Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

เพจ ธ.ออมสิน เขตสุโขทัย แสดงจุดยืนรัก ‘ชาติ ศาสนา กษัตริย์’ หลังเจอทัวร์ลง เหตุโพสต์ภาพคนสวมเสื้อมีโลโก้พรรคต่อต้านสถาบัน

(2 ต.ค.66) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘Kawin Kankeow’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

จากประเด็นการโพสต์ภาพคนสวมเสื้อซึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายพรรคการเมืองพรรคหนึ่งปรากฏในเพจของธนาคารออมสิน เขตสุโขทัย ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารธนาคารออมสิน เขตสุโขทัยแล้ว ท่านรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าท่านมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนผมก็ได้แสดงจุดยืนว่าการแสดงทัศนคติทางการเมืองในนามบุคคลเป็นเรื่องปกติ แต่ในนามองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารออมสินซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ การแสดงสัญลักษณ์ซึ่งดูเหมือนเป็นตัวแทนของการต่อต้านสถาบันฯ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของคนรักสถาบันฯ อย่างผมและคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก

กรณีนี้เข้าใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนอาจไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจนไม่ได้ตระหนักถึงความอ่อนไหวในประเด็นนี้ หลังจากการพูดคุยกันแล้วผมได้รับการตอบรับที่ดีว่าต่อไปนี้ทางธนาคารฯ จะระมัดระวังในการสื่อสารสาธารณะให้มากยิ่งขึ้น และจะปฏิบัติตามปรัชญาของธนาคารออมสินอย่างเคร่งครัดครับ

ส่วนทางด้านเฟซบุ๊ก ธนาคารออมสิน เขตสุโขทัย ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ในฐานะของผู้บริหารสูงสุดของสาขาเขตรู้สึกเสียใจ และขอน้อมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด และขอยืนยันว่าธนาคารออมสินซึ่งถือกำเนิดโดยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มีนโยบายให้พนักงานธนาคารทุกคนจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และแสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นกลาง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ธนาคารออมสินพร้อมที่จะให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะและความเชื่อ และจะดำรงตนเป็นแบบอย่างตามรอยพระราชจริยวัตรอันงดงามยิ่งของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 

โดยธนาคารออมสินจะยึดมั่นในการทำหน้าที่ธนาคารที่จะสร้างความสุขให้พี่น้องคนไทยและนำพาความเจริญเพื่อประเทศชาติพัฒนาในทุกด้านสืบต่อไป

‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘พณ.จังหวัด-DIT’ ดูแล ปชช.ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม กำชับ!! ป้องกันการกักตุนสินค้าเข้มข้น หวั่นของขาดตลาด-ขึ้นราคา

(1 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดและกรมการค้าภายใน เข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้  ทั้งระหว่างน้ำท่วม และหลังระดับน้ำลดลง ไม่ให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นขาดตลาด ให้มีกระจายสินค้าอย่างทั่วถึงและไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชน ไม่ให้มีการกักตุนสินค้า หากฝ่าฝืนให้มีการดำเนินการกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้กระจายสินค้า ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะผัก เครื่องมือ น้ำยาทำความสะอาดบ้านและวัสดุก่อสร้าง เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดแล้ว

ขณะเดียวกันให้นำรถโมบายกระจายลงในพื้นที่ในชุมชน ขายของลดราคา จัดกิจกรรมเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เช่น เอาสินค้าในชุมชนไปกระจายช่วยขายในพื้นที่อื่นๆ พร้อมกับขอให้เข้มงวดการติดป้ายแสดงราคาสินค้า ไม่ให้มีการฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้บริโภค

‘สมศักดิ์’ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมสุโขทัย กำชับทุกหน่วยเร่งช่วย ปชช. รับ สถานการณ์ยังน่าห่วง เตรียมเสนอแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวต่อ ครม.

(1 ต.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยจุดแรก ได้เดินทางไปตรวจประตูระบายน้ำแม่น้ำยม บ้านหาดสะพานจันทร์ อำเภอสวรรคโลก ร่วมประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย กับนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย นางสาวประภาพรทองปากน้ำ สส.สุโขทัย  นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล สส.สุโขทัย และหัวหน้าส่วนราชการ

โดยนายสุชาติ กล่าวรายงานสรุปว่า สถานการณ์น้ำในจังหวัดสุโขทัย เริ่มมีความน่าเป็นห่วงตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพราะมีฝนตกเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีน้ำป่าไหลมาจากจังหวัดรอบข้าง ส่งผลให้สถานการณ์น้ำในจังหวัดเวลานี้ อยู่ในจุดที่ต้องเฝ้าระวัง โดยขณะนี้ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 42 ตำบล 165 หมู่บ้าน 1,365 ครัวเรือน รวมถึงมีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 2,483 ไร่ ซึ่งทางจังหวัดได้เตรียมความพร้อม ในการดูแลช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่สั่งการอย่างเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งลงพื้นที่แล้ว โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ได้รายงานสถานการณ์และสรุปในเบื้องต้นให้รับฟังแล้ว ซึ่งขณะนี้ มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 1,365 ครัวเรือน เป็นพื้นที่กว่า 62,000 ไร่ ส่วนเรื่องการช่วยเหลือชาวสุโขทัย ในเรื่องการอพยพนั้น ยังมีน้อย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ มวลน้ำ ที่ไหลมาจากจังหวัดแพร่ โดยจากรายงานปริมาณน้ำของวันนี้ เมื่อเทียบกับของเมื่อวานที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า สูงขึ้น จาก 880 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มอีก 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยมวลน้ำทั้งหมด จะไหลมารวมอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทางจังหวัดสุโขทัย ก็พยายามปล่อยน้ำออกทางด้านซ้ายของแม่น้ำยมเป็นหลัก ซึ่งสามารถปล่อยได้ 450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนในวันพรุ่งนี้ ตนได้รับรายงานว่า น้ำน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อาจจะส่งผลกระทบให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอเมือง ยังพบดินสไลด์ริมตลิ่ง ความยาวกว่า 100 เมตร โดยผู้ว่าฯได้นำเอาบิ๊กแบ๊คมากั้นเรียบร้อยแล้ว คาดว่า วันนี้จะสามารถหยุดการไหลของน้ำเข้าในพื้นที่ของอำเภอเมืองได้

“หลังจากนี้ ผมและคณะ จะเดินทางไปจังหวัดแพร่ เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงมาก จึงได้กำชับให้ผมรีบลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ผมจะกลับมาประชุมที่จังหวัดสุโขทัยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสรุปแนวทางทั้งหมด นำไปเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยขอยืนยันว่า ผมทำงานการเมืองมา 40 ปี เห็นปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งจะพยายามแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

‘3 นักกิจกรรม’ เล่าเปิดใจ หลังเกิดปรากฏการณ์ ‘ส้มเทิร์นแดง’ แฉ!! การเมืองไม่ตรงปก-ระบบทำงานเละเทะ-ใช้วิธีหาเสียงโจมตีคนอื่น

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ประชาไทได้ตีพิมพ์รายงานหัวข้อ ‘เมื่อรักและศรัทธาเสื่อมลง เปิดใจ 3 วัยรุ่นส้มเทิร์นแดง’ เป็นการสัมภาษณ์นักกิจกรรม 3 คน ที่เคยสนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคก้าวไกล แต่ได้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์ส้มเทิร์นแดง’ โดย น.ส.ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ หรือ ‘มายมิ้นต์’ นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 ชื่นชอบพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นการเมืองใหม่ ชื่นชอบนายธนาธร ถึงขนาดในวันที่มีงานแฟนมีตนายธนาธร ตนเป็นแฟนคลับบัตร 2,500 บาท นั่งแถวหน้าถ่ายรูป จับมือ ตอบคำถาม เหมือนกับศิลปิน

ต่อมาได้ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ‘ฟอร์ด’, นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ หรือ ‘เฟลอร์’ กระทั่งช่วงที่นักกิจกรรมถูกจับกุม มายมิ้นต์ร่วมวงรับประทานข้าวกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคก้าวไกล มีคนในโต๊ะถามเขาว่า เมื่อไหร่นายธนาธร นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือว่าพรรคก้าวไกลจะออกมานำ เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวรอลูกเข้าตีนก่อน” ทำให้เกิดคำถามว่าจะรอให้นักกิจกรรมเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อนหรือไม่?

“เขาจะต้องรอให้พวกเราเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อน หรือยังไงกันแน่ เราก็ไม่เข้าใจ สรุปว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกันหรือไม่ สรุปว่าเราเป็นอะไรกัน เป็นคนที่สู้ด้วยกัน หรือว่าจริงๆ แล้วม็อบก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่คุณต้องรอจังหวะถึงจะออกมาทำ” มายมิ้นต์ระบุ

ต่อมานายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าม็อบราษฎร และแกนนำหลายคนถูกจับ เมื่อปี 2563 มายมิ้นต์กับเพื่อนจัดแฟลชม็อบที่แยกปทุมวัน ปรากฏว่ามีคนอ้างตัวว่าเป็นดอกเตอร์จากพรรคก้าวไกล ขอให้ตนปราศรัยโจมตีพรรคเพื่อไทยและคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เรื่องจับมือกับทหารตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ปรากฏว่าถูกแฟนคลับพรรคเพื่อไทยโจมตีหนัก หลังจากนั้นดอกเตอร์คนดังกล่าวได้เป็น สส. ส่วนตนเมื่อคิดทบทวนก็สงสัยว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มายมิ้นต์ไม่พอใจกรณีที่พรรคก้าวไกลใช้วิธีหาเสียงที่โจมตีคนอื่น ตนไม่มีปัญหาที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นอดีต กปปส. แต่มีปัญหากับการที่คนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาชี้หน้าด่าว่าคนอื่นไม่มีอุดมการณ์ มาบอกว่าคนอื่นไม่สู้ ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยต้องเป็นแบบฉันเท่านั้น ทั้งที่ประชาธิปไตยมีหลากความหมาย หลายรูปแบบ หลายวิธีการ เพราะฉะนั้นคนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาก่อน วันหนึ่งตาสว่างแล้วคิดว่าตัวเองดีกว่าใคร เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

ส่วนเรื่องระบบการทำงานภายในพรรคก้าวไกล มายมิ้นต์เปิดเผยว่า เคยถูกทิ้งให้รันงาน Tournament อีสปอร์ตของ สส.คนหนึ่ง ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด รวมถึงโปรเจกต์การศึกษาของ สส.จังหวัดหนึ่ง ที่ตนลงแรงลงใจไปมากแต่กลับถูกเทกลางทาง แม้จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัว แต่สะท้อนการทำงานของระบบในพรรค เพราะถ้าพรรคยังไม่สามารถจัดการการทำงานในระดับเล็กๆ ให้ราบรื่นได้ แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศได้อย่างไร

มายมิ้นต์ยังฝากความคาดหวังถึงพรรคเพื่อไทย ต้องทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้ให้ได้ ซึ่งขณะนี้เป็นพรรคที่ฟังก์ชันที่สุดในเรื่องเศรษฐกิจ เส้นตายที่จะพิสูจน์ฝีมือคือการลดค่าครองชีพของประชาชนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟ ค่ารถไฟฟ้า ฉะนั้นตนขอให้พรรคเพื่อไทยดีลอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนได้ประโยชน์

ด้านนายภูมิภัสส์ หิรัญวีวิชญ์ หรือ ‘พัท’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ที่เปลี่ยนใจมาเชียร์พรรคเพื่อไทย เพราะไม่ชอบระบบการทำงานและท่าทีที่ดูไม่จริงใจของพรรคก้าวไกล รวมถึงรู้สึกประทับใจนโยบายของพรรคเพื่อไทยมากกว่า ที่ผ่านมาเคยเคลื่อนไหวฟ้องศาลปกครองเลื่อนการสอบ TCAS เมื่อเดือน มี.ค. 2564 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยกลุ่มนักเรียนและติวเตอร์ โดยมีทีมกฎหมายที่คอยให้คำปรึกษา และประสานงานสื่อมวลชน

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พัทเคลื่อนไหวเรื่องสถาบันฯ ร่วมกับม็อบเยาวชน และเรื่องเพศกับกลุ่มเฟมินิสต์ในมหาวิทยาลัย เพราะเห็นว่าไม่มีความเท่าเทียมทางเพศในมหาวิทยาลัย และในขบวนประชาธิปไตยพบว่ามีการแอบถอดถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ซึ่งถือเป็นการข่มขืน และยังมีคนที่เป็นนักข่มขืนขึ้นปราศรัยบนเวที ตนรู้สึกโอเคกับพรรคเพื่อไทยที่ยังมีการจัดนิทรรศการ ขณะที่หลายคนในพรรคก้าวไกลก็มีประเด็นเรื่องเพศ

เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตั้งคำถามเรื่องพฤติกรรมในครอบครัว ว่าดูย้อนแย้งกับคุณค่าที่พรรคก้าวไกลนำเสนอหรือไม่ เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่อดีตผู้สมัคร สส.ก้าวไกล จ.ชัยภูมิ ล่วงละเมิดทางเพศ ส.ก.เขตสาทร ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้เสียหายบางส่วนเป็นผู้เยาว์ และ ส.ก.เขตวัฒนา ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศอดีตลูกจ้างหญิงข้ามเพศ โดยผู้ที่ออกมาเปิดโปงถูกฟ้องหมิ่นประมาททั้งทางอาญา และแพ่ง

สิ่งที่ไม่ชอบคือ ผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกลโพสต์รับอาสาสมัครในหลายพื้นที่ ตนเข้าไปช่วยเขตหนึ่งของ กทม. ผู้สมัครคนนั้นไม่มีความเป็นผู้นำที่มากพอ พรรคไม่เข้ามาควบคุม งานไม่แจกจ่ายอะไรเลย เข้าไปต้องคอยถามตลอดว่าอาทิตย์นี้จะให้ช่วยทำอะไรบ้าง

พัทกล่าวว่า เวลาที่ตนพูดเรื่องเฟมินิสต์ในโซเชียลก็จะมีทัวร์มาลง เมื่อตนเปิดตัวเชียร์พรรคเพื่อไทยทัวร์ก็ลงบ่อยและหนักขึ้นกว่าเดิม ต้องพบนักจิตบำบัดเป็นระยะ ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัยก็มักถูกมองว่าเป็นคนแรงๆ ที่ขับเคลื่อนทุกประเด็น เพราะรู้สึกว่าถูกเบียดขับจากความเป็นกระแสหลักที่ดูมีศีลธรรมสูงส่ง ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่เรียกตัวเองว่า ‘นางแบก’ มักมีอารมณ์ขันแบบจิกกัดตัวเอง ที่เข้าใจกันเองเฉพาะกลุ่ม

ส่วนคำว่า ‘อึงไข่’ เกิดจากการตอบโต้กันของส้ม-แดงในโลกออนไลน์ แล้วนางแบกคนหนึ่งโต้กลับว่าคนเลือกก้าวไกลมักจะบอกว่าก้าวไกลมาจากประชาชน 14 ล้านเสียง ถ้างั้นคนอีก 10.9 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทยเป็นอึ่งไข่หรือ ตนบอกว่าเป็นอึ่งไข่ 10.9 ล้านตัวที่เลือกรัฐบาลนี้ แล้วก็มีนักวิชาการคนหนึ่งออกมาพูดว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลอึ่งไข่ ที่เก็บไข่จนเต็มตัว แล้วเดี๋ยวจะต้องโดนคนอีสานจับกิน แล้วจะสูญพันธุ์ ตนจึงสงสัยว่าจินตนาการไปได้อย่างไร ตนแค่ชอบอึ่งไข่ เพราะมันอยู่ในติ๊กต็อก

ขณะที่ น.ส.น้ำฟ้า ปั้นเหน่งเพชร หรือ ‘ฟ้า’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนเคยร่วมทำกิจกรรมกับพรรคก้าวไกลมาก่อน แต่รู้สึกไม่ซื้อในพฤติกรรมหลายๆ อย่างซึ่งดูขัดกับประเด็นที่พรรคพยายามนำเสนอ ตนถูกตั้งคำถามจากคนในคณะเดียวกันว่าทำไมถึงมีจุดยืนแบบนี้ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง แต่เวลาคุยกับคนที่เลือกก้าวไกลก็พบว่าเขามักมีธงในใจ ถ้าตนตอบผิดแผกไปจากนั้นก็จะถูกมองว่าแบกจนบ้ง

ในช่วงที่มีกระแสข่าวลือว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ในคลาสเรียนหนึ่งอาจารย์พูดในห้องเรียนแบบขำๆ ทำนองว่า คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอาจจะคิดว่าตัวเองโง่ ไม่น่าเลือกเลย แล้วมองหน้าตน เสร็จแล้วก็หันไปมองเพื่อน บอกว่าอันนี้คือล้อกันเล่นเฉยๆ นะ พอดีว่าสนิทกัน ก่อนจะพูดว่า แต่ไม่เป็นไร คนเรามีเงื่อนไขที่ต่างกัน ทำไมถึงเลือกหรือไม่เลือก ที่ตกใจมากกว่าคือมวลบรรยากาศที่เพื่อนทั้งห้องขำ

ฟ้าเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ถ้าเลือกพรรคก้าวไกลแล้วยิ่งเป็นนักกิจกรรมจะยิ่งได้รับการเชิดชูมากๆ แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วพูดอะไรออกมาก็จะถูกจับผิด ตั้งคำถาม ถูกมองว่าจัดตั้ง เป็นไอโอพรรคจ้างมา

ในตอนท้าย ฟ้าคาดหวังต่อพรรคเพื่อไทย คือไม่ควรกระทำการที่ผิดหลักประชาธิปไตย พร้อมยกตัวอย่างเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ว่า ส.ส.ร.ก็ควรมาจากการเลือกตั้งเป็นสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 50% แม้ว่าตนจะเห็นความเป็นไปได้ของรัฐบาลข้ามขั้วมาตั้งแต่เห็นผลการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ผิดหวังที่พรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้วไปต่อด้วยกันได้ แต่สุดท้ายถ้ามีก้าวไกลยังไงก็ไม่ผ่าน ส.ว. 250 คน จึงมองว่าก็ต้องเลือกทางที่ไปต่อได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด

“เพื่อไทยเลือกที่จะเอาอำนาจรัฐที่จะมาจัดการปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนก้าวไกลกินอุดมการณ์มากกว่าที่จะดูที่การกระทำ คนอื่นอาจจะซื้อ แต่เราไม่ซื้อโซลูชันของก้าวไกล ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แค่เราไม่ซื้อ” ฟ้าระบุ

ส่องเกณฑ์เลือก สว.ชุดใหม่!! 200 คน ภายใต้ รธน. 2560 มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

(1 ต.ค. 66) มึนงงกับการศึกษาที่มา สว.ใหม่ สรุปคือมี 200 คน มีทั้งเลือกกันเองในกลุ่ม และเลือกข้ามกลุ่มตามขั้นตอน

นายหัวไทร หยิบ ‘รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560’ มาอ่านอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาจากสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดแต่งตั้งพิเศษจาก คสช.ตามบทเฉพาะกาล 250 คน ใกล้จะหมดวาระในช่วงกลางปี 2567 (พฤษภาคม) และสว.ชุดใหม่ที่มาแบบใหม่เป็น สว.ตามบทหลักภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560

แต่จากการอ่านหมวด ว่าด้วยสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 107 เขียนไว้ซับซ้อนเข้าใจยากถึงที่มาจาก สว.ชุดใหม่ ต้องไปอ่านพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ก็พอจะเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ลึกซึ้งมากนัก ต้องหาผู้รู้ด้านกฎหมายมหาชนมาอธิบายอีกครั้ง

เอาคร่าวๆ นะครับว่า ตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดให้มี สว. 200 คน เลือกกันเองจากกลุ่มอาชีพต่างๆ และกลุ่มพิเศษคัดเลือกกันเอง

รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดหลักการที่มาและจำนวนวุฒิสภาตามบทบัญญัติหลัก โดยให้ สว.มีแค่ 200 คน วาระดำรงตำแหน่งคราวละห้าปี ซึ่งจะเริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผล มีที่มาจากการที่ผู้สมัครตามแต่ละกลุ่มอาชีพ ‘เลือกกันเอง’ โดยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน ทำงานหรือเคยทำงานด้านๆ ต่าง ที่หลากหลายของสังคม ซึ่งรายละเอียดการจัดสรรกลุ่มอาชีพต่างๆ จำนวนและหลักเกณฑ์ขั้นตอนการเลือกกันเองอย่างชัดเจนจะถูกลงไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.วุฒิสภา)

พ.ร.ป.วุฒิสภา มาตรา 10 และมาตรา 11 กำหนดให้ผู้สมัคร สว.สามารถเลือกสมัครเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ได้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งมีจำนวน 18 กลุ่ม และกลุ่มพิเศษอีกสองกลุ่มคือ กลุ่มสตรี และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ รวมจำนวนทั้งหมด 20 กลุ่ม ดังนี้...

- กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง เช่น อดีตข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มการสาธารณสุข เช่น แพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เภสัชกร หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มพนักงานลูกจ้างที่ไม่ใช่ราชการหรือหน่วยงานรัฐ ผู้ใช้แรงงาน อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาฯ และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อยตามกฎหมาย หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจาก (9)
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการอื่นหรือพนักงานโรงแรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตรกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- (กลุ่มพิเศษ) กลุ่มสตรี 
- (กลุ่มพิเศษ) กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 
- กลุ่มอื่นๆ

โดยผู้สมัครจะต้องมีไม่มีลักษณะต้องห้ามต่างๆ ตามมาตรา 14 เช่น ไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และต้องมีคุณสมบัติครบตามมาตรา 13 ดังนี้...

- มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 
- อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ในวันสมัครรับเลือก
- มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี 
- ผู้สมัครต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ เกิดในอำเภอที่สมัครรับเลือก, มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันสมัครรับเลือก, เคยทำงานหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก แล้วแต่กรณีเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี, เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอสมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา

ทั้งนี้ คุณสมบัติเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี นั้น จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้ที่สมัครในกลุ่มสตรีหรือกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มอัตลักษณ์อื่น นอกจากนี้ หากเป็นผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในข่าย ‘อื่นๆ หรือในทำนองเดียวกัน’ จะต้องเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย

ส่วนที่มา สว. ให้เวียนเลือกกันเอง ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศ

โดยที่มาของ สว.ชุดใหม่ เมื่อผู้สมัครคุณสมบัติผ่านฉลุย ก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกกันเองภายใน 20 กลุ่ม ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกสมัครได้แค่หนึ่งกลุ่มและในหนึ่งอำเภอเท่านั้น (มาตรา 15) ซึ่งทุกกลุ่มจะทำการเลือกกันเองตั้งแต่ในระดับอำเภอ พอได้ตัวแทนระดับอำเภอก็ไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับจังหวัด จากนั้นค่อยไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับประเทศ จนได้สมาชิกครบ 200 คน ซึ่งขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้...

>> ด่านแรก เลือกกันเองในระดับอำเภอ (มาตรา 40) 
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
เริ่มด้วยการเลือกกันเองภายในกลุ่มที่ผู้สมัครเลือกสมัครก่อน ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สามอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับจังหวัด
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ ผู้ได้คะแนนสามลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับอำเภอสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับจังหวัดต่อไป 

>> ด่านที่สอง เลือกกันเองในระดับจังหวัด (มาตรา 41) 
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกินสองคน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุดห้าอันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับประเทศ
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละหนึ่งคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเอง ผู้ได้คะแนนสูงสุดสองลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับจังหวัดสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกต่อในระดับประเทศต่อไป

>> ด่านที่สาม เลือกกันเองในระดับประเทศ (มาตรา 42)
- ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ 40 คนแรกของแต่ละกลุ่ม
ผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 10 คน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 40 อันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม ในขั้นนี้หากแต่ละกลุ่มได้ไม่ครบ 40 คน ก็ให้ถือตามจำนวนเท่าที่มี แต่จะน้อยกว่า 20 คนไม่ได้ โดยผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศจะจัดให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือก ซึ่งยังอยู่ ณ สถานที่เลือกนั้น เลือกกันเองใหม่จนกว่ากลุ่มนั้นจะมีจำนวนอย่างต่ำถึง 20 คน

- ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม โดย 10 คนแรก ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็น สว.
กลุ่มแต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกจัดแบ่งออกตามสาย แบ่งออกเป็นไม่เกินสี่สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยให้เลือกบุคคลจากกลุ่มอื่น กลุ่มละไม่เกินห้าคน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้ ผู้ได้คะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นสว. สำหรับกลุ่มนั้น และผู้ที่ได้ลำดับที่ 11 ถึง 15 จะเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีสำรองของกลุ่มนั้น 

โดยสรุป เมื่อผ่านการเลือกกันเองของกลุ่มผู้สมัคร สว.ทั้งหมดสามด่านแล้ว ก็จะได้ตัวแทนจากแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน เป็นตัวจริงที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น สว. ยกตัวอย่างเช่น...

นาย ก.เคยเป็นครู ทำงานมาแล้ว 20 ปี อยากเป็น สว. ดังนั้น นาย ก.จึงไปสมัครตามอำเภอที่ตนพำนัก เพื่อเข้ารับเลือกในกลุ่มอาชีพที่ตนเชี่ยวชาญคือ กลุ่มการศึกษา เมื่อตรวจคุณสมบัติผ่านก็ต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกกันเองสามด่าน ซึ่งนั่นหมายความว่า นาย ก. จะเป็นทั้งผู้มีสิทธิเลือกสว.และเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็น สว.ไปพร้อมกัน

และการที่ ‘นาย ก.’ จะเป็นสว.ได้นั้น นาย ก.ต้องติด Top 40 ของประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในกลุ่มอาชีพเดียวกัน และยังต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัครกลุ่มอื่นๆ ถูกเลือกจนกลายเป็น Top 10 ของกลุ่มการศึกษา และเป็นหนึ่งใน 200 คนที่ได้รับตำแหน่ง สว. ในที่สุด

การได้มาซึ่ง สว. ด้วยวิธีการ ‘คัดเลือกกันเอง’ นับว่าเป็นแบบไม่ง้อการเลือกตั้งจากประชาชน โดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เคยให้สัมภาษณ์ ไว้ว่า “ประชาชนเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยตรง และไม่ต้องอิงกับพรรคการเมือง เพราะไม่ต้องหาเสียง เขาก็คุยกันเฉพาะแต่ในกลุ่มบุคคลที่สมัคร กลไกในลักษณะนี้จะทำให้ สว.ปลอดจากการเมือง มาจากทุกสาขาอาชีพ มาจากคนทั่วประเทศ และกลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็คือ ‘ประชาชน’”

อ่านทั้งรัฐธรรมนูญ และ พรป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ก็พอจะประมวลได้แค่นี้ แต่ก็ยังยากจะเข้าใจอยู่ ยังต้องหากูรูกฎหมายมหาชนมาอธิบายคำว่า ‘กลุ่ม’ กับ ‘สาย’ และ ‘ขั้น’ ต่างๆ ที่เขียนไว้ซับซ้อนไม่น้อย

สรุปง่ายๆ คือ สว.มี 200 คน ในขั้นต้นเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพเดียวกัน ค่อยไปเลือกข้ามกลุ่มเมื่อมีการแบ่งสาย ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปครับ

‘คุณหญิงสุดารัตน์’ แนะรัฐบาลเร่งแก้ รธน. สานต่อจากร่างที่เคยเสนอไว้ ชี้!! วิธินี้จริงใจ-ทำได้ทันที-ประหยัดงบทำประชามติ ช่วยชาติเดินหน้าต่อ

‘สุดารัตน์’ ขอรัฐบาลจริงใจ เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ แนะทำต่อจากร่างที่เคยเสนอไว้ ขออย่ามองเป็นของไทยสร้างไทย เพื่อให้ประเทศเดินหน้าและอำนาจกลับมาเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ชี้ ตั้งคณะกรรมการศึกษา ยิ่งเสียเวลา เสียเงิน และสร้างความขัดแย้ง

(1 ต.ค. 66) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ว่าไม่มีความชัดเจนมาตั้งแต่ต้นและใช้เวลานานมาก ทั้งๆ ที่เมื่อตอนเป็นฝ่ายค้านต้องการแก้ไขตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป รวมถึงการแก้รายประเด็นเพื่อตัดอำนาจ สว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางพรรคไทยสร้างไทยเอง ได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ใจความสำคัญคือ ให้มีเลือกตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ‘สสร.’ เป็นผู้มาเขียน รัฐธรรมนูญ โดยไม่แก้หมวด 1 และ 2 เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง โดยมุ่งแก้ไขในส่วนที่กระทบถึงประชาชนและขจัดการสืบทอดอำนาจ

“พรรคไทยสร้างไทยได้เสนอร่างแก้ไขไปแล้ว ตรงนี้เราชัดเจน โดยวิธีการของเราคือไม่ต้องไปทำประชามติ ถามประชาชนก่อน เพราะไม่ใช่เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ประชาชนเสียโอกาสมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ถ้าร่วมมือกันก็จะแก้ไขได้เสร็จภายในปี 2567 ดร.โภคิน พลกุล ซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ท่านได้ร่างเอาไว้สามารถทำได้ทันที” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ แนะนำรัฐบาลว่าถ้าจริงใจให้ใช้วิธีนี้ ไม่ต้องเสียเงินไปทำประชามติก่อน และไม่เกิดความขัดแย้ง เพราะไม่ได้แก้หมวด 1 และ 2 อยากเรียกร้องให้รัฐบาลมีความจริงใจ อย่าไปซื้อเวลาด้วยการตั้งคณะกรรมการ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะทำให้เสียเงิน และยิ่งสร้างความขัดแย้ง

“ขอเชิญชวนภาคประชาชน รัฐบาล สมาชิกรัฐสภา ตลอดจนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันสร้าง สสร. ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป เพื่อปากท้อง สิทธิเสรีภาพที่ดีกว่าของประชาชน และเพื่อสถาปนาประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ซึ่งตามร่างของพรรคไทยสร้างไทย จะมีการทำประชามติเพียงครั้งเดียวที่รัฐธรรมนูญบังคับ และขอยืนยันว่าแล้วเสร็จภายในปี 2567 ถ้าเริ่มทำกันวันนี้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

‘แก้วสรร’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ใช้สิทธิโดยไม่ชอบ กรณีมติขับ ‘หมออ๋อง’ ยัน!! ขัดข้อบังคับพรรค แนะ 2 ช่องทางส่งเรื่องให้ศาล รธน.วินิจฉัย

(30 ก.ย. 66) อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ‘ก้าวถอยหลัง...ของก้าวไกล’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ถาม ทำไม หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงยังไม่ได้เป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’
ตอบ ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ประธานวันนอร์ก็นำชื่อหัวหน้าพรรคก้าวไกลขึ้นกราบบังคมทูล ให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งได้แล้ว เพราะบัญญัติระบุแต่เพียงว่า ‘ฝ่ายค้าน’ คือพรรคที่ไม่มีใครเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเท่านั้น แต่มารัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเติมเงื่อนไขจุกจิกขึ้นมาอีก

ถาม เติมอะไรเข้าไปอีกครับ
ตอบ เติมมาว่า ‘พรรคฝ่ายค้าน’ นอกจากจะต้องไม่มีใครไปเป็นรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้องไม่มีใครไปเป็น ประธานสภาหรือรองประธานสภาด้วย พอบัญญัติอย่างนี้ พรรคก้าวไกล ก็เลยยังไม่เป็น ‘ฝ่ายค้าน’ เพราะมี สส.ในพรรค คือคุณปดิพัทธ์ หรือ ‘รองอ๋อง’ เป็นรองประธานสภาอยู่

วันนี้ก็เลยมีแต่ประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่เป็น ‘ฝ่ายค้าน’ และให้หัวหน้า ปชป.ขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ ซึ่งก็ไม่สมควรเพราะจำนวน สส.น้อยเกินไป

ถาม ถ้าพรรคก้าวไกลอยากได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ต้องทำอย่างไร?
ตอบ ก็ต้องทำทางใดทางหนึ่ง คือให้ ‘รองอ๋อง’ ลาออกจากรองประธานสภา หรือให้รองอ๋องออกจากพรรคก้าวไกลไปซะ จากนั้นประธานวันนอร์ถึงจะนำชื่อหัวหน้าก้าวไกลขึ้นกราบบังคมทูลเป็น ผู้นำฝ่ายค้านได้ ซึ่งวันนี้เขาก็เลือกแล้วว่า ให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรคก้าวไกล

ถาม แล้วทำไมเขาใช้วิธีให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรค ด้วยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคกับ สส. ครับ ให้ รองอ๋องยื่นใบลาออกจากพรรคเลยไม่ได้หรือ?
ตอบ ถ้าใช้วิธียื่นใบลาออก รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ ‘รองอ๋อง’ ขาดสมาชิกภาพ สส.ทันที เพราะเรากำหนดให้ สส.ต้องสังกัดพรรค พรรคเป็นผู้เสนอชื่อให้ประชาชนเลือกมาแต่แรก ถ้าได้เป็น สส.แล้ว จะลาออกไม่ได้ เพราะนี่เป็นพันธะที่มีต่อประชาชน แต่ถ้าเป็นมติพรรคให้ออกจากพรรค เช่นนี้ ‘รองอ๋อง’ ก็ไม่ขาดจาก สส. แต่ต้องไปหาพรรคใหม่มาสังกัด

ถ้าทำได้อย่างนี้ ‘รองอ๋อง’ ก็ได้ทำหน้าที่ รองประธานสภาต่อไป ข้างพรรคก้าวไกลก็ได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไป

ถาม แล้วอาจารย์ไปว่าก้าวไกล ‘ก้าวถอยหลัง’ ทำไม?
ตอบ มันเป็น ‘การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต’ ครับ การมีมติพรรคให้ สส.ออกจากพรรคนั้น ต้องเป็นเรื่อง สส.ทำผิดร้ายแรง หรือขัดแย้งกับพรรค จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ข้อบังคับพรรคก้าวไกลก็เขียนข้อนี้ไว้ชัดมาก จะมามีมติให้ออกกันดื้อๆ ง่ายๆ เพียงเพื่อเปิดทางให้ พรรคได้ตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่งนั้นไม่ได้

ทำอย่างนี้ ‘รองอ๋อง’ เองก็ยังเป็นคนก้าวไกลเหมือนเดิม เพียงแต่ใส่เสื้อพรรคอื่นทับลงไปบนเสื้อก้าวไกล อีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ถาม ก้าวไกลเดินมาทางนี้ แล้วมันทำลายหลักกฎหมายที่ตรงไหน?
ตอบ หลักรัฐธรรมนูญให้ สส.สังกัดพรรคการเมือง ก็กลายเป็นเรื่องตลก หลักห้ามเป็นสมาชิกซ้ำซ้อนสองพรรค ก็เป็นแค่กระดาษ หลักนิติธรรมให้ใช้สิทธิโดยสุจริตก็เลื่อนเปื้อนไปอีก ทั้งหมดกลายเป็นหลักที่เขียนไว้ให้อ่านเล่นบนประตูส้วม ระหว่างขับถ่ายเท่านั้น

ถาม ‘รองอ๋อง’ เขาว่า เขาต้องการปฏิรูปสำนักงานสภา ตามพันธะกิจที่สัญญาไว้ นี่ครับ จะให้เขาลาออกได้อย่างไร?
ตอบ ชาวบ้านเขาเลือกให้คุณเป็น สส.ก้าวไกล นั่นคือพันธะที่สำคัญที่สุด ทั้งกรรมการบริหารและ สส. จะต้องยึดตรงนี้ จะเอากฎหมายมาเล่นลวงเป็นลิเกอย่างนี้ไม่ได้

ถาม ถ้าเล่นลวงโลกกันอย่างนี้ ใครจะจัดการให้ถูกต้องได้บ้าง?
ตอบ กลุ่มแรกคือ สส.ในสภาจำนวน 50 คน ยื่นเรื่องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลยว่า ‘สส.อ๋อง’ ขาดสมาชิกภาพหรือไม่ เพราะพฤติการณ์จริงที่ทำไปคือการออกจากพรรคด้วยการลาออก ไม่ใช่ด้วยมติขับออกจากพรรคตามข้อบังคับ

ถาม กลุ่มสองคือใคร ครับ?
ตอบ คือ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ภายใต้มติเห็นชอบของ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เองเช่นกันว่า สส.อ๋องได้ลาออกจนสิ้นสมาชิกภาพแล้วหรือไม่

ถาม แล้วปล่อยให้ กราบทูลเสนอหัวหน้าก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้านไปก่อนหรือ?
ตอบ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ด้วยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจปฏิเสธไม่รับรู้รับรองมติก้าวไกล ที่ให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรคโดยไม่มีเหตุขัดแย้งใดๆ ได้ เพราะตรงนี้ขัดข้อบังคับชัดแจ้ง แล้วก็รายงานประธานวันนอร์ให้ทราบ ทำแค่นี้การกราบบังคมทูลเพื่อแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่เกิดขึ้น ประโยชน์จากการทำผิดก็ไม่บรรลุ ส่วนในที่สุด สส.อ๋องจะสิ้นสมาชิกภาพหรือไม่ ก็รอศาลตัดสินอีกที

ถาม เรื่องนี้แท้ที่จริงมันผิดกันทั้งพรรค ทั้งคณะกรรมการบริหาร และ สส.เลยนะครับ
ตอบ น่าจะทำความชัดเจนด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องสมาชิกภาพ สส.อ๋อง ก่อน ถ้าเห็นเป็นความผิดชัดเจนแล้วก็ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าครับ ราตรียังอีกยาวนานนัก

ขณะเดียวกัน ‘รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร’ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

“ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พรรคก้าวไกลไม่กล้าทำ นั่นคือลงมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ ‘หมออ๋อง’ ออกจากพรรคเพื่อไม่ต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายค้านได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ผู้นำฝ่ายค้าน และประธานสภาผู้แทนราษฎรและตำแหน่งรองประธานสภาฯ มาจากพรรคเดียวกัน

ความจริงนายปดิพัทธ์มีทางเลือกอีก 2 ทาง หนึ่งคือยอมสละโดยลาออกจากตำแหน่งประธานสภาเสียเอง อีกทางเลือกหนึ่งคือลาออกจากพรรคก้าวไกล แต่ทั้งสองทางเลือกนี้ ไม่เป็นที่ปรารถนาของหมออ๋องเพราะคงไม่ต้องการสละตำแหน่งรองประธานสภาฯ และพรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องการเสียตำแหน่งรองประธานสภาฯไปเช่นกัน และการที่หมออ๋องลาออกจากพรรคเองก็ไม่สามารถจะไปเป็นสมาชิกพรรคอื่นได้

ดังนั้น เพื่อให้สมประโยชน์ทั้งสำหรับตัวหมออ๋องและพรรคก้าวไกล จึงมีทางเดียวคือต้องขับออกจากพรรคก้าวไกลเสีย วิธีนี้รัฐธรรมนูญเปิดให้ไปสมัครเข้าพรรคใหม่ได้ และก็จะเป็นพรรคอื่นไปไม่ได้นอกจากพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะอยู่พรรคก้าวไกลหรือพรรคเป็นธรรมในทางปฏิบัติก็ไม่แตกต่างกัน

พรรคก้าวไกลก็ยังคงเป็นพรรคก้าวไกล เห็นชัดๆ ว่าใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อให้ทั้งตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และตำแหน่งรองประธานสภาฯ เป็นของพรรคก้าวไกลทั้ง 2 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ผู้นำฝ่ายค้านมีอิทธิพลต่อประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังไม่วายออกแถลงการณ์แบบหล่อๆ ความว่า…

นายปดิพัทธ์ต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ ต่อไป เพื่อผลักดันให้สภามีประสิทธิภาพโปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ที่ประชุมร่วมเห็นว่า ภารกิจของนายปดิพัทธ์จะนำไปสู่การยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่ยังคงยืนยันการเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการได้เป็น ผู้นำฝ่ายค้านของหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากนายปดิพัทธ์ยังคงดำรงสถานะเดิมในฐานะรองประธานสภา จากพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องให้นายปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกล เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์

อยากได้ทั้ง 2 ตำแหน่งให้เป็นของพรรคก้าวไกล ถึงกับกล้าทำในสิ่งที่ใครๆบอกว่าเป็นการเมืองน้ำเน่า นี่ถ้าเป็นพรรคอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทำแบบเดียวกัน พรรคก้าวไกลคงดาหน้าออกมาประณามกันแบบไม่ยั้ง แต่นี่เป็นพรรคก้าวไกลทำเอง จึงกลายเป็นการทำเพื่อยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และเพื่อจะได้เป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ในขณะเดียวกัน

ความจริงหากฝากให้นายปดิพัทธ์ให้อยู่พรรคอื่นๆเช่นพรรคภูมิใจไทย นายปดิพัทธ์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งรองประธานสภา และพรรคก้าวไกลก็ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ได้ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องให้ไปอยู่พรรคเป็นธรรม

พรรคก้าวไกลก็ยังคงเป็นพรรคก้าวไกลเช่นเดิม กล่าวคือการพูดมักสวนทางกับการกระทำเสมอ”

‘เกรียง-สมคิด’ ลงพื้นที่ตามติดการกู้ขบวนรถไฟตกรางที่แพร่  เผย เย็นนี้กู้ขบวนรถไฟได้หมด-พร้อมเปิดให้บริการตามปกติ

(1 ต.ค. 66) นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อม นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และคณะ เดินทางลงพื้นที่ติดตามการกู้ขบวนรถไฟจากเหตุรถไฟด่วนพิเศษขบวนที่ 13 กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่ตกราง เนื่องจากเกิดน้ำท่วมราง เกิดน้ำป่าทะลัก ดินสไลด์ ระหว่างสถานีแก่งหลวงถึงสถานีบ้านปิน อำเภอรอง จังหวัดแพร่ ซึ่งจากการสอบถามเบื้องต้นเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ได้เร่งกู้ขบวนรถได้แล้ว 1 ขบวน และและคาดว่าภายในเย็นวันที่ 1 ต.ค.นี้จะสามารถเก็บกู้ขบวนรถได้ทั้งหมด และสามารถเปิดบริการให้รถไฟวิ่งได้ตามปกติ

นายเกรียง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.66 ตนเองพร้อมคณะได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่อ่างเก็บน้ำห้วยแม่แย้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หมู่ที่ 9 บ้านแม่ยุ้น ตำบลปงป่าหวาย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีความเป็นห่วงประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งอ่างเก็บน้ำห้วยแม่แย้ ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่ตกหนัก ทำให้น้ำล้นสันอ่าง สูงประมาณ 1 เมตร สันอ่างที่เป็นทำนบดินถูกน้ำป่ากัดเซาะ ได้รับความเสียหาย น้ำล้นไหลลงลำห้วยแม่ยุ้น ทำให้ประชาชน ม.9 ต.ปงป่าหวาย ได้รับผลกระทบหลายครัวเรือน รวมถึงพื้นที่ ทางการเกษตรและสิ่งสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหาย

นายเกรียง กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยโครงการชลประทานจังหวัดแพร่ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ได้สนับสนุนเครื่องจักรกลในการซ่อมแซมทำนบดินบริเวณสันอ่างที่ได้รับความเสียหายแล้ว ซึ่งได้เน้นย้ำว่า หลังจากฝนหยุดตกแล้ว ให้ดำเนินการบดอัดทำนบดินบริเวณสันอ่างเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

“สถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับมีปริมาณน้ำฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบทันต่อสถานการณ์ พร้อมกับกำชับให้เตรียมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก นำประสบการณ์ที่ผ่านมา เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที” นายเกรียง กล่าว

‘เกรียง’ ชี้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง-มีความรู้ความสามารถ มั่นใจ!! นำพา ‘เพื่อไทย’ ทวงคืนพรรคอันดับหนึ่งได้แน่นอน

(1 ต.ค. 66) นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค พท. ว่า ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะน.ส.แพทองธารมีความเหมาะสม เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ

เป็นลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา เชื่อว่า น.ส.แพทองธารเป็นบุคคลที่คนในพรรค พท.ทุกคนไว้วางใจให้ขึ้นมานำพรรคมุ่งไปข้างหน้า เมื่อ น.ส.แพทองธารขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว จะเป็นแรงหนุนให้ สส.และสมาชิกพรรค พท. ทุกคนมีพลังในการทำงาน ทำพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน

อีกทั้งวันนี้พรรค พท.มี สส.รุ่นใหม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นอย่างมาก การได้คนรุ่นใหม่มาเป็นหัวหน้าพรรคเช่นนี้จะยิ่งสอดประสานการทำงานให้เป็นปึกแผ่น ทำให้พรรค พท.เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนและจะกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน

'พิธา' เห็นใจ 'หมอพรทิพย์' ชวนสังคมร่วมกัน 'อดทน-มีวุฒิภาวะ' ชี้!! 'ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน' ไม่ช่วย แนะ!! ควรหารูระบายขจัดขัดแย้ง

(30 ก.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีแพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภาเดินทางไปต่างประเทศ และถูกคนไทยเจ้าของร้านอาหารไล่ออกจากร้าน ว่า ทั้งในฐานะนักการเมืองและส่วนตัวตน ตนอยากเชิญชวนทุกคนมาสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น แสดงออกอย่างอดทนอดกลั้น มีวุฒิภาวะ เชิญชวนให้มาสร้างระบบพรรคการเมืองที่ตรงไปตรงมา และมีรูระบายในการกำจัดความขัดแย้ง

ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่าตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ได้ช่วยอะไร ตนเป็นนักการเมืองเข้าใจดีเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด หรือไปกับครอบครัว ก็เจอการแสดงออกของประชาชนที่คล้าย ๆ กัน ตนเข้าใจว่าตนเป็นบุคคลสาธารณะ แต่การอนุญาตให้แสดงออกโดยไม่คำนึงถึงระบบก็น่าเสียดาย

จากที่ตนได้ตามข่าวมา คู่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นคนที่ชื่นชอบคุณหญิงพรทิพย์ แต่เกิดขึ้นจากระบบที่ไม่ตรงไปตรงมา และระบบทำให้เกิดความขัดแย้ง มาจากเสียงประชาชนที่มาจากเลือกตั้ง และเสียงในสภาที่มาจากการแต่งตั้งที่ไม่ตรงไปตรง และเกิดความอึดอัดที่ต้องระบายออก ตนก็เข้าใจพี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้น และรู้สึกไม่สบายใจกับการเข้าสู่อำนาจของการเมืองไทย และระบบการเมืองไทยที่ผ่านมา ก็อยากให้ระบบมันดี ถ้าระบบมันดี เรื่องลักษณะแบบนี้ก็จะน้อยลง เพราะมีรูระบายในระบบ แต่ในส่วนของบุคคล ความมืดไล่ความมืดไม่ได้ แต่ต้องเป็นความสว่าง จึงอยากให้ช่วยกันสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น และมีวุฒิภาวะ ระบบที่เสถียร ทำให้ความอึดอัดส่วนตัวน้อยลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top