รวมถึงระบุชื่อมารดาของดิฉัน จำนวนบุตรของดิฉัน และยังได้ระบุสถานที่ทำงานของดิฉันพร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงานโดยละเอียด อีกทั้งยังแจ้งว่าหากใครต้องการทราบชื่อ นามสกุลจริง และ รูปของดิฉันให้ติดต่อสอบถามได้จากนางอมรัตน์นางยินดีมอบให้

ซึ่งภายหลังจากนางอมรัตน์ได้โพสต์และทวีตไปไม่นาน ได้มีสื่อ ‘ข่าวสด’ นำข้อมูลของดิฉันไปเผยแพร่ต่อ และ Top News รายงานข่าว จากนั้นได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์จำนวนมาก แสดงความคิดเห็นเชิงข่มขู่คุกคามด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความเกลียดชังต่อดิฉัน บางส่วนชักชวนกันมาทำร้ายดิฉัน บางส่วนนำบัตรประชาชนของดิฉันแปะในคอมเมนต์ บางส่วนเอ่ยชื่อจริงของดิฉัน ทั้งในโพสต์ และ ทวิตเตอร์ของนางอมรัตน์ ลุกลามมาถึงในเฟซบุ๊กของดิฉัน

ในเวลาบ่ายโมง ดิฉันได้รับทราบจากผู้จัดการบริษัทที่ดิฉันทำงานอยู่ว่า นางอมรัตน์ ได้โทรศัพท์เข้ามาหาเธอ และส่งข้อมูลมาให้เธอทางไลน์ กล่าวหาว่าดิฉันโพสต์หมิ่นนาง อ้างว่าคนอ่านรู้ว่าดิฉันหมายถึงนาง โดยนางอมรัตน์ได้ขอให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลตักเตือนหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อดิฉันต่อไป

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและผู้บริหารท่านหนึ่งของบริษัท ได้สอบถามดิฉัน ซึ่งดิฉันยอมรับว่าโพสต์วิจารณ์การเมือง, นักการเมือง และ พรรคก้าวไกลจริง โดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ระบุชื่อ สกุลจริงของใคร ไม่มีคำไหนสร้างความเสียหาย และ ไม่ได้คิดร้ายหมายขวัญใครถึงชีวิต ใช้สิทธิเสรีภาพตามกรอบกฎหมายทุกประการ ซึ่งหากนางอมรัตน์รู้สึกว่าดิฉันทำความเสียหายให้นาง นางก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้

ทั้งนี้ดิฉันไม่ได้กระทำในนามบริษัท และ ไม่ได้โพสต์ในเวลางาน เวลาที่โพสต์นอกเวลางาน เช่น ก่อนเริ่มงาน พักเที่ยง หลังเลิกงาน วันหยุด หรือ วันที่ดิฉันใช้สิทธิลางานทั้งสิ้น ซึ่งดิฉันได้แจ้งต่อผู้บริหารว่า นางอมรัตน์เริ่มโพสต์เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวดิฉันก่อนหน้านี้แล้ว 1 ครั้งเมื่อกลางเดือนสิงหาคม โดยดิฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรนางรุนแรงเกินไปกว่าการโพสต์อธิบายข้อเท็จจริงหักล้างข้อความเท็จที่นางกล่าวหาดิฉัน

เหตุเกิดหลังดิฉันประกาศยุติสงครามเหลืองแดง ขอเชิญชวนเหลืองแดงสมานฉันท์เดินหน้าประเทศด้วยกัน และ ขอโทษคนเสื้อเหลืองหากเคยใช้วาจาไม่สุภาพต่อกันในอดีต ซึ่งจากการประกาศนั้น หลายสื่อได้นำข้อความของดิฉันไปลงข่าว ทำให้ NGO แกนนอนม็อบคนหนึ่งโพสต์และทวีตถามว่าดิฉันเป็นใคร นางอมรัตน์จึงได้โพสต์เผยแพร่ข้อมูลด้านการศึกษาของดิฉันเพื่อตอบคำถามนั้น แต่เป็นข้อความเท็จเกี่ยวกับตัวดิฉัน กล่าวหาว่าเมื่อก่อนดิฉันรับข้อมูลจากอดีตนักการเมืองพรรคหนึ่งมาโพสต์ ดิฉันได้โพสต์อธิบายข้อเท็จจริง พร้อมแนบหลักฐานเป็น ‘คำนิยม’ ที่นักการเมืองท่านนั้นให้เกียรติเขียนในหนังสือของดิฉัน โดยเนื้อความระบุว่า นักการเมืองท่านนั้นได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่ดิฉันค้นคว้านำมาเผยแพร่ ไม่ใช่ดิฉันไปรับข้อมูลจากเขามาโพสต์แต่อย่างใด

เวลาบ่ายสามโมงวันเดียวกันนี้ ผู้บริหารได้แจ้งดิฉันว่า นางอมรัตน์ได้เข้ามาที่ทำงานของดิฉัน ได้ขอพบผู้บริหาร และ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยผู้บริหารท่านหนึ่งไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามฟ้องร้องกัน จึงได้แจ้งนางอมรัตน์ไปว่าได้ตักเตือนดิฉันแล้ว และ จะออกหนังสือตักเตือนให้ดิฉันเซ็นรับทราบเพื่อยุติการโพสต์ถึงนางอมรัตน์ต่อไป

ซึ่งดิฉันได้บอกผู้บริหารไปว่า ดิฉันไม่ได้โพสต์ถึงนางอมรัตน์ ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย หรือ กฎระเบียบบริษัทใด ๆ แต่สิ่งที่นางอมรัตน์โพสต์ข้อมูลส่วนตัวของดิฉันต่างหาก ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ และ หมิ่นประมาทดิฉันด้วยการโฆษณา สร้างความเสียหาย และ ความไม่ปลอดภัยในชีวิต รวมถึงครอบครัวของดิฉัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะบุกมาทำร้ายคนในครอบครัวของดิฉันเมื่อไร จากคอมเมนต์ที่คลุ้มคลั่ง ชักชวนกันมารุมทำร้าย บางคนบอกบ้านดิฉันอยู่ใกล้บ้านตนเอง เขาสะดวกจะมาจัดการให้เป็นต้น

ดิฉันคือผู้เสียหายจากการกระทำของนางอมรัตน์ มีความเสี่ยงสูงถึงชีวิต ไม่ใช่นางอมรัตน์เสียหายจากการกระทำของดิฉัน แต่ทั้งนี้ดิฉันได้แจ้งผู้บริหารไปว่าดิฉันจะไม่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนาง เพื่อไม่ให้กระทบต่อบริษัทและนายจ้าง โดยมีเงื่อนไขว่า นางอมรัตน์ต้องยุติการคุกคามดิฉันด้วย

แต่ปรากฏว่านางอมรัตน์กลับไม่หยุด ยังโพสต์และทวีตเผยแพร่ข้อมูลดิฉันอีก 4 ครั้ง ครั้งแรกอ้างว่าผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายบุคคลจะทำทัณฑ์บนดิฉัน 1 ปี ครั้งที่สองแจ้งแก้ไขข้อความเพราะบริษัทรับปากนางว่าจะจัดการดิฉันให้แล้ว ครั้งที่ 3 ทวีตภาพบัตรผ่านเข้าบริษัทขอพบผู้บริหารพร้อมระบุว่าได้มาพบและขอบคุณผู้บริหาร โดยบริษัทจะออกหนังสือเตือนดิฉัน และ ผู้บริหารยังรับปากว่าจะสอดส่องพฤติกรรมดิฉันให้ด้วย ครั้งที่ 4 ทวีตว่าหลังออกจากบริษัทดิฉันแล้ว นางได้มาเยี่ยมบ้านดิฉันด้วย พร้อมลงภาพที่พักของดิฉันประกอบ ทำให้เกิดการแชร์โพสต์และทวีตของนางต่อ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากเข้ามาแสดงความเยาะเย้ยดูหมิ่นเหยียดหยามและแสดงความอาฆาตมาดร้ายดิฉันอีกมากมาย เหตุเพราะนางอมรัตน์เป็นนักการเมืองพรรคก้าวไกลที่มีชื่อเสียง มีคนติดตามหลักล้านคน

ดิฉันจึงจำเป็นต้องเรียนมาเพื่อขอความเป็นธรรม และ ขอคืนความรู้สึกปลอดภัยให้ครอบครัวดิฉันจากทุกท่าน

ดิฉันเชื่อโดยสุจริตใจว่า ประชาชนมีสิทธิวิพากษ์ วิจารณ์การเมือง และ นักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ที่กินภาษีของประชาชน โดยใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญอนุญาต

หากนักการเมืองใดเดือดร้อน หรือ เสียหายจากการโพสต์ของประชาชน นักการเมืองมีสิทธิใช้กฎหมายคุ้มครองตัวเองได้ ไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยจัดการ

เช่นเดียวกัน หากประชาชนรู้สึกว่าการกระทำของนักการเมือง ข้าราชการการเมือง ที่กินภาษีของประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิ คุกคาม หรือ ชี้เป้าให้ตกเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และ ครอบครัว ประชาชนย่อมควรได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายไม่ต่างกัน

ดิฉันยังเชื่อว่า จริยธรรมของนักการเมือง และ ข้าราชการการเมืองจำเป็นต้องมี การใช้อำนาจหน้าที่ของข้าราชการการเมืองข่มขู่เอกชน บีบบังคับเอกชนให้ดำเนินการใด ๆ ต่อพนักงานของตน เพื่อสนองความต้องการของข้าราชการการเมือง เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและเสถียรภาพของประชาชน เช่นที่ดิฉันถูกกระทำจากนางอมรัตน์ซึ่งเป็นข้าราชการการเมือง ควรถูกพิจารณาสอบสวนจริยธรรมจากหน่วยงานที่สังกัด

ดิฉันยังเชื่อว่าประชาชนของประเทศไทย ควรต้องได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพ ต้องไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการไล่ล่าแม่มดจากนักการเมือง จากข้าราชการการเมือง และ/หรือ จากประชาชนด้วยกัน

โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เรียกร้องยกเลิก/แก้ไข ม.112 โดยอ้างว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีฟรีสปีช วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย พรรคก้าวไกลอ้างเสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็น ชักชวนให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมือง ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาพฤติกรรมไล่ล่าแม่มดของนางอมรัตน์สมาชิกพรรคของตนอย่างจริงจัง

ดิฉันขอวิงวอนต่อทุกท่าน ได้โปรดยุติการคุกคามของนางอมรัตน์ที่มีต่อดิฉัน ได้โปรดคุ้มครองความปลอดภัยให้ดิฉันและคืนความยุติธรรมให้ดิฉันและครอบครัวด้วย

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ปีใหม่ ศิริกุล
19 กันยายน 2566

'นายกฯ เศรษฐา' ประกาศความมุ่งมั่นการขับเคลื่อน SDGs ที่สหรัฐฯ ชู!! 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง-เศรษฐกิจ BCG' ให้สมาชิกยูเอ็นประจักษ์

(20 ก.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 19 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา ณ Trusteeship Council Chamber สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ. 2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023)

ทั้งนี้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ว่านายกฯ รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2023 ซึ่งถือเป็นการกล่าวถ้อยแถลงครั้งแรกของนายกฯ ที่องค์การสหประชาชาติ ซึ่งรัฐบาลยังคงเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการให้ความสำคัญที่จะดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

ทั้งนี้ ความร่วมมือของทุกประเทศในการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติ ได้เผชิญกับความท้าทายร่วมกันมาถึงในช่วงครึ่งทางของวาระดังกล่าว และในทศวรรษนี้ ซึ่งสหประชาชาติได้กำหนดให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action) นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ และสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดสรรแหล่งทรัพยากรและเงินทุน การลดช่องว่างทางการเงิน รวมถึงสรรหานวัตกรรมเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ทุกประเทศสามารถรับมือกับความท้าทาย และการร่วมกันขับเคลื่อน SDGs ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยสนับสนุนข้อเรียกร้องของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Stimulus) เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี จนถึงปี ค.ศ. 2030 ซึ่งสำหรับการดำเนินการของไทย รัฐบาลได้ออกมาตรการทางการเงิน 12,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการกระตุ้นการกำหนดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจของไทย โดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand: GCNT) ซึ่งมีบริษัทมากกว่า 100 บริษัททั่วประเทศ ตั้งเป้าขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนจำนวน 43,000 ล้านดอลลาร์ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยได้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้

‘พีระพันธุ์’ ถก ‘กรมศุลฯ’ ถอดสูตรต้นทุนนำเข้าน้ำมัน เร่งหาช่องทางลดราคา หวังช่วยเกษตรกร-ภาคขนส่ง

(19 ก.ย. 66) ที่กรมศุลกากร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเดินทางเข้าหารือกับ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เกี่ยวกับข้อมูลการนำเข้าน้ำมันของไทย ว่า ที่มาเข้าพบกรมศุลกากรเพราะต้องการข้อมูลการนำเข้าน้ำมันที่แท้จริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งกรมศุลฯ จะมีรายละเอียดข้อมูลการนำเข้าน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดโครงสร้างราคาพลังงานไปจัดทำมาตรการดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม แม้ครั้งนี้ยังไม่ได้รายละเอียดทั้งหมด แต่ได้ข้อมูลระดับหนึ่ง เพราะกระทรวงพลังงานแม้เป็นผู้กำหนดนโยบายแต่กลับไม่มีข้อมูล จึงจำเป็นต้องมาดูต้นทุนผู้ประกอบการว่าต้นทุนจริงอยู่ส่วนใด ถือเป็นการทำงานระหว่างหน่วยงานราชการแบบสอดประสานกัน

นายพีรพันธุ์ กล่าวว่า “หากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วจะจัดทำมาตรการลดราคาน้ำมันพิเศษให้เฉพาะกลุ่ม อาทิ เกษตรกร ภาคขนส่ง เช่นเดียวกับกลุ่มประมงที่มีน้ำมันเขียวที่ราคาน้ำมันถูกกว่าน้ำมันทั่วไป โดยจะเร่งสรุปมาตรการให้เร็วที่สุด รวมทั้งจะนำไปปรับโครงสร้างราคาพลังงานระยะยาว เพื่อให้ราคาพลังงานเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน ยืนยันว่าจะไม่เป็นภาระของประชาชนในอนาคตตามข้อกังวลของนักวิชาการ”

อีกทั้งยังกล่าวว่า สำหรับนโยบายการเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี ยืนยันไม่ได้ทำในเชิงการค้า แต่เป็นการเปิดโอกาสให้บางกลุ่มนำเข้านำน้ำมันสำเร็จรูปได้เอง อาทิ ภาคขนส่ง หากรวมตัวกันหาแหล่งซื้อน้ำมันสำเร็จรูปที่มีราคาถูกกว่าจะช่วยลดต้นทุนขนส่งถูกลง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการลดค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปี (กันยายน-ธันวาคม2566) ให้เหลืออัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะนี้ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปพิจารณาด้วยการยืดหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกไปอีกจากเดิมจะชำระคืนหนี้ 5 งวด ซึ่ง กกพ.มีแนวทางการทำตามความเหมาะสม ส่วนจะยืดหนี้ได้เท่าไหรขึ้นอยู่กับแนวทางของ กกพ. แต่เมื่อคำนวณรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้วจะต้องอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ได้รายงานข้อมูลโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ดีเซล และเบนซิน โดยปัจจุบันกรมศุลฯ ไม่มีการเก็บอากรนำเข้าน้ำมันดิบแล้ว ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปก็เก็บเพียงน้อยมากเพียง 0.001 บาทต่อลิตรเท่านั้น ทำให้แต่ละปีกรมศุลฯ จัดเก็บรายได้จากอากรน้ำมันสำเร็จรูปได้กว่า 20 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นหลัก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ปี 2566 มีการนำเข้าน้ำมันดิบ 5 หมื่นล้านลิตร มูลค่า 78,000 ล้านบาท นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป 7 ล้านลิตร มูลค่า 5,593 ล้านบาท และน้ำมันดีเซล 500 ล้านลิตร มูลค่า 1,700 ล้านบาท

สำหรับส่วนแนวทางการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป ปัจจุบันกฎหมายเปิดให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปได้อยู่แล้ว โดยขั้นตอนจะต้องยื่นจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ จึงมองว่าหากรัฐบาลจะทำนโยบายดังกล่าวก็สามารถดำเนินการได้เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top