Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘ทส.-กษ.’ รวมพลังแก้ปัญหาฝุ่นเชิงรุก เฝ้าระวัง 10 ป่าอนุรักษ์-ป่าสงวนฯ จับตาพื้นที่เกษตรเผาไหม้ซ้ำชาก พร้อมหนุนใช้เทคโนโลยีแจ้งเตือน ปชช.

(2 พ.ย. 66) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการหารือกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อร่วมมือและกำหนดแนวทางแก้ปัญหา โดยในภาคเกษตรจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งจากการหารือได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายหลักแบบมุ่งเป้า ได้แก่ 10 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่เกษตรที่ไฟไหม้ซ้ำชาก จะลดป่าเผาไหม้ และพื้นที่เกษตรเผาไหม้ลงร้อยละ 50 พื้นที่ ส่วนเป้าหมายรองเป็นพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องลดการเผาไหม้ และควบคุม

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดแนวทางบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร จัดทำข้อมูลเกษตรกรและจำนวนพื้นที่ กำหนดเงื่อนไขการเผา และประกาศให้รับรู้ ใช้ระบบ BurnCheck ประมวลผล พร้อมทั้งส่งเสริมเกษตรปลอดการเผา โดยเฉพาะในพื้นที่ไร่อ้อย และพื้นที่นาข้าว การบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้การเกษตร ในพื้นที่เกษตรรอบโรงไฟฟ้า ชีวมวลในรัศมี 50 กิโลเมตร การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม

พล.ต.อ.พัชรวาท เข้าใจเกษตรกร หากจำเป็นต้องเผา ให้ขออนุญาตฝ่ายปกครอง หรือ ‘อปท.’ ก่อน ฝ่ายปกครอง หรือ ‘อปท.’ อนุญาตเผาตามหลักเกณฑ์ที่ตกลงกัน และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ประมวลผล ผ่านระบบ BumCheck จัดตั้งชุดปฏิบัติการประจำพื้นที่ (ระดับอำเภอ) เฝ้าระวัง ออกตรวจป้องปราม ระงับ ยับยั้ง แจ้งเหตุ และระดมสรรพกำลัง เฝ้าระวัง ป้องกันการลักลอบเผา

พร้อมกันนี้ จะให้มีการนำระบบการรับรองผลผลิตทางเกษตรแบบไม่เผา (GAP PM2s Free) มาใช้เป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนระบบการปลูกพืช และการเปลี่ยนพืชที่มีการเผาให้ปลอดการเผา ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูงอ้อย ข้าว กำหนดเงื่อนไขเรื่องการห้ามเผากับมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ

“ในส่วนของการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ฤดูฝนกำลังจะหมดไป โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีปัญหารุนแรงด้านมลพิษฝุ่นมาโดยตลอด ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เตรียมความพร้อมปฏิบัติการเชิงรุก มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วประเทศ และมีระบบแจ้งเตือนข้อมูลไปยังประชาชน โดยนับจากวันนี้ไป ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ในการให้ข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง” น.ส.เกณิกา กล่าว

'ปิยบุตร' เชื่อ!! เหตุ สส.บ้ากาม ส่งผลภายในพรรค 'ระส่ำ-แตกแยก' หวั่น!! จากนี้ไป 'ประชาชน' ไม่ไว้ใจร่วมทางพรรคในกิจกรรมต่างๆ

(2 พ.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ทวีตข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) กล่าวถึงกรณี สส.ก้าวไกล คุกคามทางเพศ

การใช้อำนาจที่ได้จากตำแหน่งของตนไปจูงใจล่อลวงบุคคลอื่นให้กระทำการตามที่ตนต้องการเพื่อแลกเปลี่ยนกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ในยุคสมัยนี้

หากพรรคก้าวไกลต้องการยกระดับมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้ ต้องการป้องกัน ต่อต้านการคุกคามทางเพศและความรุนแรงทางเพศภายในองค์กรหรือสถานที่ทำงานให้ได้ตามที่โฆษณาไว้จริง

ผลมติที่ออกมาวันนี้ นับว่าน่าผิดหวัง (แน่นอน ส่วนหนึ่งมาจากรัฐธรรมนูญไปบังคับว่าต้องใช้จำนวนถึง 3 ใน 4 ของจำนวน สส.และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งถือว่าสูงมาก)

แต่เรื่องแบบนี้ เมื่อทั้งคณะกรรมการวินัยของพรรค และทั้งคณะกรรมการบริหารพรรค มีมติว่ามีการกระทำความผิดร้ายแรงแล้ว หาก สส.ผู้ถูกร้องรู้จักมาตรฐานใหม่ในทางการเมืองอยู่บ้าง รู้จักความรับผิดชอบต่อผู้เสียหาย พรรค เพื่อน สส.คนอื่น ผู้สนับสนุนพรรค และสังคมอยู่บ้าง คิดถึงตำแหน่งหัวโขนที่พึ่งได้มาอย่าง สส. ให้น้อยลงบ้าง สส.ผู้ถูกร้องก็ควรแสดงความรับผิดชอบ โดยไม่ต้องมาถึงวันนี้ที่พรรคต้องใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ที่ประชุม สส.ต้องมาลงมติ

'สส.หญิงก้าวไกล' เดือด!! ขึ้นรูปโปรไฟล์ดำประท้วง หลังมติไม่ขับ 'ปูอัด' พ้นพรรค โพสต์สับ "หน้าด้าน"

(2 พ.ย.66) ภายหลังจากการประชุมพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาแถลงมติพรรคก้าวไกล ให้ขับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ออกจากพรรค ขณะที่นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. เสียงส่วนใหญ่ 106 เสียง จาก 128 เสียงที่มาประชุม เห็นควรให้ขับออกจากพรรค แต่เสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ของ สส.และกรรมการบริหารพรรคที่มีอยู่ 116 เสียง จึงยังไม่สามารถมีมติให้ขับพ้นออกจากสมาชิกพรรคได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บัญชีโซเชียลมีเดียของกลุ่ม สส.หญิง พรรคก้าวไกล ได้เปลี่ยนภาพดิสเพลเป็นสีดำ อาทิ นางสาวศศินันท์ ธรรมนิธินันท์ หรือ ทนายแจม สส.กรุงเทพฯ, นางสาวภัสรินทร์ รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ รวมถึง นางสาวภัสราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย หรือ ‘สก.เนอส’ สก.กรุงเทพฯ ด้วย

นางสาวภัสราภรณ์ ยังโควททวีตกรณีดังกล่าว โดยมีข้อความว่า “หน้าด้าน ไม่มีความละอายแก่ใจ เป็นคนให้ได้ก่อนค่อยเป็นผู้แทนประชาชน” และแท็ก @chaiyamparwaan บัญชีทวิตเตอร์ของนายไชยามพวาน

นอกจากนี้ยังได้รีทวิตเตอร์ของผู้ใช้รายหนึ่ง ซึ่งมีข้อความว่า “ผิดหวังกรณีปูอัดมาก ดูจากคลิปออกมาไม่มีสำนึกเลย ปฏิเสธไม่ได้ทำตลอดทั้ง ๆ ที่พรรคสอบสวนแล้ว สงสารเหยื่อเหมือนถูกกระทำซ้ำอีกรอบ”

ขณะที่บัญชีเฟซบุ๊กของนายไชยามพวาน มีประชาชนจำนวนไม่น้อย เข้าไปคอมเมนต์ในโพสต์ล่าสุด โดยเรียกร้องให้รับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว

'ก้าวไกล' มีมติฟัน 'วุฒิพงศ์-สส.ปราจีนบุรี' พ้นพรรค  ส่วน 'ไชยามพวาน' รอด!! เพราะเสียงมติไล่ไม่ถึง 3 ใน 4

'ก้าวไกล' ประชุมเครียดกว่า 6 ชม. มีมติ ฟัน 'สส.ปราจีนบุรี' พ้นพรรค ส่วน 'สส.ปูอัด' ยังรอด ตัดสิทธิ พร้อมให้รับผิด ขอโทษ และเยียวยาผู้เสียหาย เผยทั้ง 2 กรณี คุกคามทางเพศจริง

เมื่อวานนี้ (1 พ.ย.66) ที่รัฐสภา สส.พรรคก้าวไกล ยังคงประชุมเครียดตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. ที่ผ่านมาโดยเป็นการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคและ สส.ของพรรค เพื่อหาข้อยุติกรณีเรื่องร้องเรียนกล่าวหา สส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ ได้แก่ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี และนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล

ทันทีที่เริ่มการประชุมเจ้าหน้าที่พรรคก้าวไกลได้มีการนำโต๊ะมากั้นให้ผู้สื่อข่าวออกจากบริเวณใกล้ห้องประชุม เพราะกลัวเสียงจากด้านในจะดังออกมาข้างนอก และมีการขอเก็บโทรศัพท์มือถือรวมถึงอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ วางไว้นอกห้องด้วย ทำให้เมื่อเวลายิ่งดึกก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเรื่อยๆ 

ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าภายในวันนี้จะมีคำตอบว่าจะมีบทลงโทษ ต่อ สส. ทั้ง 2 คนที่ถูกกล่าวหา จึงทำให้ต้องใช้เวลาการพิจารณานานกว่า 6 ชั่วโมง 

ต่อมาใน เวลา 23.10 น. ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติการประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.ของพรรคก้าวไกล ว่า คณะกรรมการบริหารพรรคเห็นว่าทั้ง 2 กรณีมีความผิดจริง และมีมติให้ขับออกจากพรรคก้าวไกล ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ การที่จะขับสมาชิกพรรคให้พ้นจากพรรคจะต้องอาศัยเสียง 3 ใน 4 ของ สส.และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ซึ่ง ในวันนี้มีกรรมการบริหารและสส. มาประชุมร่วมกันทั้งหมด 128 คน ซึ่งผลจากการพิจารณาในที่ประชุมร่วมกับสส.เห็นตรงกันว่าทั้ง 2 กรณีมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศจริง และขัดต่อวินัยของพรรคอย่างร้ายแรง โดยโทษสูงสุดสำหรับกรณีนี้คือขับให้พ้นจากสมาชิกพรรคและโทษรองลงมาคือ ตัดสิทธิ์ทั้งหมด รวมถึงคาดโทษตามแต่กรณี 

โดยผลการลงมติของที่ประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคและสส. ของพรรค ให้ 'นายวุฒิพงศ์ทองเหลา สส. ปราจีนบุรี' ออกจากพรรคก้าวไกล ด้วยมติ 120 เสียง ส่วน 'นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.เขตจอมทอง' นั้น ทางเสียงส่วนใหญ่ เห็นควรให้ขับ ด้วยมติพรรค 106 เสียง แต่เนื่องจากว่าเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 คือ 116 เสียง ของจำนวนคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.ที่มีอยู่ ก็เท่ากับว่าไม่สามารถมีมติที่จะขับ นายไชยามพวานออกจากพรรคได้ แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะตัดสิทธิ์พึงมีทั้งหมด และให้คาดโทษไปตลอดสมัยประชุม หากมีพฤติกรรมใดๆ ที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศอีก จะต้องให้พ้นจากสมาชิกพรรค นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นว่า นายไชยามพวานจะต้องออกมายอมรับผิดและขอโทษต่อสังคมและขอโทษต่อผู้เสียหายทั้งหมด รวมถึงจะต้องชดเชยเยียวยาตามที่ผู้เสียหายต้องการ

หากนายไชยามพวานยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำผิด ไม่ยินดีที่จะขอโทษต่อผู้เสียหาย และไม่ยินดีที่จะชดใช้ความผิดของตนเอง ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรคก้าวไกลร่วมกันอีกครั้งเพื่อมีมติต่อไป 

ส่วนที่อาจจะมีข้อสงสัยว่าอีกคนนึงขับออกจากพรรคแต่อีกคนนึงไม่ขับออกจากพรรคนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า เราประชุมกันนานมากคณะกรรมการวินัยคณะกรรมการบริหารพรรคและสส. ของพรรค เห็นตรงกันว่า สส.ทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศจริง และผิดวินัยร้ายแรง แต่เมื่อกระทำความผิด ก็มีบทลงโทษหลายระดับ ซึ่งในกรณีนี้จะเห็นว่า นายไชยามพวานแม้จะเป็นสมาชิกพรรคอยู่ แต่เจ้าตัวจำเป็นจะต้องออกมายอมรับผิดและขอโทษรวมถึงเยียวยาผู้เสียหาย และมีข้อถกเถียงกันมากในที่ประชุม ซึ่งต่างจากกรณีนายวุฒิพงษ์ ที่เห็นตรงกันเกือบทั้งหมดว่ามีการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่บทบาทตั้งแต่เป็นว่าที่ผู้สมัคร สส.มาจนถึงการเป็นสส. และเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบในการคุกคามทางเพศ และพยายามที่จะใช้อำนาจของตนเองในการปกปิดความผิด จึงทำให้ สส.จำนวนหนึ่งเห็นว่ามาตรการในการลงโทษรุนแรงแตกต่างกัน ซึ่งในกรณีการขับออกจากพรรคของนายวุฒิพงษ์นั้น ไม่ใช่เป็นการตัดหางปล่อยวัด แต่ทำตามบทลงโทษของพรรคเท่าที่ทำได้ 

หลังจากนี้พรรคจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาที่มี นางสาวเบญจาแสงจันทร์ รองหัวหน้าพรรคเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ที่จะปรับปรุงกระบวนการทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องนี้ขึ้นอีก รวมถึงมีมาตรการและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในพรรค ซึ่งรวมถึงการอบรมด้วย 

ทั้งนี้ยืนยันว่าพรรคย้ำคุณค่าและให้ความสำคัญกับการไม่อดทนต่อการคุกคามทางเพศแต่ต้องยอมรับว่า ในหลักการคนจะรับรู้แต่ในทางปฏิบัติความเข้าใจในแต่ละคนไม่เท่ากัน ว่าอะไรคือการคุกคามทางเพศอะไรไม่ใช่คุกคามทางเพศ สำหรับเรื่องนี้เป็นบทเรียนของพรรค ถ้าหากใช้บทบาทหน้าที่และอำนาจของตนเอง ไปมีพฤติการณ์ในการคุกคามทางเพศ แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้เกิดการบังคับขืนใจ ไม่เกิดการปฏิเสธและดูเหมือนจะเป็นการยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายแต่กรณีนี้จะชี้ให้เห็นว่าการยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นการยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริง แต่เกิดขึ้นภายใต้อำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมรับ และให้ความร่วมมือ หากมีการยื่นร้องคณะกรรมการจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการบริหารพรรคและกรรมการวินัยก็มีมติตรงกันว่าทั้งสองกรณีมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา 

และหากนายไชยามพวาน ไม่ยอมรับผิดและยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำผิด ไม่ขอโทษและไม่พร้อมที่จะเยียวยาผู้เสียหาย พรรคพร้อมที่จะนัดประชุมใหม่อีกครั้ง ก่อนจะชี้ว่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าแม้จะรู้แล้วการ แต่ก็ไม่ควรจะคุกคามหรือละเมิดทางเพศใคร แต่มีข้อเท็จจริงที่ผู้กล่าวหารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เลยความยินยอมพร้อมใจ 

หลังจากนี้คณะกรรมการวินัยของพรรคจะแจ้งบทลงโทษให้กับ ผู้ถูกร้องและผู้เสียหายได้รับทราบครับ มติของกรรมการบริหารพรรคกลับมติของที่ประชุม โดยทางพรรคไม่ได้มีการเจรจาหรือเรียกร้องให้ 2 สส. ที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ถูกร้อง 

"บางครั้งการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เป็นเรื่องที่พึงทำ ซึ่งคนทำผิดหากแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองสังคมก็พร้อมที่จะให้โอกาส และการรับผิดชอบทางการเมืองไม่จำเป็นต้องรอให้ข้อเท็จจริงยุติ อย่าคิดว่าความรับผิดชอบทางการเมืองเป็นการยอมรับผิด และต้องรอให้กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ ให้สิ้นสุดก่อนเท่านั้น สนับสนุนหากผู้ที่ถูกกล่าวหา จะแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เป็นนิมิตหมายที่ดี และเป็นมาตรฐานทางการเมืองที่ดี" นายชัยธวัชกล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้แจงข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้ระยะเวลาเนินนานในกระบวนการตรวจสอบและได้ข้อสรุป โดยระบุว่าบางกรณีอาจล่าช้าแต่เป็นความจำเป็น ที่กระบวนการสอบซับซ้อนและต้องฟังความอย่างรอบด้าน และต้องมีพยานและข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ยกตัวอย่างกรณี สส. ปราจีนบุรี ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อมีข้อเท็จจริงที่ยังไม่ได้ข้อยุติ พร้อมกับข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อกรรมการที่จะพิจารณา โดยเฉพาะมีผลต่อที่ประชุมที่จะลงมติในวันนี้ ดังนั้นจะรวบรัดกระบวนการมากเกินไปไม่ได้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก่อนจะยืนยันว่าพรรคก้าวไกลจะมีการปรับปรุงกระบวนการทั้งของคณะกรรมการวินัยและมาตรการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้ มีรายงานว่าบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เสียหายได้มาร่วมสังเกตการอยู่บริเวณหน้าห้องประชุมด้วย ซึ่งถ้าหากมติของพรรคไม่เป็นไปตามที่น่าพอใจ คาดว่าจะมีการเดินเรื่องต่อ 

‘นายกฯ’ โต้ปม ไม่ยุบ กอ.รมน. เอาใจกองทัพ ยัน!! เอาประโยชน์ ปชช. เป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาใจใคร

(1 พ.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รีโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ของ นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ที่ปรึกษาพิเศษเครือเนชั่น หลังได้แท็กถึง พร้อมระบุว่า ขอไม่เห็นด้วยกับ​ ที่ประกาศเอาใจทหาร​ ไม่มีแนวคิดยุบหน่วยงาน​ มิหนำซ้ำ ยังไปเพิ่มบทบาทที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ 

โดย นายเศรษฐา ตอบกลับว่า “ไม่ได้เอาใจทหารครับ เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมก็พูดไปแล้ว ว่าการทำงานของหน่วยงานนี้ จะต้องเน้นเรื่องการพัฒนา ไม่ใช่แค่ป้องกันอย่างเดียว ตามที่ได้เสนอข่าวไป”

จากนั้น นายเศรษฐา ยังได้รีทวีต ข้อเขียนของ นายสุทธิชัย หยุ่น ผู้ดำเนินการรายการข่าวอาวุโส ที่ระบุว่า “สงครามเย็นหมดยุค คอมมิวนิสต์กลายเป็นมิตรสนิทของรัฐบาล SEATO ถูกยุบ มะกันจูบปากเวียดนาม แต่นายกรัฐมนตรีเศรษฐาบอกต้องมี กอ.รมน. เอาไว้ ไม่สนใจฟังเหตุผลของคนที่เสนอ (แม้คนในพรรคเพื่อไทยเอง) ให้ยุบ, ปรับ, แก้ไขกลไกที่เกิดจากยุคทหารครองเมือง!”

โดย นายเศรษฐา ตอบ นายสุทธิชัย หยุ่น ว่า “ไม่เคยไม่รับฟัง ไม่เคยไม่สนใจ แต่เป็นการเห็นต่างแล้ว จะพยายามพัฒนาทุก ๆ องค์กรให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเน้นย้ำ ให้หน่วยงานนี้ เน้นไปเรื่องการพัฒนา และดูแลพี่น้องประชาชน ทุก ๆ องค์กรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแต่การที่โลกเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หมายความว่า ต้องยกเลิก องค์กรนั้นนั้น”

'พิธา' จ้อ!! เวทีคาร์เนกี้ฯ ด้อยค่ารัฐบาลหลังเลือกตั้ง แค่มติคนชั้นบน 1% ซัด!! 10 ปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหายของประเทศไทย

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เข้าร่วมรับเชิญให้เป็นผู้บรรยายสถานการณ์ประเทศไทย โดยองค์กรกองทุนคาร์เนกี้เพื่อสันติภาพโลก (Carnegie Endowment for International Peace) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในหัวข้อ ‘What’s Next for Thailand’ (ก้าวต่อไปสำหรับประเทศไทย)

โดยนายพิธา ได้ตอบคำถามแรกเริ่มของพิธีกร ที่ขอให้พิธานิยามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยหลังการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร ซึ่งนายพิธาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งคือการสร้างฉันทมติร่วมของคน 1% ด้านบนสุด ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันยุติความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง-เสื้อแดงที่ดำเนินมาตลอด 17 ปี โดยแลกกับการผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดการจัดแนวร่วมใหม่ระหว่างประชาชนที่อยู่ในส่วนล่างของทั้งสองข้าง จนกลายเป็นการแบ่งขั้วใหม่ในปัจจุบัน

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่าผู้นำมีฐานของการใช้อำนาจได้สองอย่าง คืออำนาจ (authority) ความชอบธรรม (legitimacy) หรือมีทั้งสองอย่าง แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ชนะการเลือกตั้งแต่ได้โอกาสในการปกครอง ก็คือผู้ที่มีอำนาจแต่ไม่มีความชอบธรรมจากประชาชน ผู้ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกแล้วว่าอยากให้มีการทำตามสัญญาในนโยบายใด การใช้งบประมาณแบบใด การจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่จะทำก่อน-หลังอย่างไร ซึ่งในฐานะฝ่ายค้าน ตนจะพยายามทำงานอย่างสร้างสรรค์โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มอบทางเลือกให้กับประชาชน โดยไม่ใช่การจ้องจะล้มรัฐบาลทุกวัน เพราะตนสามารถรอได้

พิธีกรได้ถามต่อถึงกรณีการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีการหารือถึงประเด็นเศรษฐกิจเป็นหลัก ในยามที่โลกกำลังเผชิญความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ แล้วนายพิธามองกรณีดังกล่าวว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกันหรือไม่

นายพิธา ระบุว่า โดยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียนในด้านขนาดเศรษฐกิจ แต่เป็นประเทศที่เติบโตต่ำที่สุดเป็นอันดับสองเช่นกัน สิบปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหาย เศรษฐกิจที่ดีอาจดีสำหรับ 1% แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เหลือ สำหรับวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ ตนเห็นว่ามาเลเซียมีโอกาสมากที่สุดในการได้ประโยชน์จากกรณีเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ว่าการรัฐปีนังเคยให้ข้อมูลแก่ตนว่า 40% ของรายได้จากการลงทุนต่างชาติของมาเลเซีย มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมาเลเซียมีความได้เปรียบกว่าประเทศไทย ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และภาษา ดังนั้น จึงเป็นการยากสำหรับประเทศไทยที่จะแข่งขัน แม้แต่ประเทศในอาเซียน ในการตักตวงประโยชน์จากวิกฤติห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ตนเสนอ คือ การหาสิ่งที่ ‘นิช’ กว่า สิ่งที่เป็นโอกาสให้กับประเทศไทยได้ก็คือซิลิคอนคาร์ไบด์ ที่เป็นอะไรที่เล็กเกินไปสำหรับสหรัฐอเมริกา อินเดีย หรือญี่ปุ่น แต่ใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทอีวี โซลาร์เซลล์ ฯลฯ ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราพอจะแข่งขันได้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมและงบประมาณที่ประเทศไทยมีอยู่ 

สำหรับตนแล้ว เป้าหมายที่สำคัญเฉพาะหน้าคือสันติภาพของเอเชีย คำถามก็คือประเทศไทยจะอยู่ที่ไหนในการเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับมหาอำนาจแต่เพียงเรื่องพันธมิตรด้านความมั่นคง การค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์ จึงถึงเวลาที่จะจัดสรรสถานะของประเทศไทยใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีวาระมากมายทีประเทศไทยสามารถร่วมมือกับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ต่อต้านคอร์รัปชัน การค้า สิทธิแรงงาน ฯลฯ และจะต้องมีการจัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ให้ออกจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

“สำหรับผมเมื่อประเทศไทยสามารถจัดการปัญหาภายในประเทศของเราได้แล้ว จะต้องทำงานกับอาเซียน โดยเริ่มที่ 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเป็นขั้นต่ำ เพื่อเป้าหมายในการนำพาอาเซียนสู่การเป็นอำนาจกลาง ที่จะสามารถนำพาประโยชน์ร่วมกันได้ ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเล็ก หากไม่ทำงานร่วมกับประเทศอาเซียน เราก็จะยังคงเป็นแค่ประเทศหนึ่งในอาเซียนต่อไป ประเทศไทยจึงมีบทบาทที่จะต้องทำ ในการจัดการปัญหาในประเทศไทย แล้วค่อยก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอำนาจกลางร่วมกับอาเซียน ที่จะมีบทบาทในการจัดสมดุลใหม่ให้กับโลกไม่มากก็น้อย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลในความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มันล้วนเกี่ยวข้องกับต้นทุนปุ๋ยที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส วิกฤติในแดนเมียนมาและการโยกย้ายถิ่นฐานทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ถ้าประเทศไทยไม่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ต่างประเทศเลย เราจะยังคงต้องจ่ายต้นทุนจากการไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับประโยชน์อะไรต่อไป และเราทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยกันในฐานะอาเซียน

ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการทบทวน จัดสมดุลใหม่ จัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทำให้หลายประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของประเทศไทยเริ่มเหินห่างไป แต่ตอนนี้เป็นยุคที่เราสามารถกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยความระมัดระวังและท่าทีที่มีสมดุล และขึ้นอยู่กับหลักการมากกว่าข้างฝ่าย

'เนเน่-รทสช.' น้อมรับผิด!! พร้อมแจงเหตุไม่ลุกขึ้นป้อง 'ลุงตู่' หลังมี สส.ปากไม่ดี 'ขยี้-แซะ' แล้ว 'รองอ๋อง' ปล่อยไหล

(1 พ.ย. 66) นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวขอโทษ FC ลุงตู่ หลังปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูก สส.พรรคหนึ่งหยิบยกขึ้นมาขยี้กลางสภาและลามต่อไปให้โลกออนไลน์กระหน่ำซ้ำ ว่า...

ในฐานะรองโฆษกพรรคฯ เนเน่ #ขอโทษFC ทุกคนแทนพรรค ในการทำหน้าที่บกพร่องของพรรคค่ะ ในการประชุมทีมวันนี้ เนเน่แชร์ความรู้สึกของทุกคนที่เนเน่รวบรวมมาให้ทีมได้ฟัง 

ข้อมูลที่ได้รับมาจากพี่ ๆ สส. คือจังหวะที่เกิดเหตุขึ้นนั้น สส.รทสช. ไปประชุม กรรมาธิการทั้งหมด และประธานสภา ณ ขณะนั้นเป็นคนที่เคยอยู่ในพรรคเดียวกับผู้อภิปราย 

ด้วย 2 เหตุดังกล่าว จึงไม่มีการห้ามปรามใด ๆ เกิดขึ้นเลย รทสช. ไม่มีโอกาสประท้วง และประธานก็ไม่ทำหน้าที่ปราม

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างได้...เราจะเรียนรู้และพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นค่ะ 

‘ไอซ์-รักชนก’ โอนหุ้น 2 บริษัทฯ ขายของออนไลน์ ก่อนยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.

(1 พ.ย. 66) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค. 2566 สถานะ โสด มีทรัพย์สินรวม 5,840,477 บาท หนี้สิน 1,814,816 บาท

น.ส.รักชนะ ระบุ ประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปีว่า เป็นกรรมการบริษัท 2 แห่ง

- ปี 2562-2566 เป็นกรรมการ บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2563-2566 เป็นกรรมการ บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2564-2566 ที่ปรึกษาประธาน กรรมาธิการ พัฒนาการเมือง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ขณะที่รายการทรัพย์สินของ น.ส.รักชนก มิได้ระบุถือครองหุ้น 2 บริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า น.ส.รักชนได้ลาออกจากกรรมการและโอนหุ้นทั้งสองบริษัท ในช่วงเดือน มิ.ย.2566 ก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. มีรายละเอียดดังนี้

1.) บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 กันยายน 2562 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขายสินค้าและขายส่งสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล 19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร น.ส.รักชนก เป็นกรรมการจดทะเบียนก่อตั้ง และถือหุ้นใหญ่ 9,400 หุ้น ผู้ถือหุ้นรายอื่น 2 คน คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

2.) บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 31 มกราคม 2563 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการขายสินค้าออนไลน์ ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ที่ตั้งเลขที่เดียวกันกับบริษัทแรก) น.ส.รักชนกเป็นกรรมการผู้ริเริ่มก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ 94,000 หุ้น ผู้ถือหุ้นอื่นอีก 2 ราย คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น 

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

ทั้งสองบริษัทยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ และนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พร้อมกัน และผู้รับโอนหุ้นจาก น.ส.รักชนก รวม 2 บริษัท จำนวน 18,800 หุ้น มูลค่า 1,880,000 บาท เป็นคนดียวกัน (ดูตารางประกอบ)

จากข้อมูลเห็นได้ว่า การลาออกจากตำแหน่งกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นธุรกิจทั้งสองแห่งของ น.ส.รักชนก ให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ มีขึ้นก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค.2566 โดย สำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองรับวันที่ 10 ต.ค.2566 (ดูเอกสาร)

ไม่มีชื่อ สส.สาวถือหุ้นธุรกิจขายของออนไลน์อีกต่อไป

‘ธนกร’ ค้าน ‘ยุบ กอ.รมน.’ ชี้ ส่งผลต่อความมั่นคงประเทศ ถาม!! ที่เสนอยุบ เพราะต้องการกำจัดศัตรูคู่แค้นหรือไม่?

(1 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล เชิญชวนประชาชนแสดงความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือร่างกฎหมาย ยุบ กอ.รมน. ว่า เรื่องนี้ตนขอคัดค้าน ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องรักษาความมั่นคงภายในประเทศ จากภัยคุกคามต่าง ๆ เช่น การก่อความไม่สงบ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นต้น หากยุบกอ.รมน. ไป อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ได้

นายธนกร กล่าวว่า การทำงานของ กอ.รมน.ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2551 ได้บูรณาการการทำงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งตอบสนองนโยบายรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และแก้ปัญหาให้ประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ กอ.รมน. คือหน่วยงานประสานการทำงานในลักษณะองค์กรผสม 3 ฝ่าย คือ พลเรือน-ตำรวจ-ทหาร มี 6 ศูนย์ประสานการปฏิบัติ มีศูนย์ 1 รับผิดชอบด้านยาเสพติด, ศูนย์ 2 แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, ศูนย์ 3 การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ, ศูนย์ 4 ด้านความมั่นคงพิเศษ อาทิ ชาวม้งลาว, การค้ามนุษย์, การฟอกเงิน, บุกรุกป่าไม้, ภัยพิบัติระดับชาติ ฯลฯ, ศูนย์ 5 ด้านความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ คือจังหวัดชายแดนภาคใต้ และศูนย์ 6 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและการส่งเสริมสถาบัน

“หากยุบกอ.รมน. ไปอาจทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานแยกส่วนกัน ประสิทธิภาพการบูรณาการ การประสานงานด้านต่าง ๆ ลดลง ตนเห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ไม่มีแนวคิดจะยุบ กอ.รมน. แต่จะปรับแนวทางการทำงานให้มีประสิทธิภาพให้มีการทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น” นายธนกรกล่าว

เมื่อถามว่า การล่ารายชื่อของพรรคก้าวไกลจะมีผลต่อการยื่นร่างกฎหมายนี้ต่อสภาหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การเสนอกฎหมายเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อยื่นวาระเข้าสภาแล้ว ก็ถือเป็นสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะพิจารณาถึงประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ตนเชื่อว่าทุกคนจะยึดหลักประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าส่วนตน มากกว่าพวกพ้อง หรือ พรรคใดพรรคหนึ่ง   

“ผู้ที่สนับสนุนให้ยุบ กอ.รมน. เขาอาจมองว่า กอ.รมน. มีอำนาจมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกมองว่าเป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า การให้เหตุผลเหล่านี้ อาจมีเรื่องอื่นแฝงอยู่หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาตัวผู้ที่เสนอร่างพ.ร.บ.ยุบ กอ.รมน.เอง รวมถึงพรรคดังกล่าวนั้น ถูก กอ.รมน. แจ้งความเอาผิดในคดีความมั่นคง มาวันนี้ จึงเสนอกฎหมายเพื่อให้ยุบหน่วยงานที่เป็นคู่กรณีของตนเองหรือไม่ จึงขอฝากประชาชนติดตามข่าวสารอย่างมีข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อจะได้ทราบถึงที่มาที่ไปและเหตุผลของการขับเคลื่อนล่ารายชื่อในการยื่นกฎหมายดังกล่าวในครั้งนี้” นายธนกรกล่าว และว่า “การตัดสินใจว่าจะยุบ กอ.รมน. หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และการทำงานเพื่อประชาชนเป็นสำคัญ”

'รอมฎอน' ตามขยี้ กอ.รมน. เปิดงบประมาณ 15 ปี มีเงินติดปีกแสนล้าน  เสี้ยม!! 12 สส.ภาคใต้ อย่าเงียบ!! จี้ 'เศรษฐา' ควรให้สภาถกเถียง

(1 พ.ย. 66) นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กอ.รมน.ที่ฟื้นชีพขึ้นมาหลังกฎหมายความมั่นคง 2551 ใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่? ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีเผยให้เห็นตามนี้ รวม ๆ แล้ว ตลอด 15 ปี ของ กอ.รมน.เวอร์ชั่นติดปีกนี้มีงบในกระเป๋าสูงถึง 1.3 แสนล้าน (หรือเอาละเอียดกว่านั้นคือ 130,023 ล้านบาท) อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกกระเป๋าหนึ่งของกองทัพก็ว่าได้

กอ.รมน.ปรากฏเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีในปีงบประมาณ 2552 เป็นปีแรก เทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีสถานะเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งฝ่ายบริหาร ซึ่งมีสถานะที่ง่อนแง่นพอสมควรหลังจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์เริ่มจางหายไป ประกอบกับภัยคุกคามการแบ่งแยกดินแดน ถูกประเมินก่อนหน้านั้นว่าลดความสำคัญลงไป

บังเอิญว่าบริบทของโลกในตอนนั้นเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย จากสถานการณ์ต่อเนื่องจากเหตุเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และสงครามต่อต้านการก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2544 และการปะทุขึ้นของไฟใต้ที่โดดเด่นขึ้นมาในปี 2547 หน่วยงานที่คร่ำครึเป็นมรดกตกค้างจากสงครามเย็นหน่วยนี้จึงเหมือนปลาได้น้ำ เมื่อเห็นเค้าลางภัยคุกคามใหม่

หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในปี 2549 เหตุผลในการฟื้นคืนหน่วยงานนี้ก็ดูจะมีน้ำหนักในแวดวงผู้ก่อการรัฐประหาร หลังจากนั้น ดูจากยอดขึ้นลงของงบประมาณก็จะสัมพันธ์กับอำนาจของกองทัพในการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดครับ

รายละเอียดเนื้อในของงบประมาณเหล่านี้ก็น่าสนใจ อาจทำให้เราเห็นงานความมั่นคง ที่ควรต้องได้รับการตรวจสอบอย่างกระจ่างมากขึ้นครับ #ยุบกอ.รมน.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top