Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘ดร.อานนท์’ ยกคำแถลง ‘ศาลฯ VS บุ้ง ทะลุวัง’ ตั้งคำถามเชื่อใคร? ปมเตะ จนท.ศาล โดนสวนจนได้เลือด ต่างฝ่ายอ้าง ‘ถูกทำร้ายก่อน’

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ของ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์แถลงการณ์ของศาลฯ และ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เปรียบเทียบ พร้อมระบุว่า…

“เชื่อคำแถลงศาลฯ หรือคำแถลงของบุ้ง ทะลุวังครับ?”

ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า…

“อ่านลำดับเหตุการณ์ แถลงการณ์ข้อเท็จจริงจากกลุ่มทะลุวัง และแถลงการณ์จากศาลยุติธรรม กรณี ‘บุ้ง เนติพร’ นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลฟาดด้วยดิ้วเหล็กจนบาดเจ็บเลือดออก

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2566 เวลาประมาณ 11.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งว่า ‘บุ้ง เนติพร’ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ถูกตำรวจศาลทำร้ายร่างกาย โดยใช้ดิ้วเหล็กตีเข้าที่บริเวณข้อศอกจนเกิดอาการบาดเจ็บ จากกรณีที่ ‘หยก’ พยายามเข้าไปพูดคุยกับ ‘โฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า’ อดีตสามเณร ที่ถูกควบคุมตัวระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุม ‘บ๊ายบายไดโนเสาร์’ ของกลุ่มนักเรียนเลว ที่สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563

ก่อนหน้านี้ เวลา 09.00 น. บุ้ง และสมาชิกกลุ่มทะลุวัง พร้อมกับหยก นักกิจกรรมเยาวชนวัย 15 ปี ได้เดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา โฟล์คได้ถูกนำตัวไปควบคุมอยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล

ในเวลาประมาณ 10.30 น. บุ้งและหยกได้พยายามปีนรั้วที่บริเวณข้างห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อพูดคุยสอบถามว่าโฟล์คต้องการรับประทานอาหารอะไรในระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวหรือไม่ และสอบถามเรื่องรายชื่อที่เขาต้องการให้เข้าเยี่ยมในเรือนจำ ในกรณีที่เขาอาจไม่ได้รับการประกันตัว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 11.18 น. ศูนย์ทนายฯ ได้รับรายงานจากบุ้งว่ามีตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) รวม 2 นาย ได้เดินเข้ามากันไม่ให้หยก ซึ่งปีนรั้วเข้าไปในบริเวณหน้าต่างห้องขังได้พูดคุยกับโฟล์ค โดยกล่าวว่าหากพวกเธอไม่หยุดการกระทำ เขาจะดำเนินการแจ้งละเมิดอำนาจศาล ในขณะที่บุ้งอยู่บริเวณรั้วได้พยายามเจรจาว่า พวกเธอแค่จะพูดคุยรายละเอียดเรื่องการเยี่ยมญาติ หากโฟล์คไม่ได้ประกันตัวเท่านั้น และเมื่อได้ข้อมูลก็จะกลับกันแล้ว

ทั้งนี้ ตำรวจศาลยังคงไม่ยอมให้พวกเธอได้พูดคุยกับจำเลย และบอกให้พวกเธอออกมาจากบริเวณรั้วห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนที่จะเข้าแตะตัวหยก ทำให้บุ้งต้องดึงตัวตำรวจศาลไว้ เพื่อให้หยกสลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ บุ้งบอกว่า ในระหว่างนั้นเธอโดนสกัดจาก รปภ. โดยเขาทุบที่แขนและหลังเธอตลอดระยะเวลาที่เธอพยายามกันไม่ให้ตำรวจศาลเข้าจับตัวหยก

ต่อมา เมื่อนักกิจกรรมทั้ง 2 ราย สลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายได้แล้ว พวกเธอได้พยายามเดินไปพูดคุยกับตำรวจศาลที่เข้ามาแตะตัวหยก เพื่อต้องการสอบถามว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีชื่อว่าอะไร เพราะต้องการจะรู้ว่า มีอำนาจในการแจ้งละเมิดอำนาจศาลจริงอย่างที่ข่มขู่กันหรือไม่

เมื่อถามถึงเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอในช่วงที่บุ้งเตะเข้าที่ต้นขาของตำรวจศาล เธอเปิดเผยว่า อันที่จริงมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าที่เริ่มกระทำกับเธอก่อน โดยเขาได้ชกเข้าที่บริเวณหัวไหล่ของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บและโมโห และเริ่มทะเลาะวิวาทกันบริเวณป้อมยามทางออกของศาลอาญากรุงเทพใต้

ซึ่งในระหว่างที่มีปากเสียงกัน และบุ้งยกเท้าเตะใส่ตำรวจศาลนั้น ตำรวจศาลก็ใช้ดิ้วเหล็กที่ถืออยู่ในมือตีเข้าที่บริเวณศอก จนทำให้เกิดแผลและมีเลือดไหลตลอดเวลา”

ทั้งนี้ ทางด้านสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาชี้แจง ว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาล สามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกไว้ได้

ซึ่งได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมากมาย อาทิ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้นว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ก่อน ที่ผ่านมานางคนนี้โกหกประจำ เชื่อคำแถลงศาลค่ะ, เชื่อศาลค่ะอาจารย์, ศาลท่านดูตามจริง หรือบางคนบอกว่าดูจากคลิป ขออนุญาตเชื่อคำชี้แจงจากศาลครับ หรือ เชื่อคำชี้แจงของศาลครับผมและกล้องวงจรปิด และที่ว่า ใครว่า จนท. ทำไม่ถูก ผมเถียงขาดใจ เสียงออกจะแน่นขนาดนั้น ถึงกับชะงัก

‘บุ้ง ทะลุวัง-หยก’ บุก!! ปีนรั้วศาลอาญากรุงเทพใต้ ด่าทอ-ทำร้ายจนท. หลังศาลพิจารณาคดี ม.112 แล้วเสร็จ!!

สำนักงานศาลยุติธรรมแจงข้อเท็จจริง 'บุ้ง ทะลุวัง-หยก' ปีนรั้วศาล ป่วนศาลอาญากรุงเทพใต้ ชี้ ตร.ศาลป้องกันตัวตามหลักสากลเตรียมเอาผิดตามภาพวงจรปิด!

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.66) สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกรณีเหตุการณ์บริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้  ถนนเจริญกรุง ซึ่งวันนี้มีการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลได้ดำเนินการเสร็จแล้ว จากนั้นมีเยาวชนหญิงได้ปีนรั้วเข้ามาในบริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้โดยตั้งใจที่ ทั้งที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ได้ปิดประตูรั้วหรือห้ามผู้มาติดต่อราชการเข้าแต่อย่างใด และขณะเกิดเหตุประชาชนก็ยังเข้ามาใช้บริการได้ตามปกติ

เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น เจ้าพนักงานตำรวจศาลซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการในบริเวณศาล เห็นเหตุการณ์และได้เข้าห้ามปราม เพื่อไม่ให้ปีนรั้วเข้ามา จึงถูกบุคคลหนึ่งที่มาพร้อมกับพวกรวม 4 คน เข้ากระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาล จากนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้เดินเข้ามาและด่าทอเจ้าหน้าที่ขณะยืนโทรศัพท์รายงานเหตุการณ์และโทรแจ้งตำรวจท้องที่ให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์

ต่อมาบุคคลที่ได้กระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาลก่อนหน้านั้น ได้เดินเข้ามาผลักหน้าอกเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงเดินถอยออกและพูดห้ามปรามตามยุทธวิธีปฏิบัติหลายครั้ง แต่บุคคลดังกล่าวยังเดินเข้ามาเตะเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงใช้กระบองขู่ แต่ก็ไม่หยุดและยังเดินเข้าหาเจ้าพนักงานตำรวจศาลอีก  เจ้าพนักงานตำรวจศาลอีจึงใช้กระบองตีเพื่อระงับเหตุและป้องกันตัว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ กลุ่มบุคคลทั้งหมดขอพบผู้บริหารศาล ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวอ้างว่าจะไปทำแผล  และเดินออกไปจากศาลทั้งหมด ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่เห็นว่าเป็นสิทธิที่จะไปรักษาตัวจึงมิได้ห้ามปรามและขัดขวางแต่อย่างใด

สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาลสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกภาพไว้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับผู้ที่ก่อเหตุคือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคมหรือบุ้ง ทะลุวัง และ เด็กหญิงหยก เยาวชนหญิงคนดังวัย 14 ปี

ขณะที่เฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘นายสิทธิพร ลีลานภาศักดิ์’ ได้เผยแพร่คลิปที่ระบุว่า ‘เหตุเกิดสดๆร้อนๆ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ภาพมันเล่าเรื่อง บุ้ง ทะลุวัง vs ตร. ศาล กรณีละเมิดอำนาจศาล’

รับชมคลิปได้ที่: https://www.facebook.com/sittiporn.lelanapasak/posts/

‘พวงเพ็ชร’ ชี้!! นายกฯ เยือนจีนผลงานเพียบ หวังมุ่งมั่นพัฒนาประเทศ กลับถูกผู้ไม่หวังดีปั่นกระแสจนเกิดความเข้าใจผิด วอน ปชช.อย่าหลงเชื่อ

(20 ต.ค. 66) นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวปลุกปั่น สร้างความเข้าใจผิดในตัว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า ปัจจุบันประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ง่ายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้มีกลุ่มคนผู้ไม่หวังดีเห็นเป็นช่องทางในการปลุกปั่น สร้างข่าวเท็จ และสร้างความเข้าใจผิดโดยไร้การตรวจสอบที่มา เนื้อหา และความถูกต้อง บางข่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อพยายามทำให้เกิดกระแส จนสร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น อย่างเช่นกรณีของ นายกรัฐมนตรี ขณะที่เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 ซึ่งได้พบปะนักธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงกระชับความสัมพันธ์อีกหลายมิติ อันน่าจะเป็นผลงานที่นายกฯทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่กลับมีผู้เห็นต่างเสียดสี โจมตี อีกทั้งสร้างข่าวปลอมทำให้เกิดความเสื่อมเสีย

“ขอให้ประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสารใช้วิจารณญาณให้ดีก่อนส่งต่อ หรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย โดยต้องมีสติ รู้เท่าทันเจตนาของผู้สร้างข่าว อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ขอให้เชื่อมั่นว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีความตั้งใจจริงในการทำหน้าที่ เพื่อพัฒนาประเทศ ให้พี่น้องประชาชนมีความกินดีอยู่ดียิ่งขึ้น” นางพวงเพ็ชร กล่าว

‘ตรีชฏา’ ชี้!! มีขาประจำปล่อยเฟกนิวส์โจมตี ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ซัด!! ออกตัวขวางสุดลิ่ม ไม่สนว่าเป็นนโยบายเพื่อประชาชน

(19 ต.ค. 66) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า การออกมาแสดงความเห็นของกลุ่มที่คัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ถือเป็นเรื่องปกติของการกำหนดนโยบายสาธารณะใหม่ ๆ ที่ย่อมมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมที่จะรับฟังทุกฝ่าย แต่สำหรับกลุ่มขาประจำในทางการเมืองที่อยู่ในวุฒิสภาและอดีตนักการเมืองไม่กี่คน จะออกมาเป็นระยะ ๆ เพื่อขวางไม่ให้นโยบายนี้เดินหน้าได้สำเร็จ โดยหลงลืมไปว่านโยบายนี้ กกต.ได้รับรองแล้วว่าเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงได้และไม่เป็นการสัญญาว่าจะให้ เพราะเป็นการใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดิน

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้ชี้แจงยืนยันหลายครั้งแล้วว่านโยบายนี้จะเดินหน้าต่อและจะไม่มีวันยุติอย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่ใช่นโยบายแจกเงิน แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นประชาชนเพื่อนำมาปรับปรุงบางอย่างให้ตอบโจทย์การปลุกเศรษฐกิจให้คืนชีพ และมีแรงที่เข้มแข็งทางด้านเงินหมุนเวียน ซึ่งภาครัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบายกำลังเร่งประชุมคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องเพื่อให้ทุกอย่างมีแนวทางที่ชัดเจน ซึ่งจะสามารถตอบคำถามต่าง ๆ เช่น แหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขผู้ได้รับเงินดิจิทัล กระบวนการแจกเงินซึ่งรายละเอียดที่มาของเงิน วิธีการใช้ ความคุ้มค่าและประโยชน์การดำเนินการ ซึ่งอีกไม่กี่วันผู้เกี่ยวข้องจะออกมาอธิบายต่อสาธารณะโดยละเอียด

น.ส.ตรีชฎา กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีผู้กล่าวหาว่าจะเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเรื่องการจัดทำแอปพลิเคชัน นายกฯ ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีการจ้างบริษัทเอกชนใด ๆ มาจัดทำโดยมีค่าใช้จ่าย 12,000 ล้านบาทอย่างที่มีการกล่าวหากัน และเป็น Fake News จึงขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจเพราะการดำเนินการใด ๆ ล้วนอยู่ในสายตาของสื่อและสังคม ขอให้ประชาชนอย่าไปหลงเชื่อ Fake News ที่หลอกลวงทำให้เข้าใจผิด แปลงเจตนาดีเป็นเจตนาร้าย ยืนยันว่ารัฐบาลเพื่อไทยดำเนินนโยบายทุกอย่างตามที่ได้หาเสียงไว้ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ 

ขณะนี้มีความพยายามปล่อยข่าวว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพราะคนเลือกพรรคเพื่อไทยมีแค่ 10 ล้านคน อีก 60 ล้านคนไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ตรรกะและเหตุผล เพราะตามระบอบประชาธิปไตยมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกำลังมุ่งแก้ปัญหาให้ประเทศ ทำให้คนส่วนใหญ่มีเงินใช้จ่ายภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเป็นแสนล้านบาท ประการสำคัญคือการช่วยคนจนให้มีเงินทองใช้จ่ายซื้อข้าวของมาใช้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ร้านค้าร้านขายมีรายได้ ภาครัฐก็จะได้เป็นภาษีตามระบบ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลตั้งใจมาแก้วิกฤตประเทศ และต้องการช่วยเหลือประชาชนที่เป็นฐานรากสำคัญของประเทศเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

‘นายกฯ เศรษฐา’ โชว์ซี้!! ได้เบอร์สายตรง ‘นายกฯ จีน’ พอใจเจรจานักลงทุนลุยไทย เชื่อเพิ่มมูลค่านับล้านล้าน

(19 ต.ค. 66) ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือทวิภาคีกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า ได้มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง เรื่องการขนถ่ายสินค้าจากไทยไปจีนผ่านลาวที่พบว่ายังมีอุปสรรค คือ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากหนองคายไปลาว  ซึ่งตนได้บอกนายกฯ จีนว่า ควรจะมีการผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้การขนถ่ายสินค้าเป็นไปด้วยดี 

ซึ่งหากมีการสร้างสะพานดังกล่าวในช่วงจังหวัดหนองคาย ก็จะมีการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าด้วย พร้อมยืนยันว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติรถไฟรางคู่จากขอนแก่นไปหนองคาย เพื่อบรรเทาความแออัด ในการขนถ่ายสินค้า ระหว่างการสร้างรถไฟความเร็วสูง อีกทั้งยังได้แจ้งว่ารัฐบาลได้มีการอนุมัติการทำการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ทำให้ประเทศไทยในอนาคตจะไม่ใช่แค่เส้นทางผ่านการขนถ่ายสินค้าอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพราะหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะเป็นโครงการเมกกะโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์ปัญหาความแออัดของการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะลดระยะทางและลดความแออัดลงได้ 

ดังนั้นการมีแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามัน-อ่าวไทย จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งจะไม่ใช่การขนถ่ายสินค้าระหว่างจีนผ่านไปอินเดีย ไปตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างเดียว แต่จะสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่า การสร้างโรงงานที่ประเทศไทย จะทำให้การขนถ่ายสินค้า ขนส่งกระจายไปทั่วโลกอย่างสบาย ซึ่งนายกฯ จีนได้ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการที่มาเสริมให้บีอาร์ไอมีศักยภาพและเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้ สอดคล้องกับเจตนาของประเทศจีน

นายเศรษฐา กล่าวว่า เชื่อว่าการมาจีนครั้งนี้ รัฐบาลประสบความสำเร็จ และมั่นใจว่าหากเกิดแลนด์บริดจ์ รวมทั้งการลงทุนด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งขณะนี้มีเข้ามาแล้ว 4 เจ้า และจะได้เจรจาอีก 2 เจ้า จะสามารถสร้างเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาท ซึ่งนับตัวเลขไม่ได้ เพราะประเทศจีนพัฒนาเยอะมาก และเป็นความโชคดีที่ไทยตั้งอยู่จุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ เรามีความเป็นกลาง มีความเป็นมิตร

"เมื่อวานนี้ผมรู้สึกว่ามีความผูกพันที่ดีมาก ๆ กับนายกฯ จีน ซึ่งท่านได้ให้เบอร์มือถือไว้ หากมีอะไรก็สามารถโทรพูดคุยได้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี โดยสองประเทศต้องพึ่งพากัน โดยเราต้องพึ่งจีนในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ ซึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ในการแสดงดนตรีร้องเพลงไทย คือ เพลงลอยกระทง ซึ่งมีการฝึกกันนานมาก แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับเรา ทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยดีมาก" นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้าการเกษตร ซึ่งจีนพร้อมสนับสนุนทุกมิติ โดยตนได้ขอให้การนำเข้าวัวของจีน เป็นนโยบายหลักของที่ไทยจะส่งออกวัวให้กับจีนที่เป็นตลาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกวัวจะต้องผ่านการตรวจสอบที่ประเทศลาว รัฐบาลไทยจึงขอให้มีการศูนย์ตรวจสอบที่ประเทศไทย ซึ่งจะทำตามกฎของประเทศจีนทุกอย่าง อาทิ การตรวจโรค การฉีดวัคซีน ซึ่งมีความสำคัญมาก จะทำให้การพัฒนาส่งออกวัวได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางราง หรือทางเรือ ไม่ต้องไปพึ่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนายกฯ จีนยืนยันให้ความสำคัญและจะพิจารณาข้อเสนอของไทย ขณะเดียวกัน ยังได้หารือเรื่องวีซ่าฟรี ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้คนจีนเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง 29 ก.พ.67 แต่รัฐบาลมีความประสงค์จะขยายให้เป็นแบบระยะยาว ซึ่งทางจีนรับไปพิจารณา แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบสนองที่ดี

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการหารือกับนายกฯ จีน ถึงการแก้ปัญหาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ยังติดปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ซึ่งนายกฯ จีนรับปากว่าจะไปช่วยดูให้ ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้พูดคุยกับกองทัพจีนด้วย โดยที่ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะได้พบกับ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน ก็จะได้มีการพูดคุยต่อเนื่อง ส่วนรายละเอียดขอให้ทาง รมว.กลาโหมได้ชี้แจง เพราะเป็นผลงานของนายสุทิน

'พวงเพ็ชร' นำสื่อรัฐพบ CMG สื่อยักษ์จีน ผสานความ ‘สัมพันธ์-ร่วมมือ’ สื่อ 2 ประเทศ

(19 ต.ค.66) นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายวราวุธ ยันต์เจริญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นางสุดฤทัย เลิศเกษม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และคณะ เข้าเยี่ยมชมสถานีโทรทัศน์ระหว่างประเทศของจีน (China Global Television Network: CGTN) ซึ่งเป็นหน่วยสื่อภายใต้กลุ่มสื่อแห่งชาติจีน (China Media Group: CMG) โดยมี นายอาน เซี่ยวหยู (An Xiaoyu) รองผู้อำนวยการเครือข่ายโทรทัศน์ภาคบริการโลกแห่งประเทศจีน และผู้อำนวยการศูนย์เอเชีย-แอฟริกา กลุ่มสื่อแห่งชาติจีน (CMG) ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ นางพวงเพ็ชร และคณะ ได้เยี่ยมชมการทำงานของสื่อจีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตและออกอากาศที่ก้าวหน้าทันสมัย ซึ่งเป็นสื่อโทรทัศน์ที่มีกลุ่มเป้าหมายต่างชาติกว่า 180 ประเทศ เข้าถึงกลุ่มผู้ฟังกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ใช้ภาษาออกอากาศ 68 ภาษา มีศูนย์ผลิตรายการ สำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่ง และอีกใน 3 แห่ง ได้แก่ กรุงวอชิงตัน ลอนดอน และนาโรบี (ไนจีเรีย) โดยครั้งนี้ได้เยี่ยมชม เทคโนโลยี 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ศูนย์ปฏิบัติการมอนิเตอร์ข่าว 2.ศูนย์มัลติมีเดีย สื่อออนไลน์ 3.สตูดิโอรายการภาคภาษาอังกฤษ 4.ห้องควบคุมการออกอากาศ รวมทั้งได้ทดลองใช้อุปกรณ์การออกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง การนำ Application มาประยุกต์ใช้ในวงการสื่อของจีน ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว มีความทันสมัย และน่าสนใจ

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองในการดำเนินความร่วมมือด้านสื่อระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการฝึกอบรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดย นายอาน เซี่ยวหยู ได้เน้นย้ำถึงบทบาทและความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีส่วนช่วยในการยกระดับมาตรฐานการรายงานข่าวและขยายการเข้าถึงติดตามข่าวสารได้ทั่วโลก

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ปัจจุบันรูปแบบของการสื่อสารมีการปรับตัวอยู่เสมอ และประชาชนนิยมรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย และสามารถเชื่อมโยงครอบคลุมได้ทั่วโลก การสื่อสารระหว่างประเทศถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการรับรู้ ส่งเสริมภาพลักษณ์ และสร้างความเข้าใจทางวัฒนธรรมระหว่างกัน การเยี่ยมชมครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างสื่อของไทยและจีน และย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในอนาคต อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ได้นำคณะสื่อภาครัฐอย่างกรมประชาสัมพันธ์มาเยี่ยมชมแนวทางการสื่อสารผ่านสื่อยุคใหม่ที่มีความทันสมัย และก้าวทันโลก สามารถนำไปปรับใช้กับการสื่อสารของไทยได้ในอนาคต 

‘เพชร’ แจง เคสทำร้ายร่างกายภรรยา เป็นแค่สมาชิกร่วมลงพื้นที่ ยัน!! ไม่นิ่งนอนใจ หากพบทำผิดจริง พร้อมขับออกจากพรรค

(19 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคก้าวไกลทำร้ายร่างกายภรรยา ว่ายืนยันพรรคจะไม่อดทนกับการใช้กำลังในการตัดสินปัญหาและแก้ปัญหา รวมถึงชายทำร้ายหญิง หญิงทำร้ายชาย เราไม่สามารถยอมรับได้ แต่ขอเรียนว่าจากการสอบถามและค้นประวัติพบว่าเป็นเพียงสมาชิกพรรคที่สมัครเข้ามาเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และตรวจสอบจากคณะทำงานของพรรคที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารพรรคไม่มีชื่อบุคคลดังกล่าว เราจึงมั่นใจได้ว่าบุคคลนี้ไม่ได้เป็นคณะทำงานแต่เป็นสมาชิกพรรคที่ร่วมลงพื้นที่กับคณะทำงานของพรรคเท่านั้น 

เมื่อถามถึงมาตรการในการดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว นายกรุณพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหรือ สส. ถ้าอยู่ในสังกัดพรรคก้าวไกล เราจะสอบสวนตามระเบียบกฎกติกาของสมาชิกพรรคอยู่แล้ว และถ้าผิดคงต้องขับออกจากพรรค ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนก็โดยขับออก แม้กรณีดังกล่าวจะมีคดีความแล้วก็ตาม แต่พรรคยืนยันเสมอไม่ว่าคดีทำร้ายร่างกายหรือ คดีมาตรา 112 ที่พยายามเรียกร้องว่าก่อนศาลตัดสินว่าผู้ใดกระทำผิด เราต้องเชื่อว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เช่นเดียวกับคดีดังกล่าวไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าเหตุใดจึงเกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น และผู้ที่ทำร้ายร่างกายคือบุคคลนี้จริงหรือไม่ ถ้าใช่ ไม่ต้องกังวล พรรคขับออกแน่นอน 

เมื่อถามอีกว่าภายหลังจากนี้จะมีวิธีคัดกรองบุคคลเข้าเป็นทีมอย่างไร นายกรุณพล กล่าวว่า พรรคคัดกรองระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะคนที่เข้าไปเป็นทีมงานต้องรู้จักกับผู้สมัคร สส. และคณะทำงานจังหวัดอยู่แล้ว รวมถึงต้องดูประวัติย้อนหลังว่ามีอะไรที่น่ากังวลหรือไม่ แต่ตนเข้าใจว่าการคัดกรองคนดี ไม่ดี เราดูจากประวัติอาชญากรรมหรือพฤติกรรม แต่นิสัยส่วนตัวไม่ว่าจะติดยาเสพติด อารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง เราไม่สามารถดูได้หากไม่มีประวัติหรือการกระทำนั้นมาก่อน 

ต่อข้อถามว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลมีแต่เรื่องการใช้ความรุนแรงทางเพศ นายกรุณพล กล่าวว่า ด้วยความที่พรรคมีสมาชิกพรรคและ สส. มากที่สุดในประเทศ รวมถึงเครือข่ายที่กำลังขยายในทุกระดับ จึงทำให้คนที่สนใจพรรคมีมากขึ้น อีกทั้งพรรคให้เสรีภาพกับประชาชนในการใช้โลโก้ผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น เสื้อ ของที่ระลึก เพื่อจำหน่าย จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งพรรคพยายามตรวจสอบและตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

ถอดรหัสประโยชน์หลากเด้ง 'รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย' ความเหลื่อมล้ำคนเมืองที่ถูกเคลียร์ไปพร้อมๆ กับการลดราคา

หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนเลือกตั้ง นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย อย่างค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถูกปรามาสอย่างรุนแรง ว่าคงไม่สามารถทำได้จริง และมองนโยบายนี้เป็นเพียงนโยบายหาเสียงไว้เรียกคะแนนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมองถึงวันที่นโยบายนี้ถูกเข็นออกมา…นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ยกเหตุผลประกอบที่พอฟังดี ๆ นี่ไม่ใช่แค่นโยบาย แต่จะเป็นหมัดเด็ดซื้อใจเพื่อโกยฐานคนกรุงและปริมณฑล หากมีโอกาสทำ ได้มากพอสมควร

ตอนนั้น เศรษฐา ร่ายยาวว่า ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง เป็นปัญหายอดนิยมคู่กรุงเทพฯ มานานตั้งแต่รถไฟฟ้าเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ปี 2542 โดยเป้าหมายแท้จริงตอนที่จะเริ่มสร้างนั้น ก็เพื่อสร้างระบบขนส่งมวลชนที่ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ในความเป็นจริง กลับตาลปัตรมิได้เป็นเช่นหวัง เพราะปัจจุบันรถไฟฟ้ากลายเป็นระบบขนส่งของชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น เนื่องด้วยค่าบริการที่คนในสังคมหลาย ๆ กลุ่มเข้าไม่ถึง 

ที่กล่าวว่าหลายกลุ่มในสังคมเข้าไม่ถึงก็เพราะว่า ถ้าเปรียบเทียบราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ ต่อเที่ยวคิดเป็น 11% ของค่าแรง (ไปกลับก็ 22%) ซึ่งแพงมากเทียบกับอัตราส่วนเพียงแค่ 1.5% ของค่าแรงที่เกาหลีใต้ 2.9% ที่ญี่ปุ่น หรือ 3.5% ที่สิงคโปร์ ซึ่งสังเกตได้ว่าในประเทศเหล่านั้นการขึ้นรถไฟฟ้าเป็นเรื่องปกติ จนเหมือนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน 

นอกจากนี้แล้ว ประเด็นอัตราค่าโดยสารที่แพงกว่าคนอื่นนี้ ถูกซ้ำเติมโดยสภาวะเงินเฟ้อและวิกฤตโควิดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาอีก ในเมื่อสินค้าจำเป็นแพงขึ้นและรายได้ลดลง รถไฟฟ้าก็กลายเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเข้าไม่ถึงยิ่งไปกว่าเดิม ทำให้ประชาชนหลายคน ต้องยอมเสียเวลาเดินทางหลายต่อ นั่งรถตู้มาจากบ้าน ต่อรถเมล์ และเดินเพื่อให้ไปถึงที่หมาย เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายค่ารถไฟฟ้าได้ เผลอ ๆ จะต้องเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกเป็นชั่วโมง

เกมนี้ พรรคเพื่อไทย จึงฉลาดที่พยายามย้ำคำว่า “รถไฟฟ้าควรเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนชาวไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้” และเลือกสร้างนโยบายที่จะเข้าไปแตะราคาค่ารถไฟฟ้าให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งเตรียมเร่งเจรจากับทุกภาคส่วนเพื่อลดค่าโดยสารลงให้เหลือ 20 บาทตลอดสายกับเส้นสีอื่น ๆ ให้เป็นอัตราขั้นต่ำที่เข้าถึงได้ และเป็นสิ่งที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว (เช่น ฝรั่งเศส)

กล่าวโดยสรุป ประโยชน์จากนโยบายการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ก็เพื่อปลดล็อกรถไฟฟ้าให้เหมาะต่อกลุ่มคนเมืองจำนวนมาก ด้วยราคาที่ไม่เกินเอื้อม

ขณะเดียวกัน การเข้าถึงระบบการเดินทางที่มีคุณภาพ สะดวก ปลอดภัย ตอบโจทย์ จะทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องชาวเมืองดีขึ้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ถ้ามองเชื่อมไปถึงประโยชน์ภาพใหญ่ของประเทศ นโยบายนี้ก็จะเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพของเมือง’ ซึ่งตีเป็นมูลค่าเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ในทางตรง ขณะที่ในทางอ้อมนโยบายนี้ก็จะจูงใจให้คนเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น จนลดการใช้รถใช้ถนน ลดปริมาณจราจรบนท้องถนน ช่วยบรรเทาปัญหารถติด สามารถคืนเวลาทำมาหากินที่เสียไปเปล่า ๆ กับการเดินทางบนท้องถนน ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้มหาศาล และยังทำให้ประชาชนชาวไทย ไม่ต้องอดหลับอดนอน มีเวลากับตัวเอง กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน

ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายนี้ยังจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในทางบวก จะช่วยลดการปล่อยมลภาวะอันเกิดจากการลดอัตราการใช้รถใช้ถนน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ก่อให้เกิดปัญหา PM 2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบของประชาชนอีกด้วย 

เรียกได้ว่า ถ้าเพื่อไทยทำแล้วเกิดผลลัพธ์เชิงบวกได้แบบโดมิโน่ แถมอาจเข้ามาเป็นฮีโร่ปลดล็อกราคาสายรถไฟฟ้าสีอื่น ๆ นอกจาก 'ม่วง-แดง' โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสายหลักสีเขียว (ไม่ต้องถึง 20 บาทก็ได้) โอกาสที่ชื่อเพื่อไทยจะไม่หลุดไกลจากสารบบคนกรุง ในวาระการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็มีความเป็นไปได้สูง

ส่องชะตากรรมพันธมิตรฯ ไม่คิดหลบหนีคดี ล้มละลายไม่พอ ตามลุ้นอาญาคดีสนามบินต่อ

หะแรก...ตั้งใจจะตามไปดูเรื่อง 'ซูเปอร์ แอป' ที่จะรองรับมหกรรมกระตุกเศรษฐกิจด้วยวงเงิน 5.6 แสนล้านบาทกับเขาหน่อย แต่ฟังว่าวันที่ 19 ต.ค.นี้ ท่าน รมช.คลัง 'จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์' จะนั่งหัวโต๊ะประชุมอนุกรรมการขับเคลื่อนพิจารณาเรื่องนี้กันอีกหน ก็ขอยกยอดไปว่ากันวันเสาร์ก็ละกัน 

แต่ถึงยังไงฟังการสัมภาษณ์ข้ามประเทศมาจากจีนแผ่นดินใหญ่...นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ก็ยอมรับว่าจะมีแอปฯ ใหม่ แต่ไม่ลงทุนเวอร์วังอลังการระดับ 1.2 หมื่นล้านแต่ประการใด และขอรับรองอีกต่างหากว่าเครือแสนสิริของท่านไม่เกี่ยวข้อง...

ทราบแล้วเปลี่ยน!!

จากเรื่องหมื่นล้านมาพูดถึงเรื่องพันล้านดีกว่า...เรื่องนี้ แรกเริ่มนั้นการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือทอท.ฟ้องเรียกค่าเสียหายแค่ 522 ล้าน แต่ผ่านมาหลายปีดอกเบี้ยบานตอนนี้จะร่วมพันล้านบาทแล้ว และจำเลยที่ถูกฟ้อง 12 คน (เสียชีวิตไป 1 คน คือ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์) ก็ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตามประกาศในราชกิจจา เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา..

ครับ...'เล็ก เลียบด่วน' ขอบันทึกคดีประวัติศาสตร์นี้ไว้ให้ปรากฏในตำนานข่าว...กับเขาด้วยคน โดยใคร่สรุปว่าคดีนี้คือ คดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ไปชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยคุณทักษิณ ชินวัตร ที่หน้าอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปลายเดือน พ.ย.2551 

จบการชุมนุมพันธมิตรฯ ถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาก่อการร้าย, ปลุกปั่น, ยุยง ฯลฯ 98 คน และถูกฟ้องคดีแพ่งจากการบินไทย, วิทยุการบินและ ทอท.จำนวนหลายคน  

จำเพาะที่ถูกฟ้องโดย ทอท.12 คน ก็ดังที่กล่าวไปแล้ว...ส่วนคดีที่การบินไทยและวิทยุการบินฟ้องแพ่งนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา...

แต่ที่น่าระทึกใจและมาช้ากว่าคดีแพ่งของ ทอท.ก็คือคดีอาญาของ 98 ผู้ต้องหา ตั้งแต่ระดับแกนนำอย่าง 'จำลอง-สนธิ' จนมาถึงชาวบ้านที่ช่วยเคาะกะละมังประกอบวงดนตรี คาดว่าน่าจะมีการตัดสินในปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ซึ่งว่ากันตามหน้าเสื่อหน้าไพ่...ไม่ได้ก้าวล่วงศาลแต่ประการใด ก็น่าจะอนุมานได้ว่าต้องมีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินลงโทษจำคุก...และที่ต้องลุ้นกันแบบประมาทไม่ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องก็คือคดีชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลา 2551 ซึ่งศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 2 พ.ย.2566 นี้...

ผิดถูกอย่างไรก็ว่ากันไป...ทุกคนต้องเคารพการตัดสินของศาล และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องชื่นชมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่มีใครคิดหลบหนีคดี จนต้องประสบชะตากรรม อย่างที่เห็นและเป็นไป...

'เล็ก เลียบด่วน'...ไม่ได้มาซ้ำเติมชะตากรรม แต่ขอขานชื่อด้วยความคารวะต่อ 11 ท่านที่ศาลพิทักษ์ทรัพย์ ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายอมร อมรรัตนานนท์, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี...

ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองของพรรคก้าวไกลไปถึงไหนอย่างไร ค่อยว่ากันวันหลัง แต่ในชั้นนี้ฟังมาว่าไม่ค่อยเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ซักเท่าใดนัก...เอวัง!!

‘โตโต้’ ไล่บี้ถาม ‘กทม.’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่? หลังปล่อยตลาดนัดเถื่อน ‘ซุกพนัน-ไร้ใบอนุญาต’

(18 ต.ค.66) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงถึงความคืบหน้าการเปิดตลาดนัดสัญจรที่มีการพนันอยู่เบื้องหลังในพื้นที่เขตบางนา ว่า เรื่องนี้เป็นมากกว่าการพนัน แต่เป็นขบวนการต้มตุ๋นประชาชนที่อาศัยพื้นที่ในตลาดดังกล่าว เพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชนเป็นจำนวนมากต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทราบดีว่าทุกๆ เดือน บ่อนเหล่านี้จะมาตลาดเดือนละ 10 วัน และเวียนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เขตบางนา เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตอื่นๆ อีก รวมถึงปริมณฑลด้วย ดังนั้นปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยในเขตบางนาเท่านั้น และจะต้องมีผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีสีอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เนื่องจากเราได้ติดตามและร้องเรียนกับทุกหน่วยงานของรัฐ เริ่มจากสำนักงานเขตบางนา โดยตนทำหนังสือร้องเรียนไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งทางสำนักงานเขตฯ ตอบกลับมาว่า ตลาดกำลังขออนุญาตแต่ยังไม่ได้รับอนุญาต ตนจึงขอตั้งคำถามว่า 1. ตลาดเปิดได้อย่างไร 2. สำนักงานเขตฯ ชี้แจงว่า ได้มีการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว แต่เมื่อตนดูในเอกสารเป็นเอกสารที่ปรับแค่เรื่องการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ได้ปรับตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สาธารณะว่าด้วยเรื่องตลาด และข้อบัญญัติของกรุงเทพฯ ว่าด้วยเรื่องการอนุญาตตั้งตลาด

นายปิยรัฐ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมการปกครอง จนขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา และยังไม่ได้รับคำรับรองว่าจะดำเนินการอย่างไรจากกระทรวงมหาดไทย ตนจึงไปตั้งคำถามในสภาฯ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา คิดว่าเรื่องที่จะได้รับการแก้ไขแต่ปรากฏว่า ได้มีการตั้งตลาดอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 23 ต.ค. โดยประชาชนได้มีการร้องเรียนมายังตน ประชาชนรายที่เสียหายหนักที่สุดเป็นเงินมากถึง 3 แสนกว่าบาท ตนก็ถูกตราหน้าว่าส.ส. มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เพราะร้องเรียนไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้รับการแก้ไข จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ตนต้องไปยืนเตือนประชาชนที่จะเข้าไปใช้พื้นที่ตลาด จึงเป็นประเด็นที่ต้องมาถกเถียงกันในวันนี้

นายปิยรัฐ กล่าวต่อว่า ดังนั้นตนขอชี้แจงเพิ่มเติม 2 ประเด็น ประเด็นแรกตลาดไม่ได้มีการจัดในรูปแบบทั่วไป เนื่องจากมีกฎหมายระบุว่า ตามพ.ร.บ.สาธารณสุข ซึ่งการตั้งตลาดนัดจะต้องมีการอนุญาตจากท้องถิ่น ถึงจะสามารถจัดตั้งได้ ดังนั้นเมื่อทางกทม. ไม่ได้อนุญาต แล้วมีการจัดตั้งตลาดได้อย่างไร ล่าสุดทางกทม. ได้ออกมาแถลงว่า ไม่ได้มีการปรับในรอบล่าสุดเพราะตลาดขออนุญาตอย่างถูกต้องในปี 2564 ตนจึงตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนขออนุญาต และขอตั้งแต่เมื่อไหร่ รูปแบบผังเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นข้อผิดพลาดของกทม. หรือไม่ เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ประเด็นที่สอง ตลาดลักษณะนี้ไม่ได้เป็นไปตามผังตลาดอย่างแน่นอน เนื่องจากการทำตลาดนัดต้องมีผังชัดเจน ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยข้างเคียง ซึ่งตลาดดังกล่าวกระทบแน่นอน ทั้งเสียง การจราจร นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตนยืนยันว่าตลาดล่าสุดที่เกิดขึ้นซึ่งใช้พื้นที่เอกชน ไม่ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สำนักงานเขตฯ ต้องชี้แจงเรื่องนี้ หลังออกมาแถลงว่าไม่มีการปรับรอบนี้ ตนถือว่ารอบนี้มีปัญหา

“ส่วนสน.และตำรวจจะอ้างว่าไม่พบการพนันที่เกิดขึ้นหลังตรวจสอบแล้ว ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ตำรวจมักจะไม่เจออะไรในสิ่งที่ตำรวจไม่อยากเจอ นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อตำรวจไม่อยากเจอ เขาก็สามารถบันดาลว่าไม่เจอได้ ขอความเห็นใจจากประชาชนเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และฝากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของท่านหลายพื้นที่ อยู่ที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่“นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้ขนาดนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ นายปิยรัฐกล่าวว่า ที่มีการร้องเรียนมาถึงตนเองรวมๆ ก็เกือบล้าน รายเดียวก็ 3 แสนกว่า และรายอื่นๆ คนละ 2-5 หมื่นบาท ทั้งนี้จะเป็นคดีความหรือไม่ต้องแล้วแต่ความสะดวกผู้ร้องทุกข์ เนื่องจากรู้ว่านี่คือกลุ่มผู้มีอิทธิพล

“ผมคงไม่สามารถไประบุชัดเจนว่าเป็นบุคคลใดหรือสีไหน เพียงแต่ว่าหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงานที่ผมไปร้องเรียน และดำเนินการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย สำนักงานเขต สถานีตำรวจ ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง แม้เราจะมีความพยายามแล้ว โดยเฉพาะตนได้มีการตั้งคำถามหารือผ่านประธานสภาไปตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. ยังปล่อยให้มีลักษณะนี้อีก ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นใคร และจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน” นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีการไปร้องเรียนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.) ตนวางแผน และปรึกษาหารือกับพรรคว่าจะตั้งกระทู้ถามสดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเข้ามาตอบกระทู้ถามสดนี้ของตนเกี่ยวกับประเด็นนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่า ถ้ามีเบาะแสหรือหลักฐาน ก็ยินดีที่จะรับเรื่องไว้ จะมีการไปพูดคุยกับนายชาดาหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ตนได้ส่งเรื่องไปที่กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ถ้านายชาดาต้องการเพิ่มเติม ตนก็พร้อมให้ความร่วมมือ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่มีที่เขตบางนาเท่านั้น ดังนั้นในฐานะตนที่เป็นโฆษกและกรรมาธิการความมั่นคงฯ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงซึ่งจะนำเข้าหารือในที่ประชุมกมธ.ในวันพรุ่งนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top