Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘มท.’ ร่วมมือ ‘สตช.-ดีอีเอส’ ปราบปืนเถื่อน ออกมาตรการคุมใช้ปืนเข้ม สั่งห้ามออกใบอนุญาต-พกปืนในจังหวัด พร้อมสกัดซื้อ-ขายออนไลน์

(10 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบ ตามที่กระทรวงมหาดไทย รายงานความคืบหน้า มาตรการควบคุมการพกพาอาวุธปืนและกระสุนปืน รวมถึงสิ่งเทียมอาวุธปืนที่ดัดแปลงเป็นอาวุธ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย หลังจากเกิดเหตุการณ์กราดยิงในห้างดัง เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา

โดยกระทรวงมหาดไทย ชี้แจง ครม.ว่าได้ออกคำสั่งให้ดำเนินมาตรการ ดังนี้
1.) ให้เข้มงวดเรื่องการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ระเบิดและดอกไม้ไฟ หรือสิ่งเทียมอาวุธปืน โดยให้นายทะเบียนผู้มีอำนาจในการอนุญาตออกใบอนุญาต งดออกใบอนุญาต ในการสั่งนำเข้าสิ่งเทียมอาวุธปืนชนิดแบลงค์กันหรือสิ่งเทียมอาวุธปืนอื่น ที่สามารถดัดแปลงเป็นอาวุธโดยง่าย

2.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งนายทะเบียนในท้องที่ ให้แจ้งคนที่ครอบครองแบลงค์กันและสิ่งเทียมอาวุธปืนที่ครอบครองอยู่ ให้มาลงทะเบียนลงบันทึกประจำวันในภูมิลำเนาที่อยู่

3.) การขอมีหรือใช้ซึ่งอาวุธปืน หรือการขอซื้อ สั่ง หรือนำเข้าเครื่องกระสุนปืนของสมาคมกีฬายิงปืน การอนุญาตออกใบ ป.3 หรือ ใบ ป.4 ให้แก่สมาคมกีฬายิงปืนให้อนุมัติเฉพาะที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมกีฬาเท่านั้น และเครื่องกระสุนปืนที่สั่งเข้ามาต้องตรงกับอาวุธปืนที่ครอบครอง ห้ามต่างชนิดกันเด็ดขาด

4.) การออกใบอนุญาตให้พกอาวุธปืนติดตัว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการที่จะอนุญาตให้พกพาในจังหวัด จากนี้ให้งดห้ามออกใบอนุญาตพกพาภายในเขตจังหวัด

นอกจากนั้น ได้ขอความร่วมมือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ร่วมมือกันปราบปรามการซื้อขายอาวุธปืน สิ่งเทียมอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ผ่านช่องทางออนไลน์ และให้กรมศุลกากรตรวจสอบสิ่งเทียมอาวุธปืนที่นำเข้า ก่อนที่คำสั่งนี้จะประกาศใช้ ให้ตรวจเช็กว่าสิ่งเทียมอาวุธปืนดังกล่าวมีการดัดแปลงนำเข้ามาหรือไม่

นายชัย กล่าวว่า และให้สนามยิงปืนเข้มงวด ตรวจจำนวนผู้มาใช้บริการ โดยจดบันทึกรายละเอียดผู้เข้ามาใช้ทุกคน และอาวุธปืนที่นำมาใช้ต้องได้รับอนุญาต ส่วนกระสุนที่ใช้ในการซ้อมยิงห้ามนำออกจากสนามและต้องตรวจนับให้ชัดเจน

‘สมศักดิ์’ ลั่น!! ‘เพื่อไทย’ พร้อมรับผิดชอบนโยบายเงินดิจิทัล เหน็บ นักวิชาการชอบวิจารณ์ฟรี แต่พอผลลัพธ์ดีกลับเงียบ

(10 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ร่วมลงชื่อให้ทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า เป็นเรื่องของการคิดและวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสามารถทำได้ แต่ในเรื่องที่เราจะดำเนินนโยบายอะไรสักเรื่องเป็นการรับผิดชอบในนโยบายของพรรคการเมืองที่มีต่อประชาชน เราต้องคิดมาดีแล้วถึงดำเนินการ โดยหากทำแล้วออกมาดีก็ไม่มีอะไร ส่วนคนวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ขาดทุนหรือเข้าเนื้ออะไร ทุกเรื่องมีสองมุม จะดีหรือไม่ดี อย่าเพิ่งคิดว่ามันมีผลอย่างไร แต่ให้รอดูว่าเมื่อรัฐบาลดำเนินการออกมาแล้ว หากผลออกมาไม่ดีคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีผลต่อพรรคการเมืองที่นำเสนอ เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำอะไรต้องรับผิดชอบในด้านนั้น 

“คนวิพากษ์วิจารณ์ก็พูดฟรีๆ ถึงจะผิดก็ไม่มีใครว่า ผมเห็นควรว่าต้องเดินหน้านโยบายนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ประกาศต่อสาธารณะแล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว

‘ดร.หิมาลัย’ ขอบคุณ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ ตั้งเป็นคณะที่ปรึกษารองนายกฯ ทำงานรับใช้ ปชช.

ดร.หิมาลัย โพสต์ขอบคุณ รองนายกฯ พีระพันธุ์ หลังตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ย้ำพร้อมทำงานอย่างเต็มความสามารถ ตามที่ได้รับความไว้วางใจและให้โอกาสรับใช้พี่น้องประชาชน

(10 ต.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวภายหลังจาก ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ โดยระบุว่า “กราบขอบพระคุณท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ที่กรุณาแต่งตั้งผมเป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ครับ”

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า พร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ตามที่ท่านพีระพันธุ์ท่านกรุณาให้ความไว้วางใจ และมอบโอกาสให้ได้ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

'อ.ปิติ' ถอดบทเรียนวิกฤต ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ สิ่งที่คนไทยและรัฐไทย 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ'

(10 ต.ค. 66) รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจ และขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยและประชาคมนานาชาติ โดยเฉพาะกับครอบครัว ญาติ มิตร ของผู้สูญเสีย ทั้งชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้สูญเสียทรัพย์สิน และผู้สูญเสียโอกาสในการทำงาน รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอเรียกร้องให้มีการทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ และยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงต่อประชาชน

อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งซึ่งสะท้อนจากการติดตามสถานการณ์ คือ พวกเราชาวไทยดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนในภาวะวิกฤตที่ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล ดังนั้นจึงขออนุญาตใช้พื้นที่นี้ถอดบทเรียนและกล่าวถึงสิ่งที่คนไทยและรัฐไทยควรทำ และไม่ควรทำ

>> สำหรับประชาชนทั่วไป

1. โทรหาสถานทูตไทยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ การตรวจสอบดูว่าประเทศที่ไป หรือเมืองที่จะไป มีสถานทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยที่อยู่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่ที่ใด และช่องทางติดต่อกับสถานทูตสามารถทำได้อย่างไร เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบภัยธรรมชาติ ภัยก่อการร้าย ภัยสงคราม หรือ ปัญหาส่วนบุคคล อาทิ ถูกหลอกลวง ถูกขโมย ถูกทำร้าย ช่องทางการติดต่อเหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะให้คำปรึกษาต่อการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องแล้ว ยังเป็นช่องทางในการยืนยันตัวตน และเป็นจุดศูนย์กลางในการที่จะพาท่านกลับสู่ประเทศไทยในกรณีฉุกเฉินอีกด้วย โดยภาพที่ผมแปะไว้ใน FB นี้คือ เบอร์ Hotline สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก ที่ update โดยกรมการกงสุล

2. กรณีไม่มีสถานทูตไทย ให้ติดต่อสถานทูตอาเซียน สำหรับเมือง และประเทศที่ประเทศไทยไม่ได้มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อประสบเหตุคนไทยสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือได้ทันทีที่สถานทูตของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน อันได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยประชาคมอาเซียนมีข้อตกลงกันแล้วในเรื่องนี้ว่าสถานทูตของแต่ละประเทศสมาชิกจะให้การดูแลและให้บริการกับประชาชนอาเซียนในรูปแบบเดียวกับคนชาติของตนเอง

3. ออกจากพื้นที่อันตราย และงด Live สด แน่นอนว่าการออกจากพื้นที่อันตรายน่าจะเป็นสัญชาตญานอัตโนมัติ แต่ในโลกยุคดิจิตอลที่ทุกคนเข้าถึง Social Media สิ่งย้อนแย้งที่เราเห็นซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการคือ เราเห็นพี่น้องคนไทยจำนวนหนึ่งออกไป Live สด เพื่อเล่าให้เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย และครอบครัวทราบว่า ท่านปลอดภัยดี และบางคนก็อยากได้ยอด Like อยากได้ Engagement ซึ่งนั่นคือ การกระทำที่อันตรายที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นภัยจากการก่อการร้าย และ/หรือ ภัยสงคราม เพราะผู้ก่อเหตุที่มีแนวคิดสุดโต่งจะรู้ทันทีว่าตำแหน่งของท่านอยู่ ณ จุดใด ท่านกำลังเปิดเผยสถานที่อยู่ของท่านให้อันตราย และ/หรือ ฆาตกรเข้ามาหาตัวท่านได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการ กรณีปาเลสไตน์ต้องอย่าลืมว่า การที่เราคนไทยไปทำงานให้ฝั่งอิสราเอลทำให้มีกลุ่มแนวคิดสุดโต่งจำนวนหนึ่งพิจารณาว่า คนไทยคือส่วนหนึ่งของขบวนการ Zionist หรือขบวนการชาตินิยมในหมู่ชาวยิวทั้งที่เชื่อในการสถาปนาใหม่และสนับสนุนรัฐยิวในบริเวณที่นิยามว่าเป็นแผ่นดินอิสราเอล ซึ่งถือเป็นศัตรูคู่แค้นโดยตรงของพวกเขา ดังนั้นหากอยากจะแจ้งข่าวให้ครอบครัวทราบว่าท่านปลอดภัยดี อย่าได้ Post ใน Social Media หากแต่ต้องอยู่ในที่ปลอดภัย และใช้โทรศัพท์ในการโทรแจ้งกับครอบครัว อย่า live สด

4. เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อท่านอยู่ในต่างประเทศกับครอบครัว กับเพื่อน สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ การเตรียมแผนรับมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน สำรวจทางหนีทีไล่ เตรียมอุปกรณ์ยังชีพ Supply ต่าง ๆ ที่จำเป็น อาทิ เครื่องปฐมพยาบาล น้ำสะอาด อาหารกระป๋อง รองเท้า สำเนาเอกสารสำคัญ ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ Power Bank ฯลฯ บรรจุใส่ประเป๋า วางในตำแหน่งที่รับรู้กัน และนำติดตัวไปด้วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งนัดหมายสถานที่ที่จะนัดเจอกันเมื่อต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดออกไปได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เกิดภาวะห่วงหน้าพะวงหลัง นัดจุดนัดพบที่ปลอดภัย และรอคอยความช่วยเหลืออยู่ ณ บริเวณนั้น

>> สำหรับรัฐบาล

ด้วยความเคารพท่านผู้บริหารรัฐบาล ผมพิจารณาว่าการบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤตของท่านต้องได้รับการปรับปรุง การสื่อสารในภาวะวิฤต (Crisis Communication) เบื้องต้น มีหลักการดังนี้

1. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุวิกฤต 

• ท่านต้องกำหนด Spokeperson ที่ชัดเจน และให้เขาเป็นผู้สื่อสารแต่เพียงผู้เดียวจากจุดเดียวเพื่อป้องกันความสับสน ดังนั้นสายการบังคับบัญชาต้องชัดเจน ซึ่งผู้ที่เหมาะสมที่สุดถ้าเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงจริงๆ ท่านนายกรัฐมนตรีต้องหยุดภารกิจในต่างประเทศและกลับมาทำหน้าที่นี้ในการแถลงด้วยตนเอง จากนั้นอาจจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ หรือถ้าจะให้เป็นมืออาชีพก็ควรจะเป็นอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอยู่แล้ว และมีคณะทำงานที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ครบถ้วน

• วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหลักของการสื่อสารในภาวะวิกฤต องค์ความรู้ในเรื่องการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Communication) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เป้าหมายของการสื่อสาร (End) อยู่ที่จุดใด แนวทางในการสื่อสาร (Ways) ที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์เป็นอย่างไร และเครื่องมือ (Means) หน่วยงานไหน ใคร สื่อไหน และพันธมิตรในการสื่อสารคือใคร เหล่านี้ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า

2. ระหว่างเกิดวิกฤต

• กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าในวิกฤตแต่ละวิกฤต เป้าหมายแรกที่สำคัญที่สุดคือสิ่งใด เป้าหมายรองลงมาคือเป้าหมายใด ในกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดตามลำดับความสำคัญ อาทิ  1) ช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นตัวประกัน 2) ช่วยเหลือคนไทยให้อพยพออกจากพื้นที่ 3) เยียวยา ชดเชย ผลกระทบจากเหตุการณ์ ฯลฯ เมื่อเป้าหมายชัด Ways และ Means จะตามมา

• แถลงการณ์ที่จะออกมาต้องใช้ช่องทางที่เป็นทางการ หลีกเลี่ยงการใช้ Social Media โดยเฉพาะ Twitter-X เพราะมีข้อจำกัดเรื่องความยาวจากจำนวนตัวอักษร รวมทั้งไม่ควรใช้ Social Media เพราะเป็นการสื่อสารที่ฉับพลันทันที อาจทำให้มือลั่น สื่อสารออกไปโดยยังไม่ได้คิดวิเคราะห์พิจาณาอย่างรอบคอบรอบด้าน หลีกเลี่ยงข้อความที่สามารถตีความได้ว่า ประเทศไทยได้เลือกข้าง เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะสถานกาณ์อย่างกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์มีความซับซ้อนในทางประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเชื่อ และมีการแทรกแซงจากหลายฝ่าย และถูกตีความโดยอคติได้ง่าย

• เมื่อเป้าหมายคือการช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นตัวประกันออกมาจากพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไทยไม่ได้มีสถานเอกอัครราชทูต ถึงแม้ไทยจะยอมรับสถานะของ State of Palestine มาตั้งแต่ปี 2012 และมีการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดี Mahmoud Abbas แห่งปาเลสไตน์ในปี 2016 แต่ด้วยความที่ประเทศไทยยังไม่มีสถานทูตในปาเลสไตน์ และสถานทูตในอิสราเอลซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะเจรจาได้ โดยสถานทูตไทยที่อยู่ใกล้ที่สุดคือที่ กรุง Amman ประเทศจอร์แดน ดังนั้นการขอความอนุเคราะห์จากรัฐบาลมาเลเซียและ/หรืออินโดนีเซียที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับปาเลสไตน์เป็นเรื่องสำคัญ และทั้ง 2 ประเทศเองก็ไม่ต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล ดังนั้นการออกข้อความที่ทำให้คิดได้ว่า ไทยสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะทำให้การขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านทำได้ยากมากยิ่งขึ้น

• แถลงการณ์ที่จะออกต้องมาจากจุดเดียว เพื่อป้องกันความสับสน ใช้ข้อมูลทางการ ผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบด้านจากผู้เชี่ยวชาญ มีการตรวจสอบเนื้อหาอย่างรอบคอบรอบด้าน เน้นเรื่องการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง รวมทั้งให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต

• ใช้วิธีการอ่านแถลงการณ์อย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบ ปราศจาการใส่อารมณ์ และไม่จำเป็นต้องมีการถาม-ตอบปัญหาหลังการอ่านแถลงการณ์ เพราะอาจเกิดการยั่วยุ อาจเกิดการเข้าใจผิด หรืออาจเกิดการผลิดพลาดทางการสื่อสาร

• สื่อสารจากจุดๆ เดียว ในกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง การให้ผู้บริหารภาครัฐหลายคนออกมาแถลงกับสื่อ โดยไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว หรือการสื่อสารโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง การใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ หรือข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งการใช้คำพูดที่พลั้งปาก จะทำให้เกิดความเสียหาย อาทิ ผู้บริหารระดับสูงบางท่านออกมาแถลงข่าวและแจ้งว่าเป็นข่าวดีหรือเป็นเรื่องดีที่คนไทยเสียชีวิตเพียงหนึ่งราย เพราะอีกรายเป็นชาวจีน การใช้คำว่า ข่าวดีหรือเรื่องดี ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะคนไทยไม่เสียชีวิต แต่คนชาติอื่นเขาเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ก่อนหน้านี้พึ่งจะมีการเสียชีวิตของคนต่างชาติในประเทศของเราจากเหตุการณ์เลวร้ายก่อนหน้า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น

3. ระยะเวลาต่อเนื่อง

• เร่งหารือกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับทราบในเบื้องต้นถึงผลกระทบในมิติต่างๆ ที่จะตามมาทั้งมิติความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสังคม

• การมอบหมายให้มีการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น การถอดบทเรียน และจัดทำเป็น Playbook คู่มือการจัดการภายใต้ภาวะวิกฤต เพื่อรับมือกับสภานการณ์ในอนาคต คือสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

4. พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

• เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีสถานทูตในทั้งอิสราเอล และปาเลสไตน์ แต่ทุกประเทศมีโอกาสที่จะมีประชาชนของเขาตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะขอให้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน เพื่อยืนยันความเป็นประชาคมอาเซียนร่วมกัน ว่าเราจะมอบหมายให้ประเทศสมาชิกที่มีสถานทูตอยู่ในทั้ง 2 รัฐนี้ ให้ความช่วยเหลือกับประชาชนอาเซียนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้คนอาเซียนได้เห็นว่า ในภาวะวิกฤต อาเซียนคือที่พึ่งของเขา อาเซียนคือกลไกที่เป็นประชาคมของประชาชน และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้กลไกของอาเซียน ที่เรียกว่า ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on Disaster Management หรือ AHA Centre ในการส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากอาเซียนไปสู่ผู้ประสบภัยในพื้นที่เสี่ยง โดยไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายใด แต่นี่คือภารกิจของอาเซียนต่อประชาคมโลก นี่คือโอกาสในการกลับมามีบทบาทนำของไทยในเวทีอาเซียน

'พีระพันธุ์' ตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ 11 คน  'ดร.หิมาลัย-แรมโบ้-ศิลัมพา-สายัณห์' ตบเท้าเข้าร่วม

(10 ต.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงนามในคำสั่งรองนายกรัฐมนตรีที่ 8 /2566 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้น เพื่อให้การบริหารราชการในความรับผิดชอบของนายพีระพันธุ์ ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย บังเกิดผลดีแก่ทางราชการ จึงแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ

โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ รวมทั้งสนับสนุนภารกิจของนายพีระพันธุ์ ตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้...

1. นายสามารถ มะลูลีม 
2. นายโกวิทย์ ธารณา 
3. นายเจือ ราชสีห์ 
4. นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล 
5. นายหิมาลัย ผิวพรรณ 
6. นายประสิทธิ์ มะหะหมัด 
7. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ 
8. นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ 
9. นายสายัณห์ ยุติธรรม 
10. น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ 
และ 11. นางกุสุมาวดี ศิริโกมุท 

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 ก.ย.

'พีระพันธุ์' ตั้งคณะทำงานรองนายกฯ 8 คน 'วิน-อิทธิพัทธ์-อาหมัด-อรัญญา' ร่วมทีม

(10 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงนามในคำสั่งรองนายกรัฐมนตรีที่ 5 /2566 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้น เพื่อให้การบริหารราชการในความรับผิดชอบของนายพีระพันธุ์ ดำเนินไปโดยมีประสิทธิภาพ มีผลสัมฤทธิ์ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และบังเกิดผลดีแก่ราชการ

จึงแต่งตั้งคณะบุคคลดังต่อไปนี้ เป็นคณะทำงานรองนายกฯ (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) โดยมีหน้าที่ให้ปฏิบัติงานและสนับสนุนภารกิจของนายพีระพันธุ์ ตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้...

1. นายวินท์ สุธีรชัย
2. นายสมชาย แสงชมพูเพ็ญ
3. นายสฤษฎิ์เดช ธนาวุฒิ
4. นายสมหวัง อัสราษี
5. นายยศวริศ ชูกล่อม
6. นายอาหมัด บอสตา
7. นางสาวอรัญญา มณีแจ่ม
8. นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 ก.ย. 2566

‘คน 14 ตุลา’ ชี้!! 50 ปีผ่านไปคนไทยเป็นหนี้หนักขึ้น ‘ค่าครองชีพพุ่ง-ระบบทุนนิยม’ ฉุดรั้ง!! ลืมตาอ้าปากยาก

เวทีเสวนาหลัง 50 ปี 14 ตุลาชี้คนไทยเป็นหนี้มากขึ้น ช่องว่างคนรวย-คนจนยิ่งชัด เผยคนไทยกว่า 4.8 ล้านคน รายได้ต่ำกว่าเดือนละ 2,800 บาท อยู่ใต้เส้นความยากจน แนะแก้ปัญหาระยะสั้นต้องเอาอย่างจีน พุ่งเป้าดึงก้าวข้ามเส้นความยากจน

(9 ต.ค. 66) มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา จัดเสวนา 50 ปี 14 ตุลา โดยมี รองศาสตราจารย์ วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณและอดีตคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้นำเสนอ ‘ทิศทางการแก้ปัญหาความยากจนของไทยหลัง 50 ปี 14 ตุลา’

รองศาสตราจารย์วิทยากรกล่าวว่า ยุคนี้รายได้คนไทยดีกว่าเมื่อ 50 ปีก่อน แต่ถ้ายึดค่าครองชีพเป็นตัววัด สมัยก่อนเด็กจบใหม่สามารถเก็บเงินซื้อบ้านได้ แต่สมัยนี้เด็กจบใหม่ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน เพราะค่าครองชีพสูง แม้ว่ารายได้สูงจริง แต่ค่าครองชีพสูง ทำให้แต่ละเดือนมีเงินไม่พอใช้ หนี้ก็มากขึ้น 

“ผ่าน14 ตุลา 16 มา 50 ปี คนเป็นหนี้มากขึ้น แต่คนมองว่าเป็นเครดิต รัฐบาลก็มองเหมือนกันว่าเป็นหนี้มากเป็นเครดิต แต่ความจริงเป็นหนี้มากต้องใช้หนี้ ถ้าไม่นับตัวเงินโดยรวมคิดว่าแย่ลง เพราะตัวเงินเหมือนกับรายได้สูงขึ้น แต่ค่าครองชีพสูงตาม รวมทั้งความแตกต่างระหว่างคนรวยมาก ๆ คนชั้นกลางกับคนจนก็มีมากขึ้น” รองศาสตราจารย์วิทยากรกล่าว    

อดีตคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิตมองว่า ระบบทุนนิยมสร้างปัญหามาก ถึงแม้จะอ้างว่า ทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้คนมีรายได้ มีเครื่องอุปโภคบริโภคมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่ถ้าเปรียบกับคุณภาพชีวิต การกระจายทรัพย์สินและรายได้ มันคือระบบของการกดขี่ ขูดรีด ซึ่ง คาร์ล มาร์กซ พูดไว้นานแล้วว่า คนรวยยินดีจะช่วยคนจนทุกอย่าง ยกเว้นลงมาจากหลังคนจน โดยนำเอาโครงการประชานิยมต่าง ๆ มาสารพัด แต่ไม่ยอมเปลี่ยนโครงสร้าง เขายินดีบริจาค ยินดีมีประชานิยมแบ่งให้ 

รองศาสตราจารย์วิทยากรกล่าวอีกว่า ความยากจนที่แท้จริง คือความยากจนทางด้านทรัพย์สิน เพราะรายได้เป็นเรื่องที่มาทีหลัง และทรัพย์สินคือตัวที่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะฉะนั้นคนรวยก็จะได้ทั้งค่าเช่า ดอกเบี้ย และกำไร ส่วนคนจนได้แต่ค่าแรงงาน ซึ่งถูกกดขี่โดยระบบที่นายทุนมีอำนาจมากกว่า โดยระบบทุนนิยมครอบงำทุกเรื่อง แม้ทางเศรษฐศาสตร์ทำให้เราเชื่อว่าระบบทุนนิยมดีที่สุด และระบบสังคมนิยมล้มเหลว หรือระบบอื่นไม่มีแล้ว ทำให้เราต้องพยายามไล่ตามให้ทัน โดยกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่พัฒนาเศรษฐกิจมา 50 ปี เรากลับทำลายทรัพยากรมากขึ้น 

“สมัย 14 ตุลา เราคิดว่าประชาธิปไตยคือระบบรัฐสภา ต่อมาเราก็คิดว่าระบบรัฐสภาไม่ดี สังคมนิยมน่าจะดีกว่า แต่เราก็คิดแบบสังคมนิยมอย่างง่าย ๆ คือยึดอำนาจรัฐขึ้นมาแล้วแบ่งปัน แต่เราต้องสร้างประชาชนให้เป็นนักสังคมนิยมด้วย เป็นคนที่จิตใจมีอุดมคติเพื่อส่วนรวม ซึ่งความจริงไม่ขัดแย้งกับเรื่องส่วนตัว เพราะในระยะยาวทุกอย่างจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน” ดร.สถิตย์ กล่าว

ด้าน ดร.สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธ์ สมาชิกวุฒิสภาและอดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผ่านมา 50 ปีเราก็ยังอยู่ในวังวนกับปัญหาความยากจน แม้ว่าเราพยายามหาทางแก้ไข โดยเส้นความยากจนของไทยยังอยู่ที่ 2,800 บาท ต่อคน ต่อเดือน และมีคนไทยประมาณ 4.8 ล้านคนอยู่ใต้เส้นนี้ ถ้าจะแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้าก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ 4.8 ล้านคนว่าทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ก้าวข้ามเส้นความยากจน ระบบการพุ่งเป้าเป็นการแก้ไขปัญหาแบบจีน โดยจีนจะสำรวจว่าในประเทศมีคนจนกี่คน อยู่ตรงไหน สาเหตุของความยากจนคืออะไร แล้วเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับคนจนเหล่านั้น ในชุมชนเหล่านั้นแบบพุ่งเป้า 

อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า การแก้ไขความยากจนในระยะสั้นต้องใช้วิธีการแบบจีน โดยกำหนดไปเลยว่าตำบลไหน อำเภอไหน จังหวัดไหนมีคนจนกี่คน และเราจะไปแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสร้างทักษะอย่างไร ให้ที่ทำกินเขาอย่างไร ให้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรเข้าไปช่วยอย่างไร และช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดอย่างไร รวมทั้งตั้งเป้าว่า คนจนที่พุ่งเป้าในแต่ละปีควรจะลดลงเหลือเท่าใด และกี่ปีจะหมดไป ถ้ามองปัญหาในเชิงจุลภาคที่จะเข้าไปแก้ไขเราต้องใช้วิธีการแบบนี้ ใครจน และจะช่วยคนจนอย่างไร ซึ่งการช่วยเหลือคนจนแบบพุ่งเป้าเป็นการช่วยเหลือชุมชนด้วย  

ด้าน ดร.พีรพล ตริยะเกษม ประธานมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา และอดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนของไทย ต้องทำอย่างไรให้คนอยู่ดีกินดีและใครที่มีความรับผิดชอบตรงนั้น เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ต้องทำให้เกษตรมีความสำคัญมากๆ ไม่ใช่ทำเฉพาะเรื่องของอาหารสะอาดอย่างเดียว แบบนี้ยังไม่พอ หรือกินอาหารแค่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ต้องทำอาหารปลอดภัยออกมาสู่ตลาด หรือถ้าทำเป็นออร์แกนิคได้ก็จะดี ซึ่งงานเหล่านี้เกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน จะต้องมีการจัดการให้เหมาะสม ทั้งการส่งเสริมรักษาสิ่งแวดล้อม หรือการจัดการในเรื่องของการเตือนภัยต่างๆ ซึ่งจะต้องสอนให้เกษตรกรรู้ถึงปัญหา

ประธานมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา กล่าวอีกว่า ระบบการศึกษาของไทยที่เน้นการศึกษาแบบธุรกิจควรจะหันมาดูแลเรื่องวิชาการด้วย เพื่อให้เกษตรกรรู้ว่าจะต้องทำอะไร เช่น การเตือนภัย ซึ่งการให้คำแนะนำรัฐบาลทำได้เลย ส่วนการแก้ไขปัญหาหนี้ต้องแก้ครั้งเดียว ทั้งการสร้างทรัพย์สิน สร้างเครื่องมือหากินให้กับเกษตรกร และต้องหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด โดยให้ความรู้ ให้การศึกษากับเกษตรกร 

“ส่วนตัวอยู่ในระหว่างการศึกษาปลูกกัญชา โดยทดลองปลูกในโรงเรือนประมาณ 500 ต้นได้ผลผลิตประมาณ 12 กิโลกรัมในครั้งแรก และครั้งที่ 2 ประมาณ 18 กิโลกรัม ราคาประมาณ 80 ดอลลาร์/กิโลกรัม หากใช้หลักวิทยาการมาปลูกแต่ละครอปที่ใช้เวลา 3 เดือน ก็อาจจะลดลงเหลือเพียง 2 เดือนครึ่ง ซึ่งหากเกษตรกรลงมือทำแบบนี้ก็จะช่วยให้เขาสามารถปลูกได้หลายครอปขึ้น และมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือ ตลาดรองรับผลผลิตที่ออกมา ซึ่งรัฐต้องหาให้เขา อาจจะมีนิคมที่ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามารับซื้อไปผลิตยา หรือมีตัวเลือกอื่น ที่สร้างความมั่นจว่าเมื่อผลผลิตออกมาแล้วต้องมีตลาดให้กับเกษตรกร” ดร.พีรพล กล่าว

นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีตสมาชิกวุฒิสภา เสนอว่า การแก้ไขปัญหาความยากจน ทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม ประชาชนจะต้องให้ความร่วมมือ ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือค่อนข้างเด่นชัดอยู่แล้ว โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่ฝ่าวิกฤตโควิด-19 มาได้ และสารพัดอาสาสมัครต่างๆ ที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐมาด้วยดีตลอด ขณะที่ภาครัฐเองโดยเฉพาะนักการเมืองไม่ได้ใส่ใจปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง และเห็นว่าต้นแบบของการแก้ไขปัญหาอยู่ที่การศึกษาของคนไทย

“ยกตัวอย่างโรงเรียนชัยพัฒนาซึ่งสร้างองค์ความรู้ทักษะการดำเนินชีวิตการจัดการเศรษฐกิจรวมถึงการตลาดโดยเอานักเรียนขึ้นมาบริหารโรงเรียนเองและนักเรียนของโรงเรียนนี้จะต้องเสียค่าเรียนปีละ 100,000 บาทก็ไม่ต้องจ่ายเป็นเงิน แต่เปลี่ยนมาใช้เป็นวิธีการปลูกต้นไม้ทดแทนปีละ 400 ต้นและทำความดีในชุมชน การทำความดีก็ต้องเขียนบันทึกความดีแล้วไปแจ้งต่อคณะกรรมการชุมชนให้รับทราบ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาการศึกษาให้กับคนไทย ที่สำคัญคือการแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาทางด้านสุขภาพเพราะหากสุขภาพไม่ดีเงินที่หามาได้ทั้งชีวิตก็จะถูกใช้จ่ายไปกับการรักษาสุขภาพ” อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าว

ด้านอดีตประธานวุฒิสภา นายสุชน ชาลีเครือ กล่าวว่า เรื่องที่น่าสนใจและควรจะห่วงใยคือเรื่องเงินดิจิตอลที่กำลังจะออกมา ซึ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องการต่อยอดจากเงินดิจิตอลที่กำลังพูดถึง เพราะมีการดึงมวลชนออกมา

“คณะที่ออกนโยบายเรื่องนี้เขาต้องการจะต่อยอดกระบวนการขับเคลื่อนตรงนี้ ซึ่งเขาก็ทำได้ดี ยกตัวอย่างเช่นการจับต่อยอดจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จนถึงขณะนี้เราต้องยอมรับว่าคนในภาคอีสานจดจำและรัฐบาลที่ทำเรื่องนี้เขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล แต่พวกเราที่ทำงานมาโดยตลอด แต่อาจจะขาดช่วงความคิดที่จะปฏิรูปสังคมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแผนใหม่ ดังนั้นเราอาจจะต้องหันไปมองดูเพื่อนบ้านอ่าง เวียดนาม ว่าทำไมเขาถึงเจริญรุดหน้าเราได้เร็ว เรื่องบางเรื่องเราควรจะต้องให้น้ำหนัก โดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆ ว่าเราจะเดินหน้ากันอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนหลังจาก 50 ปี 14 ตุลาที่เราเดินมา” อดีตประธานวุฒิสภา กล่าว

นายประเดิม ดำรงเจริญ อดีตหัวหน้าพรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของไทยจะต้องยกภูมิศาสตร์ของประเทศขึ้นมาเป็นตัวตั้ง ว่าประเทศไทยอยู่ในเขตไหน เหมาะสมที่จะทำอะไร การเกษตรตรงไหน การท่องเที่ยวตรงไหน และทำไปได้อย่างไรกับการที่ปล่อยให้นักการเมืองเปิดโอกาสให้มีการสร้างเขตอุตสาหกรรมในเขตปากน้ำ เช่นที่สมุทรปราการ เพราะเขตเกษตรอุตสาหกรรม หรือเขตอุตสาหกรรมควรอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น โคราชหรือดงพญาเย็น

“เราจะต้องพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์ว่าเหมาะสมกับอะไร ที่สำคัญเกษตร นายทุน รัฐบาล ทั้ง 3 ฝ่ายจะต้องมาร่วมกันแก้ปัญหาด้วยกัน ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้เกษตรกรไทยลดลงเหลือแค่ไม่เกิน 10% จากจำนวนประชากรทั้งหมดโดยภาคเกษตรที่หายไปกลายมาเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งสิ้น” นายประเดิม กล่าว

‘สส.สุดารัตน์’ ชี้!! ชาวบ้านหวั่นใจไม่ได้เงิน 1 หมื่น ถาม!! เสียง ปชช. กับนักวิชาการ ใครดังกว่ากัน

น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้สภาพเศรษฐกิจแย่มาก พื้นที่ในเมืองหรือชนชั้นกลางอาจมองไม่เห็น แต่ประชาชนในพื้นที่ลำบากมาก ที่ผ่านมาประชาชนหมดความหวัง แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จจึงมีความหวังกับหลายนโยบายพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อมั่นเศรษฐกิจต้องดีขึ้นจากหลายนโยบายที่เป็นความหวัง การได้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีได้ การหาเงินให้ถึง 1 หมื่นบาท ยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเป็นความหวังประชาชน ครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 3-4 คน สามารถวางแผนรวบรวมกัน นำเงินไปต่อยอดอาชีพ แต่พอมีกระแสคัดค้าน ชาวบ้านถามว่า จะได้เงินไหม ถ้าไม่ได้เงินนี้ไปต่อยอดความหวัง คงต้องทุกข์แล้ว ทุกข์ต่อ ทุกข์อีก อยากรู้เสียงชาวบ้าน กับเสียงนักวิชาการ เสียงใครดังกว่า

‘สส.จิรัชยา’ ชี้!! ปชช. ผิดหวัง หลังนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ค้านเงินดิจิทัล 1 หมื่น ชี้!! หลายคนวางแผนใช้เงินเพื่อต่อยอดอาชีพ หวั่นไม่ได้รับเงิน

น.ส.จิรัชยา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชน อ.พรรณานิคม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร พบว่าหลังจากมีความเห็นนักวิชาการบางส่วนคัดค้านโครงการนี้ ทำให้ประชาชนผิดหวัง เนื่องจากวางแผนช่วงต้นปี 67 จะนำเงินดิจิทัลไปต่อยอดอาชีพ ซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ข้าว อุปกรณ์ซ่อมบ้านที่ผุพัง สะท้อนให้เห็นประชาชนรอคอยเงินดิจิทัลเข้ามาเติมเต็มชีวิตที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา

‘สส.วันนิวัติ’ บอก!! ปชช.ต้องการเงินดิจิทัล 1 หมื่น เพื่อต่อยอดธุรกิจ

นายวันนิวัติ สมบูรณ์ สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ 286 หมู่บ้าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน อยากได้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท คาดหวังนำเงินไปต่อยอดทำธุรกิจ ความคิดเห็นนักวิชาการบางส่วนเป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนำไปพิจารณาต่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน คนเกิดมาไม่เท่ากัน แต่รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้สิทธิประชาชนทุกคนใกล้เคียงกัน ลดความเหลื่อมล้ำให้มากที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top