Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

ย้อนคำ ‘บิ๊กตู่’ 8 ปี ทุ่มเท ‘ไม่หันเหสู่ทุจริต-เรียกทรัพย์’ หวังบ้านเมืองใสสะอาด เงินทุกบาททุกสตางค์ถึง ปชช.

จากรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ได้เชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งช่วงหนึ่งของรายการ พลเอกประยุทธ์ ได้เล่ามุมมองและเรื่องราวสําหรับผู้นําที่หมดอํานาจ ว่ากลัวหรือไม่ หากมีการไล่บี้ไล่เช็งเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น หรือต้องติดคุกติดตะรางอย่างเกาหลี ซึ่งในแง่นี้ควรระวังและต้องป้องกันอะไรบ้าง โดยระบุว่า…

“ผมป้องกันมา 8 ปีแล้ว…โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องทุจริต ผมคิดว่าใจผมยังไม่คิดจะทุจริต และรู้ตัวว่าหากเข้ามาอย่างงี้มันอันตราย…สามารถไปถามได้เลยว่าผมเคยเรียกเงินใครสักบาทไหม…ทุกโครงการเคยเอาเงินมาส่งผมไหม…เพราะฉะนั้นขอยืนยันตรงนี้ว่า บ้านเมืองต้องมีผู้นําที่บริสุทธิ์ หากวันหน้าใครจะมาแกล้งหรือฟ้อง ก็แล้วแต่เถอะครับ…ผมยืนยันในตัวเองเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าผมไม่มี ดังนั้น ประเทศไทยต้องใสสะอาดในวันข้างหน้าทุกมิติ”

แล้วการตรวจสอบรอบ ๆ ข้าง จะเพิ่มความเข้มข้นได้ขนาดไหน? “มีคิดกันไว้แล้วกับท่านหัวหน้าพรรค ซึ่งคิดว่าวันข้างหน้าต้องมีกฎหมายควบคุมอะไรเพิ่มอีกสักหน่อย ในเรื่องของคณะทํางานที่จะต้องไปติดตาม เพราะวันนี้มีในระบบกันหมดแล้ว แต่ตามแล้วก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง มันต้องมีอะไรติดตามกํากับดูแลการทํางานของส่วนราชการเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางทีมันต้องไปดูเอง คราวนี้การไปดูเองก็เขาก็ต้องไปในนามของรัฐบาล หรือในนามของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอันนี้จะเป็นการตรวจสอบได้ตามระเบียบสํานักนายก ที่ผ่านมาทําตรงนี้ยังไม่ได้ เพราะทำไม่ทัน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คิดไปแล้ว แต่ไม่ทัน มันต้องอยู่อีกสองปี…”

“แล้วจริงๆ ผมเปิดช่องทางสื่อสารกับประชาชนอยู่แล้ว หากลองไปดูหลายเรื่องที่เราสามารถแก้ไขปัญหาได้มันเป็นเพราะอะไร? เพราะได้มีการเปิดช่องทางติดต่อสื่อสาร คือมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่ทําเนียบรัฐบาล มีสํานักปลัดนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดหลายเรื่องพอรับมา ก็มีการส่งให้ไปแก้ปัญหาหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยมีคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ไปทําไปดูมาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมง หรือเรื่องที่ดินต่างๆ พอทําตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าทําแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าทําในหน้าที่ในกรอบของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีบางทีอํานาจมันไม่พอ มันน้อย…เพียงแต่ว่าไปตรวจสอบใบต่างๆ แล้วหาวิธีการว่านายกฯ ควรจะทําอย่างไร แต่ถ้าเรามีคณะทํางานตรงนี้ออกมามันสามารถตามได้หมดเลย แต่ต้องระวังว่ามันจะซับซ้อนกันหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องมีกฎหมาย มีระเบียบออกมา…”

“ผมไม่ต้องการที่จะอะไรกับใครนะ…ผมแค่ต้องการให้บ้านเมืองมันใสสะอาด และเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องลงสู่ประชาชน ลงสู่ประเทศของเรา เพราะเงินเหล่านี้ไม่ได้หามาง่ายๆ…” พลเอกประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

เคาะ 'สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว' นั่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หลังนายกฯ เซ็นลงนาม เสริมแกร่งพัฒนาบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 28 ก.ย.66 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ลงนามโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 มีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง นั้น

อาศัยอำนาจตามความในข้อ 3 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 จึงแต่งตั้ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

บิ๊กเคลียร์!! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอวจับมือ ลงตัว!! จากนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' เดินหน้า ทิ้งคำว่า 'ผบ.ตร.' สักคำรบ

เช้าวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. คอการตำรวจ คอการเมืองได้เห็นภาพสองบิ๊กสีกากี … ‘บิ๊กต่อ’ กับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยืนกอดเอวกันในห้องทำงานของ ‘บิ๊กต่อ’ ที่กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษหรือคอมมานโด เมืองทองธานีแล้ว...หลายคนก็คงจะรู้สึกดีประมาณว่า...เสือสองตัวน่าจะอยู่ในถ้ำเดียวกันได้แล้ว วงการตำรวจก็น่าจะดีขึ้น

แต่อีกกลุ่มที่อาจจะซาดิสม์เล็กน้อย ก็อาจจะมองว่า...นี่มันมวยล้มต้มคนดูกันชัดๆ นี่หว่า...เพราะไม่กี่วันก่อน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังประกาศเปรี้ยงว่า มีข้อมูลในมือเยอะ เปิดเผยเมื่อไหร่ตายกันยกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่เลย..ไหงอยู่ดีๆ จับมือจูบปากกันซะแล้ว!! 

ครับ ก็สุดแท้แต่มุมมองของแต่ละท่าน…

ถ้าถามมุมมองของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องมองแบบนักวิเคราะห์ว่า … ทันทีที่ มติ ก.ตร.ออกมา 9:1:2 เห็นชอบให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผงาดสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 14 ‘บิ๊กโจ๊ก’ เองก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร...การที่จะสวมบท ‘โจ๊ก อัคนี’ อย่างที่ทนายอนันตชัยตั้งฉายาให้ก็มีแต่จะเผาไหม้ตัวเอง ผ่อนเกียร์เร่งลง ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ใหม่อีกรอบน่าจะเป็นการดีต่อชีวิตที่สิบของแมว…

ส่วนประเด็นว่า...การไปกินข้าวล้างใจและกอดเอวกันนั่น ใครชวนใครกันแน่ อันนี้ข่าวลึกยังไม่แจ้งชัด แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เชื่อจากรายงานข่าวส่วนตัวว่า ‘บิ๊กต่อ’ เป็นคนเชิญชวน เป็นการสนองนโยบายของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่บอกบิ๊กต่อว่าอยากเห็นภาพความรักความสามัคคีกันระหว่างสองบิ๊ก...บังเอิญว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ก็อยากลดดีกรีความร้อนแรงลงพอดี...ทุกอย่างก็ลงตัว

อย่างไรก็ตาม ภาพกอดเอวจับมือกันดังกล่าว กล่าวกันอย่างถึงที่สุดก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จากนี้ไปความขัดแย้งขัดแข้งขัดขาขัดผลประโยชน์กันในสตช.จะลดระดับลง หรือคดีสำคัญต่างๆ ที่งัดกันมาเล่นจะหายวับไปกับตา...เพียงแต่เดือนสองเดือนนี้คงจะลดความร้อนแรงลงบ้าง...ฝ่ายบิ๊กโจ๊กที่คิดจะดับเครื่องชนก็คงเบาเครื่องลง…

ประเด็นต่อมา...ถามว่าปลายปีหน้า 2567 เมื่อ ‘บิ๊กต่อ’ ลงจากตำแหน่งแล้ว ‘บิ๊กโจ๊ก’ ซึ่งจะเป็นรองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับที่ 1 มีโอกาสขึ้น ผบ.ตร.หรือไม่...คำตอบคือ…มี แต่ไม่มาก...และต้องย้ำว่าอาวุโสสูงสุดไม่ใช่หลักประกันการันตีว่าจะต้องได้ แต่หากว่าปีนี้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 1 ได้ขึ้น ผบ.ตร. โอกาสของบิ๊กโจ๊กในปีหน้าจะมีมาก เพราะถือว่าปีนี้ได้ใช้หลักอาวุโสนำร่อง...ความชอบธรรมของบิ๊กโจ๊กที่จะขึ้นย่อมมีมาก แต่น่าเสียดายที่ พล.ต.อ.รอย ท่านวืดไปแล้ว...!!

สรุปว่า...จากนี้ไปจนถึง 2574 ปีเกษียณ ‘บิ๊กโจ๊ก’ มีเวลาอีกไม่น้อย แต่ก็ต้องบริหารโอกาสของตัวเองให้ดี เพราะสถานการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...จาก 'โจ๊ก หวานเจี๊ยบ' เป็น 'โจ๊ก อัคนี' เห็นทีจะต้องกลับสู่สามัญ...เป็น โจ๊ก ธรรมดา ใส่ไข่แค่ฟองเดียวก็พอแล้ว…

ค่าของคน อยู่ที่เป็นคนของใคร...ปล่อยให้เขาว่ากันไป...แต่ค่าของโจ๊กต้องอยู่ที่ผลของงาน...สวมวิญญาณไม่ต้องหมกมุ่นกับตำแหน่ง ผบ.ตร. และเกมอำนาจดูสักตั้ง...ฟ้าดินน่าจะเข้าใจและเคียงข้าง!!

รู้จัก 'มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช' สส.ภูมิใจไทย เพื่อนร่วมทริปล่าแสงเหนือของหมอพรทิพย์

(30 ก.ย.66) จากกรณีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแห่แชร์คลิปที่มีผู้นำมาลงใน TikTok เป็นคลิปที่ชายคนไทยคนหนึ่งกล่าวขับไล่ผู้หญิงคนหนึ่งคล้าย หมอพรทิพย์ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขณะเดินทางในต่างประเทศ ซึ่งชายคนดังกล่าวต่อว่าด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วยถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง

จากนั้นหญิงสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวที่เดินทางมากับหมอพรทิพย์ พยายามถามว่าเป็นร้านของชายคนนี้จริงหรือไม่ ชายคนนี้ยืนยันและเรียกพนักงานมาเชิญตัวออกไป ทำให้คนดังกล่าวที่มากับคุณหญิงพรทิพย์บอกกลับไปว่าพวกตนมาเที่ยวและอยากให้แยกแยะ ชายคนนี้ตอบว่าเพราะตนแยกแยะจึงไล่คุณหญิงพรทิพย์คนเดียว คนอื่นจะใช้บริการของร้านต่อก็ไม่มีปัญหา

แม้กล่าวไล่ต่อไปแต่คุณหญิงพรทิพย์และคนที่มาด้วยยังไม่ออกไปจากร้าน และคนที่มาด้วยยังโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปชายคนนี้ ชายคนนี้ยังยืนยันที่จะกล่าวไล่คุณหญิงพรทิพย์ออกไป ทำให้ในที่สุด สว. และคนที่มาด้วย เดินออกไปจากร้าน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า หญิงเสื้อกันหนาวสีเขียวที่เดินทางไปกับ หมอพรทิพย์ คือ นางสาว มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช หรือ เปิ้ล สส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย 

โดยในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ สส.เปิ้ล ได้โพสต์ภาพการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ ร่วมกับหมอพรทิพย์และคณะ พร้อมติดแฮชแท็ก #ทริปไอซ์แลนด์ #เที่ยวกับหมอพรทิพย์ #ล่าแสงเหนือ คาดว่าน่าจะเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา

>> สำหรับประวัติของ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ...

เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ปัจจุบันอายุ 59 ปี เป็นบุตรสาวของ นายกมล จิระพันธุ์วาณิช อดีต สส. ลพบุรี 8 สมัย และ นางพยงค์ จิระพันธุ์วาณิช และเป็นน้องสาวของนายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาการมัธยมศึกษา จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น กับ นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

มัลลิกา เข้าสู่วงการการเมืองด้วยการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลพบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2538 และ และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี เขตอำเภอท่าวุ้ง ในช่วง พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2552 ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในการเลือกตั้งซ่อมของจังหวัดลพบุรี แทนบิดาที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ใน พ.ศ. 2552 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา 

มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 สมัย คือ...

1. การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2552 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา

2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

3. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

4. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

'จักพันธ์-ปชป.' อู้ฟู่ 161 ล้าน ส่วน 'พล.ต.ต.สุรินทร์' รวย 30 ล้าน ด้าน 'สส.หมิว-ก้าวไกล' มีแค่ 5 แสนกว่าบาท และยังเช่าบ้านอยู่

วันนี้ (29 ก.ย.66) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. โดยมีบุคคลที่น่าสนใจ อาทิ นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ มีทรัพย์สินรวม 161,227,934.16 บาท มีหนี้สินรวม 11,446,764.85 บาท แบ่งเป็นบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี รวม 1,620,769.16 บาท เลี้ยงไก่ชน 500 ตัว มูลค่า 5 ล้านบาท ที่ดิน 44 แปลงใน จ.ประจวบคีรีขันธ์, นครราชสีมา, ลำปาง มูลค่ารวม 94,769,165 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 11 หลัง มูลค่ารวม 44,750,000 บาท และมีรถยนต์ 29 คัน มูลค่ารวม 14,650,000 บาท เป็นรถโดยสารประจำทาง 26 คัน

ขณะที่ทรัพย์สินอื่น คือ อาวุธปืน 8 กระบอก มูลค่ารวม 438,000 บาท นอกจากนี้ยอดเงินกู้ จากธนาคารกรุงเทพฯ และกสิกรไทย คงเหลือ 11,446,764.85 บาท

ด้าน พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนางจรีพรคู่สมรส แจ้งมีทรัพย์สินรวม 30,334,833.88 บาท มีหนี้สินเป็นของคู่สมรส 19,465.19 บาท ทรัพย์สินที่น่าสนใจของทั้งคู่เป็นเงินฝากรวม 13 บัญชี 5,764,833.88 บาท ที่ดินในจังหวัดสงขลา นราธิวาส รวม 9 แปลง 13,570,000 บาท บ้าน 1 หลังในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 1,200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาด 5 มม. อาร์อาร์จี 667 กล็อค มูลค่า 1 แสนบาท

ขณะที่ สส.ใหม่พรรคก้าวไกลอย่าง น.ส.สิริลภัส  กองตระการ แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 573,566 บาท มีหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 12,625 บาท เงินฝาก 8 บัญชีรวม 144,566 บาท ยานพาหนะมูลค่า 329,000 บาท สิทธิสัมปทาน 1 แสนบาท ไม่มีรายการทรัพย์สินอื่น

นอกจากนี้แจ้งมีรายได้ต่อปี รวม 1,682,720 บาท เป็นเงินเดือน สส. 1,362,720 บาท เงินค่าจ้างการแสดง 320,000 บาท รายจ่ายต่อปี 1,051,810 บาท เป็นค่าเช่าที่อยู่อาศัย 132,000 บาท ค่าอุปโภคบริโภค 260,000 บาท ค่าเบี้ยประกันภัย 3,779 บาท จ่ายเงินกองทุน สส. 42,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 360,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 13,386 บาท ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ 645 บาท ค่าอุปการะบิดามารดา 240,000 บาท ขณะที่ข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลในรอบปีที่ผ่านมาแจ้งว่ามีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 0 บาท

ทั้งนี้ น.ส.สิริลภัส เคยมีข่าวดรามาถูกถ่ายภาพนำอาหารกล่องจากสภาผู้แทนราษฎรกลับบ้าน ซึ่งเป็นอาหารที่แม่บ้านสภาฯ บรรจุกล่องไว้ เนื่องจาก สส.เข้ามาประชุมน้อยทำให้อาหารที่เตรียมไว้เหลือเป็นจำนวนมาก มีการเปิดค่าอาหาร สส.ต่อหัวในวันประชุมสภาอยู่ที่หัวละ 1,000 บาท และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาหาร สส.แพงเกินอีกทั้งเหลือทิ้ง จนต้องมีการเรียกหารือถึงทางออกปัญหาดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป

‘ภูมิธรรม’ นั่งหัวโต๊ะประชุม ถกแผนรับมือสถานการณ์ ‘เอลนีโญ’ หวั่น ไทยแล้งยาว เล็งตั้งอนุกรรมการ ทำงานเป็นระบบสู้ภัยแล้ง

(29 ก.ย. 66) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา ของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการฯ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองประธานกรรมการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย และคณะกรรมการ เข้าร่วม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเรื่องนี้สถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา อย่างมาก โดยประกาศชัดเจนในวันแถลงนโยบายว่า ให้ความสำคัญกับเรื่องสภาพอากาศ เพราะอาจส่งผลกระทบไปถึงเรื่องเศรษฐกิจด้วย จึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาภัยแล้งที่เป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจึงต้องเตรียมการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยอีก 3 ปีเราอาจจะเผชิญปัญหาดังกล่าว หากไม่เกิดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกิดก็ได้เตรียมไว้แล้ว ดังนั้นเราจะขับเคลื่อนงานร่วมกันไปข้างหน้า และปรับแนวทางการทำงานให้เข้ากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะน้ำคือชีวิต ถ้าเจอภัยแล้ง 3 ปี จะเหนื่อยมาก จึงต้องเข้าใจว่าเป็นภารกิจสำคัญ

“เราจะหลีกเลี่ยงโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก โดยมุ่งขับเคลื่อนโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้กระจายไปทั่วประเทศ และเมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ จะกลับมาเดินหน้าโครงการใหญ่ต่อไป เรื่องใดที่ทำได้ นายกฯให้ทำทันที แต่ถ้าติดขัดให้รีบแก้ไข โดยในช่วง100 วันแรก ตนอยากเห็นความคืบหน้าเพื่อประชาชนมีความมั่นใจ” นายภูมิธรรม กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องเตรียมการป้องกันภัยแล้ง โดยให้มีศูนย์สั่งการ หรือ บูรณาการ โดยขอเสนอที่ตั้งศูนย์สั่งการที่กระทรวงพาณิชย์ เพราะอาคารสถานที่มีความเหมาะสม ส่วนเรื่องการจัดทำงบประมาณ รัฐบาลเพิ่งเข้ามาใหม่ เมื่อเจอภัยแล้งอาจไม่สอดคล้องกับเรื่องที่จะทำ จึงเสนอให้มุ่งเน้นไปทำโครงการขนาดเล็กเพื่อให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เช่น โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ฝายแกนซอยซีเมนต์ เพิ่มพื้นที่เก็บน้ำ และความชุ่มชื้น ให้ปัญหาภัยแล้งเบาบางลง และสามารถรองรับสถานการณ์ภัยแล้งได้ถึง 3 ปี ขณะที่ฝ่ายวิศวะควรสรุปรายละเอียดการก่อสร้างฝายให้ชัดเจนว่ามี สัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ามีความแข็งแรง และใช้ได้นานกว่าฝายปกติ ดังนั้น การแก้ปัญหาตนมองว่า เราควรเน้นไปทำโครงการขนาดเล็ก เพื่อรักษาความชุ่มชื้น

ด้านนายปลอดประสพ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกร้อนขึ้น ส่งผลให้เกิดความแปรปรวน ซึ่งไทยมีทะเลทั้ง 2 ด้าน มีความแปรปรวนสูงมากขึ้น ส่งผลด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนปัญหาเอลนีโญหากแย่สุดเกิด 3 ปีต่อเนื่อง น้ำก็จะลดลงจนขาดแคลน จึงต้องเร่งเก็บน้ำ บริหารความเสี่ยงให้ดี และตนมั่นใจว่า เอลนีโญเกิดขึ้นแต่จะไม่แรงจนกว่าจะเข้าหน้าแล้ง ที่จะทำให้เกิดผลกระทบเป็นปัญหาตามมาอีกมาก ทั้ง ฝุ่น PM 2.5 จะรุนแรง เกิดไฟไหม้ง่าย นกจะเข้าอาศัยบ้านคนเพราะร้อน และโรคระบาดต่างจะเกิดขึ้น ไม้ผลจะตาย พืชไร่ใช้น้ำมากจะเสียหาย ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขี้น น้ำกินน้ำใช้ ก็จะขาดแคลน

จึงขอเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา คือ 1.) ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะเป็นเครื่องมือรัฐบาล ในการบรรเทาผลกระทบ ทั้งระยะสั้น-ยาว 2.) ยุทธวิธีติดตามสถานการณ์เป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมสร้างคลังข้อมูลให้ลึกมากขึ้น และ 3.) ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อน 10 คณะ จะทำให้รัฐบาลสามารถรับมือภัยแล้งได้เป็นระบบ

‘นายกฯ’ ปาฐกถา ‘Next Chapter’ ปลุกคนไทยพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง แนะทุกฝ่ายหันหน้าเจรจาลดความขัดแย้ง ย้ำ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด

(29 ก.ย. 66) ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงานเสวนา “ถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤต” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ โดยมี น.ส.ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายปราปต์ บุนปาน รองกรรมการผู้จัดการสายเทคโนโลยีและดิจิทัลมีเดีย, นางสาวดิษณีย์ นาคเจริญ บรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ, นายพัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์ กรรมการบริษัท และที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ, นายวรศักดิ์ ประยูรศุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท งานดี จำกัด, นายสุริวงค์ เอื้อปฏิภาน รองกรรมการผู้จัดการ ระบบสื่อออนไลน์และบรรณาธิการข่าวสด, นายจำลอง ดอกปิก บรรณาธิการมติชน และนายสมปรารถนา คล้ายวิเชียร ผู้อำนวยการ Digital Media พร้อมคณะผู้บริหารเครือมติชน และผู้บริหารกองบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ รวมทั้งวิทยากร นักธุรกิจที่เข้าร่วมงานเสวนา ให้การต้อนรับ

จากนั้น คณะผู้บริหารเครือมติชนเชิญนายเศรษฐา นายกฯ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมวิทยากร และผู้บริหารภาคธุรกิจร่วมรับประทานอาหารเช้า พร้อมพูดคุยหารือร่วมกัน

ต่อมา ที่ห้องแกรนด์ฮอลล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) นายเศรษฐากล่าวปาฐกถาพิเศษ “Next Chapter ประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า เป็นคนที่ชัดเจนมาโดยตลอด ถ้าคนที่รู้จักตนจะรู้ว่าเป็นคนที่พูดน้อยและให้ได้ใจความ เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ตนก็เป็นส่วนหนึ่งของการที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่เราเองต้องมีการปรับปรุงตัวเพื่อให้ลดความขัดแย้งลงไปจากการพูดจา ที่พูดอาจจะพูดเป็นเหมือนเป็นคอนเซปต์ หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ ก็จะขอยกตัวอย่างโดยที่ไม่ได้ต้องการจะไปว่า หรือตอบโต้กับใครทั้งสิ้น ในเรื่องของการที่เราใช้คำว่าปฏิรูป สังคายนา ล้างบาง ขอยกตัวอย่างเป็นคำพูดอย่างนี้แล้วกัน

นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าทุกๆ คนก็มีความภาคภูมิใจและความหวังดีต่อองค์กรของตัวเอง เข้าใจว่าทุกองค์กรมีคนดี คนไม่ดี แต่การที่เราใช้คำพูดที่รุนแรง วิธีการที่ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกที่ชัดเจนมันเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาหรือเปล่า หรือการแก้ปัญหามันอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่การพูด ซึ่งตนเชื่อว่าอยู่ที่ส่วนหลัง มันอยู่ที่การกระทำและวิธีการในการทำ

“การเอาสถาบันต่างๆ มาพูดในที่สว่าง มีคำพูดที่รุนแรง ผมเชื่อว่าไม่เป็นการแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาคือการที่พูดคุยกันในภาษาที่ทุกคนยอมรับได้ แต่ไปเน้นหนักเรื่องการกระทำ เรื่องกระบวนการในการแก้ไขปัญหาที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ผมเชื่อว่าผมไม่ต้องพูดเยอะในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า การกระทำตัวของทุกๆ คนในสังคมมีส่วนช่วยทำให้สังคมลดความเหลื่อมล้ำ คนที่มีเยอะเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียในการอวด ในการแสดงตนว่าเหนือชั้น หลายๆ เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดลดลงไปได้บ้างคนที่อยู่ชายขอบของสังคมเขาก็จะมีความสบายใจขึ้น

“ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้อาจจะรวมถึงตัวผมเองก็อาจจะเป็นส่วนที่ต้องรับผิดชอบไปเหมือนกัน แต่มันไม่สายเกินไปหรอกครับ เราลองมาช่วยเยียวยาสังคมให้มันดีขึ้นจากการกระทำของพวกเราเองทุกคน” นายเศรษฐา กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็ยากจะอยู่รอด สำหรับแนวทางการบริหารที่รวดเร็ว Speed To Market ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ซึ่งก็คือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน น่าจะทำให้การปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Next Chapter ประเทศไทย มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศได้อย่างชัดเจน

ยัดห้องเย็นปั่นราคา!! 'กำนันอู๊ด' สส.ชาติพัฒนากล้า แฉมีคนคุมกลไกราคาไข่ จี้!! 'รมว.พาณิชย์' เร่งจัดการ ก่อนไข่ 'เศรษฐา' ราคาพุ่ง

(29 ก.ย.66) คุณประสาท ตันประเสริฐ หรือ กำนันอู๊ด สส.นครสวรรค์ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ตั้งกระทู้ถาม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงปัญหาราคาไข่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า...

นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าคือ ราคาสินค้าต้องถูก โดยเฉพาะอาหารที่ทุกคนต้องบริโภคทุกวัน โดยเฉพาะไข่ ที่เป็นอาหารหลักของคนไทย แต่ทุกวันนี้หากสั่งข้าวกะเพราราคาจานละ 40 บาท เมื่อเพิ่มไข่ดาว ราคาจะเพิ่มเป็น 50 บาท

จากการสำรวจราคาไข่หน้าฟาร์มพบว่า เวลานี้ไข่ไก่ เบอร์ 3-4 ราคาต่อแพค (30 ฟอง) 137 บาท เบอร์ 2-3 ราคา 165 บาท ถ้าขนาดจัมโบ้ ราคาพุ่งไปที่ฟองละ 8.30 - 8.80 บาท และถ้าเราซื้อไข่ลวกในร้านสะดวกซื้อ ถ้าเป็นไข่ไก่เบอร์ 3-4 ราคาตกฟองละ 8.50 บาท ไข่ต้มฟองละ 11 บาท ส่วนไข่เป็ด ราคาหน้าฟาร์มฟองละ 4 บาท ถ้าฟองใหญ่ราคา 4.60 บาท และเมื่อต้องผ่าน ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว กว่าจะถึงมือประชาชนราคาจะเพิ่มเป็นฟองละ 5-6 บาท แต่ชาวบ้านก็ต้องซื้อ เพราะเป็นอาหารหลัก

“เราไม่โทษเกษตรกรที่ขายราคาแพง เนื่องจากอาหารสัตว์ ที่เป็นต้นทุนขึ้นราคาจาก 400 บาทขึ้นเป็น 550 บาท ทำให้ราคาไข่หน้าฟาร์มแพงขึ้น แต่สิ่งที่อยากบอกคือ กลไกราคาของไข่ มีคนควบคุมที่จะให้ถูกหรือแพง ถ้าต้องการให้ไข่แพง เขาก็เอาไข่เข้าห้องเย็น ให้ไข่หายจากท้องตลาด ราคาไข่จะพุ่งสูงขึ้นเพราะความต้องการสูง ซึ่งถ้าเขาอยากให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เจ๊ง ก็นำไข่ออกมาจากห้องเย็น ดังนั้นจึงขอความกรุณา รมว.พาณิชย์ ช่วยมาจัดการในเรื่องนี้ เพื่อให้ไข่น้านิด ถูกนิดๆ สมชื่อท่านนายกรัฐมนตรี”

‘โฆษกรัฐบาล’ อัด ‘ก้าวไกล’ หลังจี้ ‘เศรษฐา’ ตอบกระทู้กรณีปัญหาตำรวจ พร้อมถาม “รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ ติดภารกิจเยือนกัมพูชา จะทำไปเพื่ออะไร?”

(28 ก.ย. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตำหนิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าหนีตอบกระทู้ถามสด กรณีปัญหาเกี่ยวกับตำรวจ แต่กลับไปราชการที่กัมพูชา ว่า…

“รู้ทั้งรู้ ว่านายกรัฐมนตรีติดภารกิจเยือนกัมพูชา แต่ก็ยังหาเรื่องตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรครับ?”

อย่างไรก็ตามขณะนี้ นายชัย ได้ติดตามภารกิจนายกฯ อยู่ประเทศกัมพูชา

เบื้องหลังมติ 9:1:2 ‘ผบ.ตร.14’ มาวิน!! ม้วนเดียวจบ ส่วนอนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่อแวววูบ!! หากใจไม่รู้จักเย็น

ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป แต่สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอคารวะและปรบมือดังๆ ให้กับการลงจากตำแหน่ง ผบ.ตร.อย่างสมเกียรติของ 'บิ๊กเด่น' พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ แห่ง นรต.38 เตรียมทหารรุ่น 22 

หนึ่งในพิธีอำลาที่โรงเรียนนายร้อยสามพรานเมื่อเย็นวันที่ 26 ก.ย.คือ พิธีสวนสนามและเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ได้เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่ทุกคนในพิธียืนหยัดจนพิธีเสร็จสิ้น...ไม่กลัวฝนไม่กลัวฟ้าผ่า...

เฮ่อ!! ชีวิต 'บิ๊กเด่น' ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 จนถึง 30 ก.ย.66 พูดได้เต็มปาก แทบจะไม่มีซักสัปดาห์เดียวเดือนเดียวที่มีความรื่นรมย์ในการทำงาน...โดยเฉพาะเดือนส่งท้าย...คดีกำนันนก...ที่บานปลายขยายวงมาเป็นคดีกำนันโจ๊ก...อุ๊ย!! 'บิ๊กโจ๊ก' กล่าวได้ว่า...บิ๊กเด่นคือ "สำลีระหว่างเหล็ก" เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง...

ใครจะว่าจะอย่างไรก็ว่าเถอะ..นายตำรวจที่มือสะอาดอย่าง 'บิ๊กเด่น' ฝากผลงานหลายด้านให้กับวงการตำรวจ โดยเฉพาะด้านไซเบอร์ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หากรัฐบาลไม่รีบคว้าตัวไปใช้งานก็นับว่าน่าเสียดาย...

กลับมาที่สถานการณ์แนวรบสีเลือดหมูในขณะนี้ดีกว่า...ในที่สุดคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมาก็มีมติแต่งตั้ง 'บิ๊กต่อ' พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 4 ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 ด้วยมติ 9:1:2  จาก ก.ตร.ทั้งหมด 16 คน ลาประชุม 2 คนคือ 'บิ๊กโจ๊ก' และ 'บิ๊กรอย' ส่วน 'บิ๊กต่อ' และ 'บิ๊กต่าย' แม้จะมา แต่โหวตไม่ได้เพราะเป็นแคนดิเดต...ต้องออกจากห้องประชุม

ขยายความมติสักนิด...9 เสียง คือ เห็นชอบตามที่นายกฯ เสนอชื่อ 'บิ๊กต่อ' เป็นผบ.ตร. ส่วน 1 เสียงไม่เห็นชอบ คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ทรงคุณวุฒิ ส่วน 2 เสียง คือ งดออกเสียง ประกอบด้วยตัว นายกฯ และ รศ.ประทิต สันติประภพ  ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ...

แหล่งข่าวที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก.ตร.เปิดเผยกับ 'เล็ก เลียบด่วน' ว่า...หากจะสรุปสั้นๆ ปฏิบัติการม้วนเดียวจบ ไม่ปล่อยให้เกมยืดเยื้อดังที่มีการปล่อยข่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดรักษาการไปพลางก่อน ค่อยมาเคาะกันปลายเดือน ต.ค. ก็พอจะสรุปได้ดังนี้...

1) เกมนี้มีการตั้งธงกันมานานแล้วว่า...ยังไงๆ หวยต้องออกที่ 'บิ๊กต่อ' ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว...แม้บิ๊กต่อจะอาวุโสน้อยกว่าทุกคน แต่กฎกติกาก็ไม่ได้ระบุว่าความอาวุโสมีน้ำหนักกี่เปอร์เซ็นต์เพียงแค่ระบุว่าให้ 'คำนึงถึง' เท่านั้น ขณะเดียวกันมีสัญญาณผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยว่า...ต้องจบในวันที่ 27 ก.ย.

2) ก่อนประชุม ก.ตร.นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธาน ก.ตร.ส่งสัญญาณให้ ก.ตร.รับทราบชัดเจนว่า...ต้องเป็น 'บิ๊กต่อ'

3) นาทีก่อนลงมติ 'บิ๊กเด่น' ได้ประเมินประสิทธิผลของงาน 4 รอง ผบ.ตร.ที่เป็นคนดิเดตให้ที่ประชุมรับทราบ โดยให้น้ำหนักไปที่ 'บิ๊กต่อ' ทั้งเนื้องานและความมีวุฒิภาวะผู้นำ

สรุปรวมความแล้ว...ดุลอำนาจใน สตช.ขณะนี้...ฝ่าย 'บิ๊กต่อ' ที่แม้จะอยู่ในอำนาจเพียงปีเดียว  แต่สามารถกระชับอำนาจไว้แทบหมดสิ้น ขณะที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่ประกาศว่ามีข้อมูลในมือมากมาย เปิดเผยเมื่อไหร่จะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น หลายฝ่ายประเมินดูแล้วว่า...อาการน่าเป็นห่วง แม้จะเหลือเวลาราชการถึงปี 2574 หรืออีก 8 ปี แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะต้องได้เป็น ผบ.ตร.แต่ประการใด...เพราะดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการตำรวจก็มีมากมาย...

จะหาผู้ใหญ่ใจดีแบบ 'ลุงป้อม' คอยโอบอุ้ม...จนเป็นแมวเก้าชีวิตได้ อนาคตคงไม่ง่ายดายแล้ว…ใจเย็นลงสักนิดก็น่าจะดีนะครับบิ๊กโจ๊ก..!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top