Wednesday, 18 June 2025
POLITICS NEWS

‘ปลอดประสพ’ ยกราคาปลาทูแม่กลอง หนุนแจกเงินหมื่นบาท

(9 ต.ค.66) ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เขามีแค่ปลาทูตัวเดียว หมื่นบาทให้เขาไปเถอะ

ปลาทูแม่กลองตัวนี้ ชาวประมงไม่ได้นอน จับมาเมื่อเช้า ขายไป 5 บาท พ่อค้าคนกลางขายต่อ 7-10 บาท ร้านอาหารขาย 30 บาท ปลอดประสพได้มาทาน  นี่คือชีวิตจริง มันห่างไกลกับเงิน 10,000 บาทเหลือเกิน สงสารชาวบ้าน สงสารคนที่ไม่มี สงสารคนยากคนจน หมื่นบาทให้เขาไปเถอะครับ

‘ชาดา’ ชูโมเดล ‘สยบอัลคาโปน’ ปราบมาเฟียในไทย เน้นเชือดนิ่มๆ ‘ตรวจเส้นทางการเงิน-เก็บภาษีย้อนหลัง’

(9 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ตอบกระทู้ถามสดในที่ประชุมวุฒิสภา ต่อประเด็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งตั้งถามโดยนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตอนหนึ่งระบุว่า การปราบปรามผู้มีอิทธิพล จะใช้มาตรการทางภาษี เหมือนอย่างกรณีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปราบปรามกลุ่มของอัล คาโปน และทำให้กลุ่มอิทธิพลในส่วนอัล คาโปนหายไปจากประเทศสหรัฐอเมริกา 

อย่างไรก็ดีในมาตรการของตนที่จะดำเนินการคือ บูรณาการทุกหน่วยงาน ตรวจสอบภาษีผู้มีอิทธิพล และ คนข้างเคียง โดยนำกรรมการป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสรรพากรไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน เส้นทางของเงิน ทั้งอาณาจักร ทั้งนี้ตนไม่อยากให้งานปราบผู้มีอิทธิพลเป็นงานหวือหวา หรือไฟไหม้ฟาง แต่ต้องการวางระบบให้ดี เพื่อบีบให้คนที่ไม่ดีออกไป และป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเกิดขึ้น และถือเป็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพลรูปแบบใหม่ ที่ตรวจสอบทั้งกระบวนการ รวมถึงมือไม้ที่ทำงานให้

นายชาดา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพล ตามที่ประชาชนร้องเรียน ทั้งนี้มีส่วนที่ดำเนินการไปแล้ว คือในพื้นที่ขอนแก่น และ กทม. ซึ่งเป็นความผิดปกติ เช่น กรณีมีการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ แต่ในกรณีเครือข่ายในอาณาจักรเข้าไปทุกระบบ

“ผมจะตั้งใจทำงาน เพื่อให้เป็นพิสูจน์ เป็นเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ถือว่าการมอบหมายงานนั้นถูกที่ถูกทาง ดังนั้นงานของผมถือเป็นความหวังของคนไทยจำนวนมาก แม้จะไปแบบนิ่ม ๆ แต่จะไม่ทำเพื่อตัวเอง อยากทำให้เห็นว่าทำแล้ว หลังจากนี้ไม่มีผู้อิทธิพลเกิดขึ้นง่าย ๆ เหมือนในอดีต” นายชาดา ชี้แจง

‘นายกฯ’ สั่ง ‘กรมสรรพากร’ ศึกษากฎหมาย แก้ภาษี ‘มรดก-ที่ดิน’ หวังเพิ่มรายได้-ลดความเหลื่อมล้ำ ชี้!! ต้องปรับให้สอดคล้องปัจจุบัน

(9 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปพิจารณา การปรับปรุงกฎหมายการจัดเก็บภาษีการรับมรดก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมองว่า กฎหมายการจัดเก็บภาษีการรับมรดกในปัจจุบันนั้น ถูกมองว่า เป็นกฎหมายที่มีขึ้นในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่สามารถจัดเก็บได้จริง

“ผมได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปพิจารณาแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยกฎหมายจะต้องมีผลบังคับใช้ได้จริงทั้งในมุมการจัดเก็บรายได้และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรเผยว่า หลักในการพิจารณาแก้ไขกฎหมายภาษีการรับมรดกนั้น ต้องพิจารณาใน 3 ประเด็นหลัก คือ

1.) ฐานในการจัดเก็บ ซึ่งปัจจุบัน จัดเก็บมรดกในส่วนที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาทต่อราย ซึ่งประเด็นนี้ ก็ต้องมาดูว่า รัฐบาลต้องการปรับเพิ่ม หรือ ลดลงหรือไม่อย่างไร
2.) รายการทรัพย์สินมรดกที่เข้าข่ายการเสียภาษี
3.) ข้อยกเว้นในการเสียภาษีดังกล่าว โดยภรรยาหรือสามีตามกฎหมายเมื่อได้รับมรดกจะได้รับการยกเว้นภาษี

ทั้งนี้ กรณียกเว้นการจัดเก็บภาษีการรับมรดกที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อรายนั้น ก็ถือเป็นช่องที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้ ยกตัวอย่าง บิดาซึ่งเสียชีวิตมีมรดกอยู่ 300 ล้านบาท แบ่งให้ภรรยา 100 ล้านบาท และ ลูก 2 คนๆละ 100 ล้านบาท มรดกดังกล่าว จะไม่มีภาระภาษีเลย เนื่องจาก ได้รับมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท กรณีภรรยานั้น ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว เนื่องจาก กฎหมายให้ยกเว้นเฉพาะคู่สามีภรรยา

สำหรับภาษีการรับมรดก เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่ามรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับจากกองมรดก โดยผู้ที่ได้รับมรดกเป็นผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีและมักจะมีการกำหนดค่าลดหย่อนและอัตราภาษีที่เป็นประโยชน์กับผู้รับมรดกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ตาย ทำให้ผู้รับมรดกที่มีความใกล้ชิดกับผู้ตายมีภาระภาษีที่น้อยกว่าผู้รับมรดกแต่ละคนมากกว่า เพราะรับภาระภาษีตามสัดส่วนมูลค่าของมรดกที่ได้รับ

“ภาษีการรับมรดกนั้น เกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย ผู้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายได้รับมรดกสุทธิมาในคราวเดียวหรือหลายคราว ถ้ามรดกที่ได้รับมาจากเจ้าของมรดกแต่ละรายรวมกันมีมูลค่าของทรัพย์สินทั้งสิ้นที่ได้รับมรดกหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดจากการรับมรดกเกิน 100 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว

ส่วนทรัพย์สินมรดกที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี อาทิ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น เงินฝาก ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน สำหรับการยกเว้นภาษีการรับมรดกนั้น อาทิ บุคคลผู้ที่ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนา หรือเห็นได้ว่า มีความประสงค์ให้ใช้มรดกเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือกิจการสาธารณประโยชน์ หรือ หน่วยงานรัฐและนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือ กิจการสาธารณประโยชน์ หรือ บุคคล หรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีต่อองค์กรสหประชาชาติหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติกันกับนานาประเทศ

แหล่งข่าวกล่าวว่า ภาษีมรดกนั้น เคยถูกนำมาใช้เมื่อปี 2476 แต่ได้ยกเลิกไป เนื่องจาก จัดเก็บได้น้อย ต่อมาในปี 2558 รัฐบาลได้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาใหม่ โดยยอดการจัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะอยู่ในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่า น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนมรดกที่ถูกส่งต่อมาให้ผู้รับมรดก เนื่องจาก วัฒนธรรมของประเทศไทย คือ การสะสมความมั่งคั่งเพื่อส่งต่อให้ลูกหลาน ซึ่งประเด็นการสะสมความมั่งคั่งเพื่อส่งต่อให้ลูกหลานนั้น ถือเป็นละเอียดอ่อนสำหรับสังคมไทยเช่นกัน เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำมาหากิน และในระหว่างที่ได้ทรัพย์สินมา ทางผู้มีทรัพย์สินก็ได้ชำระภาษีให้กับรัฐบาลมาก่อนหน้านี้แล้ว

‘กิตติรัตน์’ แจง 2 ข้อสงสัย ปม ‘เงินดิจิทัล’ ยัน!! ไม่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ เผย เหตุที่ไม่ให้เป็นเงินสด เพราะป้องกันการใช้เงินซื้อ ‘สิ่งไม่ดี-สิ่งผิด’

(8 ต.ค. 66) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กกรณีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล ระบุว่า…

ตอบ 2 คำถาม 1.) เงินดิจิทัล จะสร้างเงินเฟ้อไหม?
- ไม่มีใครสั่งให้ธนาคารกลาง พิมพ์เงินใหม่มาใส่ระบบ แต่ ‘เงินดิจิทัล’ ทุกบาท จะมาจากรายได้ของรัฐบาลเอง

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า ‘อุปสงค์’ (Demand) ที่เพิ่มจากโครงการ ย่อมเพิ่มปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่จะไม่เป็นเหตุให้ ‘ราคาเฟ้อ’ เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่เพียงประมาณ 60%

อุปทาน (Supply) ย่อมเพิ่มได้โดยราคาไม่ขยับ และเมื่อผลิตเพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าที่ผลิตถูกลงอีก ถ้าไม่ลดราคา รัฐบาลขอเก็บภาษีจากกำไรที่สูงขึ้น

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า 2.) ทำไมไม่ให้เป็น ‘เงินสด’ มีอะไรแอบแฝงรึเปล่า?
- ‘เงินสด’ ใช้ซื้อ ‘สิ่งดี’ ได้ และใช้ซื้อ ‘สิ่งไม่ดี/สิ่งผิด’ ก็ได้ ‘เงินดิจิทัล’ ที่มีค่าเท่ากัน บาทต่อบาท ใช้ซื้อ ‘สิ่งไม่ดี/สิ่งผิด’ ไม่ได้ ใช้ไม่หมดตามกำหนด แสดงว่าไม่จำเป็นนัก ก็ยกเลิกการให้ได้

‘นายกฯ’ ยัน!! ไม่ยกเลิกแจกเงินดิจิทัล คาด ปลาย ต.ค.นี้ ชัดเจน เผย ลงพื้นที่มีแต่ชาวบ้านทวงถามเงินหมื่น ย้ำพร้อมรับฟังทุกฝ่าย

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กรณีประชาชนหลายพื้นที่เรียกร้องโครงการเงินดิจิทัลว่า มีประชาชนหลายพื้นที่แสดงเจตจำนงว่าอยากได้มาก ตนดีใจเพราะตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีนักวิชาการหลายท่านไม่เห็นด้วย เรียกร้องให้ยกเลิกโครงการ ตนยืนยันตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯ รัฐบาลและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ ข้อแนะนำทั้งหลายจากทุกหน่วยงาน รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ด้วย เราน้อมรับไปพิจารณา เพื่อปรับปรุงแต่งเติมให้ทุกอย่างดูดีขึ้น แต่ไม่มีการยกเลิก ยืนยันว่าโครงการเงินดิจิทัล ไม่ใช่โครงการหาเสียง ไม่ใช่โครงการที่มาโปรยเงินให้ประชาชนเลือกตั้งให้เรากลับมาใหม่ แต่เป็นโครงการที่เราตระหนักดีถึงความจำเป็นและความต้องการของประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

“คนต่างจังหวัดไม่ได้มีเงินเยอะเหมือนคนที่อยู่บนฐานบนของสังคม ความเหลื่อมล้ำมีเยอะมากในสังคมไทย เขาไม่มีเงิน งบประมาณของโครงการนี้ประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท ไม่ใช่งบประมาณที่ทำทุกปี ขอทำความเข้าใจว่าทำแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ตั้งใจเอามาเพื่อซื้อเสียง เราทำออกมาเพื่อให้โดนใจประชาชนและมีเงินทุนในการประกอบอาชีพอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี”

“นักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ผมน้อมรับ แต่ท่านก็เป็นแค่หนึ่งเสียง พี่น้องประชาชนมีอีกหลายสิบล้านเสียงที่ต้องการเงินดิจิทัล เราน้อมรับฟังและนำไปปรับปรุงเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เสียภาษี ฝ่ายประชาชนที่มีความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจอย่างมากที่หมักหมมมานาน ผมขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะไม่ลุด้วยอำนาจ และจะฟังความคิดเห็น แต่เหนือสิ่งอื่นใดความลำบากของประชาชน การที่ประชาชนขาดเงินทุนที่จะไปดำรงชีพเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญที่สุด ยืนยันจะไม่มียกเลิกเงินดิจิทัล” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับนักวิชาการที่เห็นต่างเพื่อให้ไม่ให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดี นายเศรษฐากล่าวว่า ยืนยันตนคุยตลอด สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และทีมงานก็คุยกับนักวิชาการหลายท่าน ได้ไปพูดคุยและรับฟังตลอด

เมื่อถามว่า การที่ยังมีเสียงคัดค้านเป็นไปได้หรือไม่เพราะยังไม่เห็นรายละเอียด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นไปได้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาจยังไม่เข้าใจ ดังนั้น ขอให้ตกผลึกทั้งหมดก่อนในแง่นโยบายว่ารายละเอียดมีอะไรบ้าง เช่น บางคนบอกว่าระยะทาง 4 ตารางกิโลเมตรอาจไม่พอ เพราะบางพื้นที่มองไปมีแต่ทุ่ง ไม่มีร้านค้าจะทำอย่างไร รัฐบาลรับฟังเดี๋ยวจะไปพิจารณาใหม่ คาดว่าน่าจะปลายเดือนตุลาคมน่าจะออกมาได้ทุกอย่าง ขอให้อดทนนิดหนึ่ง

‘เพื่อไทย’ ยืนยัน รับฟังข้อเสนอแนะทุกฝ่าย ปมเงินดิจิทัล 10,000 บาท อยากวอนคนค้าน ฟังเสียงปชช. เหตุลงพื้นที่มีแต่คำถาม “เมื่อไหร่จะได้”

(7 ต.ค.66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการ และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.)กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยรับทราบถึงข้อคิดเห็นจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งมีทั้งบวกและลบ จากนักวิชาการบางส่วน จึงขอทำความเข้าใจ ดังนี้ 

1. ที่มาของออกนโยบายดังกล่าว มาจากการที่พรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ และพี่น้องเกษตรกร ต่างต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก จากปัญหาที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนสะดุดจนติดลบ จนทำให้หนี้ครัวเรือนปี 63 พุ่งขึ้น 10 เท่าจากปี 53 และในไตรมาส 1 ปี 66 อยู่ที่ 90.6% ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนมาถึงปัจจุบัน หนี้ที่เพิ่มขึ้นเพราะประชาชนอ่อนแอเปราะบาง เป็นที่มาของการ ‘ลดรายจ่าย’

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า 2.จากการประเมินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ (fiscal multiplier) คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1-1.6 ล้านล้านบาท และประเมินจีดีพีไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ถึง 5-7%  แม้ถูกมองว่าเป็นการกระตุ้นระยะสั้น แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นการเริ่มต้นปูพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจในปี 2567 เพื่อที่ในปีต่อๆ ไป การลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามามากขึ้น เป็นที่มาของการ ‘เพิ่มรายได้’ ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ค่าแรง 600 บาทใน 4 ปี และเงินเดือนปริญญา 25,000 บาท ที่กำลังจะตามมา 3.โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่เป็นการลงทุนระยะยาว ยังมีหลากหลายโครงการที่รัฐบาลเตรียมการไว้ด้วยเช่นกัน เช่น โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือ โครงการแลนด์บริดจ์, โครงสร้างพื้นฐาน ที่ จ.ภูเก็ต, โครงการอีอีซี และระบบขนส่งมวลชนต่างๆ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สามารถดำเนินควบคู่กันไปกับโครงการขนาดใหญ่ ที่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวอีกว่า และ 4.ขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น กนง.ได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด 0.25% เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดกัน 8 ครั้ง นับตั้งแต่ 10 สิงหาคม 2565 อาจส่งผลให้การลงทุน และการส่งออกของไทยหดตัวลงได้ ดังนั้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่การลดรายจ่ายให้กับประชาชนระดับฐานรากของสังคม และการลงทุนขนาดใหญ่ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ เป็นทางออกที่เหมาะสม และจะช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาวได้

“พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล มองภาพใหญ่ ภาพรวม ของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่ สส.พื้นที่เราได้รับฟังเสียงสะท้อนมาตลอด ที่ผ่านมา ไม่มีใครบอกว่าไม่อยากได้เงินดิจิทัล 10,000 บาท มีเพียงคำถามว่า ‘เมื่อไหร่จะได้เงินหมื่น?’ ข้อกังวล เรารับทราบ ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการเราเปิดรับเสมอ แต่อยากให้คนที่คัดค้าน ฟังเสียงประชาชนร่วมด้วย คนที่เขารอรับ เขาอาจเสียงไม่ดังเหมือนพวกท่าน แต่พวกเขาเดือดร้อนและรออยู่” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว 

เจาะ 'ระเบิด 3 ลูก' อันตราย!! บนตักรัฐบาลเศรษฐา 'แจกเงินดิจิทัล - ประชามติ รธน. - นิรโทษกรรม'

แม้จะขยันขันแข็ง ทำงานเหนื่อยหนัก พักผ่อนนอนน้อยแค่ไหน แต่บางครั้งถ้ากระบวนท่าการรุกรบไม่สอดรับกับสถานการณ์และสวนทางกับความเป็นจริง พลังงานที่ทุ่มลงไปอาจไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์

สดับตรับฟังมาหลายวงสภากาแฟ 'เล็ก เลียบด่วน' ก็เลยนำมาเปิดหัวเรื่อง ส่งถึง ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ด้วยรักและห่วงใยจร้า...

กลับมาว่ากันที่สถานการณ์บ้านเมือง วันนี้ขอสรุปสั้นฟันธงเปรี้ยงเกี่ยวกับระเบิด 3 ลูกใหญ่ที่รัฐบาลเศรษฐาจะต้องถอดสลัก รับมือให้ดี...

>> ระเบิดลูกแรก ก็คือ นโยบายเติมเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ประชุมกันไปแล้ว ตั้งอนุกรรมการกันแล้ว กะว่าอีก 2 สัปดาห์ จะแถลงเสียงดังฟังชัด ว่าเอาเงินมาจากไหน แจกจ่ายเติมเงิน 5.6 แสนล้านกันอย่างไร ขณะที่กระแสภายนอกรุมค้านกันอย่างทรงพลัง โดยเฉพาะนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ 99 คน นำโดยอดีต 2 ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ดร.วิรไท สันติประภพ และ ดร.ธาริษา วัฒนเกษ ร่ายเหตุผล 7 ประการเสนอให้ยกเลิกนโยบายที่จะทำลายการคลังระยะยาว ถ้าจะช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจง...

ฟังสุ้มเสียงทางรัฐบาลแล้ว ฟันธงว่า...คำว่า 'ยกเลิก' คงสะกดไม่เป็น เพราะจะเสียหายทางการเมืองหลายแสน แต่คงจะทบทวนเรื่องวิธีการ หรือลดขนาดลงเล็กน้อย...ซึ่งดูแล้วก็ยังน่าเสียวไส้อยู่ดีว่าจะไปไหวหรือเปล่า...

ดีไม่ดีระเบิดลูกนี้ถ้าถอดสลักไม่เนียน...อาจระเบิดใส่ตักคนชื่อเศรษฐาถึงขั้นลาโรงก็ได้นะ อย่าทำเป็นเล่น...

>> ระเบิดลูกที่สอง กรณีรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทำประชามติ มีการปรับชื่อคณะกรรมการบางส่วน  ตอนนี้เหลือ 34 อรหันต์...ฟันธงว่าผลศึกษาที่พอจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็ปีหน้า...สุดท้ายก็จะตั้งคำถามเพื่อลงประชามติรอบแรก จากนั้นก็น่าจะเกิดสสร.ลูกผสมไปแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วลงประชามติกันเป็นครั้งที่สอง เมื่อแก้มาตรา 256 เสร็จแล้วก็มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันต่อ แล้วนำไปลงประชามติอีกรอบ...เป็นหนที่สาม

เบ็ดเสร็จได้หย่อนบัตรกัน 3 ครั้งๆ ละประมาณ 4 พันล้านบาท...เวลาที่ใช้ทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 3 ปี...ปัญหามีอยู่ว่ารัฐบาลเศรษฐาจะอยู่ถึงวันนั้นหรือไม่ ถ้ากลายเป็นรัฐบาลอุ๊งอิ๊งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้ากลายเป็นรัฐบาลอื่น...ท่าจะยุ่ง...

>> ระเบิดลูกที่สาม กรณีนิรโทษกรรมคดีอันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง เรื่องนี้พรรคก้าวไกลมีแนวร่วมที่ติดคดีพวกนี้อยู่เยอะมากโดยเฉพาะความผิด มาตรา 112 ต้องการที่จะปลดปล่อยคนพวกนี้ แต่มากกว่านั้นพรรคก้าวไกลรู้ดีว่าวันนี้ทุกสีเสื้อทางการเมืองก็อยากออกจากพันธนาการนี้...ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มนปช.เสื้อแดง กลุ่มกปปส. ก้าวไกล จึงช่วงชิงเสนอร่างกฎหมายนี้เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา...'เล็ก เลียบด่วน' ยังไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้...

งานนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะอึดอัดใจไม่น้อย จะเมินเฉยไม่นำพาก็ดูไร้น้ำใจเหมือนละทิ้งมวลชน ถูกอัดยับแน่ว่า 'ทักษิณ' รอดตายอยู่คนเดียวจึงไม่สนใจคนอื่น แต่ครั้นจะเสนอร่างประกบโดยไม่ครอบคลุมนิรโทษความผิดมาตรา 112 ด้อมส้มก็ถล่มเละ...ก็คงต้องดูกระบวนท่าว่านายกฯเศรษฐาและเพื่อไทยจะเอาไง...

จะเอาไงไม่เอาไงก็ว่ากันไป...แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ส่งเสียงมานานแล้วว่า...ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำให้เกิดบรรยากาศปรองดอง สมานฉันท์ไม่ได้ เพราะภาพหลอนคำว่า 'นิรโทษกรรม' ก็จะน่าเสียดายเป็นที่ยิ่ง...

สรุปก็คือ อย่าหลอน...รัฐบาลเพื่อไทยต้องทำ...แต่จะทำแบบไหน ไม่ยากถ้าสุมหัวพรรคร่วมช่วยกันคิด...ถ้าไม่ทำ...บางคนบอกว่าเลือกตั้งรอบหน้าพรรคก้าวไกลอาจแลนด์สไลด์ของจริง...

สวัสดี!!

‘ชาดา’ เตือน!! อย่ากลั่นแกล้งแจ้งข้อมูลผู้มีอิทธิพลบิดเบือน พร้อมขอเวลา 2-3 เดือน เก็บข้อมูลทุกด้าน ก่อนเริ่มตัดรากถอนโคน

(7 ต.ค.66) นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล หลังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำรายชื่อกว่า 700 รายว่า ได้นำรายชื่อมาทำใหม่ ดูพฤติกรรม สิ่งที่กระทำความผิด และบริวาร รวมถึงข้อมูลที่ประชาชนร้องเรียนมา  ตามเบอร์ 088-8878888 เพราะในอดีต เคยผ่านการบริหาร จัดการเรื่องนี้มาแล้ว แต่มีเพียงการส่งรายชื่อมาเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งนี้ขอให้การส่งข้อมูลมาเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง อย่ากลั่นแกล้งกัน สำหรับรายชื่อที่กระทรวงต่างๆ และบุคคลทั่วไป ส่งมาให้ก็จะผ่านการกลั่นกรองอีกครั้ง

เมื่อถามถึงการจัดระเบียบตามกลุ่มสี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า สีแดงคือคนที่กระทำความผิดอยู่ในปัจจุบัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องติดตามดำเนินการอยู่แล้ว อาจยังจับกุมไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ครั้งนี้จะลงไปทั้งระบบ แบบบูรณาการ อย่างเข้มข้น ทั้งอาณาจักรไม่ใช่เพียงตัวอย่างเดียว แต่จะมีหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงเข้าไป มีเรื่องการตรวจสอบภาษี เรื่องเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ประมูล จะเข้าไปตรวจสอบดำเนินการตัดรากถอนโคน จึงขอฝากว่าคนที่คิดไม่ดีคิดไม่ถูกต้องรังแกประชาชนอยู่ ขอให้เลิก มิเช่นนั้นจะเจอกับการตรวจสอบทั้งระบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลนั้น ยอมรับว่าใช้เวลาพอสมควร ขณะนี้ยังคงรอหน่วยงานอื่นๆ ส่งข้อมูลมาเพื่อจะรวบรวม คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเริ่มปฏิบัติการเข้มข้นไปเรื่อยๆ

‘เพื่อไทย’ หนุน!! ‘พรบ.อากาศสะอาด’ ทวงคืนไฮซีซันท่องเที่ยวภาคเหนือ พร้อมดันรถไฟฟ้า 20 บาท คลายมลพิษเมืองกรุงจากฝุ่น PM

ดูเหมือนการมุ่งเป้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจังและเข้มข้น หลังจากเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 พรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด เพื่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเข้าสู่สภา เพื่อเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง ซึ่งมีการปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีกลไกแก้ไขปัญหาที่เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น โดยให้มีบทลงโทษแก่ผู้ก่อมลพิษเผาป่าในประเทศ รวมถึงกลไกแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ให้มีการลงโทษบริษัทที่ทำให้เกิดมลพิษข้ามแดนด้วยเช่นกัน

(6 ต.ค. 66) นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้นตอ ด้วย พรบ.อากาศสะอาด เพื่อไทยทุกคน’ ระบุว่า...

ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย กล่าวคือ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 (1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค.) พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในไทย กว่า 2 ล้านราย ซึ่งผลการศึกษาของกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ IQAir พบว่าในปี 2563 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยกว่า 14,000 ราย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 149,367 ล้านบาท โดยกรุงเทพมหานคร มีความเสียหายมูลค่าทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ถึง 104,557 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (City’s GDP)

ในขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล โดยทางภาคเหนือ ในช่วงต้นปีซึ่งควรจะเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย แต่นักท่องเที่ยวกลับมีความกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศที่สูงเกินมาตรฐาน สาเหตุหลักเกิดจากการเผาทั้งในและนอกประเทศ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากตัดสินใจไม่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ก่อ 

ดังนั้น พรบ.อากาศสะอาด ฉบับนี้ จะแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อทวงคืนไฮซีซันของการท่องเที่ยวกลับคืนมาให้กับพี่น้องประชาชนภาคเหนือ

เมื่อพิจารณาที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร สาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 กว่า 50% เกิดมาจากภาคการขนส่ง กระทรวงคมนาคมพร้อมมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอากาศสะอาดให้กับคนไทย โดยการรณรงค์ให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เริ่มจากเส้นเลือดใหญ่ในการขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า มีการเร่งผลักดันให้เป็น 20 บาทตลอดสาย โดยวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา รฟม.ได้มีการอนุมัติรถไฟฟ้าสายสีม่วงให้เป็น 20 บาทตลอดสายเป็นที่เรียบร้อย เตรียมเสนอให้ ครม.อนุมัติในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ในขณะเดียวกัน ด้านเส้นเลือดฝอย ขสมก.ก็มีแผนเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง EV จากปีนี้ จำนวน 224 คัน ให้เพิ่มเป็น 2,013 คัน ภายในปี 2568

เพราะสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยคือมาตรฐานของเราครับ ❤️

‘หมอระวี’ ชำแหละแผนนิรโทษ ‘ก้าวไกล’ ชง!! 112 แต่ไม่พ่วง 113 เชื่อ!! โดนตีตก

(6 ต.ค. 66) นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งเคยยื่นเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม เข้าสภาฯ สมัยที่ผ่านมา เรียกว่า ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. โดยมีหลักการคือ ให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน แต่ไม่ทันได้พิจารณาเพราะยุบสภา กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากการเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …. เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของพรรคก้าวไกล ครอบคลุมถึงให้นิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 ด้วย แต่สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็คือ เนื้อหาในร่างดังกล่าว ไม่นิรโทษกรรมคนที่ถูกดำเนินคดี ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เช่นคนที่โดนดำเนินคดีข้อหากบฏ อย่างกลุ่มแกนนำ กปปส. ที่โดนฟ้องข้อหา 113 ด้วย

สำหรับการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ มองว่าจะเป็นกดดันทางการเมืองกับพรรคฝ่ายรัฐบาลว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ประกบเข้าสภาฯ หรือไม่ ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องคุยกันว่าจะเอาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ ตนได้เคยไปยื่นร่างนิรโทษกรรมฯ ที่เป็นร่างเดิมที่เคยยื่นตอนสภาฯ สมัยที่ผ่านมา ไปให้วิปรัฐบาลพิจารณาเมื่อ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหานิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา ยกเว้นคดีทุจริต คดีความผิดอาญาที่รุนแรง และคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112

หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า คาดว่าอาจจะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของฝ่ายปีกรัฐบาล ยื่นไปประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้คือ หากฝ่ายค้านเสนอร่าง พ.ร.บ. อะไรที่สำคัญ และจะมีผลใดๆ ตามมา ฝ่ายรัฐบาลจะเสนอร่าง พ.ร.บ. ประกบไปด้วย แต่จะมีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคการเมืองอื่นๆ เสนอไปประกบด้วยหรือไม่ ต้องรอดู เพราะตามหลักฝ่ายรัฐบาลคงไม่เอาด้วยกับการให้นิรโทษกรรมไปถึงคดี 112 จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมประกบเข้าไป เพื่อไม่ให้ไปถึงนิรโทษกรรมคดี 112 ซึ่งหากจะให้ดี ควรเสนอเข้าสภาฯให้เป็นร่างของรัฐบาล จะดีกว่าที่จะเสนอโดยพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล โดยฝ่ายรัฐบาลต้องไปคิดกันว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่มีเนื้อหาแบบใด จะร่างขึ้นมาใหม่เลย หรือจะใช้ร่างเดิมของตนที่เสนอต่อสภาฯ ซึ่งมีการรับฟังความคิดเห็นมาแล้วก็สามารถทำได้ โดยอาจไปแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย แต่หลักการของพรรคฝ่ายรัฐบาลน่าจะใกล้เคียงกับร่างที่ตนยื่นไป ซึ่งไม่ให้นิรโทษกรรมคดี 112

นพ.ระวี กล่าวว่า เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคก้าวไกล ครอบคลุมถึงการนิรโทษกรรมทั้งคดีแพ่งและอาญา ทำให้ก่อนจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ จะต้องมีการไปรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องประมาณร่วมสิบหน่วยงาน จะใช้เวลาอีกประมาณ 2 - 3 เดือน จากนั้นเมื่อมีการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมฯ ทางฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศเป็นรัฐบาลปรองดอง คงจะยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล เข้าไปอีกหนึ่งร่าง

“เมื่อพรรคก้าวไกลเปิดเกม ด้วยการไม่นิรโทษกรรมคดี 113 ก็คาดว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ไม่ให้ครอบคลุมถึงคดี 112 ส่วนความผิดมาตรา 113 ก็ให้นิรโทษกรรมตามปกติ สรุปก็คือ จะมีความแตกต่างกันในเรื่อง 112 กับ 113 คือของก้าวไกล ให้นิรโทษกรรม 112 แต่ไม่นิรโทษกรรม 113 แต่ร่างของฝ่ายปีกรัฐบาล คาดว่าจะไม่ให้นิรโทษกรรม 112 แต่คนที่โดนคดี 113 จะได้นิรโทษกรรมด้วย” หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ระบุ

อย่างไรก็ตาม หากสุดท้าย ถ้ามีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เข้าสภาฯ แค่สองร่าง คือร่างของก้าวไกลกับร่างของฝ่ายรัฐบาล โดยไม่มีพรรคการเมืองอื่น ๆ เสนอมาด้วย จะทำให้สภาฯ พิจารณากันแค่สองร่าง ทำให้สองร่างดังกล่าวก็ต้องสู้กันตอนพิจารณาของสภาฯ วาระแรก ต้องรอดูว่าสภาฯ จะโหวตรับหลักการวาระแรก แค่ร่างใดร่างหนึ่งหรือจะให้ผ่านทั้งสองฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล ก็ผ่านด้วย ถ้าแบบนี้ ตอนพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯ ก็ต้องไปดีเบตกันว่า จะให้นิรโทษกรรมคดี 112 อย่างไร ไม่ให้นิรโทษกรรม 113 อย่างไร เพราะตามหลักกฎหมาย ถ้าร่างฯ ผ่านสภาวาระแรก ก็ต้องพิจารณาภายใต้หลักการที่ผ่านวาระแรกมา

“แต่หากให้ผมประเมิน ก็คิดว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของก้าวไกล จะโดนตีตกในวาระแรก โดยสภาฯ จะรับหลักการแค่ร่างของฝ่ายรัฐบาล อันนี้เป็นการคาดการณ์ แล้วสภาฯ ก็พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของฝ่ายรัฐบาลต่อไปในชั้นกรรมาธิการและวาระสามต่อไป และส่วนตัวมองว่า การที่ก้าวไกล ไม่ให้นิรโทษกรรม 113 คนที่โดนไปเต็ม ๆ ก็คือ แกนนำ กปปส. ที่โดนฟ้องเป็นจำเลยในคดี 113 ข้อหากบฏ”นพ.ระวี กล่าวเชิงวิเคราะห์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top