Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘หมอระวี’ ชำแหละแผนนิรโทษ ‘ก้าวไกล’ ชง!! 112 แต่ไม่พ่วง 113 เชื่อ!! โดนตีตก

(6 ต.ค. 66) นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งเคยยื่นเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม เข้าสภาฯ สมัยที่ผ่านมา เรียกว่า ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. โดยมีหลักการคือ ให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน แต่ไม่ทันได้พิจารณาเพราะยุบสภา กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากการเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …. เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของพรรคก้าวไกล ครอบคลุมถึงให้นิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 ด้วย แต่สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็คือ เนื้อหาในร่างดังกล่าว ไม่นิรโทษกรรมคนที่ถูกดำเนินคดี ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เช่นคนที่โดนดำเนินคดีข้อหากบฏ อย่างกลุ่มแกนนำ กปปส. ที่โดนฟ้องข้อหา 113 ด้วย

สำหรับการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ มองว่าจะเป็นกดดันทางการเมืองกับพรรคฝ่ายรัฐบาลว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ประกบเข้าสภาฯ หรือไม่ ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องคุยกันว่าจะเอาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ ตนได้เคยไปยื่นร่างนิรโทษกรรมฯ ที่เป็นร่างเดิมที่เคยยื่นตอนสภาฯ สมัยที่ผ่านมา ไปให้วิปรัฐบาลพิจารณาเมื่อ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหานิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา ยกเว้นคดีทุจริต คดีความผิดอาญาที่รุนแรง และคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112

หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า คาดว่าอาจจะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของฝ่ายปีกรัฐบาล ยื่นไปประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้คือ หากฝ่ายค้านเสนอร่าง พ.ร.บ. อะไรที่สำคัญ และจะมีผลใดๆ ตามมา ฝ่ายรัฐบาลจะเสนอร่าง พ.ร.บ. ประกบไปด้วย แต่จะมีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคการเมืองอื่นๆ เสนอไปประกบด้วยหรือไม่ ต้องรอดู เพราะตามหลักฝ่ายรัฐบาลคงไม่เอาด้วยกับการให้นิรโทษกรรมไปถึงคดี 112 จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมประกบเข้าไป เพื่อไม่ให้ไปถึงนิรโทษกรรมคดี 112 ซึ่งหากจะให้ดี ควรเสนอเข้าสภาฯให้เป็นร่างของรัฐบาล จะดีกว่าที่จะเสนอโดยพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล โดยฝ่ายรัฐบาลต้องไปคิดกันว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่มีเนื้อหาแบบใด จะร่างขึ้นมาใหม่เลย หรือจะใช้ร่างเดิมของตนที่เสนอต่อสภาฯ ซึ่งมีการรับฟังความคิดเห็นมาแล้วก็สามารถทำได้ โดยอาจไปแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย แต่หลักการของพรรคฝ่ายรัฐบาลน่าจะใกล้เคียงกับร่างที่ตนยื่นไป ซึ่งไม่ให้นิรโทษกรรมคดี 112

นพ.ระวี กล่าวว่า เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคก้าวไกล ครอบคลุมถึงการนิรโทษกรรมทั้งคดีแพ่งและอาญา ทำให้ก่อนจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ จะต้องมีการไปรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องประมาณร่วมสิบหน่วยงาน จะใช้เวลาอีกประมาณ 2 - 3 เดือน จากนั้นเมื่อมีการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมฯ ทางฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศเป็นรัฐบาลปรองดอง คงจะยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล เข้าไปอีกหนึ่งร่าง

“เมื่อพรรคก้าวไกลเปิดเกม ด้วยการไม่นิรโทษกรรมคดี 113 ก็คาดว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ไม่ให้ครอบคลุมถึงคดี 112 ส่วนความผิดมาตรา 113 ก็ให้นิรโทษกรรมตามปกติ สรุปก็คือ จะมีความแตกต่างกันในเรื่อง 112 กับ 113 คือของก้าวไกล ให้นิรโทษกรรม 112 แต่ไม่นิรโทษกรรม 113 แต่ร่างของฝ่ายปีกรัฐบาล คาดว่าจะไม่ให้นิรโทษกรรม 112 แต่คนที่โดนคดี 113 จะได้นิรโทษกรรมด้วย” หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ระบุ

อย่างไรก็ตาม หากสุดท้าย ถ้ามีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เข้าสภาฯ แค่สองร่าง คือร่างของก้าวไกลกับร่างของฝ่ายรัฐบาล โดยไม่มีพรรคการเมืองอื่น ๆ เสนอมาด้วย จะทำให้สภาฯ พิจารณากันแค่สองร่าง ทำให้สองร่างดังกล่าวก็ต้องสู้กันตอนพิจารณาของสภาฯ วาระแรก ต้องรอดูว่าสภาฯ จะโหวตรับหลักการวาระแรก แค่ร่างใดร่างหนึ่งหรือจะให้ผ่านทั้งสองฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล ก็ผ่านด้วย ถ้าแบบนี้ ตอนพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯ ก็ต้องไปดีเบตกันว่า จะให้นิรโทษกรรมคดี 112 อย่างไร ไม่ให้นิรโทษกรรม 113 อย่างไร เพราะตามหลักกฎหมาย ถ้าร่างฯ ผ่านสภาวาระแรก ก็ต้องพิจารณาภายใต้หลักการที่ผ่านวาระแรกมา

“แต่หากให้ผมประเมิน ก็คิดว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของก้าวไกล จะโดนตีตกในวาระแรก โดยสภาฯ จะรับหลักการแค่ร่างของฝ่ายรัฐบาล อันนี้เป็นการคาดการณ์ แล้วสภาฯ ก็พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของฝ่ายรัฐบาลต่อไปในชั้นกรรมาธิการและวาระสามต่อไป และส่วนตัวมองว่า การที่ก้าวไกล ไม่ให้นิรโทษกรรม 113 คนที่โดนไปเต็ม ๆ ก็คือ แกนนำ กปปส. ที่โดนฟ้องเป็นจำเลยในคดี 113 ข้อหากบฏ”นพ.ระวี กล่าวเชิงวิเคราะห์

‘จตุพร’ เผยสาเหตุ ‘เฉลิม’ ประกาศตัดขาด ‘ทักษิณ’ เกิดจากการดูถูก - เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน

(6 ต.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 ระบุถึงปัญหาระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกิดจากการดูถูก หยามเหยียดความเป็นมนุษย์ พร้อมตอบชัดเจนทักษิณพูด หมอ รพ.ตำรวจบอกมา

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ถามได้ยินนายทักษิณ มีปัญหากับ ร.ต.อ.เฉลิม ได้อย่างไร ว่า คนที่ไปเล่าให้ ร.ต.อ.เฉลิมฟังเป็นหมอที่ รพ.ตำรวจ โดยระบุคำพูดนายทักษิณดูถูก ร.ต.อ.เฉลิม ว่า “กวนตีนกวนโอ๊ยกันทั้งพ่อทั้งลูก”

นอกจากนี้นายภูมิธรรม ได้เปรียบเทียบและโยงว่าจะไม่มีปัญหาซ้ำรอยเหมือนกรณีของนายจตุพรด้วย อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ไม่ต้องการแสดงความเห็นในปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย โดยอ้างเป็นคนนอก หากทั้งนายทักษิณกับ ร.ต.อ.เฉลิม ดีกันแล้ว ก็จะกลายเป็นพวกหมาหัวเน่าทันที จึงให้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยไปเคลียร์ปัญหากันเอง

อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ได้แสดงความไม่เห็นด้วยในทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การตั้งรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ไปโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงถึงจุดยืนชัดเจน แม้แต่นักประชาธิปไตยหลายคนในพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความกล้าเท่ากับ ร.ต.อ.เฉลิม อีกด้วย

“เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ไปโหวตนายกฯ แล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นที่มาของคำพูดทักษิณว่า “จะกวนโอ๊ยกวนตีนทั้งพ่อและลูก” ซึ่งภาษาเช่นนี้ ถ้าพูดต่อหน้าอาจไม่เป็นอะไร แต่เมื่อได้ยินการพูดลับหลัง ร.ต.อ.เฉลิม จึงเกิดความรู้สึกจะหันหลังให้พรรคเพื่อไทยและไม่ขอร่วมทางการเมืองกันตลอดชีวิต” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวถึงตัวเองมีปัญหากับนายทักษิณ ว่า แม้ร่วมต่อสู้กันมานาน 29 ปี แต่เมื่อถูกดูถูกกันครั้งเดียวความสัมพันธ์ต้องขาดสะบั้นทันที และจบกันไปเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์อยู่ที่คุณค่าและการให้เกียรติกัน เมื่อแต่ละคนได้ต่อสู้ เอาชีวิตถวายหัว ร่วมเป็นร่วมตายกลับไม่เห็นคุณค่า หนำซ้ำยังมาดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กัน จนเกิดปัญหาฉิบหายกันถึงทุกวันนี้ ส่วนความจริงของปัญหาที่เกิดกับ ร.ต.อ.เฉลิม นั้น ก็เป็นเรื่องลักษณะเดียวกันกับตน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน และเป็นบทเรียนซ้ำไปซ้ำมา

“ผมขอบอกนายภูมิธรรมที่ถามว่าได้ยินมาจากไหน ผมก็บอกว่าจากหมอใน รพ.ตำรวจ ซึ่งผมได้ยินมาแบบนี้ ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรนายทักษิณกับ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องสื่อความกันเอง ส่วนผมตอบตามความสงสัยของนายภูมิธรรมว่า ได้ยินมาจากหมอ รพ.ตำรวจ” นายจตุพร กล่าว

พิธีกรท็อปนิวส์โล่ง!! ไม่ต้องทำงานจ่ายคดีแพ่ง 3 ล้านบาท หลัง 'ธนาธร' ฟ้องปิดปาก ประเด็นอยากเป็นมากกว่านายกฯ

(6 ต.ค.66) เฟซบุ๊ก ‘ต๊อบ วุฒินันท์ นาฮิม’ ของนายวุฒินันท์ นาฮิม ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวท็อปนิวส์ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ระบุว่า…

"วันนี้ผมและท่านอาจารย์เสรีไปศาลอาญา เพื่อรับฟังคำพิพากษาของศาล ก่อนไปก็มีคนถามพวกเราว่าเป็นกังวลอะไรไหม ผมได้แต่ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ ส่วนท่านอาจารย์ตอบว่า ไม่ได้กังวลอะไร เพราะว่าตอนมีการสืบพยาน เราก็ตั้งข้อสังเกตว่าทางฝ่ายเขาพูดอะไร ทางฝ่ายเราพูดอะไร เราคิดว่าหลักฐานของเราแน่นกว่า

พอไปถึงที่ศาล สิ่งแรกที่ทำเพื่อความสบายใจก็คือ ไปกินอาหารร้านโปรดที่โรงอาหาร บังเอิญไปเจอคุณสิระ เจนจาคะ ซึ่งโดน พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส ฟ้อง

สงสารท่านอาจารย์ขึ้นบันไดศาล หัวใจเต้นเป็นจังหวะแดนซ์ขึ้นไปถึง 100 กว่า ให้ อ.เสรี ยืนพักแล้วไปต่อถึงห้องพิจารณาคดี

พอเข้าไปนั่งรอได้สักพักท่านผู้พิพากษาจึงขึ้นนั่งบัลลังก์พร้อมกัน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 7 นาที ผลการตัดสินแบ่งเป็นสองส่วน

1. ศาลท่านพรรณนาว่าโจทก์ฟ้องเราว่ากระไร ข้อความส่วนใหญ่หาว่าเราหมิ่นประมาทเขาทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังเสียชื่อเสียง

2. ท่านผู้พิพากษาพิจารณาลงความเห็นว่า ผมและอาจารย์เสรีนำข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์และออฟไลน์มาวิเคราะห์วิพากษ์กันด้วยใจสุจริต ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ซึ่งตรงนี้ศาลพินิจพิเคราะห์แล้วก็บอกว่าสิ่งที่เราทำนั้น ประชาชนทั้งหลายที่จงรักภักดีจะมีความห่วงใย เคลือบแคลงพฤติกรรมของเขาที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงถือว่าเราเป็นสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์คนซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นหัวหน้าพรรค แล้วตอนนี้ก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าคณะ เป็นการกระทำโดยสุจริต ศาลจึงยกฟ้อง

ผมและอาจารย์มองตรงกันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเรายังเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ตลอดไป เพราะว่าเป็นการพินิจพิเคราะห์กันด้วยข้อเท็จจริงมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ครับ ขอใช้พื้นที่นี้สื่อสารไปยังทุกท่าน ขอบพระคุณ อ.บอย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และน้องวาเลนไทน์ อดีตโปรดิวเซอร์รายการเปิดเนตร และเรื่องลับมาก มาเป็นพยานให้เรา กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ

หวังว่าคงไม่ต้องทำงานใช้หนี้หาเงิน 3 ล้านไปจ่ายคดีแพ่งแล้ว"

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ในกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และนายวุฒินันท์ นาฮิม ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นฯ จากกรณีที่ทั้งสองได้ร่วมพูดคุยกัน ในรายการ ‘เปิดเนตร’ หัวข้อ เป้าประสงค์ชัด ‘ธนาธร อยากเป็นมากกว่านายกฯ’ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันยูทูบ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564

โดยศาลเห็นว่า นายธนาธร โจทก์ได้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมให้ปรากฏต่อสาธารณะ โดยเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่าง ๆ ร่วมเสวนา และยังโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในทำนองว่า การให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อให้อยู่เหนือการเมือง อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อำนาจบทบาทของสถาบันฯ ต้องสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ปฏิรูปเพื่อให้สถาบันดำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตย และโจทก์เคยเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ เมื่อโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร โจทก์เคยอภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณในหน่วยงานส่วนพระองค์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่แสดงออกผ่านทางตัวโจทก์สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และทำให้ประชาชนคิดไปได้ว่า เหตุใดโจทก์ ซึ่งเคยเป็น สส.และเป็นบุคคลสาธารณะถึงต้องการปฏิรูปสถาบันฯ อันเป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการพูดคุยในรายการของจำเลยทั้งสอง เป็นเพียงการนำข้อมูลของโจทก์ที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ การอภิปรายของโจทก์ในที่ต่าง ๆ และหนังสือของโจทก์ มาวิเคราะห์การกระทำ ซึ่งมีลักษณะส่อไปในทางที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันทราบถึงข้อมูลและพฤติกรรมของโจทก์

จึงนับว่าการกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงการจัดรายการในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งวิเคราะห์ข้อมูลไปตามเนื้อข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ เป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อสื่อสารถึงการกระทำของโจทก์ไปยังประชาชนที่เคารพสถาบันฯ เท่านั้น ถ้อยคำและข้อความที่จำเลยทั้งสองหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยซึ่งบุคคลหรือ ประชาชนย่อมกระทำได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) พิพากษายกฟ้อง

'ดร.สุวินัย' แฉ!! บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ อำนาจเหนือรัฐที่คาดไม่ถึง คุม 'การเมือง-การตลาด' ปั่นหัวคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นซอมบี้

(6 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ อนาคตของลูกหลานเรา กับการปฏิวัติมนุษย์นิยมภายใต้ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ โดยระบุว่า…

เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย

นี่คือข้อคิดรวบยอดหลังผมจากได้อ่าน ‘ทุนนิยมสอดแนม’ : ระบบทุนนิยมใหม่ใต้เงาบรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ (The Age of surveillance capitalism, 2019) (ฉบับแปลไทย 2023, สำนักพิมพ์ bookspace) กับ ‘โฮโมดีอุส : ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้’ (Homo Deus : A Brief History of Tomorrow)(2016)

ทุนนิยมสอดแนม คือรูปการล่าสุดของทุนนิยมที่ ‘กลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย’ โดยมีจุดเด่น 2 ประการคือ

(1) มันทำให้การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง-ความรู้-อำนาจ มากระจุกตัวที่บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ของโลกเพียงไม่กี่บรรษัท โดยที่บรรษัทเทคเหล่านี้มีอำนาจเหนือ ‘รัฐชาติ’ หลายประเทศที่เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับ ‘ความทันสมัย’ (modernization) หรือทุนนิยมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20

(2) ประเทศที่ตระหนักถึงภัยของ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ อย่างรวดเร็วที่สุดว่าเป็นเนื้อร้ายที่กลายพันธุ์ คือ ประเทศจีนภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงทำให้ประเทศจีนสามารถ ‘ควบคุม’ ทุนนิยมสอดแนมจีน ให้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐอย่างที่ประเทศอื่นไม่สามารถทำได้

ประเทศอื่น ๆ จึงได้รับผลร้ายของทุนนิยมสอดแนมเข้าไปเต็มๆ ...ผลร้ายที่ว่านั้นคือ ‘การเมืองแบ่งขั้วอย่างสุดโต่ง’ ที่ประชาชนถูกอัลกอริทึมปั่นหัวให้ขัดแย้งอย่างรุนแรงแบบแบ่งขั้ว

นี่คือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า ‘อำนาจผ่านเครื่องมือ (อัลกอริทึม)’ ซึ่งเป็นอำนาจชนิดใหม่ ที่เข้ามาแผ่อิทธิพลครอบงำสังคมทางความคิด โดยที่ ‘อำนาจใหม่’ (อำนาจผ่านเครื่องมือ) ที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการมีชัยชนะทางการเมืองและทางการตลาด

ในฐานะที่เป็นปัญญาชนตัวแทนของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ผมต้องยืนกรานในเจตจำนงและวิสัยทัศน์ (vision) ของคนรุ่นตัวเอง…จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องแสดงทัศนะของคนรุ่นผมต่อ ‘อนาคตดิจิทัล’ ในสังคมไทย ซึ่งรวมทั้งพิษภัยของทุนนิยมสอดแนมด้วย…

โลกดิจิทัลกำลังเข้ามาครอบครองและสร้างนิยามใหม่ให้แก่ทุกสิ่งในสังคมไทยที่เราคุ้นเคย

อารยธรรมสารสนเทศ (information civilization) กำลังก่อเกิด เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้าถึงผู้คนเกินกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดทั่วโลกไปแล้ว

แต่สิ่งที่กำลังโดนกระทบอย่างรุนแรงจริง ๆ คือ ความสั่นคลอนของ ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ (sanctuary) หรือ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจผู้คนที่โดนกลบกลืน โดนกวาดล้าง อันเนื่องมาจากกระแสดิสรัปต์ชั่นทางเทคโนโลยีที่ตามมาด้วยความสั่นคลอนของระบบสถาบันต่าง ๆ

ผู้คนที่สูญเสีย ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจตนไปแล้ว ย่อมกลายร่างกลายพันธุ์ไปเป็น ‘ซอมบี้’ ที่อาละวาดไปทั่ว…

นับวันจำนวน ‘ซอมบี้’ ในสังคมไทยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพวกซอมบี้ที่เป็น ลูกหลานของเรา

ตราบใดที่ผู้คนยังไม่รู้ทันพิษภัยของทุนนิยมสอดแนม และไม่สามารถปกปักรักษา ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจตนเอาไว้ได้ ตราบนั้น ‘โศกนาฏกรรมเงียบ’ ย่อมคืบคลานมาสู่ครอบครัวของพวกเราทุกครอบครัวโดยแทบไม่มีข้อยกเว้น

โดยที่ลูกหลานของเราคือ เหยื่อที่เปราะบางที่สุด ต่อผลกระทบในเชิงลบของ ทุนนิยมสอดแนม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงพิษภัยของมันเลย…จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงด้วยน้ำมือของเด็กและเยาวชน

ความร่ำรวยของ ‘พวกนายทุนสอดแนม’ มาจากการสร้าง ‘ตลาดพฤติกรรมล่วงหน้า’ (behaviorial futures market)

ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่นำมาใช้พยากรณ์ได้ดีที่สุด มาจากการแทรกแซงสถานการณ์ที่เกิดในปัจจุบัน เพื่อสะกิด โน้มน้าว ปรับค่า และต้อนพฤติกรรมให้สร้างผลกำไรมากขึ้น ผ่านกระบวนการจักรกลอัตโนมัติ (machine intelligence) ซึ่งไม่เพียง ‘รู้’ พฤติกรรมของเรา แต่ยัง ‘หล่อหลอม’ พฤติกรรมของเราอย่างมากด้วย

- เว็บพนันออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โลภะ’

- การเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลของพรรคก้าวไกล คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โทสะ’ และ ‘โมหะ’

- การคลั่งเกม เสพติดเกมออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นจิตใต้สำนึกของลูกหลานเราให้นิยมความรุนแรง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนอื่นและเห็นใจผู้อื่น ...สุดท้ายก็สำแดงความรุนแรงออกมาในโลกจริงจนได้

นี่คือวิธีการเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (data) เป็นอำนาจสายพันธุ์ใหม่ เพื่อดัดแปลงพฤติกรรม (behavioral modification)

…พวกทุนสีเทา ใช้เว็บพนันออนไลน์ สร้างซอมบี้ผีพนัน
…พรรคปฏิวัติ 2475 สายพันธุ์ใหม่ ใช้ ‘ลัทธิอำนาจผ่านเครื่องมือ’ (instrumentarianism) สร้างสาวกซอมบี้ ฯลฯ

เพราะนี่คือ อำนาจผ่านเครื่องมืออย่างอัลกอริทึม ที่รู้จักพฤติกรรมมนุษย์ดีที่สุด และทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์เหล่านั้นให้มารับใช้จุดประสงค์ของตนเอง

บัดนี้พวกนายทุนสอดแนมรู้แล้วว่า พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ...เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่ก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย

***อนาคตของลูกหลานเรา กับทิศทางของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในสังคมไทยต่อจากนี้***

ก่อนยุคทันสมัย เซเปียนส์ใช้ชีวิตโดยเอาเรื่องเล่าของพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (โดยเฉพาะในโลกของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพราหมณ์)

แต่พอเข้าสู่ยุคทันสมัย เซเปียนส์ได้หันมาเอาเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หรือความเชื่อใหม่เรื่อง ‘มนุษย์นิยม’ เป็นศูนย์กลางแทน

นี่คือที่มาของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ ที่เกิดขึ้นเคียงคู่ ‘การทำให้ทันสมัย’

การปฏิวัติมนุษย์นิยมกลายเป็นหลักความเชื่อใหม่ที่ ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ สำหรับคนสมัยนั้น และทำให้สามารถพิชิตโลกทั้งโลกในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมาได้

ศาสนามนุษย์นิยมบูชาความเป็นมนุษย์ และคาดหวังให้มนุษย์แสดงบทบาทที่พระเจ้าเคยแสดงในศาสนาคริสต์และอิสลาม

มนุษย์นิยมคาดหวังให้ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นฝ่ายมอบความหมายให้จักรวาล ผ่านการดึงประสบการณ์ภายในของตนออกมา…

เพื่อสร้างความหมายให้แก่โลกที่ไร้ความหมาย หัวใจของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในยุคทันสมัย จึงมิใช่การสูญสิ้นศรัทธาในพระเจ้า แต่เป็นการหันมาศรัทธาในมนุษย์แทน

คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางจริยธรรม คือ ‘ถ้ารู้สึกดี จงทำ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางการเมือง คือ ‘ผู้ออกเสียงรู้ดีที่สุด’
คำขวัญของมนุษ์นิยมในทางเศรษฐกิจ คือ ‘ลูกค้าถูกเสมอ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางสุนทรียศาสตร์ คือ ‘ความงามอยู่ในดวงตาของผู้ชม’

สรุปสั้น ๆ ได้ว่า พวกมนุษย์นิยมเชื่อมั่นในความรู้สึกของปัจเจกซึ่งเป็นอัตวิสัยเท่านั้นในการตัดสินทุกเรื่องราวในชีวิต ในยุคทันสมัยภายใต้การปฏิวัติมนุษย์นิยม ความรู้สึกของมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความหมายและอำนาจทั้งปวง

ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตแบบมนุษย์นิยมคือการพัฒนาความรู้อย่างเต็มที่ผ่านประสบการณ์อันหลากหลายทางด้านปัญญา อารมณ์และทางกายภาพ เป้าหมายของการดำรงอยู่ คือ การกลั่นประสบการณ์ที่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางที่สุดของชีวิตให้กลายเป็นภูมิปัญญา (wisdom)

จุดยอดสูงสุดแห่งชีวิตมีเพียงประการเดียวเท่านั้นคือ การได้วัดความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างในการเป็นมนุษย์

ตั้งแต่เซเปียนส์สร้างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนขึ้นในช่วง 70,000 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวัฒนธรรมไหนที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้สึก ความปรารถนาและประสบการณ์ของมนุษย์มากเท่ามนุษย์นิยมมาก่อน

อย่างไรก็ดี ‘ลัทธิมนุษย์นิยม’ ได้แตกออกเป็นสามนิกายย่อยที่ตีความประสบการณ์ของมนุษย์แตกต่างกันไป คือ

(1) มนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (liberal humanism) หรือเรียกย่อๆว่า เสรีนิยม (liberalism) นี่คือมนุษย์นิยมแบบดั้งเดิมและเป็นกระแสหลักที่มองว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความเฉพาะตัว จึงให้ความสำคัญกับเสรีภาพมากที่สุด

(2) มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม (socialist humanism) ที่โอบอุ้มความเคลื่อนไหวของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เอาไว้ โดยให้ความสำคัญกับความเสมอภาคมากกว่าเสรีภาพ และฝากศรัทธาทั้งหมดไว้ที่พรรคการเมืองของตน (เชื่อว่าพรรคการเมืองรู้ดีที่สุด)

(3) มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ (evolutionaly humanism) เชื่อมั่นแบบยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จึงไม่ชื่อว่าวิวัฒนาการจะหยุดอยู่แค่เซเปียนส์ แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่มุ่งไปสู่การเป็น อภิมนุษย์ (superhuman)

ผู้สนับสนุนแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการที่โด่งดังที่สุด คือพวกนาซี แต่นี่เป็นเพียงเวอร์ชั่นที่สุดโต่งของมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการเท่านั้น

ลัทธินาซีเกิดขึ้นจากการจับคู่แบบมิจฉาทิฐิระหว่างมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการกับทฤษฎีเชื้อชาติจำเพาะและอารมณ์คลั่งชาติอย่างรุนแรง

แปลกแต่จริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ที่เราเห็นได้ชัดถึงขีดจำกัดของมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (ที่เลยจุดพีคมาแล้ว) และมนุษยนิยมแบบสังคมนิยม (ที่ส่วนใหญ่ล้มเหลวไม่เป็นท่ายกเว้นในประเทศจีน)

ปรากฏว่า มนุษยนิยมแบบวิวัฒนาการกลับผงาดขึ้นมาแทนและมีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นกระแสหลักในการก่อร่างสร้างศตวรรษที่ 21 หลังจากนี้ ผ่านการผลักดันโครงการมนุษย์เทพหรือโฮโมดีอุส

โครงการ Homo Deus (มนุษย์เทพ) ที่กำลังวิจัยและพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีชีวภาพ คือพลังทางวัตถุที่หนุนหลังแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนี้

พร้อมกันนั้น ศาสนาเทคโนโลยี (techno-religion) ในยุคดาต้านิยมกำลังจะเข้ามาแทนศาสนามนุษย์นิยมที่ครองโลกในยุคทันสมัย (ยุคทุนนิยม) มาอย่างยาวนาน

เพราะพร้อมๆกับการเกิดขึ้นของมวลชนที่เป็น ‘มนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ จำนวนมหาศาล ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตอันใกล้

ความเชื่อความศรัทธาเรื่องมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยมจะถูกบ่อนทำลายในระดับฐานราก

ปัจจุบัน ขบวนรถไฟแห่ง ‘ความก้าวหน้า’ ได้เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีที่ชื่อทุนนิยมและมนุษย์นิยมไปแล้ว

สังคมไหน องค์กรไหน ปัจเจกคนไหนที่พลาดขบวนนี้จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง

การจะหาที่นั่งในขบวนนี้ได้ สังคมนั้น องค์กรนั้น ผู้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอำนาจของเทคโนโลยีชีวภาพและอัลกอริทึม

ผู้ที่ขึ้นรถไฟแห่งความก้าวหน้าในยุคดาต้านิยมได้ทัน จะได้รับอำนาจวิเศษแห่งการสร้างสรรค์และการทำลาย ส่วนพวกที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ไม่ช้าก็เร็ว

เป็นที่น่าสนใจว่า ในการแย่งชิงความเป็นเจ้าโลกในยุคดาต้านิยมต่อจากนี้ระหว่างจีนกับสหรัฐ ขณะที่จีนเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ อย่างชัดเจน

ส่วนสหรัฐกลับเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ’ ผ่านโครงการโฮโมดีอุสมากกว่า …ฉะนั้นจงอย่างแปลกใจที่คนเขียน Homo Deus เป็นคนยิว

ส่วนประเทศไทย คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังสับสนในตัวเองอยู่เลยว่าจะผลักดันการปฏิวัติมนุษย์นิยมไปทางไหนกันแน่?

คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของเรา ดูเหมือนจะฝากความหวังของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ (การปฏิวัติล้มเจ้าล้มสถาบันในสายตาของฝั่งอนุรักษ์นิยม) ไว้ที่ ‘พรรคการเมืองของพวกเขา’ ซึ่งค่อนข้างชัดว่าเป็น ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ ที่บูชาเลื่อมใส รัฐสวัสดิการ

คนรุ่นใหม่ คิดดีแล้วหรือว่านี่คือ ทิศทางไทยที่ถูกต้อง?

‘ถ้านายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร?’ (อาจารย์ศิลป์ พีระศรี)

‘พลอย-เมนู’ เตรียมแฉเส้นทางการเงินแก๊งทะลุวัง พร้อมเปิดหลักฐานหลอกโอนเงิน-บัญชีรับเงิน 15 ต.ค.นี้

(5 ต.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับกลุ่มทะลุวังว่า ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ‘พลอย-เมนู’ อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง ซึ่งเป็นคนที่ถูกแกนนำ ‘ทะลุวัง’ บางคนให้โอนเงินเข้าบัญชีนั้น จะโทรมาคุยและส่งหลักฐานว่าถูกหลอกให้โอนเงินอย่างไร และมีการเปิดบัญชีที่ไหน และมีการรับเงินจากที่ไหนบ้าง ซึ่งตนได้ให้คำแนะนำว่าให้เชิญพนักงานสอบสวนมาร่วมรับฟังด้วยเพื่อให้ข้อมูลนั้นถูกกฎหมายและใช้เป็นพยานหลักฐาน

เมื่อถามว่า พล.ต.เสรีพิศุทธ์จะเดินทางไปร่วมรับฟังด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ต้องไปเพราะใช้หลักการบริหารจัดการเหมือนการบริหารประเทศชาติ เป็น ผบ.ไม่ต้องลงมาดูที่เกิดเหตุ แค่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็พอแล้ว

‘ธนกร’ แนะ ‘มท.-ตร.’ ร่วมกันกวาดล้างมาเฟีย-อาวุธเถื่อน-ยาเสพติด ถอดบทเรียนกราดยิงห้างดัง ป้องกันเหตุเกิดซ้ำ-พฤติกรรมเลียนแบบ

‘ธนกร’ เรียกร้อง มหาดไทย แท็กทีม ตร.เปิดปฏิบัติการปูพรมค้นพื้นที่เป้าหมายผู้มีอิทธิพล  กวาดล้างอาวุธเถื่อน-ยาเสพติดทุกพื้นที่ หวั่น เกิดเหตุซ้ำกราดยิงในห้างดังกลางกรุง เชื่อ สร้างความอุ่นใจให้ประชาชน มั่นใจ ‘บิ๊กต่อ’ เอาจริง ทำสำเร็จแน่

(5 ต.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุรุนแรงในห้างดังที่ผ่านมา ว่า ขอเรียกร้องไปยังกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายปกครอง ให้เร่งร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เปิดปฏิบัติการปูพรมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายผู้มีอิทธิพลแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นการป้องกัน ปราบปรามและกวาดล้าง ทั้งอาวุธเถื่อน ยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด

พร้อมกันนี้ เห็นควรให้มีการตั้งด่านความมั่นคงเพื่อตรวจค้นการครอบครองอาวุธปืนที่ผิดกฎหมาย เพื่อเป็นการป้องกันการก่อเหตุรุนแรงในเบื้องต้น และสร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตบนความปลอดภัยให้กับประชาชน

เมื่อถามว่า การขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบอยู่ จะช่วยลดการก่อเหตุได้หรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพล ถือเป็นสารตั้งต้นของการปฏิบัติการ หากนำรายชื่อผู้มีอิทธิพลที่ไม่ได้มาขึ้นทะเบียน ทั้งในระบบหรือนอกระบบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่ามีกลุ่มเป้าหมายบุคคลใดบ้าง เชื่อว่าหากเอาจริงเอาจัง จะสามารถกวาดล้างผู้มีอิทธิพล หรือ ‘มาเฟีย’ ทั่วประเทศได้อย่างแน่นอน

“ผมเชื่อมั่น เชื่อมือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ที่เป็นคนทำงานเอาจริงเอาจัง ผลงานด้านปราบปรามนั้นชัดเจน หากร่วมมือกับนายชาดา ทั้งมหาดไทยและตำรวจเปิดปฏิบัติการปูพรมกวาดล้างผู้มีอิทธิพล สามารถทำได้สำเร็จแน่นอน ทั้งนี้ ขอฝากประเด็นเรื่องควบคุมการสั่งซื้ออาวุธปืนทางออนไลน์ด้วย จะช่วยสร้างความมั่นใจ อุ่นใจ ในความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ ผมขอให้กำลังใจและเอาใจช่วย ผบ.ตร.และนายชาดา เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงซ้ำรอย กรณีเยาวชน อายุ 14 ปี ใช้อาวุธปืนดัดแปลงกราดยิงในห้างดังที่ผ่านมาอีก” นายธนกร กล่าว

‘นพ.วรรณรัตน์’ แนะ!! รัฐบาลจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งระยะยาว ช่วยเกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี

(5 ต.ค. 66) นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมอภิปรายในญัตติการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยระบุว่า ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกยิ่งร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิอากาศ ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย และส่งผลกระทบไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น การเกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรง ฝนตกหนักจนน้ำท่วม พายุหมุนที่รุนแรง ภาวะความแห้งแล้ง เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายอย่างมหาศาล ต่อมวลมนุษยชาติ อย่างที่ชาวโลกกำลังประสบอยู่ในเวลานี้

ผู้จัดการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านอุทกภัยสูง เป็นอันดับที่ 9 ของโลก รองจาก เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งการเกิดอุทกภัยในปี 2554 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไทย นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 680 ราย และส่งผลกระทบต่อประชากรเกือบ 13 ล้านคนแล้ว ยังสร้างความเสียหาย และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศคิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 1.4 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 12.6% ของ GDP หรือประมาณ 40% งบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นต้องมีกรอบการทำงานที่เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องจัดทำแผนแม่บท เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ทั้งการวางแผนระยะสั้นและระยะยาว ในทุกลุ่มน้ำที่สำคัญของประเทศ ทั้ง 25 ลุ่มน้ำ นับตั้งแต่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นต้นไป 

"ไม่ว่าจะต้องใช้เงินงบประมาณ มากน้อยเพียงใด เราก็จำเป็นต้องทำเพราะหากเรามัวแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวแล้ว เราก็จะไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านี้ได้อย่างถาวร"

เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศของภาคอุตสาหกรรมด้านการค้าการลงทุน ที่มีการก่อสร้างทั้งถนนมอเตอร์เวย์, ระบบรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งต้องใช้งบประมาณแผ่นดินหลายล้านล้านบาท เราก็ยังกล้าลงทุน แต่เรายังไม่เคยลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรกรรมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของน้ำ

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาอุทกภัยและปัญหาภัยแล้ง นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วมขังแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องสร้างระบบเก็บกักน้ำหรือแก้มลิง และระบบชลประทานเพื่อการเกษตร ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบพร้อมกันไปด้วย เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากปัญหาอุทกภัย มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี และมีน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอย่างพอเพียงและยั่งยืน

“ถ้าเรามีน้ำเพื่อการเกษตรกรรมอย่างพอเพียงแล้ว เกษตรกรก็สามารถที่จะทำนาทำไร่ และประกอบอาชีพเกษตรกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติ สามารถสร้างผลิตผลทางการเกษตรออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และถ้าสามารถนำไปขายได้ในราคาที่เป็นธรรมแล้ว เชื่อมั่นว่าปัญหาหนี้สิน และปัญหาความยากจนของเกษตรกรก็จะหมดสิ้นไป หรือพูดง่าย ๆ ว่าถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องน้ำได้ เราก็จะสามารถแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรได้ จึงขอฝากรัฐบาลพิจารณาดำเนินการ จัดทำแผนแม่บท เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ที่เกิดขึ้นซ้ำซากให้หมดไป รวมทั้งการพัฒนาระบบชลประทาน และแหล่งเก็บกักน้ำให้พอเพียงกับความต้องการทางด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนทั่วทั้งประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”

‘ชัยธวัช’ หนุน ‘นายกฯ’ ดันนโยบายเปิดผับบาร์ถึงตี 1 แนะ!! ควรจัดโซนนิ่งให้ชัดเจน สกัดการจ่ายส่วย

(5 ต.ค.66) ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุจะเปิดผับบาร์และสถานบันเทิงถึงตีหนึ่ง จากเดิมให้เปิดแค่เที่ยงคืนว่า เรื่องนี้พรรคก้าวไกลเห็นด้วย เป็นข้อเสนอของพรรคอยู่แล้ว แต่มีความเห็นว่า ควรจัดโซนนิ่งได้ ไม่ควรจะเปิดแบบทั่วไป

“หลายพื้นที่ สถานบันเทิงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญ ดังนั้น ควรทำให้ถูกกฎหมายและถูกควบคุมกำกับภายใต้กรอบที่ควรจะเป็นให้ได้ ไม่ใช่ในทางปฏิบัติบอกว่ากฎหมายห้าม แต่เปิดถึงเช้าในหลายที่ โดยใช้กระบวนการจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และไม่สามารถควบคุมกำกับตามที่เหมาะที่ควร ผมคิดว่าเรื่องนี้เห็นด้วย แต่ไม่ควรจะเปิดเป็นการทั่วไป” นายชัยธวัช กล่าว 

กางตารางเก้าอี้ ผบ.ตร. ‘บิ๊กต่าย’ ต่อคิว ‘บิ๊กต่อ’ อนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ พร่ามัว!! ส่วน ‘บิ๊กราญ’ โชติช่วง!!

แม้ว่าไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า...แนวรบสีกากี ณ ปทุมวัน จะจบลงด้วยแฮปปี้ เอ็นดิ้ง…แต่ดูจากบรรยากาศการนั่งล้อมวงกินข้าวหน้าไก่ ไข่ดาว ของ 6-7 บิ๊กตำรวจ โดย ผบ.ตร.คนใหม่ ‘บิ๊กต่อ’ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล คอยหยอดมธุรสวาจาด้วยแล้ว ก็น่าจะเอ็นจอยกันพอประมาณ…

รับตำแหน่งได้เพียงสองวัน ‘บิ๊กต่อ’ ออกคำสั่งทันควัน ตั้งให้ผู้ช่วย ผบ.ตร. 3 คนที่อาวุโสตามลำดับเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ และ รองผบ.ตร.ที่ตำแหน่งว่างลง อีกคำสั่งแบ่งงานกันใหม่ใน 6 คน คือ 3 คนเก่ากับ 3 คนใหม่...หวยออกมาดังนี้…

ในส่วนของ 3 รอง ผบ.ตร.เก่า
- พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เปลี่ยนจากคุมงานความมั่นคง เป็น กฎหมายและคดี
- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จากงานสืบสวนสอบสวน เป็น งานด้านความมั่นคง
- พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ ‘บิ๊กต่าย’ จากงานบริหารเป็นงานป้องกันและปราบปราม

ส่วน 3 คนใหม่
- พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง ดูงานจเรตำรวจแห่งชาติ
- พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ดูงานบริหาร
- พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ดูงานสืบสวนสอบสวน

พินิจพิเคราะห์จากการแบ่งงาน บวกกับดูอายุราชการแล้ว…‘บิ๊กรอย’ พล.ต.ท.สราวุธ และ ไกรบุญ จะเกษียณปีหน้า พร้อม ‘บิ๊กต่อ’   

ต้องบอกว่าโอกาสของ ‘บิ๊กต่าย’ ซึ่งจะเกษียณปี 2569 จะขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.มีสูง…สูงกว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ที่จะเกษียณปี 2574 และปีนี้ส่งท้ายปลายปีด้วยความบอบช้ำ แผลลึก…

ดังนั้นโดยสรุปถ้า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยังมีวาสนาในอนาคต ก็ต้องรอต่อคิวเป็น ผบ.ตร.คนที่ 16 ต่อจากคนที่ 15ซึ่งน่าจะเป็น ‘บิ๊กต่าย’ …แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรมองข้าม พล.ท.ท.สำราญ นวลมา ผช.ผบ.ตร.น้องเลิฟ ‘บิ๊กต่อ’ ที่ปีนี้ถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าสำนักงาน ผบ.ตร.และปีหน้า ก็จะขึ้น รองผบ.ตร.เพื่อรอคั่ว ผบ.ตร.ต่อจาก ‘บิ๊กต่าย’ เหมือนกัน...

พล.ต.ท.สำราญนั้น จะเกษียณปี 2576 เป็นอดีต ผบช.น. เป็น นรต.รุ่น 50 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.จักรภพ  ภูริเดช ‘บิ๊กก้อง’ ผบช.สอบสวนกลาง ซึ่งจะเกษียณปี 2579

ในแวดวงสีกากีเขาขานชื่อกันล่วงหน้าว่า… ทั้ง พล.ต.ท.สำราญ และ พล.ต.ท.จิรภพ จะเป็น ผบ.ตร.ทั้งคู่ …บรรทัดนี้บอกได้คำเดียวว่าอนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ ไม่สดใสกาววาวเหมือนอีกแล้ว…

ส่งท้ายการเมืองสั้น ๆ โดยในวันที่เขียน เลียบการเมือง 4 ต.ค.นี้ เป็นวันครบรอบ 66 ปี ของครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่ได้รู้จักมักจี่ แต่ขอแฮปปี้เบิร์ทเดย์มา ณ โอกาสนี้ ขอให้นักเตะ ‘ปราสาทสายฟ้า’ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ครูใหญ่กำลังนำไปตะลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย ประสบความสำเร็จ…

ส่วนพรรคภูมิใจไทยจะเป็นอย่างไรในสมัยหน้า รอฟัง ‘ลุงเน’ ประกาศหลังกลับจากญี่ปุ่นช่วงเสาร์อาทิตย์นี้… ‘มท.หนู อนุทิน’ จะได้เป็นนายกฯ เมื่อไหร่ คงจะได้รู้แนว…แต่ที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ พอจะรู้แล้ววันนี้ก็คือ…ภูมิใจไทยน่าจะเข็ดแล้วสนาม กทม. เจาะเท่าไหร่ไม่เข้า…สมัยหน้าคงจะต้องเท…

วันนี้เห็นอดีตผู้สมัครเมืองหลวงของพรรคหลายต่อหลายคนกำลัง หาสำนักใหม่กันให้วุ่น..!!

สวัสดี

‘บิ๊กต่อ’ เผย ‘นายกฯ’ กำชับขจัดช่องว่าง-ยกระดับกฎหมายอาวุธปืน พร้อมขอบคุณสื่อ ช่วยนำเสนอวิธีเอาชีวิตรอดยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

(4 ต.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุยิงในห้างพารากอนหลังจากนี้ว่า คนทำความผิดเป็นเด็ก จึงขอว่าอย่าไปแตะตรงนั้น ตอนนี้ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ เนื่องจากผู้ต้องหา ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ปากคำได้ จึงมีส่วนที่จะต้องไปดำเนินการต่อ

ส่วนประเด็นที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับ คือ ให้ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ซึ่งที่จริงเราทำกันมาแล้ว สถิติอาชญากรรมทางอาวุธปืน ในช่วงก่อนหน้านี้ 2 เดือน ตำรวจก็ได้มีการปิดล้อมตรวจค้นหลายร้อยที่หมาย จับผู้ต้องหาได้ 2,000 กว่าคดี ได้ปืน 900 กว่ากระบอก ซึ่งในช่วงที่ตนดูแลงานปราบปราม ยืนยันมีการดำเนินการจับอย่างจริงจัง ไม่ใช่การเมคขึ้นมา แต่ดูจากสถิติที่มีการส่งขึ้นมา ปืนที่เป็นปืนจริงแทบจะไม่ได้ถูกนำมาก่อเหตุ แต่สถิติที่เห็นว่าปืนที่นักเรียนมักจะนำมาใช้ในการทะเลาะวิวาทกัน เป็นปืนชนิดแบลงค์กัน

โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ส่งรายละเอียดมาให้ แต่การใช้ปืนแบลงค์กันไม่มีกฎหมายที่จะไปบังคับการนำเข้า ผ่านพิธีทางศุลกากร คนขายแค่ขออนุญาตแต่คนซื้อไม่มีใบอนุญาต นี่คือช่องว่างทางกฎหมาย แล้วก็นำไปดัดแปลง ซึ่งปืนที่ใช้ก่อเหตุเมื่อวานเป็นปืนแบลงค์กัน และนำไปดัดแปลงตาม youtube โดยในขั้นแรกตนได้สั่งการไปที่ สอท. ให้เจาะเว็บไซต์ของกลุ่มพวกนี้ให้ได้ ตั้งเป็นทีมจับกุมเว็บที่ขายปืนเถื่อนทางออนไลน์โดยเฉพาะ โดยมีการสั่งตั้งทันที

ขณะที่ประเด็นทางข้อกฎหมาย ตนได้ประสานทางกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ทำให้ปืนแบลงค์กันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อขายกันได้ ให้ตีว่าเป็นอาวุธยกระดับข้อกฎหมายขึ้นไปเลย เพราะการนำเข้ามาแบบสิ่งเทียมอาวุธปืน ทำให้สิ่งของเหล่านี้หลุดมาในตลาด เราจะไม่ใช่แค่ดำเนินการจับกุมแต่จะเป็นการยกระดับให้มีข้อกฎหมาย ห้ามนำเข้าเลยให้ถือว่าเป็นปืนจริง ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าจะทำตรงนั้น

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  ยังขอร้องสื่อมวลชนอย่าให้มีการนำเสนอถึงพฤติกรรมการก่อเหตุ เพราะจะเป็นการสร้างจุดสนใจ เป็นเป้าและถูกมองว่าเป็นฮีโร่ ทำให้อาจจะเกิดเป็นพฤติกรรมการเลียนแบบขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครราชสีมา และเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ตนก็ขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ไม่นำเสนอข่าวในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ดีมาก และตนก็ฝากเผยแพร่คลิป ‘วิ่ง-ซ่อน-สู้’ เพื่อนำไปกระจายให้กับประชาชน เป็นแนวทางวิธีปฏิบัติขณะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หลังจากนี้จะมีการมอบโล่รางวัลให้กับนายตำรวจที่เข้าไปดำเนินการควบคุมตัวผู้ก่อเหตุเป็นขวัญกำลังใจ ซึ่งถือว่าตำรวจนครบาลทำได้อย่างดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top