Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘ธนกร’ ยัน!! ‘ลุงตู่’ ไม่ยุ่งการเมือง ไม่ข้องแวะรัฐบาลเศรษฐา วอน!! หยุดพาดพิง-ด้อยค่า ขอให้นึกถึงผลงาน 9 ปีที่ผ่านมา

(27 ต.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หลายคนในบางพรรคการเมือง ยังพูดพาดพิง ไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ประกาศวางมือทางการเมืองและลาออก จากการเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรครวมไทยสร้างชาติไปนานแล้ว ขอทุกคนทุกฝ่าย อย่าพูดพาดพิง ด้อยค่า หรือ ดึงเข้ามาเกี่ยวโยงการเมือง

เมื่อถามว่า แต่ก็ยังมีคนเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ อยู่เบื้องหลังคอยแนะนำรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ นายธนกร กล่าวว่า ไม่เป็นความจริงเลย นายเศรษฐา มีคณะที่ปรึกษากว่า 10 คน ทำงานมีความเป็นตัวของตัวเอง ที่จะบริหารประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอย่างที่ถูกพาดพิงกล่าวหา และมั่นใจว่าประชาชนเห็นผลงานตลอด 9 ปีที่ผ่านมาของพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้า การขนส่งคมนาคม ความมั่นคงด้านพลังงาน การวางรากฐานการเงินการคลัง พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี วางโครงการแลนด์บริดจ์ สร้างระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และผู้มีรายได้น้อยมาตลอด ฯลฯ ทั้งหมด เป็นการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย 

“การที่พล.อ.ประยุทธ์ ทุ่มเททำงานหนักมาตลอดกว่า 10 ปีตั้งแต่สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ต่อเนื่องมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีเวลาไปพักผ่อนเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวเลย ในช่วงที่วางมือทางการเมืองก็ถือเป็นโอกาสดีได้ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัวบ้าง เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ส่วนฝ่ายการเมืองก็ว่ากันไป แต่ขอให้ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรอย่างสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งจะดีกว่า ผมไม่เข้าใจจริง ๆ คนประเภทไหนที่เห็นคนดีมีความสุขแล้วเป็นทุกข์ หรืออาจจะเป็นคนบกพร่องทางสติปัญญาป่วยทางจิตหรือไม่” นายธนกรกล่าว

‘คนวงใน’ จวก!! ‘พิธา’ จัดแฟนมีต ฉบับหลงตัวเองกลางนิวยอร์ก ทำตัวเป็นเซเลป ขอคัดเลือกคนเข้าพบผ่านการส่ง CV

(27 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘Street Hero V3’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ยังไงๆ” พร้อมรูปภาพที่เป็นคำกล่าวอ้างในฐานะคนทำงาน และโหวตเตอร์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า…

คุณพิธาคะ วิธีการทำงานกับชุมชนของคุณพังนะคะ 

เข้าใจว่ามานิวยอร์กอยากพบปะคนทำงานประสบความสำเร็จใน ตปท. แต่ทีมไม่ทำการบ้านมาเลย เล่นหว่านอินไวท์ไปทั่วสารทิศ แถมยังบอกให้คนส่ง CV ไปให้ตัวเองเลือกว่าจะคุยกะใคร เพ้อเจ้อมาก แอพโพรชแบบนี้มันมีฐานคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นเซเลป ใครๆ ก็ต้องอยากเข้าพบ ดิฉันติดตรงนี้มาก นี่ไม่ใช่ปัญหาลอจิสติก แต่เป็นปัญหาปรัชญาการทำงาน ไม่เล็กสำหรับดิฉัน

เอาใหม่นะคะ วันหลังอยากคุยกับใครให้นัด ไม่ใช่ให้เขาออดิชั่นเข้าพบ แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ได้รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร ไม่มีอเจนด้า เป็นงานออปติก แล้วนัดล่วงหน้านะคะ ไม่ใช่มาบอกภายในวีคเดียวกัน คนประสบความสำเร็จ เขามีงานมีการทำ ไม่ได้ว่างไปเจอได้ตามสะดวกคุณเสมอ

ทำงานชุมชนต้องให้เกียรติคนในชุมชนที่คุณทำงานกะเขาด้วย วางตัวให้อยู่ในระนาบเดียวกันให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันค่ะ

ผิดหวังในฐานะคนทำงานและในฐานะโหวตเต้อค่ะ

'อนุทิน' ย้ำ!! 'อบจ.14 จว.ใต้' มุ่งมั่นทำงานเพื่อ ปชช.ให้มากที่สุด ขจัดปัญหา 'ยาเสพติด-อาวุธ-มาเฟีย' เสริมภาพบวกท่องเที่ยว

(26 ต.ค.66) ที่รร.มุกดาราบีช วิลล่า แอนด์ สปา รีสอร์ท ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกฯ, น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย ผู้บริหารระดับสูง, นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย, นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกอบจ.พัทลุง ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้, พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคกลาง ตัวแทนสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคต่าง ๆ และบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้กว่า 1,000 คน ร่วมรับฟัง

นายอนุทิน กล่าวว่า "ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทุกคนล้วนมีความสำคัญในการทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแล้ว ยังต้องทำให้พี่น้องประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนได้มาพบกันในวันนี้ เพราะเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคนมีอยู่แค่เพียงคำเดียวคือ ประชาชน ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันดูแลการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องทำงานเก่ง มีเพื่อนมาก มีสายสัมพันธ์ให้มาก มีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน และกำหนดเป้าหมายที่ดีร่วมกัน คือทำให้บ้านเมืองเจริญ ทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขสบาย มีความสะดวก มีโอกาส มีเงิน มีกิน มีใช้ ซึ่งเป็นภารกิจที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกจังหวัดต้องร่วมกัน เพราะท่านคือหน่วยงานหลักที่มีความสำคัญต่อท้องถิ่น เป็นหน่วยบริการสาธารณะที่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนได้รับบริการที่เกิดประโยชน์สุขมากที่สุด"

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า "พวกเรามีความสุขเมื่อเห็นพี่น้องประชาชนมีความสุข ตนจึงให้แนวทางการทำงานกับกระทรวงมหาดไทยว่า 'ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที' ต้องทำให้การทำงานต่าง ๆ ทั้งงานตามนโยบายและตามฟังก์ชัน ตามพื้นที่ ตอบสนองพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที การทำงานปัจจุบันเราจะล้าหลังไม่ได้ คนที่ข้าราชการต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ พี่น้องประชาชน ต้องตอบสนองสิ่งที่พี่น้องประชาชนคาดหวัง ต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมั่นใจว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน มีทิศทางเดียวกัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เราคือเพื่อนร่วมงานกัน"

นายอนุทิน กล่าวว่า ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านมาตรการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตนได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดท่องเที่ยว ต้องมีการประชุมเรื่องการให้ความปลอดภัยในระดับที่มีมาตรฐาน ต้องสร้างการรับรู้ ต้องทำความเข้าใจ และให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย และเราต้องทำให้เขารู้ว่าถ้าเกิดอันตรายจะต้องทำอย่างไร โดยส่งเสริมการบูรณาการกลไกอาสาสมัคร ทั้งสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการดูแลความปลอดภัย ในเรื่องสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกรมการปกครอง อยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวงขยายเวลาการให้บริการในพื้นที่ท่องเที่ยว โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ในแต่ละพื้นที่ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) แล้วรายงานมายังกรมการปกครองเพื่อรวบรวมประมวล นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกฎกระทรวงต่อไป ซึ่งจะเป็นโอกาส เป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า "กระทรวงมหาดไทยจะทำทุกอย่าง เพื่อให้เกิดโอกาสและสร้างรายได้ของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น พวกเราในฐานะผู้รักษากฎหมายต้องทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการห้ามพกพาอาวุธ ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์เข้า ห้ามมีการลักลอบจำหน่ายหรือเสพยาเสพติด เน้นย้ำว่ายาเสพติด อาวุธ ค้าประเวณี ใช้แรงงานเด็ก เรื่องที่ไม่สามารถรับได้ในศีลธรรมทั่วไป ห้ามให้เกิดขึ้น รวมถึงการส่งเสริมธรรมาภิบาลในจังหวัด ต้องอย่าให้ผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีกำลังมากกว่าไปข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า ในพื้นที่คนจะมีอิทธิพลหรือบารมีกว่าไม่ว่า แต่อย่านำไปข่มเหงพี่น้องประชาชนที่อ่อนแอ เราในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น"

‘หยก’ แจง!! เหตุชูไอแพดสูง หวิดโดนหัวนายกฯ โอด!! ‘เศรษฐา’ เมินเดินหนี จึงต้องเข้าชูสูงประชิด

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 น.ส.ธนลภย์ (สงวนนามสกุล) หรือ ‘หยก’ เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ น.ส.อันนา อันนานนท์ ได้บุกยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ถือไอแพดที่เขียนข้อความ “112 จะไม่ถูกใช้รังแกประชาชนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย” และ “คดีตากใบจะสิ้นสุดในปีหน้า” โดยพยายามถือให้นายกฯ เห็นข้อความในไอแพด  โดยจังหวะหนึ่งขณะที่ น.ส.ธนลภย์ ถือไอแพด เกือบจะชนศีรษะของนายกรัฐมนตรี

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ได้พยายามเข้าไปพูดคุยกับ น.ส.ธนลภย์ เพื่อขอความร่วมมือให้หยุดเท่านี้ เนื่องจากนายกฯ ได้รับหนังสือร้องเรียนไปแล้ว

ล่าสุด วันนี้ (26 ต.ค. 66) น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมแคปชันระบุว่า…

“อธิบายสาเหตุที่ต้องชูป้ายเมื่อวาน (25 ตุลาคม 2566) เพราะสิ่งที่หยกต้องการถามนายก และพรรคเพื่อไทย คือ เรื่องความยุติธรรมตากใบก่อนคดีจะสิ้นสุดในปีหน้า และ 112 ที่เคยบอกจะไม่มีใครถูกรังแก”

โดยในคลิปวิดีโอ น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้อธิบายไว้ว่า ตนไม่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องเดียวกันกับ น.ส.อันนา เนื่องจาก น.ส.อันนา นั้นได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม รวมถึงผู้เสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีก 3 คนที่โดนจับ โดยมีบางคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

และในส่วนของตนนั้น ต้องการที่จะถามหาความยุติธรรม กรณีเหตุการณ์ที่ตากใบ ก่อนที่คดีจะสิ้นสุดอายุความในปีหน้า (2567) และประเด็น ม.112 ที่ทางนายเศรษฐาเคยสัญญาว่าจะไม่มีใครถูกกฎหมายข้อนี้เพื่อใช้รังแกทางการเมือง แต่ตนนั้นยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับนายเศรษฐา เนื่องจากนายเศรษฐา ได้เดินออกไปอีกทาง 

นอกจากนี้ หยกยังได้บอกว่า นายเศรษฐามีท่าทีที่เมินเฉยและไม่สนใจตนอีกด้วย จึงทำให้ตนตัดสินใจที่จะชูไอแพดให้สูงขึ้น เพื่อหวังจะให้นายเศรษฐา ได้เห็นข้อความที่ตนต้องการจะสื่อ และเรื่องที่ตนพยายามจะเรียกร้องกับทางนายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย มิได้มีเจตนาจะทำให้ไอแพดโดนศีรษะของนายเศรษฐาแต่อย่างใด

‘เศรษฐา’ ชี้!! ‘พ.ร.บ.ภาพยนตร์’ ล้าหลัง-ต้องเร่งปรับปรุงโดยด่วน หากหวังปั้นความคิดสร้างสรรค์ ดันหนังไทยเฉิดฉายระดับโลก

(26 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สัปเหร่อ’ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 ต.ค. ว่า…

“ก็ดีนะครับ เป็นภาพยนตร์ที่สนุก และเชื่อว่าเรื่องของอาชีพที่หลายคนไม่รู้จัก อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย อาชีพที่คนไทยไม่รู้จักก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด รวมถึงเรื่องการใช้ภาษา เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ผู้คนรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมของไทยได้ดีขึ้น ก็ยินดี สนับสนุน ผู้กำกับเก่ง ก็อยากสนับสนุนผู้กำกับที่มีฝีมือให้มาช่วยผลักดันในเรื่องของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสั้น หนังยาว ให้มีเวทีในการที่จะแสดงความสามารถได้ ผมสนับสนุนเต็มที่”

นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องของการสนับสนุนที่อยากให้ภาครัฐเอาภาพยนตร์หรือผู้กำกับไปเฉิดฉายในเวทีแสดงหนังโลก ซึ่งทางรัฐบาลจะสนับสนุนในส่วนนี้ แต่เรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่คือ ‘พ.ร.บ.เซ็นเซอร์’ อันนี้ก็เป็นอะไรที่ต้องใช้คำว่าอาจจะ ‘ล้าสมัย’ ต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่หน่อย จะได้มีการแสดงในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า หนังฟอร์มเล็กของเรามีดีๆ เยอะ จะสนับสนุนอย่างไร เพราะหนังเหล่านี้ไม่มีทุนเหมือนรายใหญ่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เดี๋ยวมานั่งพูดคุยกัน ตรงนี้ตนคิดว่าคณะทำงานซอฟต์พาวเวอร์เล็งเห็นอยู่แล้วในเรื่องของการขาดทุนทรัพย์

'ก้าวไกล' เย้ย!! ทางตัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ปรับเงื่อนไขไร้กระตุ้น ศก. ลั่น!! รอบนี้ฝ่ายค้านใจดี แต่เปิดสมัยประชุมหน้า จองกฐินถล่ม

(26 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่มีการปรับลดเงื่อนไขว่า ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องมีการปรับหลักเกณฑ์โดยการที่คัดกรองคนรวยออก ก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้กับนโยบายนี้แน่นอนจึงจำเป็นต้องทำจำนวนคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะลดลงแล้วก็ยังมีคนที่จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 43-49 ล้านคนอยู่ดีดังนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อย และมีข้อเสนอออกมาอีกว่าจะใช้งบผูกพันปีละ 1 แสนล้านบาทภายใน 4 ปี ตนคิดว่าก็ยิ่งชัดเจนว่างบประมาณปี 2567 มีที่ว่างให้ทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น

“กรณีจำเป็นที่ต้องผูกพันไปถึง 4 ปี ก็เท่ากับว่าจะมีร้านค้าบางส่วนที่ไม่ได้เงินสดไปทันที และต้องรอแลกเป็นหลายรอบปีงบประมาณ ก็จะกระทบกับร้านค้า อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากพอ ถ้าหากต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตนเอง ก็อาจจะไม่เข้าร่วมโครงการด้วยซ้ำไป” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูด ตอกย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถให้ธนาคารของรัฐ ธนาคารออมสินดำเนินโครงการนี้ไปก่อนได้ จึงติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่คือเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งตนคิดว่าการปรับเงื่อนไขครั้งนี้ต้องพิจารณาด้วยว่ายังคงสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมผลที่คาดว่าจะได้รับดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไปหมดแล้ว อาจจำเป็นที่ต้องทบทวนวิธีการใหม่ทั้งหมด ทบทวนนโยบายใหม่ทั้งหมด

เมื่อถามว่าการปรับเงื่อนไขทำให้จำนวนผู้ได้รับลดลงมากน้อยอย่างไร และสะท้อนอะไรบ้าง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าลดไปได้นิดเดียวเองสำหรับคนที่มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท รวมถึงเงื่อนไขบัญชีเงินฝาก ลดไปได้ 13 ล้านคน

“ถ้าเกิดเงินเดือนเกิน 50,000 บาท ยิ่งลดไปได้น้อยใหญ่เลย ลดไปได้แค่ 7 ล้านคน ดังนั้น เกณฑ์นี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในแง่ของการที่จะประหยัดงบประมาณลง ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรกันต่อ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ถ้าสุดท้าย รัฐบาลกลับไปทางเลือกที่ 3 ที่ให้เฉพาะคนที่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตนมองว่าอาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นโครงการประคับประคองเยียวยาค่าของชีพคนที่มีรายได้น้อยหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน จะกลายเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นชัดเจน ย้ำว่าคำว่าทบทวนหมายถึงอาจจะให้เปลี่ยนวิธีการมากกว่ายกเลิกโครงการ ตนเข้าใจดีว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนก็สำคัญ

“ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ แต่ก็สามารถที่จะบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าติดปัญหาในเรื่องอะไรดิฉันคิดว่าประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่ารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีอุปสรรคชิ้นใหญ่คืองบประมาณ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่าสุดท้ายจะเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะเป็นรูปแบบนั้นหรือไม่ตอนนี้งบประมาณที่ไปทบทวนในแต่ละหน่วยงานของรัฐทำการเสร็จแล้ว และเริ่มทยอยส่งกลับมาที่สำนักงบประมาณดังนั้น สำนักงบประมาณมีข้อมูลอยู่ในมือแล้วว่าจะสามารถที่จะตัดลดงบหรือไกล่เกลี่ยงบประมาณปี 2567 ได้เท่าไหร่

“ดังนั้น ถ้าไม่ทำงบประมาณผูกพันข้ามปีทางออกทางเดียวก็คือให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มันก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไปเป็นเพียงแค่เยียวยาค่าของชีพ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยังรอให้มาติผลการประชุมกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ออกมาก่อน เรายังใจดีให้รัฐบาลกลับไปคิดทวนลงรายละเอียดทุกอย่าง และให้คณะกรรมการชุดใหญ่มีข้อเสนอกับคณะรัฐมนตรี เราจะได้ทำการตรวจสอบกันต่อไป หลายกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็รอที่จะพูดคุยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดสมัยประชุม แต่หากเปิดสมัยประชุมเราก็จะมีการพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน พร้อมย้ำสื่อมวลชนให้สอบถามร้านค้าว่าหากมีการทยอยจ่ายเงินสดไม่ได้ทันที ร้านค้าเข้าร่วมโครงการอยู่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ตอนนี้แหล่งเงินจากธนาคารออมสินไม่สามารถใช้ได้แล้ว ถ้าจะใช้ธนาคารออมสินต้องแก้ไขกฎหมาย ส่วนการออก พ.ร.ก.กู้เงินเหมือนช่วงโควิดนั้น เป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า พ.ร.ก. จะออกได้เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ซึ่งต้องกลับไปถามสำนักบริหารหนี้สาธารณะว่าจะยอมหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนและเสี่ยงต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ บอกว่าอาจเป็นการฆ่าตัวตายได้

'ชัยธวัช' โพสต์เดือด!! "ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง" หลังนายกฯ ไม่ตอบกระทู้ก้าวไกล เอาแต่ตอบเรื่องที่ตัวเองเตรียมมา

(26 ต.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ไม่มาตอบกระทู้ถามสดของพรรคก้าวไกล แต่มาตอบกระทู้ของ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า วันนี้เป็นที่ชัดเจนว่า นายกฯ เจตนาไม่ตอบกระทู้ถามสดของพรรคก้าวไกล ต้องการจะตอบกระทู้ถามสดเฉพาะที่ตนเองเตรียมมาตอบ หรือชงให้โฆษณารัฐบาลเท่านั้น

จริง ๆ ประเด็นสำคัญของปัญหาที่ผมต้องการถามนายกฯ จะเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจที่มีลักษณะ “ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง” ด้วย

นายชัยธวัช ระบุเพิ่มเติมว่า น่าผิดหวังที่นายเศรษฐา กล้าใช้อำนาจในลักษณะที่อาจผิดกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ควรปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แต่ไม่กล้าเผชิญหน้าการตรวจสอบจากฝ่ายค้านในสภา ตั้งใจไม่มาตอบกระทู้ถามสดของก้าวไกลแล้วเข้ามาตอบกระทู้ถามอื่นได้ในเวลาติดกัน

หลังจากเผยแพร่โพสต์ดังกล่าวปรากฏว่า มีชาวเน็ตแห่เข้ามาคอมเมนต์ถาม ไอ้โม่งคือใคร

'พิธา' พบคนไทยในนิวยอร์ก เจอถือป้ายขับไล่ "คนโกหกเชื่อถือไม่ได้" ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องห้ามทัพ หวั่นกระทบกระทั่ง 'ด้อมส้ม'

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปพบปะพี่น้องคนไทยในเขตควีนส์ของมหานครนิวยอร์ก ทันทีที่นายพิธา มาที่วัดพุทธไทยถาวร ในเขตชุมนุมชาวไทยที่ eimhurst queens ny กับย่านไทยทาวน์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัด โดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนมาต้อนรับ กับฝ่ายตรงข้ามมาไล่ต้อน

ทั้งนี้ มีฝ่ายสนับสนุนรายหนึ่งเผยว่า ตนและเพื่อน ๆ ยอมหยุดงานมาให้กำลังใจพิธาในวันนี้ พร้อมชี้ว่าหากวันหนึ่งเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี เธอจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง เราต้องการนายกฯ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเพื่อมาพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่มาถือป้ายไล่ต้อนนั้น ได้นำป้ายที่มีข้อความว่า L I A R คนโกหกเชื่อถือไม่ได้ หลอกลวง ท่ามกลางผู้สนับสนุนที่มาต้อนรับ งานนี้ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องเข้ามาห้ามทัพและพูดคุยทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีรายงานว่ามีการปะทะหรือกระทบกระทั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิธา มีกำหนดเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

'สรรเพชญ' ยัน!! จุดยืน 'ประชาธิปัตย์' หนุนแก้รัฐธรรมนูญ แต่ห้ามแตะหมวด 1 และ หมวด 2 หวั่นสังคมแตกแยก

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค.66) เวลา 14.20 น. ที่ห้องประชุมสุริยัน อาคารรัฐสภา ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ช่วงของการอภิปรายญัตติ เรื่อง 'ขอให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ ให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่' ที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ โดยมีนายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอภิปรายสนับสนุนญัตติดังกล่าว

นายสรรเพชญ กล่าวว่า "สำหรับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาทั้งเรื่องของที่มา และกระบวนการรับรอง โดยอาศัยกระบวนการจัดทำประชามติ เมื่อปี พ.ศ. 2559 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ตามครรลองที่ควรจะเป็น เนื่องจากในตอนนั้นมีการปิดกั้นการแสดงความเห็น การรณรงค์ ที่จะเสนอเนื้อหาว่ารัฐธรรมนูญมีจุดบกพร่องอย่างไร จนมาถึงสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ที่ผ่านมา ก็มีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยมีส่วนร่วม ในการเสนอแก้ไขและได้ยื่นให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาแล้ว จำนวน 6 ฉบับ แต่ก็ผ่านแค่เรื่องเดียว เพราะติดอุปสรรคต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หลายประการ"

นายสรรเพชญ กล่าวต่อว่า "ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วว่า ต้องมีการทำประชามติ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า รัฐสภามีอำนาจ และหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องจัดทำประชามติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ให้ประชาชนลงมติว่าต้องการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และครั้งที่สอง เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต้องจัดให้มีการลงประชามติ ว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหากรัฐบาลดึงดันพลิกลิ้น ไม่รับให้มีการทำประชามติ ก็เหมือนกับว่าเป็นการถ่วงเวลา ผมคิดว่าอันที่จริงแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรเป็นวาระแรก ๆ ที่ท่านจะดำเนินการเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ท่านอย่าเอารัฐธรรมนูญมาเป็นตัวประกันให้เป็นระเบิดเวลาของตัวท่านเองเลยครับ"

อย่างไรก็ดี นายสรรเพชญ ได้พยายามกล่าวย้ำต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะรัฐบาลเคยรับปากกับประชาชนไว้ตอนหาเสียงไว้ว่า จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีที่เป็นรัฐบาล แต่แม้ว่า นายสรรเพชญ จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจัดให้มีการจัดทำประชามติ แต่อย่างไรก็ตาม นายสรรเพชญ ก็ได้ย้ำจุดยืนว่า "ตนและพรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะต้องไม่แตะหมวด 1 และ หมวด 2 ซึ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม"

นายสรรเพชญ กล่าวในตอนท้ายว่า "เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความสำคัญไม่แพ้เรื่องปากท้องของประชาชน เพราะ รัฐบาลได้เคยพูดเอาไว้ตอนหาเสียง ก็ขอให้ทำตามที่ได้หาเสียงไว้ ว่าจะทำเป็นเรื่องเร่งด่วนทันที แต่เมื่อถึงการโหวตญัตติฯ ที่ประชุมสภาฯ มีมติ ตีตกญัตติดังกล่าว"

นายสรรเพชญ กล่าวว่า "รู้สึกผิดหวัง เพราะรัฐบาลเคยประกาศเอาไว้แล้วว่าจะทำการแก้ รธน. เป็นเรื่องเร่งด่วน เมื่อมีโอกาสกลับทิ้งโอกาสนี้ไป แต่ตนก็เคารพและยอมรับผลการลงมติดังกล่าว และก็หวังว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะมีแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ไข รธน. และรีบดำเนินการโดยเร็ว ตามที่ได้เคยหาเสียงไว้"

ส่องสาระสำคัญ 'ไทย-จีน-รัสเซีย' จากงาน BRF ครั้งที่ 3 ท่ามกลาง 'ข้อเสนอ' ที่มีมากกว่า 'ท่วงท่า' และ 'ถุงเท้า' 

อาจจะถูกโฟกัสไปแต่ประเด็นทางกายภาพของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ครั้นได้มีโอกาสเข้าหารือแบบทวิภาคีกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำแห่งรัสเซีย รวมถึงผู้นำจีนอย่าง สี จิ้นผิง

แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อวันที่ วันที่ 17-19 ต.ค.ที่ผ่านมา ในการเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ในช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีโอกาสหารือทวิภาคีกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน (Mr. Vladimir Putin) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ก็ต้องยอมรับว่า วันนั้นีสาระสำคัญมากมายที่ควรสรุปให้ทราบ...

>> กับ รัสเซีย...
การที่นายกฯ ได้พบหารือกับประธานาธิบดีปูติน ถือเป็นโอกาสอันดีในการแสดงเจตจำนงร่วมกัน เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยรัสเซียถือเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนาน และทั้งสองฝ่ายก็เพิ่งฉลองครบรอบ 125 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเมื่อปี 2565 และนี่ก็ถึงเวลาที่ ไทย-รัสเซีย ควรร่วมมือกันเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและเป็นรูปธรรม

ในวันนั้น ปูติน พูดกับนายกฯ เศรษฐา โดยกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยาวนานระหว่างไทยกับรัสเซีย พร้อมทั้งเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีมากขึ้น โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่แน่นแฟ้นอย่างมาก

ที่น่าสนใจ คือ โดยปี 2567 (ค.ศ. 2024) จะเป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย-รัสเซีย โดยเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวรัสเซียมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากกว่า 1 ล้านคน และนายกฯ ก็ได้ขานรับทันทีว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.66 ทางครม. ของไทยได้มีมติเพิ่มวันพำนักให้ชาวรัสเซียจาก 30 วันเป็น 90 วัน แล้ว

นอกจากเรื่องท่องเที่ยว ยังมีการพูดคุยกันถึงสาระสำคัญด้านการเมือง โดยทั้งสองฝ่ายเห็นควรว่าต้องมีการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างบุคลากรสภาความมั่นคงของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น โดยนายกฯ ขอให้ฝ่ายรัสเซียส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน พร้อมทั้งเชิญชวนให้รัสเซียพิจารณาเพิ่มการลงทุนในไทย

นอกจากนี้นายกฯ ยังได้เชิญประธานาธิบดีรัสเซียเดินทางเยือนไทย ซึ่งประธานาธิบดีตอบรับ โดยจะได้ร่วมกำหนดวันที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกต่อไป...สวยงาม!!

>> กับ จีน...

สี จิ้นผิง ได้กล่าวกับนายกฯ เศรษฐา ว่า จีนเป็นประเทศแรกนอกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่เศรษฐาเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนอย่างเต็มที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ของไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างมาก

โดยจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อสร้างนิยมความเป็นไปได้ในยุคใหม่นี้ให้กับคำกล่าว "จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" อย่างต่อเนื่อง และทำให้ข้อได้เปรียบของมิตรภาพอันยาวนานเป็นพลังขับเคลื่อนความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน

สี จิ้นผิง กล่าวอีกว่า ทั้งสองฝ่ายควรเร่งรัดการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย พร้อมทั้งขยับขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล, การพัฒนาสีเขียว และพลังงานใหม่ ตลอดจนเสริมความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและการพนันออนไลน์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมอันปลอดภัยสำหรับการพัฒนาของ 2 ประเทศ

สี จิ้นผิงเสริมว่า จีนยินดีแบ่งปันโอกาสจากตลาดขนาดใหญ่และการเปิดกว้างระดับสูงของจีน เพื่อเพิ่มพูนพลังเชิงบวกสู่การพัฒนาของเอเชีย 

แน่นอนว่า ทางด้านนายกฯ ไทย ก็แสดงความยินดีในการที่จะทำงานร่วมกับจีน เพื่อสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ นายกฯ ก็ยังได้โชว์แผนแลนด์บริดจ์เชื่อม BRI ภายใต้งบลงทุนในระดับ 1 ล้านล้านบาท เพื่อเชิญชวนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาร่วมลงทุน มหาโปรเจกต์เชื่อมโยงสองฝั่งท่าเรืออันดามัน-อ่าวไทยครั้งใหญ่นี้

โดยนายกฯ ได้กล่าวอีกด้วยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งให้ความเห็นชอบแนวทางการศึกษาและแผนการดำเนินงานโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทยและมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นที่เรียบร้อย

ขณะเดียวกัน ยังเผยถึงแนวทางปรับปรุงการเชื่อมต่อในพื้นที่อันดามันทางตอนใต้ ลดเวลาการเดินทางผ่านช่องแคบมะละกา ภายใต้แนวคิด 'One Port, Two Sides' ในระยะทางทางบก 90 กิโลเมตรทางภาคใต้ของไทยด้วย

แน่นอนว่า สาระสำคัญเกิดขึ้นกับงาน BRF ครั้งที่ 3 ระหว่าง ไทย-จีน และ ไทย-รัสเซีย ไม่ใช่แค่การแวะเวียนมานำเสนอตัวเองของนายเศรษฐาเป็นแก่น แต่เป็นความพยายามของรัฐบาลที่ถือโอกาสใช้เวทีนี้โชว์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะร่วมมือกันในด้านต่างๆ อย่างยั่งยืนกับทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจใหม่นี้ ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีที่ถูกเปิดมาตั้งแต่ครั้นรัฐบาลก่อนหน้า

ที่เหลือก็แค่รอดูผลลัพธ์...ต่อไป!!
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top