Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

'ปิยบุตร' ขอเป็น 'เอสเพรสโซ่ 2 ช็อต' รสอาจขม แต่ช่วยให้ตื่น ร่ายยาวเตือน 'ก้าวไกล' ระวังจะเป็นได้แค่พรรคคนหัวร้อน

หลังจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกมาไลฟ์ผ่านทางเฟซบุ๊ก 'Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล' ประกาศขอยุติบทบาทของตัวเอง และจากนี้จะไม่ขอพูดถึงพรรคก้าวไกลอีก เนื่องจากได้วิจารณ์กรณี 'ช่อ' พรรณิการ์ วานิช ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต แต่กลับถูกผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลรุมโจมตีอย่างหนักนั้น

ล่าสุด นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้โพสต์ตอนแรกว่า...

ดังที่ผมกล่าวไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ผมมีข้อเขียนเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลที่เตรียมเอาไว้นานแล้ว 2 ตอนสุดท้าย (ก่อนที่จะหยุดการวิจารณ์เสนอแนะพรรคก้าวไกล) หลายประเด็นในข้อเขียนสองตอนนี้ อาจปรากฏในการสัมภาษณ์สื่อก่อนหน้านั้น ผมเรียบเรียงไว้เป็นข้อเขียนและตั้งใจเผยแพร่ 'ทิ้งทวน' เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อสมาชิก ผู้ลงคะแนน ทีมงาน และ สส.

ผมคาดการณ์ว่า ภายในพรรค คงไม่มีใครหรือคณะนำคนใดพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ด้วยเหตุผลจากตำแหน่งหน้าที่ การปิดลับ หรือความเกรงอกเกรงใจต่อกันและกัน (ไม่ว่า คณะนำเกรงใจ สส. หรือ สส.เกรงใจคณะนำ) คงหลงเหลือแต่การคุยบ่นตัดพ้อกันในวงข้าววงเหล้าอยู่บ้าง ดังนั้น ผมในฐานะ 'คนนอก' จึงขอใช้โอกาสสุดท้าย ทำหน้าที่เป็น 'เอสเพรสโซ่ 2 ช็อต' รสอาจขม แต่ช่วยให้ตื่นและสดชื่นได้

หวังว่า ผู้สนับสนุนพรรค สมาชิก พนักงาน สส. และคณะนำของพรรคก้าวไกล จะเข้าใจในเจตนาของผม

ข้อเขียน 2 ตอนสุดท้าย ได้แก่...

***ตอนที่ 1 ปัญหาที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้

***ตอนที่ 2 ข้อเสนอถึง ส.ส. คณะนำ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่

ในวันนี้ จะเผยแพร่ตอนที่ 1 ก่อน

>> ตอนที่ 1 - ปัญหาที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้

ภายหลังจากการสนธิกำลังของชนชั้นนำดั้งเดิม ชนชั้นนำทางการเมือง และชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ เพื่อโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล ได้เริ่มต้นขึ้น เป็นที่แน่ชัดว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีของสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้ พรรคก้าวไกลจะต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ผมขอสรุปไล่เรียงเป็นข้อๆ ดังนี้...

- ประการที่หนึ่ง การตรวจสอบและปฏิบัติการข่าวสารอย่างเข้มข้น

ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล ประสบความสำเร็จได้ เพราะ ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่ง คือ การสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารผ่านทางโลกออนไลน์ฝ่ายตรงข้ามกับพรรคก้าวไกลเล็งเห็นถึงข้อนี้ พวกเขาจึงใช้เครื่องมือการสื่อสารในการตอบโต้กลับไป เมื่อ สส.หรือพรรคก้าวไกล สื่อสารบ่อย ก็ย่อมมีโอกาสที่จะสื่อสารพลาด เมื่อ สส.หรือพรรคก้าวไกล สื่อสารบ่อย ก็เป็นธรรมดาที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามนำบางท่อนบางตอนไปขยายความ ตีความ ใส่ความ เพื่อสู้กับพรรคก้าวไกล

ดังนั้น นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สส.พรรคก้าวไกล ควรระมัดระวังและรอบคอบในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น และคณะนำต้องยึดกุมทิศทางการสื่อสารของคนในพรรคทุกคนให้ไปในทิศทางเดียวกัน แบ่งภารกิจกลุ่มงานตามความเชี่ยวชาญรายประเด็น เรื่องใด ให้ สส.คนใดสื่อสาร มิใช่ปล่อยให้ สส.สื่อสารกันได้ทุกประเด็นตามใจชอบอย่างไม่มีทิศทาง เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ที่ สส.คนหนึ่งจะรู้ทุกเรื่อง เชี่ยวชาญสารพัดเรื่อง การเกาะกระแส 'ดราม่า' 'เป็นข่าว' แสดงความเห็นทุกประเด็น โดยตนเองอาจไม่เชี่ยวชาญมากนัก ย่อมนำมาซึ่งความผิดพลาด และต้องไม่ลืมว่า เมื่อสื่อและฝ่ายตรงข้ามจับจ้องอยู่เสมอ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจถูกนำไปขยายผลได้

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลพยายามยกระดับการเมืองไทยใหม่ ด้วยการสร้างมาตรฐานของนักการเมืองให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการครองตน เรื่องการยึดถือคุณค่าพื้นฐานร่วมกันอ่อนน้อม ไม่กร่าง ไม่เบ่ง ไม่มีการปฏิบัติที่เป็นไปในทางคุกคามทางเพศ การเคารพความแตกต่างหลากหลายทางเพศ หรือไปจนถึงยึดเรื่อง PC

เมื่อไรก็ตาม คนของพรรคก้าวไกลมีกรณีละเมิดเรื่องเหล่านี้ - ทั้งเรื่องเล็กแต่ถูกตีฟูขยายใหญ่ ทั้งเรื่องใหญ่ที่พรรคไม่อาจคุมคนของตนได้ถ้วนทั่ว - ก็จะถูกปฏิบัติการข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามขยายผล พร้อมกับเรียกร้องมาตรฐานตามที่พรรคตนเองได้โฆษณาเอาไว้

เมื่อยกระดับมาตรฐานเอาไว้สูง จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะถูกสังคมเรียกร้องมากเป็นพิเศษ ดังนั้น สส.ของพรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการครองตนมากกว่า สส.พรรคอื่นๆ

บุคลิกภาพของ สส.และความใหม่ของ สส. ก็เช่นเดียวกัน จะกลายเป็นจุดที่พวกเขานำไปใช้โจมตี

จากเดิม 'ความใหม่ ความสด การไม่เป็นนักการเมืองมาก่อน ไม่ได้อยู่ในตระกูลการเมือง การมีจุดยืนชัดเจน' ที่เป็นจุดเด่น จะค่อยๆ ถูกทำให้เป็น 'หัวร้อน อ่อนประสบการณ์ บริหารไม่เป็น ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ คิดว่าตนเองวิเศษคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่คิดคบใครและไม่มีใครคบ' จนกลายเป็นจุดอ่อนไป

พรรคก้าวไกลต้องต่อสู้กับการยึดกุมความคิดความเชื่อของสังคมไว้ให้ได้ มิใช่ปล่อยเละเทะจนบานปลายไปถึงขนาดที่คนเริ่มบ่นตัดพ้อว่า “รู้แบบนี้ ไม่น่าเลือกเลย ขอคะแนนคืนได้มั้ย”ถ้ามาถึงวันนั้นเมื่อไร คะแนนนิยมของพรรคก็จะเริ่มลดน้อยถอยลง ต้องไม่ลืมว่า เมื่อกระแสสูงได้เพราะโลกโซเชียล กระแสก็ตกได้ด้วยโลกโซเชียลเช่นกัน

- ประการที่สอง ช่วงเวลา 'Honeymoon' กำลังหายไป

ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้การยอมรับและเอาใจช่วยจากหลากหลายแวดวง อยากเห็นพรรคก้าวไกลได้มีโอกาสบริหารประเทศ เราจะเห็นได้ว่า แวดวงวิชาการ ศิลปวัฒนธรรม บันเทิง ไปจนถึงสื่อมวลชน ต่างก็มีใจปฏิพัทธ์ให้แก่พรรคก้าวไกล

เมื่อไรก็ตามที่คนของพรรคก้าวไกลถูกโจมตี ทั้งจากปฏิบัติการข่าวสาร ทั้งจากนิติสงคราม จะมีคนจากหลากหลายแวดงพร้อมออกมาอธิบาย โต้แย้งแสดงเหตุผล ช่วยพรรคก้าวไกลเสมอ ยังไม่นับรวมว่าได้ช่วงเวลาออกอากาศจากสื่อสำนักสำคัญๆ อยู่เป็นประจำ

ประกอบกับ เมื่อพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและไม่ได้ร่วมรัฐบาล ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงแค้นผสมระคนกับแรงสงสาร เข้าไปอีก

แต่ทั้งหมดนี้คือช่วงเวลา Honeymoon

เมื่อรัฐบาลเข้ารับหน้าที่ พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ผ่านไปสักระยะ บรรยากาศน้ำผึ้งพระจันทร์ที่แวดวงท้้งหลายมีให้แก่พรรคก้าวไกล ก็จะทยอยบรรเบาบางลงไปตามลำดับ

ต่อไป โอกาสแก้ตัว ที่พรรคก้าวไกลได้รับอย่างสม่ำเสมอ จะค่อยๆ หายไป จากเดิม เรื่องหนึ่ง มีคนให้อภัย มีคนพร้อมเข้าใจ มีคนช่วยแก้ต่าง ต่อไป เรื่องเดียวกัน คนจะเริ่มถาม 'อีหยังวะ' คนจะสงสัย 'อะไรกันนักกันหนา อีกแระ ไม่ระวังกันเลย'

นับตั้งแต่เลือกตั้งจบลงจนถึงวันนี้ มีหลายกรณีที่เริ่มเดินไปในทิศทางนี้แล้ว ผมคงไม่ต้องยกมาอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม ทุกคนคงพิจารณาและนึกออกได้เอง

- ประการที่สาม นิติสงคราม เดินหน้าบดขยี้

บรรดาคดีความที่ ส.ส.พรรคและพรรคก้าวไกล ถูกเล่นงาน ยังคงอยู่ในเงื้อมมือขององค์กรอิสระและศาล และน่าจะมีอีกหลายคดีที่บรรดา 'นักร้อง' เตรียมปฏิบัติการต่อเนื่อง

ตลอด 4 ปีนี้ ปฏิบัติการนิติสงครามต่อพรรคก้าวไกลจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ดอกผลอาจไม่ออกช่วงนี้ แต่ก็สร้างความรำคาญและเป็นภาระ ดอกผลจะเบ่งบานบานปลาย หากเข้าใกล้เทศกาลการเลือกตั้งและพรรคก้าวไกลยังกระแสสูง

- ประการที่สี่ พรรคการเมือง/กลุ่มการเมือง ทุกกลุ่ม รุมขย้ำ

เมื่อพรรคก้าวไกลถูกโดดเดี่ยว ก็จะถูกพรรคอื่นๆ ปิดล้อมตามลำดับ รอบนี้จะหนักหนาสาหัสมากขึ้น เพราะ พรรคเพื่อไทย พรรคขนาดใหญ่ที่เคยอยู่ขั้วเดียวกันมา กลับเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเสียแล้ว เมื่อผนวกกำลังเข้ากับพรรคอื่นๆที่ 'จองกฐิน' พรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ก็จะยิ่งทำให้พรรคก้าวไกลเหนื่อยมากขึ้น การแบ่งสรรตำแหน่งประธานกรรมาธิการตามโควต้าพรรค เมื่อไม่นานมานี้ เป็นเพียง 'หนังตัวอย่าง' เท่านั้น ประเดี๋ยวคงมีอีกหลายเรื่องตามมา

- ประการที่ห้า ความขัดแย้งภายในพรรค

ความขัดแย้งภายในพรรค เป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมือง การบริหารความคาดหวังของคนในพรรค และการขจัดหรือลดทอนความขัดแย้งภายในพรรค จึงเป็นศิลปะและความท้ายทายของผู้บริหารพรรค

ในระยะ 4 ปีนี้ พรรคก้าวไกลจะเจอปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคอยู่ 3 กรณีใหญ่...

กรณีแรก ความขัดแย้งเรื่องตำแหน่ง พรรคก้าวไกลถูกเตะให้เป็น 'ฝ่ายค้าน' ทำให้ตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ มีน้อย ในขณะที่โอกาสการบริหารและใช้งบประมาณแผ่นดินก็ไม่มี

เมื่อตำแหน่งเหลือน้อยลง ไม่มีงบ ไม่มีอำนาจ แต่มี ส.ส.ถึง 151 คน มีพนักงาน มีอาสาสมัคร มีคณะทำงานทั่วประเทศ รวมอีกหลายร้อยคน มีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญที่พรรคอยากดึงตัวมาช่วยงานในอนาคตอีก เช่นนี้ การแบ่งสรรปันส่วนตำแหน่งให้ได้อย่างถ้วนทั่ว สมตามความพอใจของแต่ละคน ย่อมเป็นไปได้ยาก

เมื่อมีคนไม่ได้ตำแหน่งที่ตนเองต้องการ ก็ตามมาด้วยความผิดหวัง เมื่อผิดหวัง ก็ไม่พอใจ โกรธ และในท้ายที่สุด ก็จะขยายผลไปไม่พอใจในเรื่องอื่นอีก จากเดิม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทนๆ กันไปได้ หยวนๆ กันไปได้ แต่เมื่อผิดหวังใหญ่จากเรื่องตำแหน่ง ต่อไป เรื่องเล็กน้อยที่ไม่เป็นประเด็น ก็อาจกลายเป็นประเด็นได้เสมอ

แล้วถ้ามีหลายๆ คนไม่พอใจในเรื่องตำแหน่ง ก็จะตามมาด้วยการจับกลุ่มของคนที่ไม่พอใจ และขยายตัวเป็นความขัดแย้งภายในพรรค

เช่นเดียวกัน พรรคก้าวไกลประกาศว่า จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นในรอบหน้า จุดนี้เป็นชนวนของความขัดแย้งในพื้นที่ได้อีก

ประสบการณ์ของพรรคอื่นๆ บอกเราไว้ว่า การเมืองท้องถิ่นอาจส่งผลสะเทือนภายในพรรคได้จากกรณีที่ สส.หรือผู้สมัคร สส.ในเขตเลือกตั้งหนึ่ง ในจังหวัดหนึ่ง ต้องการส่งคนของตนเองลงสมัครสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือนายกท้องถิ่น แต่พรรคหรือคณะนำของพรรคต้องการส่งอีกคนลง ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือ ต่างคนต่างส่งกันเอง แข่งกันเอง ขัดแย้งกันเอง หรือไม่ก็ อดทนยอมคณะนำพรรคไป แต่ก็สร้างความไม่พอใจเก็บเอาไว้ เรื่องทำนองนี้ ย่อมมีโอกาสเกิดกับพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน

กรณีสอง ความขัดแย้งเรื่องการไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ยามเมื่อพรรคพึ่งตั้งใหม่ ยังไม่มีใครรู้จัก และยังไม่รู้จักกันเองเท่าที่ควร คณะนำของพรรคอาจยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนในพรรคอย่างถ้วนหน้า การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อาจมาจาก 'วงปิด' ของคณะนำไม่กี่คน ในขณะที่ สส.คนอื่นๆ อาจคิดว่าต้องยอมสภาพเช่นนี้ไปก่อนในระยะแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเติบโตขึ้น คนมากขึ้น สส.มากขึ้น เรื่องที่ต้องตัดสินใจส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้างมากขึ้น ส.ส.และทีมงานของพรรคย่อมต้องการมีส่วนร่วมมากขึ้น

ยิ่งพรรคก้าวไกลโฆษณาเรื่อง พรรคมวลชน พรรคที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ พรรคที่มีประชาธิปไตยกันภายในพรรค ก็จะยิ่งถูกคนในพรรคเรียกร้องการมีส่วนร่วมเข้าไปอีก มิพักต้องกล่าวถึง ผู้ลงคะแนนและผู้สนับสนุนจำนวนมากที่สามารถกดดันเรียกร้องพรรคได้เช่นกัน

ปัญหาเหล่านี้จะทยอยๆ เกิดขึ้น ไล่ไปตั้งแต่…

เรื่องใดให้อำนาจคณะนำตัดสินใจ แล้วให้ที่ประชุม สส.รับทราบ เรื่องใดให้คณะนำและที่ประชุม สส.ร่วมกันตัดสินใจ หรือคณะนำไม่กี่คนรวบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมด แล้วให้ สส.ยกมือพอเป็นพิธี?

คณะนำตัดสินใจแต่ผู้สนับสนุนพรรคไม่พอใจรวมตัวกันกดดัน

คณะกรรมการบริหารพรรคมาจากการจัดตั้งคนไว้ก่อนแล้วจัดประชุมเป็นพิธียกมือให้ตามระเบียบ หรือจะเปิดให้มีการแข่งขันกันภายในพรรคอย่างจริงจัง? เป็นต้น

กรณีสาม ความขัดแย้งเรื่องความคิดและแนวทางของพรรค พรรคก้าวไกลรวมคนจากหลากหลายกลุ่ม มีหลายเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน แต่ยอมกันไปเพื่อการณ์ใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พรรคเติบใหญ่ขึ้น ความเห็นแตกต่างกันภายในพรรคในเรื่องความคิด แนวทาง นโยบายพรรค จะเริ่มปรากฏชัดมากขึ้น

เรื่องแบบนี้ เป็นธรรมดาของพรรคการเมือง หากในอนาคต เปิดให้มีการแข่งขันภายในพรรค ก็จะเกิดกลุ่มขั้วต่างๆ แข่งกันภายในว่า แนวคิดไหนจะชนะและได้บริหารชี้นำพรรค

ปัญหามีอยู่ว่า ในช่วงเริ่มต้นแบบนี้ จะประคองไม่ให้ประเด็นแบบนี้กลายเป็นความขัดแย้งจนสั่นคลอนพรรคได้อย่างไร

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘อานนท์’ โดนคุก 4 ปี ชี้!! ปัญหาเกิดจาก 112 จ่อยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม-สะสางคดีทางการเมืองทั้งหมด

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘ทนายอานนท์’ ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ชี้ ปัญหามาจากการใช้ ม.112 ปิดปากประชาชนคนเห็นต่าง เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม-สะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้ง เรียกร้อง ‘เศรษฐา’ เดินหน้าบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพ

(26 ก.ย. 66) พรรคก้าวไกลและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็น กรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหว ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก 4 ปี ในคดีความผิดตามมาตรา 112 จากการปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง ว่า…

“คดี 112 ของอานนท์ นำภา สะท้อนปัญหาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ที่รัฐมิอาจเพิกเฉยอีกต่อไป

วันนี้ ศาลอาญา รัชดาฯ ได้พิพากษาจำคุกอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง เป็นเวลา 4 ปี ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563

พรรคก้าวไกลกังวลอย่างยิ่งต่อคำพิพากษานี้ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่พลเมืองไทยถูกตัดสินจำคุกจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และการปราศรัยของอานนท์ ก็เป็นการพูดหลักการและเหตุผล ไม่ควรถือเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และไม่ได้เป็นการแสดงความ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต่อองค์พระมหากษัตริย์

ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทุกรัฐบาลพยายามไม่รับรู้ว่ากฎหมาย 112 มีปัญหา แต่นับวัน ปัญหานี้ยิ่งเด่นชัดขึ้น และการใช้ 112 ปิดปากผู้เห็นต่าง กำจัดศัตรูทางการเมือง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากตระหนักดีว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง แม้ว่าผู้มีอำนาจจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

รัฐบาลชุดใหม่บอกว่าจะสร้างความปรองดองในสังคม ซึ่งพรรคก้าวไกลเชื่อว่า สังคมไทยไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ความปรองดองได้ โดยปราศจากการสร้างความยุติธรรมและทิ้งปมปัญหานี้ไว้ใต้พรม

ดังนั้น การเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะยังคงเป็นภารกิจของผู้แทนราษฎรก้าวไกล เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยและกลไกของระบบรัฐสภา และขอยืนยันว่า การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่พรรคเสนอ จะไม่กระทบต่อพระราชสถานะขององค์พระประมุข แต่จะยังส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะใช้เวลานาน และไม่ใช่ภารกิจที่จะสำเร็จโดยง่าย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองอื่น และถึงแม้จะแก้ได้สำเร็จ ก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ถูกตัดสินจำคุกไปแล้วจากกฎหมายนี้ รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกำจัดและปิดปากผู้เห็นต่างกับอำนาจรัฐ เช่น กฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

เพราะฉะนั้น พรรคก้าวไกลจึงเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีการเมือง เพื่อชำระสะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้งตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมอย่างเป็นธรรม

สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่าสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เพื่อบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือการออกนโยบายสำหรับคดีการเมืองที่ยังไม่ขึ้นสู่ชั้นศาล ป้องกันไม่ให้มีการฟ้องคดีอย่างมิชอบด้วยกระบวนการและการบังคับใช้โดยใช้กฎหมายที่กลายเป็นการละเมิดเสรีภาพประชาชน ที่ผ่านมา ตำรวจและอัยการมีอำนาจในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดี หากเห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อเป็นคดีความมั่นคง 112 หรือ 116 ก็มักสั่งฟ้อง ทำให้กลายเป็นภาระของประชาชนที่ต้องเสียทรัพยากรและเวลาต่อสู้ในชั้นศาล

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การกระทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการคืนความเป็นนิติรัฐให้กับประเทศไทย คืนความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบตุลาการและทุกสถาบันหลักของประเทศ เพราะความอยุติธรรมต่อคนคนหนึ่ง เท่ากับความอยุติธรรมต่อพลเมืองทุกคน”

'หมอชลน่าน' แง้ม!! ทิศทาง 'กัญชา' อาจคืนบางส่วนเป็นยาเสพติด กั๊กตอบกัญชาสันทนาการ ต้องดู 'มิติสังคม-สุขภาพ' ควบคู่กัน

(26 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงแนวทางการควบคุมการใช้กัญชา หลังมีบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มหนึ่ง อยากให้ รมว.สาธารณสุข ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน (Quick Win) ในการประกาศควบคุมการใช้กัญชา ขณะที่มีภาคประชาชนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยในการห้ามปลูกบ้านละ 15 ต้น รวมถึงการให้กลับไปเป็นยาเสพติด ว่า เรื่องนโยบายเร่งด่วนกระทรวงสาธารณสุขนั้น ประกาศออกมาเป็นภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจสุขภาพ หมายความว่า จะนำสุขภาพไปสร้างเศรษฐกิจในมิติสุขภาพที่มีหลายองค์ประกอบ อาทิ ศูนย์กลางการแพทย์ (เมดิคัลฮับ) ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เรื่องวิชาการ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งกัญชาอาจจะอยู่ในมุมนี้ การให้บริการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ มิติเหล่านี้อยู่ในการประกาศนโยบายเร่งด่วน ไม่ได้เน้นไปที่กัญชา

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วความชัดเจนเรื่องกัญชาเป็นอย่างไร เนื่องจากรอกฎหมายมาควบคุมอยู่นานมากแล้ว นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุขรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว เราได้เร่งรัด โดยตั้งคณะทำงานมาพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข โดยนโยบายได้เน้นย้ำว่ากัญชาทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นมุมโดยตรงของกระทรวง จึงต้องไปดูกฎหมายที่จำเป็น ออกมาใช้บังคับ จะพยายามจัดทำกฎหมายและเสนอโดยเร็วที่สุด ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นรัฐบาลร่วมกัน ก็ต้องปรึกษาหารือร่วมกัน

เมื่อถามถึงกรณีการอนุญาตปลูก 15 ต้น จะมีความชัดเจนอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เมื่อมีในกฎหมายเดิม ก็ต้องไปพิจารณาว่า การปลูกเพื่อนำไปสู่การผลิต เพื่อการแพทย์และสุขภาพนั้น ปลูกอย่างไรที่จะได้คุณภาพมาตรฐาน หากปลูกแล้ว ไม่สามารถนำไปใช้ในเรื่องการเข้าสู่อุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อสุขภาพก็จะทำให้พี่น้องขาดโอกาส ดังนั้น แล้วแต่กฎหมายที่จะเขียนมา เพราะในมุมการผลิตนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงสาธารณสุข

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้เรื่องสันทนาการจะไม่สามารถทำได้แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามนโยบายเราต้องเน้น เพื่อการแพทย์ เพื่อสุขภาพ เพราะถ้านอกจากนี้ก็ไม่ใช่มุมของเพื่อการแพทย์และสุขภาพ ดังนั้นต้องมีกฎหมายออกมาว่า จะควบคุมดูแลกันอย่างไร การใช้จะใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ ซึ่งถ้าจะมีกฎหมายมารองรับ เช่น พ.ร.บ.กัญชง กัญชา ที่เคยพิจารณากันมาแล้ว ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่า จะมีบทบัญญัติใดมาควบคุมดูแล ที่นอกเหนือไปจากการแพทย์ และสุขภาพอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการที่เปิดเพื่อเสพแบบสันทนาการยังเปิดต่อไปได้หรือไม่ นพ.น่าน กล่าวว่า เราต้องคิดใน 2 มิติ กระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงที่ต้องสร้างสุขภาพ ถ้ากิจการ หรือกิจกรรมที่เขาทำนั้นไม่กระทบต่อสุขภาพ ไม่มีผลต่อสุขภาวะโดยรวม เรื่องมิติเชิงสังคม ก็อาจจะมีกฎหมายเข้าไปกำกับดูแล ควบคุม ส่วนจะปูพรมตรวจร้านที่เปิดสันทนาการหรือไม่ นั้นอยู่ที่ตัวกฎหมายให้อำนาจไว้ อย่าไปคิดว่าจะปูพรมหรือไม่ปูพรม ตอนนี้เราต้องพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทุกฝ่ายได้ประโยชน์บนพื้นฐานที่ไม่ทำลายสุขภาพ ไม่ทำลายพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็ก เยาวชนในสังคมไทย

"ขอย้ำว่า การนำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือเกินกว่ากำหนด ในระยะเวลาที่มากกว่ากำหนดไว้ ก็จะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะคืนบางส่วนของกัญชาให้กลับเป็นยาเสพติด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถพิจารณาควบคู่ไปได้ เพราะ พ.ร.บ.ต้องยกร่างเข้าสภา ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้ขณะนี้คือประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้อำนาจไว้ และอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ส.และกรรมการควบคุมป้องกันยาเสพติด และกระทรวงสาธารณสุข หากเห็นพ้องต้องกันที่จะประกาศ ว่าอะไรที่จะเป็นยาเสพติด สำหรับตัวที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งไม่ใช่แค่กัญชาตัวเดียว แต่ถ้ายกตัวอย่างกัญชา คือพืชที่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอยู่ในตัว หากจะประกาศให้เป็นยาเสพติด ก็ต้องไปทำข้อตกลงแล้วจึงประกาศบังคับใช้ ซึ่งจะทำได้เร็วกว่าการตรา พ.ร.บ.และขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่า จะคืนส่วนใดบ้าง กำลังปรึกษาหารือกับกระทรวงยุติธรรม โดยจะนัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า เราจะมองเห็นร่วมกันอย่างไร ไม่ให้กระทบ หรือทำลาย กดทับในส่วนที่ทำให้คนสูญเสียโอกาส ส่วนตนยึดหลักเรื่องการแพทย์ และสุขภาพเป็นหลัก

เมื่อถามย้ำว่า การปรับปรุงประกาศกระทรวง และผลักดันร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะประกาศเป็นนโยบายควิกวินหรือไม่ นพ.ชลน่าน ไม่ เพราะไม่ได้อยู่ใน 13 นโยบายควิกวินที่ประกาศแล้วในตอนแรก เนื่องจากกฎหมายต้องใช้เวลา เพราะควิกวิน เป็นแผนเร่งรัดปฏิบัติการ ต้องเร่งทำให้เกิดผลสำเร็จภายในเวลาที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้ต้องพิสูจน์ได้ จับต้องได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องกัญชามีสิ่งที่จะต้องร่วมกันพิจารณาอย่างมาก ทั้งตัวประกาศและข้อกฎหมายต่างๆ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น หากประกาศบนพื้นฐานของความไม่รอบคอบก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

‘สมศักดิ์’ ผุดไอเดีย เก็บภาษีการพนันออนไลน์ เชื่อ!! เม็ดเงินมหาศาล ใช้พัฒนาประเทศได้หลายด้าน

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีตรวจค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หลังพบลูกน้อง 8 นาย เชื่อมโยงกับการเปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ ว่า หลังจากติดตามข่าวตนมองอีกมุมหนึ่ง โดยเรื่องการพนันนั้น การชนไก่ ชนวัว มีกฎหมายรองรับ แต่การพนันอื่น เช่น การพนันฟุตบอล รัฐและประชาชนไม่ได้ภาษี แต่หากเอามาเสียภาษีเหมือนการพนันอื่นที่สามารถขออนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยได้จะถือเป็นเรื่องดี

อย่างไรก็ตาม ตนได้ให้คณะกรรมการ ป.ย.ป. นำมาพูดคุยหาทางออก ก่อนจะนำมาเสนอกับภาครัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เพราะเงินจากการพนันออนไลน์มีจำนวนมาก หากเอาช่วยคนพิการ ผู้สูงอายุ เด็กด้อยโอกาส จะทำให้เกิดประโยชน์มากมาย วงจรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจะได้หมดไป

เมื่อถามถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโดยมีคนนอกร่วมด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถือเป็นไอเดียของผู้บริหาร ที่อยากให้แก้ปัญหาโดยไม่ถูกตั้งคำถามจากสังคม

‘นายกฯ เศรษฐา’ ชี้แจง ปมเครื่องยนต์เรือดำน้ำเยอรมัน บอกได้คุยผู้นำเยอรมันแล้ว แต่ยังไม่ชัดว่าจะใช้หรือไม่

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเข้าพบผู้นำเยอรมัน เพื่อเจรจา เครื่องยนต์ใส่ในเรือดำน้ำ ระหว่างการเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา กล่าวย้อนถามว่า “เรื่องความชัดเจนใช่ไหม” ก่อนนายกฯ กล่าวว่า “ความชัดเจน คือยังไม่มีความชัดเจน”

เมื่อถามว่าการนัดพบไม่ได้ติดอุปสรรคอะไรหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ได้พูดคุยกันแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจน”

‘พีระพันธุ์’ ส่งหนังสือเชิญ สส.ก้าวไกล  หารือปัญหาพลังงานที่ทำเนียบบ่ายวันนี้

(26 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (22 ก.ย. 66) ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่นร 0403 (กร6)/8878 เพื่อเชิญ นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 26 กันยายน เวลา 13.30 น. เนื่องจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 นายศุภโชติได้ยื่นกระทู้สดด้วยวาจาถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สภา เกี่ยวกับปัญหาพลังงาน แต่ในวันดังกล่าวนายพีระพันธุ์ไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาเนื่องจากติดภารกิจที่จังหวัดชุมพร

นายพีระพันธุ์จึงทำหนังสือเชิญให้นายศุภโชติเข้ามาร่วมหารือที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 26 กันยายนก่อนเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการสอบถามและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับประชาชนร่วมกัน

นอกจากนี้ ในวันที่ 28 กันยายนนี้ นายพีระพันธุ์จะต้องร่วมเดินทางไปกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการอีกด้วย จึงทำให้นายพีระพันธุ์ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมสภาในวันดังกล่าวได้อีกด้วย

‘ปานปรีย์’ เผย ‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมเยือนกัมพูชา 28 ก.ย.นี้ นับเป็นอาเซียนประเทศแรก ก่อนเยือนซาอุฯ กระชับความสัมพันธ์

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเตรียมเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาเป็นประเทศแรกในอาเซียน ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกับประเทศไทย และจะพยายามเดินทางไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนให้ได้มากที่สุด ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อนแนะนำตนเองและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายปานปรีย์ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรีนั้น ด้วยความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน แม้จะหยุดชะงักชั่วระยะหนึ่ง แต่ขณะนี้กลับมาดำรงความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งระหว่างเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ที่สหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสหารือทวิภาคี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ได้รับการตอบรับอย่างดี แต่การเยือนของนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน แต่นักลงทุนของซาอุดีอาระเบีย สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งไทยต้องเตรียมการอย่างดี

นายปานปรีย์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการลงสมัครสมาชิก ‘Human Rights Council’ (HRC) ของไทย นั้นถือว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นหนึ่งในเสาหลักของสหประชาชาติ โดยไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน HRC มาแล้ว เมื่อปีค.ศ. 2012 ส่วนในวาระปี ค.ศ. 2025-2027 ไทยยืนยันความประสงค์ ที่จะกลับเข้าเป็นสมาชิกอีกรอบ

'ศิริกัญญา' เฉลย!! เงินดิจิทัลกู้จากแบงก์ออมสิน ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ แต่เบียดบังงบพัฒนาชาติ

(25 ก.ย.66) นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียล โดยระบุว่า “ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว ที่มาของงบ Digital Wallet จะมาจากการกู้แบงก์รัฐ (ออมสิน) โดยการขยายกรอบวินัยการเงินการคลังขึ้นไปเป็น 45% ของงบปี 67 จากเดิม 32% ไม่ได้มาจากงบประมาณตามที่ได้หาเสียง

ข้อดี : หนี้แบงก์รัฐจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะตามกฎหมาย

ข้อเสีย :1) แต่เป็นหนี้ยังไงก็ต้องจ่ายคืน ทุกวันนี้ต้องจ่ายคืนปีละเกือบแสนล้านบาทให้กับ ธ.ก.ส. และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ อยู่แล้ว ถ้าจ่ายคืนออมสินปีละ 5 หมื่น ก็เป็นภาระไปอีก 10 ปี รวมแล้วงบประมาณต้องใช้คืนหนี้ทั้งหมดก็จะพุ่งไปราว 5 แสนล้าน เบียดบังงบประมาณที่ต้องใช้พัฒนาประเทศอื่นๆ

2) ใช้งบประมาณสูงมากโดยไม่ต้องผ่านสภา ใช้แค่มติ ครม. ก็สามารถกู้เงินได้ทันที ไม่ต้องมีการตรวจสอบใดๆ การกู้ผ่าน ม.28 ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะทั้งจำนวน หน่วยงานเจ้าหนี้ และภาระการคืนเงินต้นและดอกเบี้ย

3) กระทบกรอบวินัยการเงินการคลัง ที่ต้องการจำกัดการใช้เงินนอกงบ และนโยบายกึ่งการคลังให้น้อยลง

4) สภาพคล่องของออมสินอาจมีปัญหา ทั้งจากการระดมทุนเวลานี้ และหากรัฐไม่ใช้คืนตามสัญญา (ธ.ก.ส.เจอมาตลอด) จะบริหารเงินสดได้ยากลำบาก

อยากถามนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการการเงินการคลังของรัฐว่าท่านรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร”

'มท.1' เชื่อมือ 'ชาดา' มอบดาบหัวเรือใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ 'ขจัดมาเฟีย-กำชับเข้มกฎหมาย' ดูแลปชช.อย่าให้ถูกรังแก

(25 ก.ย. 66) ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เขตดุสิต กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตรวจเยี่ยม และเป็นประธานมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ร่วมมอบนโยบาย พร้อมด้วย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วม มีการมอบนโยบายไปยังในพื้นที่ ได้แก่ ท้องถิ่นจังหวัดทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัด นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 7,849 แห่ง ร่วมรับฟัง

โดย นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่ง โดยเน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย 10 ด้าน และการปฏิบัติหน้าที่ของทีมกระทรวงมหาดไทย คือ ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที โดยเฉพาะนโยบายจัดระเบียบสังคม และปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลขึ้นมา มีตนเป็นประธาน และนายชาดา รมช.มหาดไทย เป็นรองประธาน แต่เรื่องนี้นายชาดา จะถือเป็นผู้นำในฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO (Chief Operation Ofiicer) ถือว่าใช้คนถูกกับงาน มีความเข้าใจ สามารถขอความร่วมมือให้สิ่งเหล่านี้ลดลงไปจากสังคมไทยได้ มั่นใจว่านายชาดา และผู้ร่วมมือทุกคน จะทำให้เรื่องนี้เบาบางลงไป ไม่ให้เป็นที่ตื่นตระหนก หรือทำความเครียด ความรุนแรงต่อประชาชน

นายอนุทิน กล่าวว่า ดังนั้น กรมส่งเสริมฯ มีหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) ในพื้นที่ คอยติดตามตรวจสอบดูแลอย่าให้มีการข่มเหงรังแกประชาชน โดยเฉพาะการประมูลงานตามท้องถิ่น การเรียกทรัพย์สินหรือเรียกประโยชน์ต่างๆ เราได้เห็นมาแล้ว กรณีนายกอบต.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ ตนก็ตกใจว่าทำไมถึงกล้าขนาดนี้ ระดับนายกอบต.รับเองเลย พอตำรวจมารีบเอาเงินวางกับพื้นแล้วบอกตัวเองไม่ได้ถือเงิน แต่ไม่รู้ว่าวงจรปิดเต็มไปหมด

"ตรงนี้เป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือทำอย่างไรไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ต้องของคุณปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ที่ได้ดำเนินการฉับไว เร่งด่วน ต้องทำให้เห็นว่าเราไม่ประณีประนอมกับผู้ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง รังแกประชาชน เพราะพวกนี้จะได้ใจ คนไม่ดี คนทำผิด คนไม่เคารพกฎหมาย คนที่ใช้อิทธิพลนอกกฎหมาย ต้องไม่มีวันชนะคนถือกฎหมาย เราต้องมั่นใจก่อนในอำนาจที่เราถือกฎหมายไปบังคับให้คนไม่ทำผิด เราแพ้ไม่ได้ ดังนั้น คนที่อยู่นอกกฎหมายจะชนะคนถือกฎหมายไม่ได้" นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ตนเข้ามา 2 - 3 สัปดาห์ ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างดี ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาต้อนรับตน ตนไปไหนแบบสบายๆ เงียบๆ เพราะถ้าตนต้องการให้ดูแลตนจะแจ้ง ตนไม่มีไปแอบตรวจแล้วกลับมาหาเรื่อง ขอให้มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับทีมของตน และทีม รมช.มหาดไทย ขอให้สบายใจได้

‘วิษณุ’ ชี้ช่อง แก้รัฐธรรมนูญ ลดขั้นตอนทำประชามติเหลือ 2 ครั้ง แนะ เลือกแก้มาตราเฉพาะหน้า-เว้นเรื่องยุ่งยาก ช่วยลดงบประมาณ

(24  ก.ย. 66) นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องนี้ตอบไม่ถูก ให้เขาคิดกันเองเอง เพราะว่ายุ่งยากซับซ้อน ข้อสำคัญจะใช้วิธีไหนก็ตามควรจะหลบหลีกการทำประชามติหลายครั้ง และเห็นด้วยกับแก้ไขเป็นรายมาตรา ทีละหลายๆมาตรา เพราะรัฐธรรมนูญห้ามไว้แต่เพียงว่า ในกรณีที่เป็นการแก้ไขหมวด 1 ทั่วไป  หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หมวด 15 เรื่องการแก้ไขอำนาจและหน้าที่ขององค์กรอิสระ และการแก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามขององค์กรอิสระ โดยเรื่องเหล่านี้ เมื่อแก้ไขวาระ1 วาระ2 และ วาระ3 แล้วเสร็จ ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องทำประชามติ

นายวิษณุ กล่าวว่า การแก้ไข ที่ควรทำคือ ถ้าต้องการแก้เกี่ยวกับองค์กรอิสระ และไปกระทบกับเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ ตรงนี้ต้องทำประชามติ เพราะฉะนั้นเก็บไว้ทำคราวหลังได้หรือไม่ ตอนนี้ถ้าอยากแก้ไปก่อนคือหมวด 3 เรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งประชาชนต้องการและ หมวด 4 หน้าที่ของรัฐ หมวด 5 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย หมวด 6แนวนโยบายแห่งรัฐ หมวด 7 รัฐสภา ซึ่งแก้ได้ตามใจชอบไม่ต้องทำประชามติ หมวด 8 ครม. หมวด 9 ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน หมวด10 เรื่องศาล หมวด 11 องค์กรอิสระ ซึ่งเรื่องเหล่านี้แก้ได้หมด แต่พอไปถึงองค์กรอิสระอำนาจหน้าที่ และคุณสมบัติต้องห้ามจะไปเจอเรื่องทำประชามติ อย่าเพิ่งไปทำ

เมื่อถามว่าการทำประชามติควรทำครั้งเดียวตอนแก้ไขเสร็จแล้ว ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ที่ต้องทำประชามติเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 กำหนดไว้ ถ้าแก้มาตรา256 ว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ต้องทำประชามติ ก็ไม่ต้องทำประชามติ แต่การจะแก้หนแรกในเรื่องมาตรา 256 ต้องทำประชามติหนึ่งครั้งก่อน จะลบล้างเรื่องประชามติไปได้

เมื่อถามย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ต้องทำประชามติ 3-4 ครั้ง หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ต้องแก้ไขมาตรา 256 เสียก่อน พอเสร็จวาระ 1-3 ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปจะไม่ได้เจอเรื่องทำประชามติ แต่ถ้าแก้ตามแนวทางของรัฐบาลก็ต้องทำประชามติ  1.ต้องทำประชามติแก้ทั้งฉบับว่าเห็นด้วยหรือไม่ 2.ต้องตั้งส.ส.ร. และ 3. ถ้าตั้งส.ส.ร. ต้องไปทำประชามติทั้งประเทศอีก  ซึ่งการทำประชามติครั้งหนึ่งใช่งบประมาณ 3 พันล้านบาท ฉะนั้นก็แก้ที่มาตรา256  แต่การแก้มาตรา256 หากพูดกันไม่ดีเพราะอาจไม่ผ่าน เพราะต้องผ่านความเห็นของส.ว.หรือไม่ และเขาก็กลัวว่าจะไปแก้อะไรต่อมิอะไรกัน อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยการทำประชามติควรทำ2 ครั้งก็ยังดี คือต้องเริ่มแก้ไข และตอนจบที่จะไปประกาศใช้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top