Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘นิด้าโพล’ เผย ปชช.ค่อนข้างพอใจผลงาน 2 เดือน ‘นายกฯ เศรษฐา’ แม้บางส่วนไม่ค่อยได้ติดตามข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศ

(29 ต.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘สนใจเรื่องนายกฯ เศรษฐา เยือนต่างประเทศหรือไม่?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-25 ตุลาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประเด็นที่สนใจจากข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบ หลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจ เมื่อถามประชาชนถึงประเด็นที่สนใจจากข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ได้ติดตามข่าว การเยือนต่างประเทศของนายกฯ เลย
รองลงมา ร้อยละ 24.43 ระบุว่า การเข้าพบผู้นำ หรือบุคคลสำคัญในต่างประเทศ ร้อยละ 24.35 ระบุว่า บทบาทและผลการเยือนต่างประเทศของนายกฯ ร้อยละ 21.83 ระบุว่า การแต่งกาย/เสื้อผ้าของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ
รองลงมา ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ลักษณะท่าทาง และ/หรือ ภาษากายของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ ร้อยละ 10.31 ระบุว่า การจัดการต้อนรับของประเทศเจ้าภาพ และร้อยละ 1.98 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามผู้ที่ติดตามข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกฯ (จำนวน 799 หน่วยตัวอย่าง) ถึงความพอใจต่อบทบาทของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.31 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 23.40 ระบุว่า พอใจมาก ร้อยละ 20.27 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.63 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพอใจในบทบาท/ผลงานของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในช่วง 2 เดือนที่ดำรงตำแหน่ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.87 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.40 ระบุว่า พอใจมาก ร้อยละ 13.74 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 4.12 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.74 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.41 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.14 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.45 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.98 สมรส และร้อยละ 2.59 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 23.89 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 38.02 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.01 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.42 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.66 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 10.23 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.11 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.75 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจส่วนตัว/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.83 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.74 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.00 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.34 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 23.28 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.61 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.09 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.16 ไม่ระบุรายได้

จับตา 'ตัวเต็ง' ศึกชิงตัวแทนเกษตรภาคใต้ เปิดตัวเต็งจ่อเข้าวิน 4 คน นั่งบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ

เหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่าวันก็จะถึงวันที่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร จะต้องออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตัวแทนเกษตรในกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร และการพัฒนา-ฟื้นฟูอาชีพ จะได้นำเงินรายได้มาชดใช้หนี้สิน

เกษตรกรสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 5.2 ล้านคน (ตัวเลขกลมๆ) ในโอกาสนี้จึงอยากขอเชิญชวนให้เกษตรกรสมาชิกทุกท่านออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 นี้ เพื่อจะได้มีผู้แทนของเกษตรกรทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้พี่น้องเกษตรกร ร่วมเสนอความคิดเห็น นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของเกษตรกรทั้งด้านหนี้สิน การพัฒนาและฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรให้ตรงกับความต้องการของเกษตรกร รวมถึงมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในด้านต่างๆ ด้วย

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีเกษตรกรสมัครเป็นตัวแทนเกษตรทั้งหมด 127 คน จากทุกภาค และต้องคัดเหลือแค่ 20 คน เข้าไปเป็นตัวแทนในบอร์ดกองทุนฟื้นฟู โดยภาคเหนือมีผู้สมัคร 28 คน ต้องคัดให้เหลือ 5 คน ภาคกลางมีผู้สมัคร 19 คน คัดให้เหลือ 4 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้สมัคร 57 คน คัดให้เหลือ 7 คน ภาคใต้มีผู้สมัคร 23 คน คัดให้เหลือแค่ 4 คน และในจำนวนตัวแทนเกษตรกร 20 คน จะคัดส่วนหนึ่งไปเป็นบอร์ดบริหาร

กล่าวสำหรับภาคใต้ มีผู้สมัคร 23 คน มีทั้งคนเก่า และคนใหม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง และคัดให้เหลือแค่ 4 คน กล่าวโดยรวมผู้สมัครที่เป็นตัวแทนเกษตรกรคนเก่า ยังมีโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะมีชื่อเป็นที่ปรากฏ มีผลงานมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ซึ่งภาคใต้มีตัวแทนเกษตรกรคนเก่าลงสมัครมากถึง 8 คน คะแนนก็จะกระจุกตัวอยู่ใน 8 คนนี้เป็นหลัก

จากการติดตามกระแสการเลือกตั้ง เกษตรกรสมาชิกส่วนใหญ่เกิน 70% ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งตัวแทนเกษตรในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ และจะไปลงคะแนนที่ไหน อาจจะกล่าวได้ว่าสำนักงานกองทุน กฟก.ยังด้อยเรื่องการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเกษตรกรสมาชิกออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือแม้แต่สำนักงานกองทุนในแต่ละจังหวัด ก็ยังขาดการประชาสัมพันธ์ ทำไมเหมือนการเลือกตั้ง สส. มีทั้งรถแห่ มีแจกใบปลิว มีการส่งหนังสือถึงผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน หรือแม้กระทั่งการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อกระแสหลัก วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นสื่อโซเชียลก็จะเป็นเว็บไซต์ เว็บเพจ ทวิตเตอร์ ยูทูบ เป็นต้น

ในภาคใต้ ผู้ที่มีโอกาสได้รับเลือก มีอยู่ 6-7 คน และทั้งหมดเป็นคนเก่า อย่างใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถือว่า 'รุสดี บินหะยีสะมาแอ' น่าจะเป็นตัวเต็ง เป็นอดีต สว.และตัวแทนเกษตรกรมาแล้ว 2 สมัย จึงต้องหยุดตามกฎหมายกำหนด และส่งสมบูรณ์ จิตรเพ็ญ ลงสมัครแทน และได้รับการเลือกตั้งด้วย ภายใต้การขับเคลื่อนของรุสดี แต่คราวนี้การเจรจาไม่ลงตัว สองคนจึงลงแข่งกันเอง แต่รุสดียังมีความเหนือกว่า ทั้งในแง่ของผลงาน และชื่อเสียง ประสบการณ์

พจมาน สุขอำไพจิตร ผู้สมัครจากชุมพร เป็นตัวแทนกรรมกรในสมัยที่ผ่านมา และเป็นผู้หญิงคนเดียว จึงยังน่าจะได้รับคะแนนสงสาร เห็นใจอยู่ไม่น้อย การจัดการคะแนนก็เป็นระบบ เพียงแต่มีข้อด้อยตรงที่ผลงานไม่เด่นชัดนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกษตรกรสมาชิกอ้างได้ว่า "เราให้โอกาสคุณแล้ว" อาจจะถึงเวลาเปลี่ยนก็เป็นได้

ละม้าย เสนขวัญแก้ว ผู้สมัครจากนครศรีธรรมราช เคยเป็นตัวแทนสมัยที่ผ่านมา แต่ถูก คสช.ใช้ ม.44 ปลด และแต่งตั้งคนใหม่มาแทน แต่ละม้ายเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ลงสมัคร เข้าใจปัญหา และวิธีการในการแก้ไขปัญหาดีคนหนึ่ง ชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เคยเป็น สจ.หัวไทรหลายสมัย เคยเป็นประธานสภาฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเคยเป็นรองนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช และอีกหลายๆ ตำแหน่งที่สะท้อนประสบการณ์

สุภาพ คชบูด อดีตตัวแทนเกษตร มาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย ผลงานเป็นที่ปรากฏไม่น้อย เครือข่ายมีมาก การจัดการเป็นระบบ แต่ต้องเร่งมือในการแก้ข่าว กับการถูกโจมตี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คู่ต่อสู้ต้องชกแชมป์ ไม่แตกต่างจาก 'ดรณ์ พุมมาลี' ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนเกษตรกรในสมัยที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่ขยับลงพื้นที่ช่วยเหลือเกษตรกรที่ร้องขอให้ช่วยเหลือ เขาเดินทางไปพบเกษตรกรไม่น้อย เดินทางอยู่ในพัทลุง, ตรัง, สงขลา, นครศรีธรรมราช ก็น่าจะได้รับแรงใจจากเกษตรกรสมาชิกไม่น้อย แต่ต้องก้าวให้ผ่านการถูกโจมตีให้ได้ เอาผลงานมาแจกแจงให้ชัดในช่วงโค้งสุดท้ายนี้

วีระพงศ์ สกล อดีตตัวแทนเกษตรกรเช่นกัน คราวที่แล้วต้องพัก เพราะเป็นมาแล้วสองสมัย เปิดทางให้ละม้าย เสนขวัญแก้ว มาลงแทน ในแวดวงเกษตร วีระพงศ์เป็นที่รู้จักกัน มีเครือข่ายเชื่อมโยง และเคยมีผลงานในการจัดการหนี้ให้เกษตรกรหลายราย วงเงินนับ 100 ล้าน แต่วีระพงศ์ กับละม้าย กลับต้องมาลงแข่งกันเอง และแบ่งคะแนนกันของคนนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนลุ่มน้ำปากพนัง แต่ถ้าเปรียบเทียบกัน ละม้ายน่าจะมีระบบคิดที่เหนือกว่า ถ้าสองคนนี้ได้คุยกัน และลงสมัครเพียงคนเดียว จะได้คะแนนจากคนลุ่มน้ำไม่น้อย และน่าจะได้รับเลือกเป็นแน่แท้ แต่เมื่อมาแข่งมาแย่งคะแนนกันเอง ก็ต้องไปวัดดวงกันจากคะแนนโซนอื่นๆ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงอยากกระตุ้นเตือนให้เกษตรกรสมาชิก กฟก.ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ส่วนผู้สมัครคนอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึง บอกตามตรงว่า "ไม่มีข้อมูลมากพอ"

ใครจะได้รับเลือกตั้งก็ตามขอให้มีความสุขกับการช่วยเหลือเกษตรกร แก้ปัญหาหนี้ และฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรในช่วงที่รับหน้าที่อยู่ และมุ่งมั่น ตั้งใจ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้พ้นจากบ่วงที่ผูกรัดมัดคอมายาวนาน

‘ภูมิธรรม’ ยัน!! ‘เศรษฐา’ ไร้นัย ส่งสัญญาณอยู่ไม่ครบ 4 ปี แค่ชื่นชม ‘อุ๊งอิ๊ง’ มีคุณสมบัติครบเหมาะเป็นนายกฯ สบาย

(28 ต.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้สบายๆ ว่า ไม่มีนัยอะไร แต่ถือเป็นความจริงที่มีความเหมาะสม และเมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว หัวหน้าพรรคทุกคนก็มีโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยมองว่าความพร้อมของนางสาวแพทองธารมีครบถ้วน ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีพูดเช่นนี้ ก็เป็นความจริงที่นางสาวแพทองธาร ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายเศรษฐา ระบุว่า น.ส.แพทองธาร สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้เป็นการส่งสัญญาณว่านายกฯ เศรษฐา จะอยู่ไม่ครบ 4 ปีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า สามารถคิดได้หลายอย่าง อาจจะอยู่ครบ 4 ปี แล้วน.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ ต่อได้ ย้ำว่าน.ส.แพทองธาร มีความพร้อม เมื่อได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งในด้านคุณสมบัติ ประสบการณ์ทำงาน การหาเสียง ทุกอย่างก็พร้อมหมด ทั้งนี้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องแบ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนละ 2 ปี เพราะไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำงานมากกว่า

เมื่อถามย้ำว่า ภาพที่นายเศรษฐา ทำท่าจูบมือน.ส.แพทองธาร ตามธรรมเนียมต่างชาติ หลังได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นการส่งสัญญาณหรือส่งไม้ต่ออะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แล้วแต่จะตีความ แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการแสดงความชื่นชม และเคารพซึ่งกันและกัน ยืนยันไม่ได้มีนัยอะไร  

ผู้สื่อข่าวถามว่าน.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว จะนำพาพรรคไปเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใจประชาชนได้อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าด้วยความพร้อมและประสบการณ์ของนางสาวแพทองธารมีมากกว่าคนอื่น ส่วนจะนำพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าทุกการเลือกตั้ง เรามั่นใจ อยู่ที่ความพร้อมของทุกฝ่าย และวันนี้เราก็พร้อมแล้วที่น.ส.แพทองธาร จะมาเชื่อมต่อคนระหว่างวัย ให้สามารถทำงานได้มากขึ้น

เพจการเมืองรุมค้าน 'รอมฎอน ปันจอร์' สส.ก้าวไกล เสนอยุบ 'กอ.รมน.' อ้าง!! 'ทับซ้อน-เปลืองงบ' แต่ไม่สนเปิดช่องก่อความไม่สงบป่วนแรง

(28 ต.ค.66) จากกรณีที่นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... เพื่อยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายใน เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายใน ให้อำนาจข้าราชการทหารมีอำนาจมาก ในการดำเนินงานเรื่องความมั่นคงภายในประเทศผ่านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีลักษณะความสลับซับซ้อนภายในองค์กร และยังเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ทับซ้อนกับหน่วยงานอื่น ทำให้สิ้นเปลืองกำลังคน งบประมาณ จึงไม่มีความเหมาะสมที่ให้มีหน่วยงานนี้ในบริบทสังคมปัจจุบันอีกต่อไป เห็นสมควรยุบ กอ.รมน.

ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ในระหว่างเปิดรับความคิดเห็น ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีประเด็นเพื่อรับฟังความคิดเห็น ได้แก่ 1. ท่านเห็นด้วยกับการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หรือไม่ อย่างไร 2. ท่านเห็นด้วยกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ข้าราชการพลเรือนที่ประจำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไปเป็นของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หรือไม่ อย่างไร 3. ปัจจุบันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 ท่านคิดว่ามีปัญหาหรือไม่อย่างไร และการเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 และยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร เป็นต้น

ล่าสุดได้มีแฮชแท็ก #saveกอรมน ปรากฏขึ้นบนโซเชียลฯ โดยมีโพสต์ของเพจที่ชื่อว่า ‘ทหารหลังกองพัน’

โพสต์ข้อความโดยติดแฮชแท็กนี้ ระบุว่า "ความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ ตามที่มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม กำลังมีความพยายามระดมพล ล้มหน่วยงานความมั่นคง (กอ.รมน.) ที่ปกป้องสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการระดม (บอท) โหวตสนับสนุน พรบ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 หาก ยุบ กอ.รมน. และ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะ ฝ่ายผู้ก่อการร้ายจะสามารถใช้ความรุนแรงได้ ก่อนที่ระบบกฎหมายจะป้องกัน (เพราะ กอ.รมน. และพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยับยั้งภัยไม่ให้เกิดขึ้นก่อนภัยจะเกิด ขอเชิญชวนทุกคนร่วมกันเข้าไปร่วมกด ‘โหวตคัดค้าน’ ครับ เพราะคนไทยต้องช่วยกัน ปกป้องประเทศไทยของเราจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีครับ”

ขณะที่เพจการเมืองหลายเพจต่างก็ออกมาติดแฮชแท็ก #saveกอรมน ตำหนิการเสนอกฎหมายของนายรอมฎอนและพรรคก้าวไกล เช่น เพจที่ชื่อว่า ‘กูรู้ทัน2’ ระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลจะยกเลิกมาตรา 112 และจะยกเลิกตรวจเลือกทหาร การยุบ กอ.รมน. เท่ากับทิ้งประชาชนเผชิญยถากรรมกับผู้ก่อความไม่สงบเอาเอง ทั้งพรรคมีทำประโยชน์อะไรให้ประเทศนี้กันมั่ง

เช่นเดียวกับเพจที่ชื่อว่า ‘ปราชญ์ สามสี’ ระบุว่า ฝ่ายก้าวไกลมีการระดมพลล้ม กอ.รมน. ที่ปกป้องสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการระดมสนับสนุน พ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 หาก ยุบ กอ.รมน. และ พระราชบัญญัติดังกล่าว จะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะสามารถใช้ความรุนแรงได้ ก่อนที่ระบบกฎหมายจะป้องกัน อีกทั้งนายรอมฎอน เป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาเปิดตัวนักศึกษาแบ่งแยกดินแดน เป็นผู้เสนอให้ออก พ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 จึงขอเชิญคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม ที่รักษาประเทศไทย ช่วยกันโหวดคัดค้าน คนไทยต้องช่วยกัน ปกป้องประเทศไทย

'ธนกร' ชี้!! ไม่ถึง 2 เดือน 4 รมต.รทสช. 'ทำงานหนัก-ผลงานเพียบ' หลัง 'พักหนี้เกษตรกร-ลดค่าไฟ-น้ำมัน' ช่วยบรรเทาทุกข์คนไทยต่อเนื่อง

(28 ต.ค.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า กว่า 1 เดือนในการทำงานของรัฐบาล หลังได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 นั้น รัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านของพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ก็ได้เร่งเครื่องทุ่มเททำงานหนัก ผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลได้หาเสียงไว้ออกมาเป็นรูปธรรมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ทันที ทั้งนโยบายการพักหนี้เกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินที่สะสมมาต่อเนื่องในช่วงโควิด รวมถึงการลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ทั้งดีเซลและเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 และเตรียมลดราคาน้ำมันชนิดอื่นเพิ่มเติมอีก และมีอีกหลายนโยบายที่จะออกมาต่อเนื่อง 

เมื่อถามว่า บางมาตรการที่ออกมา เป็นการช่วยแค่ในระยะสั้น 3 เดือน จะแก้ปัญหาทำให้ยั่งยืนได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องราคาพลังงาน นายธนกร กล่าวว่า เรื่องราคาน้ำมันและพลังงานนั้นต้องมีทั้งระยะสั้นระยะกลางและระยะยาวซึ่งผลที่จะเกิดความยั่งยืนต้องแก้ในระยะยาวที่โครงสร้าง ซึ่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ได้ศึกษาและหาแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่องให้ตรงจุด ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่มีองค์ประกอบหลายปัจจัย จึงต้องใช้เวลาในการแก้ รวมถึง อาจจะต้องออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาบังคับใช้ด้วย  

“ถือเป็นการทำงานที่แข่งกับเวลา แข่งกับปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน รัฐบาลและรัฐมนตรี เพิ่งปฏิบัติหน้าที่หลังแถลงนโยบายต่อสภา ผ่านมาแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่เห็นมาตรการและการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมหลายอย่าง ส่วนในระยะยาวการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ต้องใช้เวลา ประกอบกับการแก้กฎหมายควบคู่ไปด้วย แต่ยืนยันว่า รัฐมนตรีของรวมไทยสร้างชาติ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ได้หาเสียงอะไรไว้ เราพร้อมเร่งเครื่องเต็มสูบทำงานหนักอย่างเต็มที่ เพื่อจะขับเคลื่อนมาตรการออกมาช่วยประชาชนให้เร็วที่สุด” นายธนกร กล่าว

‘เจ๊จุก คลองสาม’ แชร์ภาพป้าย ‘ไม่เอา สส.คุกคามทางเพศ’ กระทุ้ง ‘ก้าวไกล’ ใช้เวลาสอบนาน ประชาชนรอไม่ไหว

(27 ต.ค. 66) หลังจากนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมการวินัย เปิดเผยความคืบหน้าของการสอบสวนกรณี สส.พรรคก้าวไกลฝั่งธนฯ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ โดยคาดว่าจะรู้ผลสอบปม สส.คุกคามทางเพศภายในต.ค.นี้ และเตรียมเปิดเผยต่อสาธารณะ 

ต่อประเด็นนี้ในโลกโซเชียล ยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทวิตเตอร์ เจ๊จุก คลองสาม ได้โพสต์ภาพป้ายข้อความที่ระบุว่า พี่น้อง ปชช.จอมทอง-ท่าข้าม ไม่เอาสส.คุกคามทางเพศ 

โดย เจ๊จุก คลองสาม ระบุว่า ประชาชนจะอยู่ด้วยความหวาดระแวงขนาดไหน ถ้ารู้ว่าผู้แทนของตัวเองมีนิสัย #คุกคามทางเพศ ทำไม #ก้าวไกล ใช้เวลาในการตรวจสอบนานจัง ชาวบ้านเขาทนไม่ไหว ต้องขึ้นป้ายไล่แล้วเนี่ย

‘พิธา’ บรรยายพิเศษที่ ‘ฮาร์วาร์ด’ ชี้ ประชาธิปไตยทั่วโลกถดถอย ยกเหตุการณ์ชวดเก้าอี้นายกฯ เพราะเกมการเมืองสุดพิสดาร

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่กำลังเดินสายเยือนสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ ได้รับเชิญจากศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้เป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Moving Forward : Thailand, ASEAN & Beyond’ (ก้าวไปข้างหน้า : ประเทศไทย อาเซียน และโลก) ท่ามกลางนักศึกษาและผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายจำนวนมาก

นายพิธา เริ่มการบรรยาย โดยระบุว่าในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตนเคยนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนทุกคน และสิ่งที่ตนได้รับการศึกษาจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการเมืองเปรียบเทียบ พรรคการเมือง คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของตน จากการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในตำราให้เป็นความจริง ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ จากจุดเริ่มต้น ที่ตนเคยเป็นเพียงแค่ผู้นำอ่อนหัดของพรรคการเมืองที่มีอายุเพียง 3 ปี ในเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้เราแพ้ การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดาร กติกาในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นคุณกับเรา แต่เราก็ชนะมาได้

ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนกำลังศึกษาอยู่ที่นี่ สามารถกลายเป็นความจริงได้ เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการรณรงค์ทางการเมืองของทุกคนในอนาคตได้ โจทย์ต่างๆ ที่ทุกคนได้รับจากชั้นเรียนที่ฮาร์วาร์ดนี้ ทั้งการเตรียมพาวเวอร์พอยต์นำเสนอ การประชุมกลุ่ม ฯลฯ ล้วนแต่มีความหมายจริงๆ และวันหนึ่งอาจนำพาให้ทุกคนได้มาเป็นผู้บรรยายที่นี่เหมือนกับตนก็เป็นได้

นายพิธา กล่าวต่อว่า เป็นเพราะสิ่งที่ตนได้เรียนรู้จากที่ฮาร์วาร์ดนี่เอง ที่ร่วมก่อรูปความคิดและนโยบายการรณรงค์ของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ นโยบายเหล่านี้คือที่มาของชัยชนะของตนและพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ตน ที่เป็นผู้ชนะจากการเลือกตั้งปี 2566 ด้วยความเห็นชอบของคน 14.1 ล้านเสียง หรือ 36 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เข้าไปมีอำนาจบริหาร และถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลด้านเทคนิค

นี่คือการต่อสู้ระหว่างการเมืองของผู้ได้รับการเลือกตั้งและผู้ได้รับการแต่งตั้ง ในประเทศไทยสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 750 คน มาจากการเลือกตั้ง 500 คน และมาจากการแต่งตั้งโดยทหาร 250 คน ทุกคนคำนวณได้ว่าเราต้องการ 376 เสียง แต่เราได้เพียง 324 เสียง ทั้งที่เราสามารถรวบรวมเสียงพรรคการเมืองที่สะท้อนเจตจำนงการปฏิรูป และความหวังของประเทศได้สำเร็จแล้ว แต่เราก็ยังแพ้ด้วยตัวเลขจาก ส.ว. แต่งตั้ง องค์ประชุมวันนั้นจึงเอาชนะแคนดิเดตนายกที่มาจากการเลือกของประชาชนได้

นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่ปรากฏการณ์เฉพาะ แต่กำลังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคาม และสันติภาพของโลกกำลังเปราะบาง ในปีแรกที่ตนมาถึงที่นี่ในปี 2006 Freedom House เคยออกผลสำรวจพบว่าประชากร 48 เปอร์เซ็นต์ ของโลกอยู่ในสังคมเสรี แต่ตัวเลขวันนี้ตกมาอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว นี่คือสิ่งที่สะท้อนสภาวะถดถอยของประชาธิปไตย ซึ่งแม้แต่ในประเทศที่ประชาธิปไตยตั้งมั่นที่สุดแล้ว ก็กำลังเผชิญกับการลดน้อยถอยลงเช่นกัน เหตุใดประชาธิปไตยจึงถดถอยทั่วโลก สำหรับตน ต้นตอของเรื่องนี้ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็น

ระหว่างที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-เสรีนิยมใหม่ ที่เป็นการรวมศูนย์ความมั่งคั่งไว้ที่คนหมู่น้อย ในเวลาที่ตนเกิดมาความห่างระหว่างผู้มั่งคั่ง 1 เปอร์เซ็นต์บนสุดของโลกกับที่เหลือ ห่างกัน 8 เท่า วันนี้ความห่างนั้นถ่างไปถึง 16 เท่าแล้ว เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในสังคมไทย กำลังครอบครองความมั่งคั่ง 60 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศอยู่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากตั้งคำถามกับประชาธิปไตย ขณะที่ประชาธิปไตยคือการจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ความมั่งคั่ง และต่อมากลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมให้เกิดความล่มสลายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือหลังวิกฤติโควิด

นายพิธา กล่าวต่อว่า ดังนั้น โจทย์สำคัญจากนี้ คือเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาโครงสร้างสังคม ที่ทั้งสามารถจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม และจัดสรรความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมไปพร้อมๆ กันได้ ให้การเติบโต กระจายดอกผลไปอย่างทั่วถึง ประเทศต้องไม่จดจ้องอยู่ที่แค่การทำกำไร แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิในที่ดินทำกิน การกระจายที่ดิน การสร้างรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนทำงานของเรา หรือสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สังคมประชาธิปไตย’

ซึ่งหลายท่านในที่นี้อาจจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่สิ่งที่ตนเสนอ คือมันถึงเวลาแล้ว ที่เราทุกคนต้องกลับมาคิดถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในการก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่ตนคิดมาตลอดในการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมา คือเมื่อใดก็ตามที่ตนและพรรคก้าวไกลสามารถจัดการปัญหาในประเทศได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ เมื่อนั้นเราจะยังเหลือการเปลี่ยนแปลงสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่คือการเปลี่ยนแปลงโลกผ่านนโยบายต่างประเทศ นั่นคือการออกไปบอกกับทั่วโลกว่าประเทศไทยกลับมาแล้ว และเราจริงจัง เราเป็นอำนาจกลาง เราไม่ใช่ประเทศเล็กๆ

เราเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียน และด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศอาเซียน แม้จะไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่อย่างน้อยที่สุดด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ถ้าเรารวมกันได้ นั่นคือตัวเลขทางเศรษฐกิจ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และประชากร 670 ล้านคน ประเทศใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจหรือไม่ก็ไม่อาจปฏิเสธเราได้

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า แต่ตราบใดที่เราที่ยังไม่สามารถจัดการปัญหาในประเทศของเราเองได้ ไทยจะมีความน่าเชื่อถืออะไรไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียนได้ ในการทำให้อาเซียนมีความหมายขึ้นมา เราต้องเข้าไปมีบทบาทต่อโลกและมีความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจหลัก ไม่ว่าจะต่อปัญหาเมียนมา, รัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-ฮามาส สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นห่างออกไปจากประเทศไทย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทยทั้งสิ้น เราต้องมองออกไปข้างนอก เพื่อให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกอย่างแท้จริง และด้วยความร่วมมือกับสมาชิกอาเซียน เราสามารถบอกกับโลกได้ว่าความชอบธรรมคืออำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือความชอบธรรม บอกกับโลกได้ว่าเรากำลังจะกลับมาเป็นอำนาจกลาง ที่จะมีส่วนฟื้นระเบียบโลก ประเทศไทยกลับมาแล้ว เราเอาจริง และเราจะทบทวนนโยบายต่างประเทศของเราอีกครั้ง

หลังจากที่เราหายไปจากเวทีโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาภายใต้การปกครองของกองทัพ เราต้องการสร้างสมดุลให้โลกอีกครั้ง และในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกข้าง แต่คือการยืนหยัดในหลักการ เราต้องวิจารณ์เพื่อนเราได้ และก็ต้องพูดคุยกับคู่แข่งของเราได้ด้วย ในฐานะอำนาจกลาง เราสามารถกำหนดตัวชี้วัดใหม่ในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยได้ มากกว่าแค่เรื่องของการค้าการลงทุนและพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา ให้มีเรื่องของสิ่งแวดล้อม สภาวะโลกร้อน การควบคุมอาวุธปืน แบ่งปันทุกข์ เรียนรู้ร่วมกัน และหาทางออกร่วมกันได้

“นี่คือสิ่งที่เราทำร่วมกันได้เพื่อบรรลุสิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นพลัง เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นความมั่งคั่ง เปลี่ยนคุณค่าให้เป็นชัยชนะร่วมกัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหมด ถ้าทุกคนทำร่วมกันโดยที่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เราจะหายไปจากการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการสร้างสันติภาพ นี่คือบทบาทที่เราทำร่วมกันได้ ในการทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้ โดยที่มีประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผมยังคงคาดหวังที่จะได้เป็นสะพานเชื่อมผู้คนกับผู้คน สภากับสภา ภาครัฐกับภาครัฐ ภาคเอกชนกับภาคเอกชน และรัฐบาลกับรัฐบาลด้วยกัน” นายพิธากล่าว

‘ไอซ์ รักชนก’ ทรัพย์สิน 5.8 ลบ. สะสมหนังสือ 733 เล่ม ‘ธิษะณา’ รวย 56 ลบ. กระเป๋าแบรนด์เนม-งานศิลป์เพียบ

(27 ต.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สส. จำนวน 61 ราย โดยเป็นกรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 จำนวน 59 ราย และกรณีพ้นจากตำแหน่ง จำนวน 2 ราย ซึ่งมีบุคคลที่น่าสนใจคือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล โดย น.ส.รักชนก ศรีนอก อายุ 29 ปี แจ้งสถานภาพโสด พร้อมกับแจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 5,840,477 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 7 บัญชี มูลค่า  354,508 บาท เงินลงทุน 716,404 บาท โดยมีเงินลงทุนในเหรียญบิตคอยน์ 3 รายการ อีก 4 รายการเป็นเงินลงทุนในบริษัท ที่ดิน 1 แปลง ในเขตบางขุนเทียน กทม. มูลค่า 1,750,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง แจ้งว่าเป็นตึกเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่า 1,750,000 บาท ยานพาหนะเป็นรถยนต์ 1 คัน มูลค่า 1,000,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 269,564 บาท 

นอกจากนี้ มีหนี้สิน 1,814,816 บาท แบ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 1,425,296 บาท และหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 389,520 บาท 

สำหรับทรัพย์สินอื่นที่น่าสนใจ คือ หนังสือ 733 เล่ม อาทิ ท่านประธานที่(ไม่)เคารพ หนังสือระบอบประยุทธ์, หนังสือก่อร่างเป็นบางกอก, หนังสือใต้เงาปฏิวัติ, หนังสือ 300 นโยบายเปลี่ยนประเทศ, หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต, หนังสือไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น, UTOPIA, THE FRENCH REVOLUTION, กบฏบวรเดช, ภูมิปัญญาปฏิวัติฝรั่งเศส, ปฏิวัติ รศ.130, หนังสือฟ้าบ่กั้น, หนังสือนายพลในเขาวงกต, หนังสือสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล, หนังสือโฉมหน้าศักดินาไทย, หนังสือไตรภาคแก่งคอย, หนังสือสยามปฏิวัติ, หนังสือนานาประชาธิปไตย, หนังสือกาลวิบัติ, หนังสือหลังบ้านคณะราษฎร, หนังสือดาบพิฆาตอสูร เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.รักชนก ได้แจ้งด้วยว่ามีประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปี โดยเมื่อปี 2562-2566 เป็นกรรมการในบริษัทหาเงินไปดาวอังคารจำกัด และปี 2563-2566 เป็นกรรมการในบริษัทเดินเล่นบนดาวอังคารจำกัด และปี 2564-2566 เป็นที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชน 

อีกคนที่น่าสนใจคือ น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม.พรรคก้าวไกล แจ้งสถานะหย่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 66 มีบุตรชาย 1 เกิดจากบิดา มารดาที่มิได้จดทะเบียนสมรส คือ ด.ช. คณิศร ชุณหะวัณ อายุ 13 ปี โดยมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 56,498,789 บาท หนี้สินทั้งสิ้น 26,471 บาท ซึ่งเป็นเงินเบิกเกินบัญชี ส่วนทรัพย์สินประกอบด้วย เงินฝาก 11,684 บาท เงินลงทุน 1,564,000 บาท ที่ดิน 53,984,105 บาท ยานพาหนะ 239,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 700,000 บาท โดยที่ดินส่วนใหญ่ ประกอบด้วยโฉนดที่ดิน 7 ฉบับ อยู่ในซ.ราชครู เขตพญาไท กทม. อาคารชุดบ้านแสนสราญหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ที่ดินใน จ.เชียงใหม่ จ.สมุทรสงคราม และที่ดินที่ดอนเมือง กทม. 

นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินอื่น ๆ ประกอบด้วย งานศิลปะโดยชาวอะบอริจิน ระบุว่าซื้อมาจากแกลลารีที่ออสเตรเลีย งานศิลปะภาพเรือสำเภาล้อเลียนการเมือง และภาพธรรมชาติ วาดโดย โดยวสันต์ สิทธิเขตต์ อดีตศิลปินกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กระเป๋าชาแนล ขนาด 8 นิ้ว หนังคาเวียร์สีเขียว มูลค่า 7 หมื่นบาท กระเป๋าชาแนล 10 นิ้วหนังคาเวียร์สีเบจ มูลค่า 1.8 แสนบาท กระเป๋าชาแนลชาแนล 10 นิ้ว หนังคาเวียร์สีแดง มูลค่า 1.8 แสนบาท และกระเป๋าชาแนลบอยขนาด 10 นิ้ว สีทองหนังคาเวียร์ สภาพ 50% มูลค่า 1.8 แสนบาท

‘ภูมิธรรม’ สอนมวย!! ‘ก้าวไกล’ การเมืองแบบใหม่ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง พร้อมลุยต่อ ‘เงินดิจิทัล’ ตามสโลแกน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’

(27 ต.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถาม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่นายเศรษฐา มอบให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม มาตอบกระทู้สดแทน จนทำให้พรรคก้าวไกลเกิดความไม่พอใจ ว่า ก็ถือว่าเป็นสิทธิที่พรรคก้าวไกลจะอภิปราย แต่เราได้เคยตกลงกันแล้วว่า เราจะทำงานการเมืองกันอย่างสร้างสรรค์ ตนเชื่อว่า นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายในสภาต้องใจเย็น และรับฟังปัญหาให้มากขึ้น บรรยากาศในการทำงานระหว่างรัฐบาล และ ฝ่ายค้าน ก็จะดีขึ้น

“แต่ก็ต้องยอมรับว่า นายกรัฐมนตรี จะมาตอบหรือไม่ก็ได้ หากมีภารกิจ ถ้ามีเวลาก็จะมาให้ทัน หากไม่มีอคติมากจนเกินไป เพราะบรรยากาศในสภา ไม่ใช่เรื่องของคน 2 ฝ่ายจะมาขัดแย้งกัน ไม่อยากให้จับผิดหรือใช้เวทีทางการเมือง ทั้งเวทีรัฐสภา หรือเวทีอื่นๆในการดิสเครดิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะรัฐบาลพร้อมจะทำงาน” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ฝากถึงพรรคก้าวไกล ในวันที่ 10 พ.ย. จะมีการรับฟังความเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญ จากพรรคก้าวไกล และหลายๆภาคส่วน รวมถึงกลุ่มวิชาชีพต่างๆ และภาคประชาสังคม ยืนยันเราไม่คิดจะค้าน ต่างฝ่ายต่างเป็นนักการเมือง อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เราควรทำการเมืองแบบใหม่ ไม่ใช่ฝ่ายค้าน และจะค้านทุกเรื่อง หรือเสาะหาจุดในการโจมตี อยากให้ประชาชนเห็นแล้วสบาย ไม่ใช่มีแต่ภาพการโจมตีทางการเมืองใส่กัน สิ่งใดที่มีปัญหา ก็ขอให้ช่วยท้วงติง ไม่ใช่ใช้ทุกโอกาสและเวลาในการดิสเครดิตใส่กัน มันไม่เป็นประโยชน์และไม่สร้างสรรค์

ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อที่ประชุมรัฐสภา เพราะไม่เชื่อใจ คณะกรรมการศึกษาการทำประชามติฯ ของรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า การเมืองให้ดูที่ความเป็นจริง และใช้หลักการและเหตุผลที่ถูกต้องที่พยายามเดิน เราจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยที่ไม่แตะหมวด 1 และ 2 แต่พรรคก้าวไกลเสนอแก้รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งทำให้เรารู้ว่า คนบางส่วนก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ถ้ายังดึงดันแบบนี้จะไปต่อไม่ได้ พรรคเพื่อไทย จะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่เราไม่อยากเห็นประชาธิปไตยแบบสุดขั้ว โดยไม่คำนึงถึงความเห็นต่าง และจะต้องคุยกันให้ตกผลึก และเคารพความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่จำเป็นต้องตามใจกัน เราก็แสดงจุดยืนเรา ท่านก็แสดงจุดยืนของท่าน แต่ทำอย่างไรให้สังคมส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจ นี่จึงเป็นที่มาของการตั้งอนุกรรมการเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่า ขอร้องอย่าอคติต่อกัน เราจะทำให้ประเทศนี้ไปในทิศทางที่ดี

เมื่อถามว่าแฮชแท็ก #เพื่อไทยตระบัดสัตย์ ซึ่งคาดว่า น่าจะมาจากประเด็นกระแสข่าวอนุกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจจะแบ่งหรือเพิ่มหลักเกณฑ์ผู้เข้าร่วมโครงการ ที่จากเดิมจะแจกทุกคน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเพียงความเห็น เรายอมรับความเห็นหลากหลาย มีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง พรรคเพื่อไทยเผชิญสิ่งนี้มาโดยตลอด เรากำลังออกนอกกรอบ เหมือนที่เราเคยทำในโครงการ 30 บาท , กองทุนหมู่บ้าน และโครงการอื่นๆ แต่โครงการเหล่านั้น ก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง เหมือนดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ถ้ายังปล่อยก็จะเหมือน 9 ปีที่ผ่านมา แต่ทุกคำวิจารณ์ เรารับฟัง แต่ไม่คิดปรับปรุง แต่เราจะทำให้รอบคอบมากขึ้น

เมื่อถามต่อว่า สโลแกน “คิดใหญ่ ทำเป็น” ในช่วงเลือกตั้ง แต่พอเป็นรัฐบาล ดูเหมือนจะทำไม่ได้ เหมือนในช่วงที่หาเสียง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเลือกตั้งรอบหน้าหรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า เพื่อไทยคิดใหญ่ทำเป็น เราทำเรื่องใหญ่ เรื่องยาก ให้เป็นเรื่องที่ทำได้ และนี่คือด่านสำคัญ ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนมั่นใจ แต่ถ้าจะทำให้ 100% นั้นยาก

“ผลงานในอนาคต จะพิสูจน์ได้ว่า เพื่อไทย มีความสามารถ เราเดินทุกนโยบาย ในช่วงที่เป็นรัฐบาล 1-2 เดือนที่ผ่านมา อยากให้คนใช้วิจารณญาณให้กว้างขวาง และให้โอกาสเราในการทำงาน” นายภูมิธรรม กล่าว

'พี่วัน' โพสต์จะเลือก ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่ง หัวหน้าพรรคคนใหม่ เปรย!! อาจเป็นการไปพรรคเพื่อไทยครั้งสุดท้ายในชีวิต

(27 ต.ค. 66) นายวัน อยู่บำรุง อดีต สส. พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘วัน อยู่บำรุง’ ระบุว่า…

กำลังไปพรรคเพื่อไทยเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และจะเลือกคุณอุ๊งอิ๊งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ไม่รู้ว่าการไปพรรคครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผมหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top