Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘ศิริกัญญา’ มอง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น’ อาจถึงทางตัน เหตุกู้ออมสินไม่ได้ ชี้!! ขัดต่อ พ.ร.บ.ก่อตั้งธนาคาร

(23 ต.ค. 66) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมกันอย่างต่อเนื่อง ที่ทิศทางของโครงการอาจจะไปสู่ทางตัน ว่า…

[หรือว่า Digital wallet จะถึงทางตัน...?]

ธนาคารออมสินที่ยืนหนึ่งเป็นแหล่งที่มาของงบที่จะใช้สำหรับ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 5.6 แสนล้าน อาจจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว

ไม่ใช่แค่ว่าออมสินมีสภาพคล่องไม่พอ แต่เป็นเรื่องข้อจำกัดของกฎหมายที่ไม่อนุญาตให้ออมสินปล่อยกู้ให้รัฐบาลได้

ตามมาตรา 7 ของ พรบ.ออมสิน กำหนดวัตถุประสงค์เอาไว้ว่าให้ทำกิจการใดบ้าง ซึ่งก็เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ รับฝากเงิน ปล่อยกู้ ซื้อขายพันธบัตร ลงทุน ไม่มีข้อไหนที่ให้รัฐบาลกู้เงินได้ แต่หากจะทำกิจการอื่น ต้องตราเป็น พรฎ.

ซึ่งเมื่อไปดูใน พรฎ. กำหนดกิจการพึงเป็นงานธนาคาร ระบุกิจการไว้ 13 ข้อ ลงรายละเอียด ไปจนถึงธุรกิจเงินตราต่างประเทศ การออกบัตรเครดิต ที่ปรึกษาการเงิน แต่ก็ไม่มีข้อไหนเลยที่เข้าข่ายจะตีความว่านำเงินให้รัฐบาลกู้ยืมได้ ถ้าไม่เชื่อลองถามกฤษฎีกาดูก็ได้ค่ะ

ความหวังที่จะใช้เงินออมสินมาเป็นแหล่งเงินของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็คงต้องจบลงแค่นี้ ยกเว้นแต่ว่าจะมีการแก้กฎหมาย ซึ่งไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรทำ

สมัยประยุทธ์ทำรัฐประหารใหม่ๆ ก็เคยออกคำสั่ง คสช. แก้ พรบ.กสทช. ว่าด้วยวัตถุประสงค์ กองทุนวิจัยและพัฒนา ของ กสทช. ให้เพิ่มว่ากองทุนสามารถให้กระทรวงการคลังกู้ยืมเงินได้ ซึ่งต่อมากระทรวงการคลังก็มากู้ไปจริงๆ 14,300 ล้านบาท (ที่ตลกก็คือ มีการออกคำสั่ง คสช.อีกฉบับเพื่อแก้ พรบ.กลับไปเป็นเหมือนเดิม พร้อมยกหนี้หมื่นล้านนี้ให้กระทรวงการคลังด้วย) 
เราก็ต้องมาวัดใจกันดูว่าจะถึงขั้นแก้กฎหมายเพื่อให้รัฐฯ สามารถกู้เงินออมสินได้หรือไม่

**ถ้าไม่แก้กฎหมาย เหลือทางเลือกอะไรอยู่บ้าง**

เหลือแค่ใช้เงินงบประมาณ กับออก พรก.กู้เงิน เหมือนช่วงโควิด

Update ข้อมูลงบ 67 ที่ปรับปรุงใหม่ ตามภาพที่ 2 ถึงจะขยายงบเป็น 3.48 ล้านล้าน แต่ก็ต้องจ่ายหนี้เพิ่ม ลงทุนเพิ่มตามไปด้วย เมื่อหักรายจ่ายที่ยังไงก็ต้องจ่าย ทั้งเงินเดือนสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ งบใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เงินชดใช้เงินคงคลัง งบท้องถิ่น และสวัสดิการตามกฎหมาย

งบที่เหลือมาจัดสรรใหม่ได้จริงเพิ่มมาเป็น 476,000 ล้าน ก็จริง แต่ขอย้ำว่านี่คือรายจ่ายประจำที่ต้องแชร์กับพรรคร่วมรัฐบาล 20 กระทรวง ถ้าใช้หมดนี่ก็หมายความว่า แต่ละกระทรวงได้เงินแค่พอจ่ายเงินเดือน กับงบลงทุนโครงการอื่นๆ ไม่ต้องทำกันแล้ว จะตั้งกองทุน Soft Power ก็ไม่ได้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพิ่มงบไม่ได้ งบอุดหนุนบรรเทาภัยแล้งก็ไม่ได้ งบอุดหนุนดับไฟป่าแก้ PM 2.5 ก็ไม่ได้ โครงการฝึกอบรม Upskill-reskill อะไรก็ทำไม่ได้ทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงค่าตอบแทน อสม. กำนันผู้ใหญ่บ้าน ก็หายหมดเช่นเดียวกัน ซึ่งเท่ากับว่าทางเลือกนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนเดิม

หรือ... จะให้ผู้ประกอบการเก็บเหรียญดิจิทัลไว้ ยังไม่ให้แลกคืน รออีกซักปี 2 ปี ให้มีงบประมาณพอ ก็อาจเป็นอีกทางเลือก แต่ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไม่มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการ

ทางเลือกสุดท้าย คือออกเป็น พรก.เงินกู้แบบที่ทำช่วงโควิด ก็จะถือเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองชัดๆ ซึ่งก็ทำไม่ได้อีกเพราะไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนตาม รธน.

น่าคิดนะคะ ว่าอาจจะถึงทางตันจริงๆ

‘เศรษฐา’ เรียก รมต.ติดตามงาน ก่อนประชุมช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล พร้อมจับตา!! ‘เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง’ คิกออฟ ‘30 บาทพลัส’ นัดแรก 24 ต.ค.นี้

(23 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้ากระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นประธานการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินความไม่สงบในอิสราเอล-กาซา (RRC)

ก่อนการประชุมดังกล่าวนายกฯ ได้เรียกรัฐมนตรีมาหารือนอกรอบ ประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน, นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล รวมถึงเรื่องการช่วยเหลือตัวประกัน นอกจากนี้จะมีหารือ เรื่องการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน และการเตรียมข้อมูลด้านเอกสารในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่  24 ต.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในวันที่ 24 ต.ค.เวลา 13.00 น. ภายหลังการประชุมครม.นายกฯ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 /2566 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพ เข้าร่วมประชุมด้วย

นอกจากนี้ยังมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการฯ เพื่อประชุมพิจารณาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคพลัส ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา

‘ณัฐจิรา’ ชี้ ‘เศรษฐา’ บริหารไม่ถึง 2 เดือน ลดค่าครองชีพ ปชช.ต่อเนื่อง ลั่น!! รัฐฯ มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง หนุนคนไทยมีงานทำ-มีกินมีใช้อย่างยั่งยืน

(23 ต.ค. 66) น.ส.ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน จนถึงเวลานี้ไม่ถึง 2 เดือน รัฐบาลเดินหน้าลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดค่าไฟฟ้า ที่เป็นปัญหาหนักอกของคนไทยมานานหลายปี จนถึงเวลานี้ ค่าไฟฟ้าตามบ้านลดลงจนหลายครอบครัวมีความสุขมากขึ้น รวมทั้งลดราคาน้ำมันส่งผลให้ประชาชนประหยัดเงินได้มาก

น.ส.ณัฐจิรา กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนไทย ภายใต้นโยบายเติมเงินในกระเป๋าประชาชนจะช่วยลดต้นทุนการเกษตร สามารถรวมกลุ่มกันสร้างอำนาจต่อรองในตลาด และซื้อสินค้าในราคาที่ลดลงด้วย ในขณะเดียวกันด้วยจำนวนเม็ดเงินตามนโยบายรัฐ ประชาชนสามารถสร้างอาชีพใหม่ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านขายอาหาร เปิดร้านขายของชำ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจะเป็นการต่อยอดเงินจากโครงการรัฐบาล ไปสู่การสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไทย

“รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มุ่งในการแก้ปัญหาปากท้องเป็นลำดับแรก หลังจากหลายปีที่ผ่านมาประชาชนต้องทุกข์ตรมกับปัญหาสารพัดที่ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ตกงานรายได้ไม่พอรายจ่าย ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ สวนทางกลับราคาปุ๋ย ราคายาปราบศัตรูพืชปรับราคาไม่หยุด ดังนั้นรัฐบาลตั้งใจลดค่าครองชีพ เพิ่มราคาผลผลิตทางการเกษตรเพื่อพลิกฟื้นชีวิตประชาชน ให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” น.ส.ณัฐจิรา กล่าว

‘จุลพันธ์’ ยัน!! ไม่ได้ลอกดิจิทัลวอลเล็ตจาก ‘ญี่ปุ่น’ ชี้ บริบทต่างกัน เผย กำลังเร่งพิจารณา ถ้าไม่ทันขยับเวลาแจก ย้ำ สัปดาห์นี้ชัดเจนแน่

(23 ต.ค. 66) ที่ลานพระบรมราชวัง ราชานุสรณ์ พระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยข้อมูลว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่นว่า ต้นแบบไม่ใช่แต่มีกระบวนการที่เขาเคยดำเนินการลักษณะคล้ายคลึงกันในปี 1999 ซึ่งเป็นเรื่องของการแจกคูปอง ซึ่งตนเห็นแล้วและได้ไลน์ไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก น.ส.ศิริกัญญา เป็นของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน และเราก็ได้นำมาศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อที่จะได้นำข้อดีและข้อเสียของสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันเคยใช้ เรานำมาศึกษาก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย

นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า ส่วนการเปรียบเทียบนั้น ตนคิดว่าทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าบริบทมีความแตกต่างในปี 1999 และในปัจจุบัน ขณะเดียวกันประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างกัน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้

เมื่อถามถึง กรณีเลื่อนประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ประชาชนสงสัยว่าได้รับเงินจากนโยบายนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า เป้าหมายยังคงอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 แต่หากมีการประชุมคณะอนุกรรมการในสัปดาห์นี้ จะมีความชัดเจนมากขึ้น ขอให้อดใจรอนิดหนึ่ง

เมื่อถามย้ำว่า จะยังคงเป็นในกรอบเวลาเดิมหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า “จะพยายามครับ จะพยายาม”

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการระบุว่า หากไม่ทันจริงๆ จะมีการรายงานนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับกรอบเวลาของโครงการ เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ไม่ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมั่นใจว่าเมื่อเปิดใช้บริการจะต้องมีความปลอดภัย ข้อมูลของประชาชนมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่สามารถละเลยได้ หากมีอะไรที่ยังเป็นข้อติดขัด เราต้องค่อยๆ หาทางสอบถามและแก้ไข ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการสั่งการหรือกำชับอะไรเป็นพิเศษ และยังตอบไม่ได้ว่าการประชุมคณะอนุกรรมการจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

เมื่อถามว่า หากจำเป็นต้องเลื่อนจริงๆ จะเลื่อนไปเป็นช่วงใด นายจุลพันธ์กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่จะมีความชัดเจนในสัปดาห์นี้

เมื่อถามว่า ปัจจัยอะไรที่จะทำให้มีไม่ทันกรอบเวลา นายจุลพันธ์กล่าวว่า เยอะแต่ยังไม่มีความชัดเจนและไม่ได้หมายความว่าเราจะเลื่อน เรายังยึดมั่นในกรอบเดิมตามที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้ แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน

เมื่อถามว่า แหล่งที่มาของเงิน หรือแอพพลิเคชั่น ถือเป็นปัจจัยหลักที่อาจจะต้องทำให้เลื่อนการแจกเงินใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า แหล่งที่มาของเงินเป็นปัจจัยหลักแน่นอน ทุกอย่างถือเป็นปัจจัยหลักไม่มีปัจจัยสำรอง ทุกเรื่องมีความสำคัญเท่ากันหมด เราต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมมีการติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้เรามีความระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องเงินกู้กับธนาคารออมสิน

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยืนยันตลอดว่าที่มาของเงินดำเนินโครงการไม่มีปัญหาแต่ตอนนี้กลับไม่มีความชัดเจนติดปัญหาในส่วนใด นายจุลพันธ์กล่าวว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย เมื่อคณะอนุกรรมการมีการประชุมและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาข้อมูลและรวบรวมรายงานส่งมายังคณะอนุกรรมการ ขณะนี้จึงต้องรอรายงานเพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการชุดใหญ่ตัดสินใจ ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นตามกฎหมายไม่สามารถลัดวงจรได้ ไม่สามารถดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยที่ยังไม่มีมติจากคณะกรรมการได้

‘เด็จพี่’ เชื่อ มีไอ้โม่งชักใย คปท. บุกเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ที่ รพ.ตำรวจ เอือม!! ราวีไม่สิ้น ถาม? ประเทศยังบอบช้ำไม่พออีกหรือ?

วันที่ 22  ต.ค. 66 ดร.พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ เดินทางไปขอเข้าเยี่ยมตรวจสอบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่า น่าจะเป็นเจตนาร้ายหาเรื่องค้าความขัดแย้ง หรือขยายผลไปถึงการปลุกม็อบสร้างความวุ่นวายมากกว่า ทั้งที่บ้านเมืองกำลังสงบเดินไปด้วยดี รัฐบาลกำลังคิดหาวิธีการแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชน แต่คนกลุ่มนี้กลับทำตัวขวางโลก ปัดแข้งปัดขารัฐบาล เรียกร้องต้องการไม่จบไม่สิ้น

อดีตนายกฯ ทักษิณป่วยจึงเข้าไปนอนโรงพยาบาล คนกลุ่มนี้ก็ไม่เชื่อ ไม่พอใจ ตอนแรกเรียกร้องให้กลับมารับโทษ พอกลับมาก็ยังราวีไม่จบเสียที ต้องการจะดูอาการป่วย อยากจะตรวจสอบความเป็นอยู่ ถามว่าเป็นอะไรกันแน่ เป็นทนาย หรือเป็นหมอ หรือเป็นตำรวจ ออกอาการคาดคั้นแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ลองไปส่องดูโลกโซเชียลบ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่หยุดทำตัวขวางโลก ขวางการปรองดอง ระวังจะถูกสังคมประณาม

ทั้งนี้ เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวน่าจะมีไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง จึงอยากฝากบอกว่าพอได้แล้ว ประเทศยังบอบช้ำไม่พออีกหรือ ขอให้ประชาชนอยู่กันอย่างสงบสุขบ้าง

ลุ่มหลง สันดาน อคติ วิธีคิด ความเชื่อ ‘คนใน 14 ล้าน’ VS ‘คนนอก 14 ล้าน’

14 ล้านเสียง ส่วนลึกอาจจะเกลียดสถาบันกษัตริย์ และอยากให้ล้มล้าง ทำลาย เพื่อไปสู่การปกครองแบบอื่น แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ได้แต่แอบๆ แฝงตัวกลมกลืนไปกับสังคมแบบเนียนๆ จึงเลือก ‘พรรคล้ม 112’ ให้มาทำหน้าที่แทน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาอยากให้ดำรงสถาบันฯ ไว้ ด้วยความรัก และศรัทธา

14 ล้านเสียง บางคนอาจจะรักสถาบันฯ แต่ก็ ‘เบาปัญญา’ และ ‘ตื้นเขิน’ จนดูไม่ออกสักนิดเลยว่าได้เลือกกลุ่มคนที่คิด ‘ล้มล้างสถาบัน’ ที่ตนเองรักเข้ามา ผ่านความปลิ้นปล้อน กะล่อน กลิ้งกลอก และซ่อนเร้น แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาดูออก วิเคราะห์ขาด และมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อประชาชน และประเทศชาติของเรา

14 ล้านเสียง อาจจะไม่คิดว่าสถาบันฯ มีความเกี่ยวข้อง และมีคุณค่าต่อคนไทยเราทุกคน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ ส่วนใหญ่ เขากลับคิดว่าคนไทยทุกคนต่างเป็น ‘หนี้บุญคุณ’ สถาบันกษัตริย์ จึงรู้สึกซาบซึ้ง และภูมิใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

14 ล้านเสียง ที่เคยบอกรักในหลวง และร้องห่มร้องไห้ตอนปลายปี 2559 แต่ก็เลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ ให้เข้ามา จึงดูเป็นคนย้อนแย้ง ไม่จริงใจ ไม่น่าคบค้าสมาคม แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาจะไม่มีทางหันมอง หรือสนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ และเห็นแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อสังคมไทย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้แก้กฎหมายหมิ่นบุคคลธรรมดาให้โทษเบาลง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่เห็นด้วย และคิดว่าสังคมไทยจะวุ่นวายมากขึ้น ต่อ ๆ ไปคนเราจะด่ากัน หมิ่นประมาทกันได้รายวัน และรอดพ้นความผิดเพียงแค่มีเงิน

14 ล้านเสียง อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะเชื่อว่านโยบายต่างๆ จะทำได้จริง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่โง่เชื่อแบบนั้น เพราะไม่มีทางที่นโยบายที่ดี ถ้าตกอยู่ในมือของคนที่โกหกเป็นอาชีพ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ ดังวลีที่ว่า ‘คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี’

14 ล้านเสียง จำนวนไม่น้อย อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะตามเพื่อน ตามลูก ตามผัว หรือตามกระแสสังคมที่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใหม่ โดยที่ไม่คิดศึกษา ลงลึก ใส่ใจวิเคราะห์อย่างละเอียด ที่สุดก็ปล่อยให้ ‘พรรคล้มสถาบัน’ เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมไทย และตนเองก็ไม่มาใส่ใจดูแล หรือสำนึกผิด แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาศึกษามาดี และเสียสละเวลาในชีวิตคอยอยู่รับมือ คอยตั้งรับ คอยปกป้อง คอยต่อสู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้เลือกอย่างกล้าหาญ และไม่เคยกลัวว่าชีวิตจะมีปัญหา

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้ม 112’ ที่ตนเองเลือก ทำการล้างสมองเยาวชนของชาติ ให้ไปขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว หลอกเด็ก ๆ ให้ไปทำในเรื่องที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีงาม ทำสิ่งที่ขัดต่อกติกาสังคม และออกหน้าแทนในที่ชุมนุมเพื่อ ‘ล้ม 112’ แต่ ‘คนนอก14 ล้าน’ เขาสงสาร และเป็นห่วงเด็กๆ ที่ยังอ่อนเดียงสา ด้วยเด็กๆ ไม่มีทางรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของ ‘นักการเมืองใจอำมหิต’ และสุดแสนจะ ‘ขี้ขลาด’ เหล่านี้ จึงถือว่าเป็น ‘กลุ่มนักการเมืองรุ่นใหม่’ ที่มีจิตใจต่ำ และไร้ความจริงใจต่อคนร่วมชาติอย่างไม่น่าให้อภัย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้มเจ้า’ รับเงินจากชาติตะวันตก มาทำลายประเทศไทยของตัวเอง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขารู้เท่าทัน และพร้อมจะปกป้องประเทศไทยของเขาเท่าชีวิต

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้มีการแบ่งแยกดินแดนไทย และอาจจะหลงลืมเลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่สละแลกเพื่อมาให้แผ่นดินไทยดำรงอยู่ แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขามีสามัญสำนึก เขาไม่เคยลืม ยังคงเดินหน้าปกป้อง รักษาไว้ดังเดิม ไม่ปล่อยให้คนโฉดชั่วมากัดเซาะทำลาย ด้วยเขารักแผ่นดินชาติ เกินกว่าจะแยกขาดออกจากกันได้

คนใน 14 ล้าน กับ เรา จึงต่างใจกันมาก

ส่วนตัวผมจึงไม่ศรัทธา ‘คนไทยหัวใจอุบาทว์’ เช่นนี้

‘กำนันอู๊ด’ วอน ‘รัฐ’ สร้าง รพ.ให้ชาวแม่เปินหลังรอคอยมากว่า 25 ปี พร้อมจี้!! ช่วยเกษตรกรลูกหนี้ ธกส. ชี้!! 70% ไม่เข้าเกณฑ์พักชำระ

ไม่นานมานี้ นายประสาท ตันประเสริฐ หรือ ‘กำนันอู๊ด’ สส.นครสวรรค์ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้อภิปรายในสภา ถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนใน 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกเป็นความทุกข์ของชาวบ้าน อำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นอำเภอที่มีเพียง 1 ตำบล ก่อตั้งมาแล้ว 25 ปี มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นถึง 21,000 คน แต่กลับไม่มีโรงพยาบาลประจำอำเภอ ชาวบ้านต้องแบกความทุกข์และรอคอยมาอย่างยาวนาน เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขส่งคนไปดูแล้วหลายครั้งและให้ความหวังกับพวกเขาว่าเดี๋ยวจะสร้างให้ แต่ก็ไม่ได้ทำตามคำพูด 

“ขอฝากไปถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ชาว อ.แม่เปิน ได้มีโรงพยาบาลประจำอำเภอในสมัยของท่าน เพื่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวบ้านทุกคน”

ส่วนเรื่องที่ 2 กำนันอู๊ด ได้อภิปรายถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรอันเป็นผลมาจาก มติคณะรัฐมนตรี ที่ให้มีการพักชำระหนี้เกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ ธกส. ไม่เกินวงเงิน 300,000 บาท ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ลูกค้าของ ธกส.ที่ได้รับการพักชำระหนี้ตามเงื่อนไขมีเพียง 30% เท่านั้นที่เหลืออีก 70% ไม่ได้รับการพิจารณา จึงขอฝากไปถึง นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้โปรดเห็นใจพี่น้องเกษตรกรที่ไม่ได้รับการพิจารณาพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย เพราะมีอีกเป็นจำนวนมาก

‘พี่เต้’ ติง!! ‘เศรษฐา’ ลดแฟชันในเวทีโลก ยึดสากล เพื่อหน้าตาประเทศ พร้อมเผย!! โชคยังดี ‘น่านฟ้าเปิด’ เหตุ ‘อานิสงส์ลุงตู่ - เศรษฐาปรับตัว’

(22 ต.ค. 66) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ ‘เต้’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอถึงกรณี การแต่งกายของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่า…

“ตอนนี้มีข่าวที่ดีคือ พระมหากษัตริย์และเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ได้สั่งการให้ประเทศกลุ่มอาหรับ เปิดทางให้เครื่องบินทหารของไทย สามารถบินผ่านน่านฟ้าของกลุ่มประเทศอาหรับได้แล้ว เพื่อให้สามารถเดินทางไปรับพลเมืองชาวไทยจากประเทศอิสราเอล กลับมาสู่ประเทศไทยได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ไม่ต้องบินอ้อมไกล ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจาก 12-13 ชั่วโมง เหลือเพียงแค่ประมาณ 8 ชั่วโมง

นับเป็นการประสานงานการเจริญสัมพันธไมตรี สืบเนื่องจาก ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่ท่านได้เคยทำการเจรจา พูดคุยเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี”

“แต่เหตุที่ในช่วงแรก ยังไม่มีการประกาศให้ไทยได้ทำการบินผ่านน่านฟ้านั้น ก็เพราะเป็นการ ‘ตักเตือน’ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับนายกคนใหม่คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นเดิมทีเป็นนักธุรกิจ ทำให้อาจจะยังไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณี ความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนนี้หมายความว่า เขาแค่เตือนเฉยๆ แต่ยังไม่ได้ลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ อาจจะลดจากเอกอัคราชทูต เหลือแค่ราชฑูต หรือลดในสถานะต่ำกว่านั้น เป็นการแนะนำให้นายกฯ เศรษฐาได้รับทราบ

ซึ่งนายกฯ เศรษฐา ก็มีได้เริ่มปรับตัวที่จะเรียนรู้ ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และไม่ได้ฝืนจนมากเกินไป ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้”

“เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่มีสภาวะสงคราม ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะเรามีเป็นความเป็นความตายของพี่น้องประชาชนคนไทย ที่พำนักอยู่ในอิสราเอล เกือบ 30,000 คน เป็นที่ตั้ง

เพราะฉะนั้น ความสำคัญในการเป็นผู้นำประเทศ ในสภาวะเช่นนี้ย่อมต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย การแสดงสัญลักษณ์ การพูดคุย หรือการแสดงท่าทาง อิริยาบถต่างๆ ล้วนถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เชิงทางการทูตทั้งสิ้น”

“ส่วนการแต่งตัวแบบแฟชัน ใส่ถุงเท้าสีชมพู สีแดง สวมเสื้อแจ็กเกต หรือเสื้อสูทที่มีความแฟชันมากกว่าทางการนั้น อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และบุคลิกของแต่ละบุคคล นายกรัฐมนตรีแต่ละประเทศจะมีบุคลิกที่ไม่เหมือนกัน

แต่ในมุมของความเป็น ‘ทางการ’ นั้น ควรที่จะต้องใส่สูทแบบสากล ถุงเท้าควรเป็นสีดำ หรือสีเทาเรียบๆ เพื่อเป็นการเคารพผู้นำของแต่ละประเทศ เพราะผู้นำของแต่ละประเทศนั้น มิได้มีเพียงแค่คนที่เป็นสามัญชนทั่วไป ผู้นำประเทศที่เป็นกษัตริย์ เป็นมกุฎราชกุมาร เป็นองค์จักรพรรดิก็มี ฉะนั้น การนอบน้อมจึงถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อเรามีความนอบน้อมแล้ว ในยามที่เราต้องการขอความช่วยเหลือ ต่างประเทศเขาก็จะเต็มใจ พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือ เป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน”

“ซึ่งผมเชื่อว่า หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายกฯ เศรษฐา น่าจะมีการปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เพราะถือเป็นบุคคลสำคัญในการเจรจา การขอบินผ่านน่านฟ้าของซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับทั้งหมด

ในเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ผมต้องยกความดีความชอบให้กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเบอร์ 1 และเบอร์ 2 คือ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

ส่วนเรื่องกาละเทศะนั้น คงต้องปรับปรุงตัวต่อไป เพื่อปกกันไม่ให้สื่อมวลชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ร่วมถึงประชาชนติติงเอาได้ และหากมีใครติติงมาก็ควรรับฟังไว้ และนำไปแก้ไข

เพราะตอนนี้คุณไม่ได้เป็นแค่นายเศรษฐา ทวีสิน แล้ว แต่คุณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นตัวแทนประเทศไทย เป็นตัวแทนของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ รู้จักกาลเทศะ นี่คือสิ่งสำคัญในการเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยครับ”

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top