Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

'รองโฆษก รทสช.' ยกเหตุการณ์ 'ฮามาส' บุก 'อิสราเอล' หนุนไทยยังต้องมีเกณฑ์ทหารและฝ่ายค้านบางพรรคควรตระหนัก

(18 ต.ค. 66) นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'เก็ต ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา' ระบุว่า...

ทำไมไทยถึงยังต้องมีเกณฑ์ทหาร?

ดูเหตุการณ์ปะทะระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์สิครับ

กองกําลัง Hamas สามารถบุกเข้าโจมตีอิสราเอลได้ ลักพาตัวประกันได้ (นี่ขนาดอิสราเอลมีเกณฑ์ทหารทั้งชายเเละหญิง)

หันมาที่บ้านเรา ก่อนที่ฝ่ายค้านจะค้านว่าเราไม่ได้มีสงคราม หรือ เป็นศัตรูกับใคร อย่าลืมว่าเฉกเช่นกับการเมืองไทย การเมืองโลกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ชนวนความขัดแย้งภูมิภาคสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ หากเรามีกองกําลังไม่พอ พอเกิดเหตุการณ์ที่ ‘ไม่คาดฝัน’ เราจะไม่มีอะไรมาประกันความปลอดภัยของคนไทยนะครับ

เเน่นอนเรื่องปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย และจัดการเรื่อง corruption ในกองทัพต้องมีการแก้ไขเเละตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา

ผมสนับสนุนให้ยังคงมีเกณฑ์ทหาร เพิ่มสัดส่วนภาคสมัครใจควบคู่กันไป เพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อย และงบการฝึกซ้อมยุทโธปกรณ์ เพื่อที่กองทัพไทยจะพร้อมรบ ปกป้องดินแดนไทยเเละคนไทยครับ

‘สุริยะ’ ปลื้ม!! วันแรกรถไฟฟ้า 20 บาท ตอบรับดี ยัน!! เดินหน้าต่อเนื่อง ไม่สิ้นสุดแค่ 30 พ.ย. 67

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนนั้น

และได้มีการประกาศใช้มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ในอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายนั้น รฟท. และ รฟม.ได้รายงานถึงผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ พบว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่ให้ผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงดึงดูดให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะระบบรางมากขึ้น

ยันมาตรการต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ 1 ปี
นายสุริยะกล่าวว่า การที่ ครม.อนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายสูงสุด 20 บาทตลอดสาย โดยระบุจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2567 นั้น ยืนยันว่า เมื่อครบกำหนดในช่วงวันดังกล่าวจะยังไม่ได้มีการยกเลิกมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย และจะใช้มาตรการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือและลดค่าครองชีพให้แก่พี่น้องประชาชน ตามนโยบาย ‘Transport Future for All : คมนาคมแห่งอนาคต เพื่อประชาชนทุกคน’

ส่วนการกำหนดระยะเวลาในวันที่ 30 พ.ย. 2567 ตามที่เสนอเรื่องต่อ ครม.นั้น ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กระทรวงคมนาคมจะต้องประเมินผลการดำเนินมาตรการเป็นรายปี โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณผู้โดยสาร และรายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาระการชดเชยจากภาครัฐ และคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเดินทางและการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน เป็นต้น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการดำเนินมาตรการดังกล่าวในปีถัดไป

คาดผู้โดยสารเพิ่มปี 68 ใช้งบชดเชยลดลง
อย่างไรก็ตาม การเสนอต่ออายุมาตรการ 20 บาทตลอดสายในปีหน้า รัฐจะชดเชยเงินรายได้ในจำนวนที่ลดลง เนื่องจากจะมีปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น จึงต้องประเมินผลมาตรการเป็นรายปี ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ประชาชน ลดภาวะมลพิษ และการใช้พลังงานภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค จากการเพิ่มการเดินทางของประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะด้วย

ทั้งนี้ ตามมติ ครม.ให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลการดำเนินมาตรการเป็นรายปี โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณผู้โดยสารและรายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาระการชดเชยจากภาครัฐและคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเดินทางและการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการดังกล่าวในปีถัดไป

ส่วนขอรับชดเชยส่วนต่างของ รฟท.ซึ่งกำกับดูแลรถไฟฟ้าสายสีแดง เมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้วให้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามส่วนต่างรายได้ที่เกิดขึ้น ซึ่ง รฟท.เสนอขอรับเงินชดเชยประมาณ 6.43 ล้านบาทต่อเดือนหรือ 77.15 ล้านบาทต่อปี ส่วนกรณี รฟม.ซึ่งกำกับดูแลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ไม่ขอรับเงินชดเชยรายได้ของภาครัฐโดยตรง แต่จะนำเงินส่วนแบ่งรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่มีกำไรมาชดเชย

‘ครม.’ ตั้ง ‘อรัญ พันธุมจินดา’ ขรก.การเมือง สำนักเลขาฯ นายกฯ ฟาก ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ นั่งตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

(17 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรคชาติพัฒนากล้า’ ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ ‘อรัญ พันธุมจินดา’ ผู้อำนวยการพรรคชาติพัฒนากล้า ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ อดีต สส.โคราช 3 สมัยได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

ทั้ง 2 คนที่ได้รับตำแหน่ง มีประวัติการทำงานในด้านการเมืองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดย ‘อรัญ พันธุมจินดา’ จบการศึกษา ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ ปริญญาโท นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชน และปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ 

เริ่มเข้าสู่การเมือง ในปี พ.ศ. 2548 ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ, ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...., ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร, ผู้ชำนาญการประจำสมาชิกวุฒิสภา ผู้ชำนาญการประจำสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายเทวัญ ลิปตพัลลภ

ส่วน ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ เป็นลูกโคราชโดยแท้ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2505 ที่ จ.นครราชสีมา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาศิลปศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครราชสีมา, ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (การปกครองท้องถิ่น) มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2533 จากการเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาติดต่อกัน 6 สมัย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และประธานสภาองค์การบริหารการบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา

นายวัชรพล สวมเสื้อพรรคชาติพัฒนาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลือกตั้งสมัยแรกในปี 2550 สมัยที่สองในปี 2554 และสมัยที่สามในปี 2562 จากนั้นได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ในปี 2563 และรักษาการหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าในปี 2566

ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญอีกมากมาย โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการที่ดินและสิ่งก่อสร้างคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565, เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร, เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาช้างป่า, เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ

เคยดำรงตำแหน่ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ, เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำป่าสัก, เป็นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล), เป็นอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของวิปรัฐบาล, เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 และเป็นโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัยพิจารณาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและศึกษาแนวทางช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญทางด้านกีฬา เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ หลายตำแหน่ง ตั้งแต่รองประธานกรรมาธิการการกีฬา สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า (สวาทแคท) เป็นประธานสโมสรวอลเลย์บอลนครราชสีมา วีซี และเป็นประธานสโมสรกีฬาลีลาศจังหวัดนครราชสีมา จากความรู้และประสบการณ์ที่มีเชื่อว่าจะสามารถทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี

เช็กรายชื่อ!! มติ ครม.แต่งตั้งข้าราชการหลายตำแหน่ง ด้าน ‘กฤชนนท์ อัยยปัญญา’ นั่งคณะกรรมการ ผช.รมต.

(16 ต.ค. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง

โดยครั้งนี้ ได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรี’ นั้น มีบทบาทสำคัญในการ ‘บริหารความขัดแย้งทางการเมือง’ ภายในพรรค ซึ่งกรณีที่ปฏิบัติงานร่วมกัน จะเรียกว่า ‘คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี’ แต่ถ้าปฏิบัติงานแยกกันเรียกว่า ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรี’

ทั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน เช่น เคยรับราชการ เคยดำรงตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไป เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เคยทำงานในแวดวงภาคเอกชนระดับไม่ต่ำกว่าผู้ช่วยผู้บริหาร โดยจะมีขอบเขตหน้าที่ของผู้ช่วยรัฐมนตรี กรณี ‘ประสานงาน’ ตามที่นายกฯ หรือ รมต. มอบหมาย และ ‘เป็นผู้แทน’ รมต. ไปรับฟังเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนจากประชาชน รวมถึงเข้าร่วมประชุมและเจรจาความต่าง ๆ แต่ต้อง ‘ไม่ก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมายผูกมัด รมต.’, ‘ไม่นับเป็นองค์ประชุม’ และ ‘ไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ’

สำหรับการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้ ‘นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา’ หรือ ดร.ตั้น ดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยนายกฤชนนท์ มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ทั้งการเป็นนักธุรกิจ, อาจารย์พิเศษระดับมหาวิทยาลัย และเคยทำงานด้านการเมืองในหลายภาคส่วน อาทิ…

>> ปี พ.ศ. 2562 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตบางแค (เขต 28) กรุงเทพมหานคร
>> 15 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ได้รับการแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นรองโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม
>> 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ได้รับการแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
>> ปี พ.ศ. 2564 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
>> ปี พ.ศ. 2566 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งที่ 29 กรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคเพื่อไทย 

นอกจากนี้ ยังมี นายพงศกร อรรณนพพร และ นายนิยม เติมศรีสุข ที่ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

>> ในส่วนของมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูงในตำแหน่งต่างๆ ยังประกอบไปด้วยตำแหน่งอื่นๆ อีกดังนี้…

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอแต่งตั้ง นายนฤชา ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายชวรัชต์ อุรัสยะนันทน์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์ แสงมณี)]

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 5 ราย ดังนี้…

1. นายชัยเกษม นิติสิริ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2. นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3. พลตำรวจโท พัฒนวุธ อังคะนาวิน ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
4. พันตำรวจเอก เกียรติพงษ์ ทองเพียร ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
5. นายอรัญ พันธุมจินดา ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก
2. นายพิชัย นริพทะพันธุ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2. นายมติชน ชูทับทิม ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้ง รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงแรงงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. ให้ นายสมชาย มรกตศรีวรรณ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
2. ให้ นางโสภา เกียรตินิรชา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้…

1. นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมภพ พัฒนอริยางกูล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายวรากร พรหโมบล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
4. นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
5. นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
6. นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 5 ราย ดังนี้…

1. นายวัชรพล โตมรศักดิ์
2. นางลีลาวรรณ กาญจนจารี
3. นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ
4. ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร
5. นางสาวศิรินันท์ ศิริพานิช

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

‘ผู้ว่าฯ กทม.’ ไม่ขัดหากเปิดผับบาร์ถึงตี 4 คาด!! เริ่มทดลอง ธ.ค.นี้ ก่อนปีใหม่

(16 ต.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความพร้อมในการขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ถึงเวลา 04.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามนโยบายของรัฐบาล ว่า กทม. ไม่ขัดข้องในนโยบายดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ ได้หารือกับทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ เรื่อง Soft Power ที่เสนอความคิดร่วมกันที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวชัดเจน และมีมาตรการรองรับในการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

“ในปัจจุบันยังเห็นผับที่เปิดเกินเวลาอยู่บ้าง ถ้าทุกคนออกมาร่วมกันทำให้ถูกกฎหมาย และทำให้มีระเบียบในการเข้า-ออกให้ชัดเจน ในส่วนของ กทม. ก็ไม่น่าจะมีข้อขัดข้องใด และคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายชัชชาติ กล่าว

พร้อมระบุว่า ในส่วนของการปฏิบัติ อาจจะต้องปรับปรุงการแบ่งโซนให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เนื่องจากไม่ค่อยทันสมัยตามการขับเคลื่อนของเมืองที่เปลี่ยนไป โดยต้องหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง โดยต้องมีกรอบในการปฏิบัติให้ชัดเจน รวมถึงในแง่ของการกำกับดูแล ไม่ให้เยาวชนเข้าสถานบันเทิงและการทำผิดกฎหมายในเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าหากทำให้โปร่งใส และมีระเบียบปฏิบัติชัดเจน ย่อมดีกว่าการลักลอบเปิดแบบผิดกฎหมายแน่นอน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในแง่เศรษฐกิจอีกมากมาย เช่น พ่อค้า-แม่ค้าในตลาดที่ขายของและทำอาหาร คนขับรถสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางด้วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านหลายมิติ โดยคาดว่าเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทดลองเปิดสถานบันเทิงจนถึง 04.00 น. คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณเดือนธ.ค.นี้

10 นิสัยสุดย้อนแย้ง!! ผู้อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ สร้างภาพให้สังคมตายใจ เผลอเมื่อไรไปซบเชียร์พรรคล้มเจ้า

ผมลองสังเกตดูสังคมไทย ลงลึกไปถึงสังคมคนรอบ ๆ ตัวของผมในวงการต่าง ๆ ที่ผมมีโอกาสเข้าไปสัมผัส ไม่เว้นกระทั่ง ‘วงการเพลง’ ที่ผมรัก เริ่มตั้งแต่สังคมไทยมีพรรคการเมืองที่ ‘ย้อนแย้ง’, ‘กลิ้งกลอก’, ‘ปลิ้นปล้อน’ และเดินหน้า ‘ล้มล้างสถาบัน’ อย่างจริงจังโผล่ขึ้นมาให้เห็น แม้จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอันจอมปลอม แต่ก็ยังสามารถกระเทาะเปลือกสำนึกอันดีงามของผู้คนจำนวนหนึ่งให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย จนเผยให้เห็นแก่นความนึกคิดที่แท้จริงของคนเหล่านี้ชัดเจน 

ขอยกเพียงแค่ประเด็น ‘ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย’ ของคนไทย ‘นิสัยย้อนแย้ง’ มาเพียง 10 ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เปลือยให้เห็น ‘นิสัยที่แท้จริง’ ของคนได้ดีที่สุด

1. เหล่าเซเลบริตี้จำนวนหนึ่ง ออกงานอีเวนต์มักเลือกหยิบบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปร้องโชว์ นักร้องอัดเสียงร้องเพลง ดาราแสดหนัง ละคร ที่เกี่ยวสถาบันกษัตริย์ เพื่อสร้างชื่อเสียง หรือเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชีพจนได้รับผลลัพธ์ที่ดีในชีวิต แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

2. ได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน จาก ร.9 หรือ ร.10 รวมถึงได้เข้าศึกษา ณ โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งโดยพระมหากษัตริย์ไทย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

3. พูดออกตัวว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน จนได้รับโอกาสเป็นผู้จัดกิจกรรมทางดนตรีที่เกี่ยวกับ ‘บทเพลงของพ่อ’ ทำให้มีผู้คนจดจำภาพลักษณ์ที่ดีงาม แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ 

4. ใส่เสื้อสีเหลือง พร้อมโพสต์ข้อความในเชิงว่า ‘รักในหลวง’ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่บ่อยครั้งให้สังคมเห็น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

5. อาศัยใช้นามสกุลพระราชทานที่ใช้ต่อ ๆ กันมาจากต้นตระกูลต่อท้ายชื่อของตนเอง แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

6. แต่งชุดดำ ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อปลายปี 2559 แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

7. ที่บ้าน ที่ทำงาน ติดรูปในหลวงที่ข้างฝาห้องอย่างโดดเด่น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

8. ปากบอกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และจะจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะได้ที่นา ที่ดินทำสวน ทำไร่ จากโครงการของในหลวงจนชีวิตพลิกฟื้น แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

9. ห้อยพระคล้องคอที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับในหลวง มีความผูกพันเชื่อมโยงถึงที่มา ความรัก พลังใจ จุดมุ่งหมาย คำสั่งสอน และการดำรงไว้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

10. ต้นตระกูลเป็นคนต่างถิ่น ต่างด้าว ต่างเชื้อชาติ ต่างดินแดน เดินทางมาพึ่งแผ่นดินทองของพระมหากษัตริย์ไทย ได้รับความเมตตากรุณาให้มีที่อาศัย ทำกิน จนมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวย แต่สนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’

ห้วงเวลานี้ ถือเป็นเวลาที่คนรอบตัวจะถูกกระเทาะเปลือก จนเปลือยให้เห็นมิติที่ลึกกว่าที่เคย สิ่งที่อาจจะยังไม่แน่ใจในใครสักคนในเรื่องตรรกะ, วิธีคิด และแก่นแท้ของสำนึก ก็จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน ดูคนให้ดูห้วงเวลานี้จะเห็นนิสัยของคนชัดที่สุด 

ลองหันไปสำรวจดูว่า รอบ ๆ ตัวคุณ มีคนที่คล้าย ๆ ใน 10 ข้อนี้กี่คน?

ห่างได้ ห่างเลย รับประกันว่าชีวิตดี

‘ปิยบุตร’ กระตุกต่อมสำนึก 'ก้าวไกล' ปมปัญหาความรุนแรงทางเพศ ชี้!! พูดถึงน้อย ไม่สมกับเป็นพรรคที่ชูจุดยืนเรื่องความเสมอภาค

(16 ต.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุ Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล เรื่อง ‘ความรุนแรงทางเพศ คือ ปัญหาของทุกคน’ ระบุว่า จากประเด็นเรื่องข้อร้องเรียนปัญหาความรุนแรงทางเพศที่กระทำโดยผู้สมัครและ ส.ส. ของพรรคก้าวไกล หลายกรณีที่เป็นข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเฝ้ารอการแสดงออกของคนของพรรคก้าวไกลต่อเรื่องดังกล่าว พบว่ามีการพูดถึงประเด็นเหล่านี้น้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ น้อยจนไม่สมกับเป็นพรรคที่ประกาศจุดยืนและคุณค่าพื้นฐานของพรรคในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ว่าน้อยนั้นก็ยังล่าช้าอีกด้วย กล่าวคือ ต้องให้สังคมและมวลชนของพรรคกดดันก่อนจึงจะมีเสียงของพรรคออกมา ต้องเกิดกรณีอื้อฉาวใหม่ จนคนโวยวายทักท้วง จึงค่อยพูดถึงกรณีอื้อฉาวเก่า ต้องมี ส.ส. ผู้ถูกร้องเรียน ไปไลฟ์สดแถลงเอง จนยิ่งเสียหายกับพรรค ทางพรรคถึงเกิดอาการตระหนก รีบออกมาแก้ไขแก้เกม มีเพียงการแถลงข่าวโดยพริษฐ์ วัชรสินธุ์ และศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ และมีแกนนำบางคนที่ถูกบังคับให้ตอบ เพราะหนีการสัมภาษณ์ไมค์รวมจากสื่อมวลชนไม่พ้น ในขณะที่มวลชนผู้สนับสนุนพรรคเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลแสดงจุดยืนในประเด็นนี้ให้ชัดเจน

ปัญหาความรุนแรงทางเพศเป็นปัญหาของสังคมไทยและสังคมต่าง ๆ ทั่วโลก จำเป็นต้องมีการถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนควรร่วมกันถกเถียง แก้ไข หาทางออก และป้องกัน ไม่ใช่ว่าพอเป็นผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลแล้ว พอเรื่องเกิดกับพรรค ก็เลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าการพูดถึงปัญหานี้แล้วกลายเป็นการจ้องทำลายพรรคก้าวไกลหรือเลิกสนับสนุนพรรคก้าวไกลไป

หลาย ๆ คนถามไถ่ผมเข้ามาทั้งต่อหน้า ทั้งทางกล่องข้อความ โทรศัพท์ และโพสถามผมในโลกออนไลน์ ว่าผมคิดเห็นอย่างไร ขอให้ผมเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา หรือแสดงจุดยืนในเรื่องนี้

ผมมีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ดังนี้ พรรคก้าวไกลควรรับมือ จัดการ ป้องกัน เรื่องความรุนแรงทางเพศและการคุกคามทางเพศอย่างไร?

พรรคก้าวไกลต้องพัฒนาแนวทางและนโยบายต่อต้านการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงานอย่างเป็นรูปธรรม สร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ครอบคลุมทั้ง ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. นายกท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ทีมงานจังหวัด พนักงาน อาสาสมัคร จากข่าวในหลายกรณี จะเห็นได้ว่า ไม่มีการกำหนดช่องทางร้องเรียนกรณีการคุกคามทางเพศหรือความรุนแรงทางเพศที่ชัดเจน ผู้ที่ถูกกระทำมักต้องร้องเรียนไปที่ ส.ส. เป็นรายบุคคล หรือส่งเรื่องหาบุคคลในพรรคที่ผู้ถูกกระทำรู้สึกวางใจ หรือต้องส่งเรื่องหลายต่อกว่าจะถึงหูคณะนำพรรค

หากจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ พรรคต้องกำหนดขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างระบบช่องทางร้องเรียนในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ พร้อมเผยแพร่ช่องทางให้ทุกคนทราบ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ผู้เสียหายจะได้รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร กระบวนการร้องเรียนต้องเป็นความลับ เพื่อให้ผู้ที่ร้องเรียนไม่ต้องกังวลว่าการร้องเรียนจะเกิดผลกระทบกับหน้าที่การงาน เมื่อมีรายงานเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ ความต้องการและความปลอดภัยของผู้ร้องเรียนทั้งในระหว่างและหลังกระบวนการ พรรคต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สอบสวนโดยคณะกรรมการที่เป็นกลาง อิสระ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือรู้จักมักคุ้นกับผู้ถูกกล่าวหา การให้ ส.ส. หรือคณะผู้บริหารพรรคไปเป็นกรรมการสอบสวน แบบที่ทำกันอยู่ในเวลานี้ อาจทำให้เกิด ‘ความเกรงใจ’ กันเอง จนตัดสินใจกันไปแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ เช่นกัน การให้องค์ประกอบคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้ มีแต่ ‘ชายแท้’ หรือ ‘ชายเป็นใหญ่’ หรือ ‘คนที่ไม่เข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้’ ก็จะยิ่งทำให้การดำเนินการสอบสวน ให้ความเป็นธรรม ลงโทษผู้กระทำผิด และเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย ผิดทิศผิดทางไปกันใหญ่

นอกจากนี้ พรรคต้องมีกระบวนการช่วยเหลือให้ผู้ถูกกระทำพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา ในท้ายที่สุด เมื่อคณะกรรมการพิจารณาแล้วว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็ต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยต่อผู้กระทำความผิดอย่างได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน อาจกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจ หรือ Guideline ในเรื่องอัตราโทษเอาไว้ เช่น การกระทำแบบใด ถือว่าร้ายแรง การกระทำแบบใด จะรับอัตราโทษเท่าไร เป็นต้น

หากพรรคไม่มีบุคลากรที่ชำนาญ มีความรู้ประสบการณ์ในการจัดการปัญหาการคุกคามทางเพศ พรรคก็ต้องสรรหาเชิญชวนบุคคลภายนอกเข้ามา ผมเชื่อว่ามีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ที่รักพรรคก้าวไกลและพร้อมช่วยเหลือ ในส่วนของบุคคลผู้กระทำผิดนั้น เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง กล้าหาญออกมายอมรับผิด ขอโทษต่อผู้เสียหาย พรรค และประชาชน มิใช่ปล่อยให้คนอื่นในองค์กรมารับผิดชอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้เพื่อน ส.ส. ที่ไม่ใช่ระดับผู้บริหารพรรคหรือคณะกรรมการที่รับผิดชอบพิจารณาโทษทางวินัยมารับหน้าที่แถลงอธิบายกับสังคม หรือให้สัมภาษณ์สื่อ เพื่อจัดการปัญหาแทน หากทำเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า ความรุนแรงทางเพศไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เรื่องใหญ่พอถึงขนาดต้องให้ผู้บริหารมาร่วมดำเนินการรับผิดชอบ

กรณีการแถลงข่าวของพรรคล่าสุด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะนำพรรคไม่กล้าเผชิญปัญหาเหล่านี้อย่างซึ่งหน้าและตรงไปตรงมา พรรคต้องไปเข็นเอา พริษฐ์ และศศินันท์ มา “รับเผือกร้อน แบกพรรค” แทน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้อยู่ในกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน หรือสืบสวนสอบสวน แต่พรรคเลือกพวกเขามาแถลง เพราะทั้งสองคนนี้ มีภาพลักษณ์ที่ดี และมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ส่วนคณะนำของพรรค คณะกรรมการสอบสวน และผู้กระทำความผิดก็ “ลอยตัว” ไป ไม่ต้องถูกสื่อถาม ไม่ต้อง “ช้ำ” จากการแถลงข่าว

พรรคก้าวไกลต้องสร้างบรรยากาศการสื่อสารเรื่องความรุนแรงทางเพศและความเท่าเทียมระหว่างเพศอย่างตรงไปตรงมา ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ไม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยแก้ไข พรรคต้องจัดการฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมทางเพศให้กับบุคลากรทุกคน และหมั่นทำความเข้าใจในทุกสถานการณ์อย่างจริงจัง เท่าที่ผมทราบ พรรคก็มีความพยายามจัดอบรมในเรื่องเหล่านี้ แต่ให้เวลาน้อยไปหน่อย ในการประชุมหลายๆ ครั้ง เวทีอบรมเรื่องนี้มักเป็น “ของแถม” ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และบรรดาคนในพรรค และ ส.ส. ก็มักไม่ค่อยให้ความสนใจ บรรยายไปแต่ละครั้ง กลับกลายเป็นเรื่องตลกโปกฮา แซวกันไปมาว่าใครมีพฤติกรรมอย่างไรเสียมากกว่า

ผมยังเห็นอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่พรรคก้าวไกลต้องกล้าหาญทำเรื่องเหล่านี้ เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา  มิใช่คิดแต่ “ผลลัพธ์ทางการเมือง” เป็นตัวนำ เช่น ไม่กล้าจัดการเรื่องนี้ตอนนี้ เพราะกลัวอื้อฉาว เดี๋ยวกระทบต่อการหาเสียงของพรรค เดี๋ยวกระทบกับการเลือกคนไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เดี๋ยวกระทบกับการเลือกตั้งซ่อม เดี๋ยวกระทบนั่น เดี๋ยวกระทบนี่ หากคิดแต่เอาปัจจัยการเมืองมาเป็นองค์ประกอบหลักในการตัดสินใจเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็จะไม่กล้าทำอะไรในเรื่องดังกล่าวเลย ต้องยอมรับว่า เมื่อไรเกิดกรณีความรุนแรงทางเพศหรือการคุกคามทางเพศภายในพรรคขึ้น ก็ย่อมส่งผลร้ายต่อภาพลักษณ์ของพรรคอยู่แล้ว แต่การกลัวหรือกังวลใจกับภาพลักษณ์ของพรรคจนไม่กล้าตัดสินใจ จนปิดเรื่องซ่อนเอาไว้ หรือ “ซื้อเวลา” ออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเรื่องแดงออกมา แล้วก็มาตามแก้ไข สุดท้ายพรรคก็เสียหายอยู่ดี และเสียหายเพิ่มเป็นหลายเท่า จนคนในสังคมเริ่ม “เอ๊ะ” ว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคอื่นๆ ในเรื่องเหล่านี้ พรรคก้าวไกลได้แต่โม้โฆษณาชวนเชื่อเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมไปอย่างนั้นเอง

(นี่ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ หรือตั้งสมมุติฐาน แต่คือข้อเท็จจริง มีคนในพรรคหลายคนมาเล่าให้ผมฟังว่า ความล่าช้าในการตัดสินใจในการจัดการปัญหาการคุกคามทางเพศ ส่วนหนึ่งเกิดจากคณะนำพรรคมัวแต่กังวลกับแต้มทางการเมือง กังวลว่าพรรคจะเสียหายโดนโจมตีในช่วงเลือกตั้ง หรือตั้งรัฐบาล)

ในส่วนของคณะนำและผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรค ต้องช่วยกันปรับทัศนคติตนเอง ให้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตระหนักรู้ถึงปัญหา และต้องการจัดการแก้ไขปัญหา ไม่ให้มีความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นในองค์กรของตน คณะนำต้องอย่าคิดแต่เรื่องภาพลักษณ์พรรค อย่าคิดแต่ว่า ปัญหาเหล่านี้เหมือน “ยุงรำคาญ” ที่บินมาไต่ตอมพรรค พอเกิดเรื่องที ก็ได้แต่บ่นกันในหมู่คณะนำของตนเองว่า “อีกแล้ว มีปัญหาอีกแล้ว ไอ้ห่าเอ๊ย เมื่อไรจะจบสักที เมื่อไรจะทำตัวดีๆ สักที เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาให้พรรคเสียที” หากคณะนำและผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคมีทัศนคติแบบนี้ ก็จะไม่หาทางแก้ปัญหาให้ตรงจุด แต่จะเน้นแก้ปัญหาไม่ให้พรรคเสียหาย เสียภาพ มากกว่าคิดหาหนทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้อีก นานวันเข้าก็อาจนำไปสู่การคิดค้นหาวิธีการ “ปิดลับไม่ให้เรื่องแดง” ไม่ได้สนใจแก้ปัญหายุติความรุนแรงทางเพศภายในองค์กร

ข้อเสนอแนะถึง ส.ส. ผู้สมัคร ทีมงานทุกจังหวัด พนักงานพรรค การร้องเรียนเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการคุกคามและความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นแต่เฉพาะกับคนของพรรคก้าวไกล มีแต่พรรคก้าวไกลที่มีแต่คนประพฤติปฏิบัติเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งที่พรรคก้าวไกลถูกโจมตีและเป็นข่าวในเรื่องเหล่านี้บ่อยกว่าพรรคอื่นๆ ก็เพราะพรรคก้าวไกลประกาศจุดยืนเรื่องความเท่าเทียม แสดงตนว่าจะเอาจริงเอาจังกับปัญหาความรุนแรงทางเพศ ในขณะที่พรรคอื่นๆ อาจไม่สนใจหรือถือเป็นประเด็นใหญ่

ความรุนแรงทางเพศเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ปรากฏให้เห็นตามหน้าข่าวไม่เว้นแต่ละวัน ความรุนแรงทางเพศสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะมีเพศสภาพ เพศวิถี หรือรสนิยมทางเพศอย่างไร อายุเท่าไร อยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม ตามรายงานของ UN WOMEN พบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกต้องเคยเผชิญความรุนแรงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในชีวิต สำหรับประเทศไทย 44% ของผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือจากคนที่ตนรู้จัก โดยสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากความมีอคติต่อผู้หญิงและระบบปิตาธิปไตยที่ผู้ชายเป็นผู้กุมอำนาจหลัก

คนในพรรคก้าวไกลทั้งหมดสามารถร่วมมือกัน ช่วยกันจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ สิ่งที่ง่ายที่สุดที่สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอ ไม่ต้องให้พรรคกำหนดกฎกติกาหรือออกแบบระบบ นั่นก็คือ ส.ส. และคนของพรรคก้าวไกล ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องความรุนแรงทางเพศและความเท่าเทียมระหว่างเพศเป็นประเด็นที่ ส.ส. หญิง และ ส.ส. LGBTIQ+ ทำงาน รณรงค์ หรือต่อสู้เท่านั้น คนของพรรคก้าวไกล  และ สส. ทุกคนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดัน ส.ส. ชาย ที่มีความคิดแบบชายเป็นใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะรูัตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ต้องหาความรู้ ค้นคว้า อ่านหนังสือ ฟังเสวนา ในเรื่องสตรีนิยมและความเท่าเทียมทางเพศ ให้มากขึ้น อย่ามองว่าสตรีนิยมคือเรื่องของการเกลียดผู้ชาย ต้องหันมาทำความเข้าใจปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศให้ได้ก่อน

คนรุ่นเราหรือก่อนเรา ถูกปลูกฝังเลี้ยงดู ถูกสื่อ ภาพยนตร์ โฆษณา วัฒนธรรม ครอบงำ มาในแบบ “ชายเป็นใหญ่” วิธีคิดเหล่านี้ฝังหัวเราลงไป จนบางครั้ง เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้สึกว่า การกระทำของเราแบบนี้ผิด เราคิดว่า นี่คือเรื่องปกติธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมก้าวหน้ามากขึ้น กฎเกณฑ์ทางสังคมทางวัฒนธรรมเปลี่ยนไปมากขึ้น และเมื่อพรรคก้าวไกลประกาศจุดยืนในเรื่องเหล่านี้ บรรดาผู้ชายในพรรคทั้งหมด ก็ต้องปรับตัว พร้อมเรียนรู้

ส.ส. ชาย ผู้ชายในพรรค ต้องไม่เป็น bystanders หรือผู้เห็นเหตุการณ์แล้วแต่ไม่ทำอะไร เลือกที่จะนิ่งเฉย ธุระไม่ใช่ อย่าไปยุ่งเลย เดี๋ยวจะซวยเปล่าๆ ส.ส. ชาย ผู้ชายในพรรค ต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และความมีอคติต่อผู้หญิง เมื่อไรก็ตามที่เราพบเห็นการคุกคามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่เหมาะสม พฤติกรรมที่สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เป็นมิตร เช่น การเล่าเรื่องตลกทางเพศที่ลามกอนาจาร การประพฤติที่ไม่พึงประสงค์ ล่วงละเมิด หรือคุกคามอันเป็นเงื่อนไขในการจ้างงานหรือความก้าวหน้าต่างๆ เป็นต้น เราทุกคนสามารถทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องแกล้งทำเป็นขำๆ ไปตามสถานการณ์ ต้องรู้จักตักเตือนกัน และทำความเช้าใจกันในเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ

ผมขอแนะนำให้ ส.ส. ชายทุกคนเริ่มจากการชมคลิป Ted Talk ของ Jackson Katz ที่พูดถึงบทบาทของผู้ชายในการแก้ปัญหาความรุนแรงทางเพศไว้ได้เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติต่อได้ง่าย https://www.npr.org/…/jackson-katz-why-we-can-no-longer… คนของพรรคก้าวไกลต้องตระหนักว่า การจัดการปัญหาความรุนแรงทางเพศ เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ต้องทำเพราะกลัวเป็นข่าวหรือกลัวตนเองเดือดร้อนหรือกลัวพรรคเสียคะแนน แต่เราต้องทำ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของการรื้อถอนวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในสังคม และสร้างความเท่าเทียมทางเพศ ความเคารพต่อผู้อื่นให้เกิดขึ้นจริง

ส.ส. หญิงของพรรคก้าวไกลก็ต้องอย่านิ่งเฉยกับสถานการณ์ ต้องหมั่นเรียกร้องภายในพรรคให้มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม ให้ความรู้ ทำความเข้าใจ และให้การช่วยเหลือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้เข้ามีบทบาททางการเมืองอย่างแท้จริง ต้องมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยจากการคุกคามทางเพศสำหรับผู้หญิงและคนทุกเพศด้วย มิใช่แข่งกันแต่เพียงว่าพรรคไหนมี ส.ส. หญิงมากกว่ากันเท่านั้น

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ การเอาอกเอาใจคณะนำ มิใช่ การเงียบ ไม่โต้เถียง ไม่แสดงความเห็นตรงไปตรงมาต่อคณะนำ เพราะกลัวตนเองถูกหมายหัว ไม่ได้ลง ส.ส. ครั้งหน้า

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ คิดแต่เรื่องตนเอง คิดแต่เรื่องพื้นที่ตนเอง คิดแต่ความนิยมของตนเอง ส่วนเรื่องไหนที่เป็นเรื่องส่วนรวม ก็ไม่ยุ่ง ยุ่งแล้วเดี๋ยวซวย

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ การร่วมมือกันปกปิดความผิด เพื่อปกป้องภาพลักษณ์พรรค

แต่การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค ต้องอยากให้พรรคดี

แล้วพรรคก้าวไกลจะดีได้อย่างไร หากทุกคนพบเห็นพฤติกรรมความรุนแรงทางเพศหรือการคุกคามทางเพศ แล้วเลือกที่จะ “เงียบ” แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างเป็นไปสุดแท้แต่คณะนำกำหนดให้เป็น

ข้อสังเกตส่งท้าย พรรคก้าวไกลพยายามยกระดับมาตรฐานการเมืองไทย ประกาศจุดยืนเรื่องความเท่าเทียม และต่อต้านการคุกคามทางเพศและความรุนแรงทางเพศ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่พรรคก้าวไกลจะถูกเรียกร้องมากกว่าพรรคอื่นๆ เช่นเดียวกัน ก็ถูกตามจับผิดในเรื่องเหล่านี้มากกว่าพรรคอื่นๆ ด้วย

เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นความหวังของผู้คนจำนวนมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จ การวางมาตรฐานการยุติความรุนแรงทางเพศในระดับพรรค จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ระดับสังคมด้วย หากพรรคก้าวไกลทำสำเร็จ ก็จะส่งผลแรงกดดันไปถึงพรรคอื่นๆ องค์กรอื่นๆ ช่วยยกมาตรฐานให้การเมืองไทยได้

ในส่วนของพรรคอื่นๆ หรือผู้สนับสนุนพรรคอื่น หรือผู้ที่ไม่นิยมพรรคก้าวไกล หากจริงจังกับปัญหาความรุนแรงทางเพศอย่างแท้จริง ก็ต้องไม่นำปัญหาความรุนแรงทางเพศมาเป็นแค่เครื่องมือโจมตีทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพูดถึงประเด็นนี้ด้วยความตั้งใจจะแก้ไขปัญหาจริงๆ มิใช่ พอเกิดเรื่องกับพรรคก้าวไกลที ก็ “ถูมือ ลูบปาก” เอาล่ะ ได้ทีแล้ว พวกเรา ถล่มมันเลย แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้กับพรรคที่ตนสนับสนุนหรือพรรคอื่นๆ ก็เงียบกริบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

ความรุนแรงทางเพศ การคุกคามทางเพศ คือ ปัญหาสำคัญของสังคมไทย คือ ปัญหาร่วมกันของทุกคน ต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มิใช่มุ่งเน้นแต่เอามาใช้โจมตีกันทางการเมือง

‘จุลพันธ์’ ยัน!! เงื่อนไขแจกเงินดิจิทัล ไม่สนเรื่อง 'รวย-จน' ชี้!! มุ่งหวังกระตุ้น ศก. ไม่ใช่สงเคราะห์คนยากจน

(14 ต.ค.66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยัน กระแสข่าวเกี่ยวกับการตัดสิทธิ์คนที่มีรายได้สูงหรือการเตรียมวงเงินไว้เพียง 4 แสนล้านสำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทนั้น ไม่ใช่ความจริง เพราะขณะนี้โครงการยังไม่ได้สรุปรายละเอียดออกมา โดยคณะอนุกรรมการอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อนำมาเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ คาดจะได้ข้อสรุปโดยเร็วภายใน 2 สัปดาห์นี้

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมรับฟังความเห็นในส่วนที่มีข้อเสนอจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งในส่วนการพิจารณาเงื่อนไขการแจกเงิน เราไม่ได้ดูเรื่องความรวยหรือจน เพราะเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่โครงการสงเคราะห์ช่วยเหลือคนยากจน แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือมุมมองการใช้จ่ายของคนที่มีรายได้สูงจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่หรือเพียงเอาเงินไปออมแทน

“เราได้ให้การบ้านต่ออนุกรรมการไปพิจารณาในเงื่อนไขสำหรับกลุ่มคนที่ควรได้รับเป็นอย่างไร เช่น หลักเกณฑ์การดูคนรวยเป็นอย่างไร เช่น ควรดูที่เงินฝาก ที่ดิน หรือการเสียภาษี เราก็อยากถามกลับไปยังผู้เสนอความคิดนี้ว่ามีข้อเสนอเรื่องนี้อย่างไร รัฐบาลพร้อมรับฟังมาปรับเงื่อนไข ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมและมีความชัดเจน” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกออกมาเตือนรัฐบาลทั่วโลกให้พยายามรักษาวินัยการเงินการคลังท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เขายืนยันว่า รัฐบาลจะรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด แต่รัฐบาลก็จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตสูงกว่าศักยภาพ

“ปัญหาเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมานั้น ทำให้เงินประชาชนขาดมือ เราจึงต้องเติมเงินเข้าไปให้ เพื่อให้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายรัฐ”นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ในแง่วงเงินที่เราจะนำมาใช้นั้น จะไม่ถึง 5.6 แสนล้านบาทแน่นอน เพราะคนที่มีอายุเกิน 16 ปี มีแค่ 5.48 ล้านคน ดังนั้น จะมีกรอบเต็มที่แค่ 5.48 แสนล้านบาท ยังไม่นับรวมเงื่อนไขที่ดูความจำเป็นของกลุ่มคนและคนที่ไม่มาร่วมโครงการ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เขายังกล่าวถึงเงื่อนไขในการสมัครร่วมโครงการเบื้องต้นนั้น ยืนยันไม่ต้องมีการลงทะเบียน แต่ต้องทำการยืนยันตัวตนด้วยระบบเควายซี จากนั้น กดรับสิทธิ์ จะได้เข้าร่วมโครงการอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้ สำหรับผู้ที่เคยร่วมโครงการรัฐที่ผ่านมา 40 ล้านคน ที่ได้เควายซีไปแล้วก็ไม่ต้องมายืนยันตัวตน ฉะนั้น จึงเหลือเพียงสิบล้านคนเท่านั้น ที่จะต้องมายืนยันตัวตน

ย้อนรำลึก 50 ปี 14 ตุลา 2516 มองหน้า รธน.ฉบับใหม่ แพงเว่อร์!!

ปั่นต้นฉบับวันนี้…ตอนสายวันที่ 14 ต.ค. 2566 ก็ขอร่วมรำลึก 50 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516  กับเขาด้วยคน...50 ปีที่แล้ว ‘เล็ก เลียบด่วน’ อายุ 17 ปีเต็ม..เดาเอาเองว่าวันนี้ เล็ก เลียบด่วน  ยังหนุ่มฟ้อขนาดไหน...55

ในมุมมองของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ สถานภาพของ 14 ตุลา 2516 จะว่าไปยิ่งใหญ่และมีคุณูปการมากกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 ด้วยซ้ำไป...24 มิ.ย.ในมิติหนึ่งก็คือการรัฐประหารครั้งแรก ช่วงชิงอำนาจจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เตรียมการที่จะเปลี่ยนแปลงการบริหารบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ส่วน 14 ตุลา เป็นการลุกฮือของนักศึกษาประชาชนทั้งเรียกร้องรัฐธรรมนูญและสลัดอำนาจเผด็จการที่ครอบครองประเทศไทย…

และเหตุการณ์นองเลือด..ที่เกิดขึ้นแบบไม่ควรจะเกิด ก็เกิดจากการฉวยใช้สถานการณ์ของกลุ่มอำนาจที่ขัดแย้งกันในขณะนั้น แต่ที่สุดเหตุการณ์จบลงด้วยพระบารมีพระเมตตาของเสด็จพ่อที่อยู่บนฟ้า…ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประเทศไทยเดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่มีความเจริญก้าวหน้า ตามแบบแผนไทย

พูดถึงรัฐธรรมนูญ...ก็ต้องรายงานท่านผู้อ่านท่านผู้ฟังให้รับทราบถึงการประชุมคณะกรรมการศึกษาการจัดทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566  โดยมี ‘รองอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ นั่งหัวโต๊ะ เป็นการประชุมนัดแรก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง รับเบี้ยประชุมกันไปคนละ 1,600 บาท ที่ประชุมมีมติตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด 

ชุดแรก - ทำหน้าที่รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนและกลุ่มอาชีพต่าง ๆ
ชุดที่สอง - ศึกษากระบวนการ ขั้นตอน การจัดทำประชามติ

พูดไปทำไมมี…หลับตานึกภาพตามที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะนั่งทางในเล่าให้ฟังว่า...ผลการศึกษาคงจะเห็นหน้าเห็นหลังตอนต้นปี 2567 จากนั้นการจัดทำประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นอย่างเร็วช่วงกลางปี 2567...เพื่อถามประชาชน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2564 ที่ว่าหากจะจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะต้องทำประชามติถามประชาชน ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจสถาปนา…จากนั้นถ้าประชาชนไฟเขียวให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องไปแก้มาตรา 256 บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. ซึ่งอาจจะเป็น สสร. สูตรผสม คือทั้งเลือกตั้งและสรรหา ซึ่งในชั้นแก้ไขมาตา 256 ต้องทำประชามติกันอีกครั้ง จากนั้นเมื่อ สสร. ไปยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนจะลงมติในวาระ 3 ก็ต้องลงประชามติกันอีกครั้ง...ว่าเห็นชอบตามที่ สสร. ยกร่างหรือไม่…
เบ็ดเสร็จต้องลงประชามติ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 4,000 ล้านบาท  แถมตอนเลือก สสร. อีก 1 ครั้ง เบ็ดเสร็จประมาณ 16,000 ล้านบาท...อาจจะไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับการแจกเงิน ดิจิทัล โทเคน หรือดิจิทัล วอลเล็ต แต่ทุกเม็ดทุกสตางค์มันคือเงินของแผ่นดิน...คิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกวังเวง วิเวกวิโหวโหว ยังไงก็ไม่รู้…

แต่ก็เอาเถอะ..ยังไง ๆ กรณีรัฐธรรมนูญอย่าทำกันจนเกิดการเผชิญหน้ากันจนเลือดตกยางออกแบบในอดีตก็แล้วกัน...ยิ่งงานนี้พรรคก้าวไกลเขาไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย อาจทำให้หลายคนคิดมาก…

แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เชื่อว่าพรรคก้าวไกลคงไม่ปฏิบัติคุกคามทางรัฐธรรมนูญเกินขอบเขตเหมือนเรื่องอื่นหรอก..!!

‘สรรเพชญ’ หนุนญัตติ ศึกษา ส่งเสริม สร้างสันติภาพ-ดับไฟชายแดนใต้ พร้อมชูแผนพัฒนา ครอบคลุมทุกมิติ ย้ำ!! คำนึงถึงความรู้สึกคนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 66 ที่ห้องประชุมสุริยัน อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายสนับสนุนญัตติ ‘ศึกษาติดตาม และส่งเสริม การสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้’ โดยกล่าวว่า ปัญหาเรื่องความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่สะสมมายาว นานกว่า 20 ปี ซึ่งนับตั้งแต่กระสุนนัดแรกที่ลั่นออกมาเมื่อปี 2547 จวบจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ยังไม่ทุเลาเบาบางลงแต่อย่างใด ซ้ำร้ายเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุระเบิดที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย

นี่ยังไม่นับรวมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 19 ปี มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 7,520 คน (ข้อมูลจาก Deep South Watch เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566) ผู้สูญหาย บาดเจ็บ ล้มตายก็มีจำนวนมาก ท่ามกลางความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยก็คือประชาชน ตนเห็นด้วยที่จะมีการศึกษาในเรื่องนี้ แต่ขออย่างเดียว คือ ขอให้การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาครั้งสุดท้าย ขอให้มีผลการศึกษาออกมาให้ชัด ศึกษาให้รอบด้าน และหวังว่าคงไม่ต้องมาศึกษากันเรื่องนี้อีก เพราะในอดีตที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าสภาแห่งนี้ ก็เคยได้ศึกษากันมาหลายครั้ง และตนเชื่อว่าสภาที่มีมาชุดไหน ๆ ก็ต้องตั้งกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้ ไม่จบ ไม่สิ้น และหลายหน่วยงานก็ทำการศึกษาเช่นเดียวกัน

นายสรรเพชญ ได้นำเสนอประเด็นการพัฒนาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยกัน 5 ประเด็น หลัก ๆ คือ ด้านการปกครอง ด้านการส่งเสริมการกระจายอำนาจ ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านงบประมาณ และด้านการศึกษา

โดยในประเด็นเรื่องของการปกครอง ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้มีการแบ่งแยกดินแดน เพราะประชาชนยังคงอยากเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย สิ่งนี้คณะกรรมาธิการฯ จะต้องตั้งหลักให้มั่น และชัดเจน ว่าจะไม่เสนอให้มีการแบ่งแยกดินแดน เพื่อขัดกับเจตนารมณ์ของประชาชน และสำคัญที่สุด คือ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

ประเด็นต่อมา ด้านการส่งเสริมการกระจายอำนาจ ตนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าท้ายที่สุดแล้ว การกระจายอำนาจนี้ จะเป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริงผ่านการตัดสินใจของประชาชน ในส่วนของด้านกระบวนการยุติธรรมนั้น ตนเห็นว่าความยุติธรรมที่ว่านี้ ไม่ใช่เฉพาะในมิติเรื่องกฎหมายเพียงเท่านั้น เพราะความยุติธรรมในทางกฎหมายเป็นบรรทัดฐานที่อารยประเทศพึงมี และกรณีการอุ้มฆ่าที่เคยมีเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว ถือได้ว่าที่ผ่านมาเราได้แก้เรื่องกฎหมายไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่นอกเหนือจากเรื่องของกฎหมายคือ การพัฒนาพื้นที่และกระจายทรัพยากรต่าง ๆ ที่ควรให้กับคนในสามจังหวัดได้เข้าถึง ไม่เป็นคนชายขอบในสังคม รวมถึงชายแดนห่างไกลของประเทศไทย เราควรที่จะให้ความสำคัญเท่าเทียมเหมือนคนกรุงเทพฯ

นายสรรเพชญ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของงบประมาณ วันนี้รายได้ต่อหัวของประชากรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงต่ำอยู่ เฉลี่ยประมาณปีละ 60,000 บาท รัฐบาลจะต้องอัดฉีดงบประมาณลงไปในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ในสามจังหวัดชายแดนให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรที่ดินทำกิน ส่งเสริมการใช้พื้นที่นาร้างว่างเปล่าให้สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจ และส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางของความมั่นคงทางอาหารของโลก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีอาชีพและรายได้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนในด้านของการศึกษา วันนี้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมหาวิทยาลัยครบทั้งสามจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ม.ราชภัฏยะลา, ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ฯลฯ แต่เรายังคงต้องเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ เหมาะสมกับสายอาชีพที่ให้ผู้เรียนจบออกมาแล้วมีงานทำและทำงานในสายงานที่ตนเองถนัด หวังว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญที่กำลังจะแต่งตั้งขึ้น จะศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนใต้ ให้ครอบคลุมทุกมิติ และให้คำนึงถึง ‘ความรู้สึก’ ของคนในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การสร้างสันติภาพที่เป็นจริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top