Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

‘นายกฯ’ พบ ‘เลขาฯ ยูเอ็น’ ย้ำ ไทยให้ความสำคัญสิทธิมนุษยชน ยัน!! พร้อมดูแลผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาชายแดน ตามสิทธิ์ที่ควรได้รับ

(22 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อเวลา 17.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ซึ่งช้ากว่าไทย 11 ชั่วโมง) วันที่ 21 ก.ย. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับนายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่า ได้กำชับว่าไทยต้องดูแลสถานการณ์เมียนมา ต้องพูดคุยสนทนากัน และเห็นว่าการพูดคุยกันเป็นเรื่องสำคัญ

นายเศรษฐา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ในอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ก็โตมาจากสายงานผู้ลี้ภัย ท่านเคยมาอยู่เมืองไทยและทำงานใกล้ชิด ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนสูงอยู่แล้ว และเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ ทั้งนี้ หน้าที่ของตน คือสานต่อเท่านั้นเอง และยึดหลักตามที่กระทรวงการต่างประเทศประสาน

“ขอย้ำว่า เราสนับสนุนให้มีการพูดคุยและเจรจากันอย่างสันติสุข ถ้าหากมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในแง่ของชายแดน หรือเรื่องการเข้า และออก เราช่วยดูแลตามสิทธิ์ที่ทุกคนควรได้ ส่วนประเทศเขาก็เป็นเรื่องของเขา” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยบทบาทกับกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ว่า ปัญหาที่มีอยู่บริเวณชายแดนจะทำอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้รับฟังโจทย์จากเลขาฯ ยูเอ็น ไปก็จะทำให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

เมื่อถามถึงวันสันติภาพโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ก.ย.ของทุกปี นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องที่เราพูดในเชิงสัญลักษณ์มากเกินไป ส่วนการปฏิบัติ ตนอยากให้เราปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นวันไหนแล้วค่อยมาทำกัน พอทำแล้วก็ลืมกันไป จากนั้นก็มาจับอาวุธห้ำหั่นกัน

“ความจริงแล้วการประชุม UNGA 78 ในครั้งนี้ เราทราบดีว่ามีหลายประเทศ มีภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่จับคู่ทะเลาะกัน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราหาข้อตกลงกันไม่ได้ ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็น มีความสามารถสูงที่จะหาจุดร่วม ให้ทุกประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยดึงเรื่องอากาศสะอาดเข้ามา ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็นรู้อยู่แล้วว่าทุกประเทศ ให้ความสนใจเหมือนกัน จึงสามารถช่วยได้ และหล่อหลอมจิตใจกัน ความจริงเรื่องวันสันติภาพโลกกับเรื่องนี้ไม่ได้ห่างไกลกัน เป็นเรื่องที่เรามองเห็นตรงกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ” นายเศรษฐา กล่าว

‘นายกฯ’ ขอบคุณ ‘Microsoft’ ร่วมมือ-ลงทุนในไทยมายาวนาน ด้าน Microsoft ชมจุดแข็งไทย เป็นศูนย์กลางข้อมูลของภูมิภาค

(22 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบกับผู้บริหารบริษัท Microsoft เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ Microsoft ที่มีความร่วมมือ และมีการลงทุนในไทยมาอย่างยาวนาน และพร้อมจะร่วมมือต่อไปให้มีความต่อเนื่องและเกิดผลรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

ขณะที่ผู้บริหารบริษัท Microsoft กล่าวชื่นชมไทยที่มีจุดแข็งสามารถเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค (Regional Hub) มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของภูมิภาค

“บริษัทฯ ต้องการสนับสนุนให้ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐในการใช้ Cloud ซึ่งการมี Cloud investment ในไทย จะช่วยส่งเสริมความสามารถของคนไทย ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น สายงาน IT สาขาวิศวกร และจะช่วยพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรบุคคล ที่ใช้ระบบงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทย”

‘เศรษฐา’ หารือ ‘อีลอน มัสก์’ ชวนลงทุนรถอีวีในไทย ชี้!! ไทยพร้อมดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน

(22 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบกับ นาย Elon Musk และผู้บริหารของ Tesla SpaceX และ Starlink ผ่านระบบการประชุมทางไกล

โดยนายกรัฐมนตรีประทับใจที่ได้หารือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ชื่นชมความก้าวหน้าที่ ต้องการทำเพื่อมนุษยชาติ  และเพื่อโลกที่สะอาด สู่อนาคตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะเกิดเป็นความสำเร็จ ทั้งต่อความร่วมมือด้านยานยนต์ EV และ เพิ่มความร่วมมือด้าน Space Exploration ซึ่งมีมูลค่าทางตลาดสูง และเชื่อมั่นว่าการพบกันครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ไม่ใช่ต่อประเทศไทย แต่จะเป็นประโยชน์กับโลกด้วย

ฝ่าย Tesla กล่าวชื่นชมศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของไทย ซึ่งเหมาะสมกับการลงทุนของ Tesla 

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมให้การดูแล สนับสนุนตามกรอบกฎหมาย สิทธิประโยชน์ ด้านการลงทุน

‘ธ.ก.ส.’ ชงพักหนี้แบบมีรายได้ 3 ปี-เล็งยกเลิกให้สิทธิ์อัตโนมัติ ดัน ครม.เห็นชอบ หวังลดภาระ-สร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร

(21 ก.ย. 66) นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุม โดยฝ่ายบริหารจะมีการเสนอมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี ตามนโยบายรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการลดภาระและสร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นการเร่งด่วน คาดว่าจะนำข้อสรุปทั้งหมดเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 ก.ย.นี้ เพื่อให้การดำเนินการต่อไป

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ามาตรการพักหนี้รอบใหม่ จะไม่เหมือนกับ 13 ครั้งในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา แต่เป็นการทำมาตรการบนแนวทาง 2 เรื่อง คือ

1.) มุ่งลดภาระให้เกษตรกร โดยจะพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้เกษตรกรทันที 3 ปี ส่วนภาระดอกเบี้ยรัฐบาลจะรับภาระชดเชยให้ ธ.ก.ส.แทน

2.) เร่งฟื้นฟูศักยภาพให้เกษตรกร มุ่งสร้างรายได้ในระหว่างร่วมมาตรการพักหนี้ โดยปรับวิธีคิดการทำเกษตรจากเดิมที่เน้นจำนวนการเพาะปลูกเป็นการเพิ่มเทคนิคทางการเกษตร การทำการตลาด วิธีการขาย กรณีที่มีการเพาะปลูกต้องรู้ตลาดว่าจะนำไปขายให้ใคร

“รัฐบาลให้นโยบายชัดเจนว่า ให้ ธ.ก.ส.ไปทำมาตรการพักหนี้รอบใหม่ให้รอบด้าน โดยปิดจุดอ่อนมาตรการในอดีตให้มากที่สุด โดยตอบโจทย์ 3 ประเด็น คือ 1.) ลดภาระ 2.) ฟื้นฟูศักยภาพ และ 3.) ระมัดระวังการเสียวินัยชำระหนี้หลังจากพ้นระยะเวลามาตรการพักหนี้ไปแล้ว ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีลูกหนี้อยู่ราว 3.9 ล้านราย สินเชื่อรวม 1.4 ล้านล้านบาท ส่วนลูกหนี้รายได้จะเข้าเกณฑ์ มีสินเชื่อรวมต่อรายเท่าใดก็จะเสนอหลายแนวทางให้พิจารณา” นายฉัตรชัย กล่าว

นายฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า การพักหนี้รอบใหม่จะแตกต่างจากที่ผ่านมา ที่ลูกหนี้จะได้สิทธิ์ทันทีโดยอัตโนมัติไม่ต้องดำเนินการอะไร แต่ครั้งนี้ลูกหนี้ที่ต้องการร่วมโครงการ จะต้องโชว์ตัวตนผ่านแอปลิเคชัน BAAC Mobile เพื่อให้ธนาคารสามารถติดตามสถานะลูกหนี้ได้ ไม่ใช่เข้าโครงการแล้วหายไปเลย ธนาคารก็จะประเมินสถานะลูกหนี้ พร้อมกำหนดแนวทางช่วยเหลือแต่ละรายแตกต่างกันตามความสามารถของลูกหนี้ การพักหนี้รอบใหม่จะมาเป็นแพ็คเกจ ทั้งการให้สิทธิ์ประโยชน์ รวมทั้งการให้สินเชื่อเพิ่มเติมกับลูกหนี้ที่ต้องการเงินทุน เพิ่มสภาพคล่องเพื่อการฟื้นฟู ไม่ให้ไปกู้นอกระบบ

ด้านนางโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการศึกษาถอดบทเรียนการพักหนี้เกษตรกรไทย ว่า การพักหนี้ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ซ้ำยังเป็นการทำให้เกษตรกรเสพติดการพักหนี้ในกลุ่มลูกหนี้ดี

ส่วนลูกหนี้เสียเหมือนเป็นการเตะปัญหาออกไป จึงเสนอให้มีการออกแบบมาตรการให้เหมาะสม คือ

1.) ไม่ควรมีรูปแบบพักหนี้เหมือนเดิม และเน้นพักหนี้ระยะสั้น
2.) แก้ปัญหาให้ตรงจุด ไม่ใช่พักหนี้ให้ทุกคน เช่น กลุ่มได้รับผลกระทบภัยแล้ง น้ำท่วม
3.) เสริมแนวทางให้เกษตรกรช่วยเหลือตนเอง เช่น ระบบประกันสินเชื่อเกษตรกร โดยการพักหนี้ควรเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่รัฐบาลจะนำมาใช้

'หมอชลน่าน' เห็นร่วม!! 'ภท.' ปิดช่องกัญชาสันทนาการ เล็งออกประกาศ สธ. คืนบางส่วนกลับไปเป็นยาเสพติด

(21 ก.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ซึ่งล่าสุดพรรคภูมิใจไทยประกาศผลักดันร่างเดิม 94 มาตรา ว่า การเสนอกฎหมายเป็นสิทธิของ สส. ที่สามารถเข้าชื่อ 20 คนก็สามารถเสนอได้ ส่วนเสนอแล้ว สภาจะพิจารณาอย่างไรก็เป็นไปตามเสียงข้างมาก สอดรับกับนโยบายรัฐบาลหรือไม่ เพราะเสียงข้างมากเป็นนโยบายของรัฐบาล ถ้าสอดรับกัน ส่วนใหญ่กฎหมายก็ถูกขับเคลื่อนตามกลไกรัฐสภา ไปยังวุฒิสภา ตามขั้นตอน ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็สามารถให้สมาชิกเสนอกฎหมายได้ เราในฐานะพรรคแกนนำก็จะเข้าไปดู เพราะมันมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายออกมารับ กำกับ ควบคุมการใช้กัญชาในขณะนี้ ส่วนใช้อย่างไรก็จะยึดตามนโยบายของรัฐบาลเป็นหลักว่า เพื่อการแพทย์และสุขภาพ ส่วนอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ คือ นอกเหนือจากนโยบาย การเอาไปใช้สันทนาการ หรือใช้ผิดประเภทถือว่านอกเหนือจากนโยบายรัฐบาล ต้องมีกฎหมายมารองรับว่า มันไม่ชอบอย่างไร

ถามว่า พรรคเพื่อไทยจะร่างกฎหมายของพรรคเข้าไปเสนอหรือไม่ หรือร่างในนามของรัฐบาล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะดูในรายละเอียดอีกครั้ง หากเป็นไปได้ก็จะเสนอเป็นร่างของ ครม.ซึ่งจะถือเป็นความร่วมมือในเชิงนโยบายที่เราพูดคุยกันจบแล้ว

ถามต่อว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ยืนยันร่างเดิมที่เคยมีการเสนอเข้าสภา แต่ตกไปแล้ว หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คงไม่เป็นการยืนยัน แต่จะหยิบเอาร่างนั้นมาดูว่าอะไรเป็นส่วนที่ดี อะไรที่จะเติมเต็ม แทนที่จะเขียนร่างใหม่ ก็เอาร่างนั้นมาปรับแก้ ส่วนที่ภูมิใจไทยเสนอ 94 มาตราเลยนั้นเป็นสิทธิของเขาที่ทำได้ ส่วนเสนอเข้าสภาแล้วจะเอาทั้ง 94 หรือมาตราหรือไม่ หรือเอามาบางส่วนก็แล้วแต่สภา อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ซึ่งภูมิใจไทยเองก็ยืนยันว่า ไม่เคยให้กัญชาเป็นสันทนาการ

ถามว่าสมัยอยู่ในสภาชุดที่แล้ว และเห็นร่างกัญชามาก่อน ยังมีช่องโหว่ในเรื่องสันทนาการอยู่ จะมีการเพิ่มตรงนี้เข้าไปในร่างใหม่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องมีวิธีการใช้ว่าจะใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ ใช้อย่างไรมีกระบวนการควบคุมกำกับอย่างไร หากใช้ประเภทอื่นถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย จะดูว่ามีข้อห้ามอย่างไร รวมทั้งการกำหนดว่า กัญชาจะเป็นยาเสพติดได้เมื่อไร ความหมายคือ ประมวลกฎหมายยา

เสพติด เอาชื่อกัญชาออกจากยาเสพติดประเภท 5 แต่ไม่ได้บอกว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เพียงแต่บอกว่า ถ้าจะกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้ไปกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ดังนั้นกัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ในความหมาย ยังมีสารเสพติดอยู่ ขณะนี้ประกาศนี้เขียนเฉพาะสารสกัด THC มากกว่า 0.2% ถือเป็นยาเสพติด นอกนั้นไม่เป็น พอไม่เป็น ทุกคนก็เอาไปใช้ลักษณะผิดประเภท เช่น เอาช่อดอกไปเสพ เอาใบไปพี้ พันลำ เป็นการใช้ที่มีผลต่อจิตประสาท ถือว่าเป็นการใช้ไม่ถูกต้อง ก็ต้องดูว่าปรับอย่างไร

เมื่อถามย้ำว่า ในร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข จะมีการเพิ่มเติมข้อกำหนดให้บางส่วนของกัญชาให้เป็นยาเสพติดหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็จะพิจารณากันอยู่ว่าอันไหนเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม แต่ไม่น่าจะกลับไปเป็นยาเสพติดทั้งหมด เพราะกัญชาเพื่อสุขภาพนั้น หากไปยึดแบบเดิมจะแข็งเกินไป แค่มีกัญชา 1 ต้นอยู่ในบ้านก็ถูกจับแล้ว กลายเป็นเรื่องมือของผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้นเราต้องออกกฎหมายมาในลักษณะที่ทุกฝ่ายไม่เสียประโยชน์ และเป็นโทษต่อเพื่อนมนุษย์ ทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์จากการใช้กัญชาเพื่อสุขภาพและการแพทย์เพื่อสุขภาพ เช่น อาหารที่ผสม CBD ซึ่งได้ประโยชน์ แต่ถ้าออกกฎหมายที่เข้มเกินไปโดยไม่ดูบริบทของการใช้ก็จะส่งผลกระทบ ขณะนี้มีการริเริ่มปลูกกัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์จำนวนมาก ซึ่งพาณิชย์ที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพก็ถือว่านอกเหนือจากเรา

เมื่อถามว่าการผลักดันกฎหมายยุคนี้จะมาปิดจุดอ่อนหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ใช่ เพราะการที่สมาชิกสภาฯ อภิปรายและไม่ให้กฎหมายนี้ผ่าน เนื่องจากยังมีช่องว่าง ถ้าปล่อยออกไปจะเหมือนไปส่งเสริม เช่นปลูกมากขึ้น ปลูก 15 ต้น การเข้าถึงมากขึ้น ถ้าไม่มีกฎหมายควบคุมที่ดีก็จะเกิดโทษ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเราจะมีการฟอร์มทีม และแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามาดูแล ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการวางตัวใครมาดูแลเป็นพิเศษ

เมื่อถามต่อว่าในแนวคิดที่จะดำเนินการนี้จะไม่ขัดกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ขัดเพราะภูมิใจไทยก็พูดชัดอยู่แล้วว่านโยบายเขาไม่สนับสนุนการใช้สันทนาการ กัญชาเสรีไม่มี เป็นเพียงวาทกรรมที่เขาถูกโจมตี

'สรรเพชญ' ซัด!! ปัญหาความล่าช้าก่อสร้างอควาเรียมหอยสังข์ ใบ้ชื่อย่อ 'ช' และ 'ม' อาจเอี่ยวทุจริตโครงการฯ ทำ 15 ปีไม่คืบ

(21 ก.ย.66) ณ ห้องกระทู้ถามแยกเฉพาะ อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ยื่นกระทู้ถามแยกเฉพาะ ได้ถามคำถามต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในครั้งนี้ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าตอบคำถามในกระทู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 

ในการนี้ นายสรรเพชญ ได้กล่าวถึงปัญหาความล่าช้าของโครงการ ที่มาและความจำเป็นของการที่ต้องมาตั้งกระทู้ถามสดในวันนี้ โดยกล่าวว่า “โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรือที่รู้จักกันดี คือ อควาเรียมหอยสังข์ เป็นโครงการที่ตนคิดว่ามีวัตถุประสงค์ที่ดี เป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวสงขลา และครั้งหนึ่งเคยมีการขายฝันกับชาวสงขลาไว้ว่า อควาเรียมหอยสังข์ จะเป็นอควาเรียมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะวัตถุประสงค์ของการก่อสร้าง คือ ใช้เป็นสถานที่จัดแสดง วิจัยและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมทั้งสัตว์น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม เพราะจังหวัดสงขลาเองก็เป็นจังหวัดใหญ่ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการนี้ตนจึงคิดว่าเป็นโครงการที่ดี” 

แต่อย่างไรก็ดี โครงการนี้กลับมีความฉ้อฉลที่ทำให้ประชาชนสงสัย และสร้างบาดแผลในใจให้กับพี่น้องชาวสงขลาเป็นอย่างมาก เพราะใช้เวลาก่อสร้างกว่า 15 ปีแล้ว ก็ยังไม่เสร็จ อีกทั้งใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 1,400 ล้านบาท ได้มาเพียงตึกรูปหอยสังข์กับระบบภายในที่ไม่แล้วเสร็จ กลายเป็นอนุสาวรีย์ที่ผู้คนกล่าวขานกันว่า ถ้าอยากดูซากหอยล้านปีต้องไปที่กระบี่ แต่ถ้าอยากดูซากหอยที่สร้างไม่เสร็จซักทีต้องไปที่สงขลา 

นายสรรเพชญ จึงได้ถามคำถามในห้องกระทู้ถามแยกเฉพาะ โดยถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 3 คำถามด้วยกัน คือ...

1) กระทรวงศึกษาธิการภายใต้รัฐบาลชุดนี้ มีแนวทางหรือแผนการดำเนินงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ อย่างไร ขอทราบรายละเอียด

2) กระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทางหรือนโยบาย เพื่อระงับข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม จากการขอลดสเปกของผู้รับเหมา แต่ราคากลับไม่ลดตาม เพื่อให้เกิดข้อยุติและไม่กระทบต่อประชาชนในพื้นที่ในอนาคต นอกจากนี้ ในเรื่องของรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงที่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบที่ผ่านมา ท่านมีข้อสรุปอย่างไร ขอทราบรายละเอียด

3) หากไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการอย่างไรกับงบประมาณที่ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงการดำเนินการทางคดีกับผู้รับเหมาที่ทิ้งงานท่านได้ดำเนินการไปแล้วหรือไม่อย่างไร ขอทราบรายละเอียด 

หลังจากนั้น นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ ก็ได้ให้เกียรติตอบคำถามโดยสรุปว่า “ในขณะนี้คดีอยู่ในชั้น ป.ป.ช. และยังไม่ได้มีข้อสรุปออกมา ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ส่งหนังสือสอบถามความคืบหน้าไปยัง ป.ป.ช. เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงฯ  จึงยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เหตุเพราะว่ารอการตรวจสอบของ ป.ป.ช. และเกรงว่าหากดำเนินการอะไรไปก่อน จะเกิดข้อผิดพลาดทางกฎหมายได้” 

นายสรรเพชญ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “จากที่ตนได้ศึกษาที่มาที่ไปของปัญหาเบื้องต้น ก็ได้ทราบถึงต้นตอปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการทุจริตของคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจจะมีชื่อย่อ ช และ ม อย่างไรก็ตาม ต้องรอการตรวจสอบของ ป.ป.ช. และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา” 

และในตอนท้าย นายสรรเพชญ กล่าวว่า “ตนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระทรวง ศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการดำเนินการหาทางออกอย่างเร็วที่สุด เพราะกว่า 15 ปีแล้ว ที่งบประมาณถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นอื่นหรืออย่างไร ก็ขอให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนชาวสงขลาและประชาชนทุกคน”

'โตโต้' โวย!! กลไกแฝงใน 'รธน.60' ทำ 'ช่อ' หมดอนาคตการเมือง ลั่น!! รธน.ฉบับนี้ มีไว้ 'ปราบ-กลั่นแกล้ง' นักการเมืองที่ไม่ยอมจำนน

(21 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล แถลงกรณีศาลฎีกาพิพากษา น.ส.พรรณิการ์ วานิช ถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต ว่า ในฐานะที่ตนอภิปรายแนวนโยบายของรัฐบาล หลักนิติธรรม โครงสร้างปัญหาของประเทศ และการใช้นิติสงคราม กับนักการเมือง เป็นการปราบโกงหรือปราบใคร เนื่องจากเนื้อแท้ของเรื่องนั้นแฝงอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อให้อำนาจองค์กรอิสระพิจารณาออกจริยธรรมขององค์กรขึ้นมา โดย สส. - สว.และคณะรัฐมนตรี ต้องอยู่ภายใต้จริยธรรมดังกล่าวด้วยจึงเกิดปัญหาตามมา เช่น กรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับจริยธรรมจะไม่สิ้นสุดที่องค์กรอิสระแต่จะไปสิ้นสุดที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาผิดต่อได้ ถือเป็นการลงโทษซ้ำซ้อน

นายปิยรัฐ กล่าวต่อว่า ปัญหาคือการใช้มาตรฐานจริยธรรมขององค์กรอิสระมาใช้กับนักการเมือง จึงต้องถามกับองค์กรอิสระว่าในอดีตเคยทำผิดจริยธรรมหรือไม่ก่อนมาดำรงตำแหน่ง ความผิดของนางสาวพรรณิการ์ เป็นความผิดที่เกิดขึ้นก่อนมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเชื่อว่านี่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐธรรมนูญกลั่นแกล้งนักการเมือง ปราบนักการเมืองที่ไม่ยอมจำนน และนักการเมืองที่ไม่ยอมอยู่เป็น ด้วยกฎหมายนี

ด้าน นายอนุสรณ์ แก้ววิเชียร สส.นนทบุรี พรรคก้าวไกล กล่าวว่า น.ส.พรรณิการณ์ เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ ตนขอตั้งคำถามว่ามาตรฐานจริยธรรมของ สส.ต้องย้อนกลับไปก่อนที่จะมาเป็น สส.หรือไม่ พฤติกรรมในอดีตสามารถนำมาใช้ในขณะเป็น สส.หรือไม่ รวมถึงการกระทำที่เกิดไปแล้ว ความผิดเหล่านั้นยังคงติดตัวหรือไม่ ขอฝากไปถึงองค์กรอิสระว่าสิ่งที่วางบรรทัดฐานไว้ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีโทษในมาตรา 112 หากถูกตรวจสอบจริยธรรมจะซ้อนทับกับกฎหมายอาญาหรือไม่ และยุติธรรมหรือไม่ หากในอนาคตกฎหมายนี้ย้อนกลับมาที่ตัวท่านเอง

ขณะที่ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในแง่ของกฎหมาย ไม่ควรมีกฎหมายลงโทษย้อนหลัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นการตัดสิทธิ์ทางการเมือง หากเทียบทางอาญาถือเป็นโทษประหารชีวิต ถือเป็นโทษสูงหากเทียบพฤติการณ์

เมื่อถามว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาแสดงความเห็นว่าพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีล่าช้า และแล้งน้ำใจ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ความเห็นดังกล่าวถือเป็นคุณูปการกับพรรค ในนามพรรคก้าวไกลได้มีการแถลงข่าวผ่านทางเพจเฟซบุ๊กไปแล้ว แต่ในการแถลงข่าววันนี้ไม่ได้แถลงในนามพรรค ไม่ได้ต้องการให้มองว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล พรรคก้าวไกลก็หารือภายใน ไม่สามารถแอ็กชันได้ทันท่วงที เนื่องจากเมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) มีการประชุมสภาด้วย

เมื่อถามต่อว่า ได้มีการคุยกับ น.ส.พรรณิการ์ หรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้คุยกับ น.ส.พรรณิการ์ แต่คิดว่าทางพรรคน่าจะพูดคุยกันตามปกติ

เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่อยากให้ศาลพิจารณาเรื่องจริยธรรม นายปิยรัฐ กล่าวว่า ตามที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลได้นำเสนอการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการต่อยอด เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราเสนอให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่เกิดเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อถามว่า เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ไม่ใช่การเขียนเสือให้วัวกลัว เพราะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พรรคก้าวไกล หรือคดีมาตรา 112 เท่านั้น แต่คำถามสำคัญก็คือ กรณีทั่วไปที่ศาลเคยตัดสินโทษไปแล้ว ศาลฎีกาจะกลับมาเอาโทษนักการเมืองคนนั้นในภายหลังได้อีกหรือไม่

"ผมว่าไม่ใช่การเขียนเสือให้วัวกลัว เพราะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่นักการเมืองทุกคน ต้องสำนึกว่ากฎหมายอยู่ในมือใคร และจะใช้กฎหมายกับใคร" นายปิยรัฐ กล่าว

'โฆษกศาลยุติธรรม' ชี้!! คดี ‘ช่อ พรรณิการ์’ อุทธรณ์ไม่ได้อีก ยัน!! ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยใดแล้ว ผลนั้นถือเป็นอันสิ้นสุด

(21 ก.ย.66) นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึง กรณีที่มีข่าวคดี น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ‘ช่อ’ อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาห้ามลงสมัคร สส.หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป แต่ไม่ตัดสิทธิ์ การใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่า…

“เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไป โดยคดีที่กล่าวหาว่ากระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำวินิจฉัยใดแล้ว ผลนั้นถือเป็นอันสิ้นสุดตามกฎหมาย จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาไม่ได้อีก”

‘อี้ แทนคุณ’ จี้ ‘รองอ๋อง’ ลาออกรอง ปธ.สภา เซ่นปม ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ คุกคาม-ล่าแม่มดคนเห็นต่าง

(21 ก.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​นางอมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ ก้าวไกล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 นายปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา ​หรือ หมออ๋อง ที่มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิ​มนุษยชนด้วยการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของแฟนคลับ​การเมือง​ผู้ที่วิจารณ์นักการเมือง ซึ่งถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยและบุคคลสาธารณะย่อมถูกวิจารณ์ได้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย 

โดยพฤติกรรมของนางเจี๊ยบ อม​รัตน์​ ได้ใช้วิธีล่าแม่มด คุกคามทำให้ผู้เห็นต่าง รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต การงานและจิตใจ โดยเฉพาะการไปบุกไปถึงที่ทำงาน ถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบเหมือนกับที่คนในโลกโซเชียล ขนานนามให้ว่า ‘เจี๊ยบ ศาลเตี้ย’ หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการให้ท้ายของนายปดิพัทธ์ด้วยหรือไม่ ที่คิดว่าพอมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วจะทำอะไรผิดกฎหมายซ้ำ ๆ ​หลังล่าสุดพบว่าที่สิงคโปร์​จัดงานเทศกาล​อาหารและเบียร์ ​ที่อาจจะ​เป็น​เป้าหมายจริงของการผลาญ​งบแผ่นดินหรือไม่​ เพราะการกระทำดังกล่าวของ ‘เจี๊ยบ’ ถือเป็นการใช้สิทธิเกินสิทธิ​ มีการเปิดเผย ชื่อที่อยู่ และโยงสมาชิกในครอบครัว เป็นการละเมิดสิทธิคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยพฤติกรรม​ต่อหน้าปากประชาธิปไตย แต่น้ำใจอนาธิปไตย​ 

ก่อนหน้านี้​เวลาไม่พอใจใครจะใช้คำหยาบ​คายวิจารณ์คนอื่นได้หมดพอโดนวิจารณ์กลับบ้าง กลับไปคุกคามเขาและการที่ขอโทษสำนึกผิด​ต่อให้ ‘อมพระรัตนตรัย’ มาพูดก็ไม่เชื่อ ซึ่งขอให้พี่น้องประชาชนได้จับตาดูว่า ถ้าหากนายปดิพัทธ์ไม่ทำอะไรใด ๆ ก็เท่ากับ ‘รู้เห็นเป็นใจ’ พฤติกรรมดังกล่าว เพราะตั้งแต่มีสภาผู้แทนราษฎรมา ไม่เคยมีรองประธานคนไหนมีพฤติกรรมอื้อฉาวรายสัปดาห์ให้คนเอือมระอาได้แบบนี้ ควรพิจารณา​ตัวเอง ‘ลาออก’ ดีกว่าอยู่ต่อไป

นอกจากนี้กรณีช่อ พรรณิการ์ ที่ผลการตัดสินของศาลฎีกาที่ตัดสิน​ให้การกระทำผิดจริยธรรม​ได้รับผลกรรมเสมือนเด็ดดอกไม้ช่อเดียวสะเทือนทั้งสวนส้ม โดยการตัดสิทธิ์​การเมือง ‘ช่อ’ ชั่วชีวิต​ จะทำให้ สส.พรรคนี้ ที่ชอบทำอะไรเอาแต่ใจไม่สนว่าผิดกฎหมายผิดจริยธรรม ​รวมทั้งนายพิธาด้วยที่มีพฤติกรรม​​นำเด็ก​ไปหาประโยชน์​ทางการเมือง​ โดยที่บอกว่ากาก้าวไกลประเทศไทย​ไม่เหมือนเดิมคือมาตรฐาน​จริยธรรม​และสิ่งที่ดีงามที่เคยมีจะค่อย ๆ ถดถอยเสื่อมทราม ตกต่ำลงเรื่อย ๆ หรือไม่ โดยเชื่อว่าเมื่อกฎหมาย​ศักดิ์​สิทธิ​์บ้านเมือง​จะหอมกลิ่น​ความเจริญ​ บรรดา สส.กระทำความผิด​จะค่อย ๆ ถูกดำเนินคดี​จนหมดไปในที่สุด​

‘มัลลิกา’ ประกาศลาออก ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ขอไปใช้ชีวิตส่วนตัว-ดูแลมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน

(21 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ช่วงการจัดรายการไลฟ์สดในติ๊กต็อก tiktok live ช่องทางของ Account ชื่อว่า mallikaboon ในตอนหนึ่งนั้น นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเว้นวรรคทางการเมือง โดยให้เหตุผลในการไปใช้ชีวิตส่วนตัว

ขณะเดียวกันยังคงดำรงพื้นที่สาธารณะไว้เพียงช่องทางสื่อสารใน Account แพลตฟอร์ม TikTok ในชื่อว่า mallikaboon จัดเป็นรูปแบบรายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ประจำทุกค่ำคืน และมีผู้ติดตาม 1.18 แสนคน และ 1.5 ล้านวิวในโปรไฟล์ โดยนางมัลลิกา มีจัดรายการถ่ายทอดสดเกือบทุกคืนหลังเวลา 20.00 น.ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ของการจัดรายการตามความถนัดและมีผู้ติดตามประจำจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการลาออก นางมัลลิกา กล่าวว่า กำลังให้คนเอาหนังสือลาออกไปยื่นที่สำนักงานพรรค และเหตุผลคืออยากเว้นวรรคทางการเมือง และไปใช้ชีวิตส่วนตัว นอกจากนั้น ยังมีหน้าที่ประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน www.mallikafoundation.net ที่ทำประโยชน์ต่อสาธารณะในภาคประชาชนที่จะต้องขับเคลื่อนองค์กรและวางแผนงานกิจกรรมประจำปีโดยอิสระ อย่างไรก็ตาม นางมัลลิกา ระบุว่า เวลาขณะนี้ตกผลึกทางความคิดแล้ว และต้องการใช้ชีวิตส่วนตัวกับครอบครัวให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top