Wednesday, 14 May 2025
NEWS

ย้อนอดีต ‘บังเปีย’ ชาวไทยมุสลิม ผู้ริเริ่มทำ ‘โรตีสายไหม’ จนเป็นของขึ้นชื่ออยุธยา แต่แท้จริงนั้นจุดกำเนิดอยู่ที่สัตหีบ

(26 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘จานโปรด’ ได้โพสต์บรรยายที่มาของ ‘โรตีสายไหม’ สินค้าชื่อดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่า…

“โรตีสายไหม ทำไมต้องอยุธยา

ไปเที่ยวอยุธยาทีไร เป็นต้องเห็นโรตีสายไหมวางขายตามร้านข้างถนนแทบจะทุก 1 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นของขึ้นชื่อประจำจังหวัดอยุธยาแล้ว แป้งโรตีหอมๆ กินคู่กับเส้นสายไหมที่หอมหวานกำลังดี

หลายคนอาจจะนึกเถียงอยู่ในใจว่า แป้งที่ห่อนั้นไม่ใช่แป้งโรตี แต่เป็นแป้งเปาะเปี๊ยะต่างหาก

โรตีสายไหมที่โด่งดังขึ้นชื่อในอยุธยานั้น คาดว่าเป็นขนมที่สืบทอดมาจากชาวไทยมุสลิม โดยบังเปีย หรือ คุณซาเล็มแสงอรุณ ชาวอำเภอวังน้อย อยุธยา

ในปี พ.ศ. 2499 บังเปีย ในวัย 11 ปี ที่มีฐานะครอบครัวยากจน ต้องตระเวนไปรับจ้างตามต่างจังหวัด จนได้ไปอยู่กับอาที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และประกอบอาชีพขายขนมโรตี ทุกๆ วัน บังเปียจะต้องเคี่ยวน้ำตาลเพื่อทำขนม แล้วบังเปียก็สังเกตได้ว่าเมื่อเคี่ยวนานไปน้ำตาลจะเริ่มจับตัวเป็นก้อน บังเปียจึงลองดึงน้ำตาลให้เป็นเส้นฝอยๆ เหมือนสายไหมแล้วหยอดใส่แป้งโรตี กลายเป็นขนมชนิดใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า ‘โรตีสายไหม’

หลังกลับมาที่อยุธยา บังเปียก็ยังยึดอาชีพขายโรตีสายไหมอยู่ เพียงแต่ปรับจากแผ่นแป้งโรตี มาใช้แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะของจีนแทน เนื่องจากใช้เวลาทำน้อยกว่า วัตถุดิบมีราคาถูกกว่า และรสชาติก็เข้ากันกับสายไหมได้ดีกว่าเพราะไม่ทำให้เลี่ยนจนเกินไป ก็เลยกลายเป็นโรตีสายไหมเวอร์ชั่นที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

หลังจากโรตีสายไหมของบังเปียเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอยุธยา บังเปียมีการปรับและพัฒนาสูตรอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มขยายกิจการไปยังจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงให้พี่น้องมาทำกิจการโรตีสายไหมด้วยกัน เราจึงได้เห็นร้านโรตีสายไหมที่เป็นสูตรของบังเปียกระจายไปทั่วอยุธยา ตลอดถนนสายเอเชีย ถนนอู่ทอง ถนนมิตรภาพ เราจะเห็นร้านเต๊นท์ผ้าใบที่มีสายไหมสีสดใสวางอยู่ในถุงอยู่เสมอ

ทุกวันนี้ โรตีสายไหมกลายเป็นของขึ้นชื่อของอยุธยา ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และผลักดันจนกลายเป็นสินค้าOTOP สุดขึ้นชื่อ ที่แขกไปใครมาอยุธยาก็ต้องติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละอย่างน้อย 3 ถุงแน่ๆ”

 

'นครศรีฯ' วิกฤติ!! หลังไฟไหม้ 'ป่าพรุควนเคร็ง' ยังลุกลามอยู่ 'กินวงกว้าง-ไหม้มา 2 สัปดาห์' นายกฯ ยันผู้ว่าฯ ไม่ผ่านมาสักคน

นำเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มาแล้วสองอาทิตย์ ยังไม่สามารถควบคุมได้ ไฟป่ายังลุกโชนอยู่ และลุกลามกินวงกว้างออกไปเรื่อย เจ้าหน้าที่ควบคุมไฟป่าทำงานกันอย่างหนัก เมื่อคืนก็ทำงานกันทั้งคืน

ไม่เห็นความตื่นตัวของผู้หลักผู้ใหญ่เข้าไปสั่งการ ดูแล เห็นมีเพียง 'นริศ ขำนุรักษ์' รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยที่ลงไปดูแลมาครั้งหนึ่ง นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่เห็นหน้าเห็นตา หรือทำงานรอเกษียณอย่างเดียว 

ปีนี้แม้จะมีฝนตกลงมาบ่อยในภาคใต้ แต่เป็นการตกแบบแป๊บๆ ยังไม่มีน้ำเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงป่าพรุ เมื่อเกิดไฟไหม้จะเกิดจากอะไรก็ตาม จึงอยู่ในภาวะที่ควบคุมยาก เพราะสภาพความแห้งแล้ง

รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ ทราบแล้วขยับตัวด้วย อย่ามัวแต่ต่อรอตำแหน่งรัฐมนตรีกับรัฐบาลใหม่จนลืมภารกิจหลัก หรือว่ารอขยับก้นไปกระทรวงพาณิชย์ จึงไม่สนใจภารกิจที่เคยพล่ำบ่นว่า “รักสิ่งแวดล้อม”

นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมือนกัน ตอนหาเสียงลงไปนครศรีธรรมราช 2-3 รอบ พล่ำบนรักคนใต้ รักคนนครฯ แต่ตอนนี้ไฟไหม้ป่าพรุเงียบกริบ หรือคิดว่าส่งมอบภารกิจให้เศรษฐา ทวีสิน ไปแล้ว

ข้อเท็จจริง แม้ เศรษฐา จะได้รับโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และโปรดเกล้าลงมาแล้ว แต่ยังทำหน้าที่ไม่ได้ เนื่องจากยังต้องรอเข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ภารกิจจึงยังอยู่ที่ 'ลุงตู่-ประยุทธ์ จันทร์โอชา' นะจ๊ะ

เวลานี้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ทำงานกันไป ฝ่ายนโยบายไม่มีใครสนใจ ไม่รู้ว่ามีกำลังพลเพียงพอไหม อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือพอหรือเปล่า อย่าปล่อยให้เขาทำงานเพียงลำพัง โดดเดี่ยวเลยครับ ผู้ว่าราชการจังหวัดคนพื้นที่ ใกล้ที่เกิดเหตุพลิกตัวบ้างก็จะดีครับ

ป่าพรุควนเคร็ง เป็นป่าพรุเสม็ดขาวเกือบจะเป็นแหล่งสุดท้ายของประเทศไทยแล้ว จะมีอยู่ก็ที่ป่าพรุโต๊ะแดง นราธิวาส รัฐบาลควรจะสำนักอนุรักษ์ป่าพรุควนเคร็งเอาไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลาน

ป่าพรุควนเคร็งนอกจากจะเป็นพรุเสม็ดขาวแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของสัตว์ปีก สัตว์เลื่อยคลาย นก ปลา นานาชนิด เป็นแหล่งอาหารของคนนครศรีธรรมราช รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้มีสภาพเป็นเช่นปัจจุบัน ขาดการเอาใจใส่ดูแลจริงจัง ไฟไหม้เกือบทุกปี โดยไม่มีวิธีในการป้องกัน แค่ทำแนวกันไฟคงจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องแล้ว ต้องสุมหัวกันคิดใหม่ว่าจะป้องกันอย่างไร แลคิดหาวิธีฟื้นระบบนิเวศของป่าพรุขึ้นมาใหม่

ผมเอง #นายหัวไทร ในฐานะคนนครศรีธรรมราช คนป่าพรุมาก่อน ก็ไม่ใช่แค่ตำหนิคนอื่น ไม่ทำอะไร นำเรียนว่า ผมและทีมงานทำโครงการลำพันคืนถิ่น จัดหาและปล่อยปลาดุกลำพันคืนป่าพรุมาแล้ว 6 ครั้ง เพื่อให้ป่าพรุเป็นคลังอาหารของคนนครศรีธรรมราช และกำลังจัดหาทุนปล่อยปลาดุกลำพันคืนป่าพรุควนเคร็งครั้งที่ 7 ต่อไป

อีกโครงการที่จะทำเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศของป่าพรุควนเคร็ง คือการจัดทำโครงการปลูกจาก 'โครงการหิ้วชั้น แบกจอบ ไปปลูกจาก' ปีที่แล้วปลูกไป 4500 ต้น ปีนี้เรากำลังจัดหาทุน 'หิ้วชั้น แบกจอบ ไปปลูกจาก ปี 2' ประมาณการว่าจะปลูกวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ที่จะถึงนี้ มีงบประมาณตั้งต้นจากมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ แล้ว 30,000 บาท แต่ต้องใช้งบ 100,000 บาท ใครมีจิตศรัทธา จิตเป็นกุศลก็ร่วมบุญกันได้ครับ จะปลูกไล่เลี่ยกับช่วงปล่อยปลาดุกลำพันนะครับ

แต่เบื้องต้นนี้ทุกองคาพยพควรจะช่วยกัน ร่วมแรงร่วมใจดับไฟป่าพรุควนเคร็งก่อน เวลานี้หมอกควันจากไฟไหม้ป่า เริ่มกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านแล้ว และกระทบไปถึงตำบลแหลม อ.หัวไทร แล้ว

‘เศรษฐา’ แนะ!! ‘คนรุ่นใหม่’ ก่อนจะเป็นนายตัวเอง ควรไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน จะได้รู้ซึ้งถึง ‘การถูกกระทํา’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @zadlifez แชร์คลิปวิดีโอของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนะนำแนวทางสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ว่าก่อนจะไปเป็นนายตัวเอง ควรต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน โดยระบุว่า…

“อย่างไรการศึกษาก็เป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ผมมาจากโอลด์สคูล ยังไงคุณต้องเรียนหนังสือ และหน้าที่ของพ่อแม่คือส่งลูกให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถเรียนได้ และต้องไปโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถไปได้ และในกําลังทรัพย์ที่เขาสามารถจะกู้เองหรือว่าพ่อแม่สามารถซัพพอร์ตได้”

“เรื่องของการทํางานมีหลายทฤษฎี ผมขออย่างเดียว คือ จบมาแล้ว อย่าไปทําสตาร์ตอัป อย่าเพิ่งไปเป็นเจ้าของกิจการ ขอใช้คําหยาบ ๆ แล้วกันนะ เพื่อที่จะได้เข้าใจ… คือ คุณต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน คุณต้องเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของการเป็นลูกน้องเขาก่อน นี่คือสิ่งที่ผมขอลูกผมทั้ง 3 คน ว่าต้องทํา คุณต้องไปเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องถูกใช้ก่อน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของการถูกใช้ก่อน เพราะในวันข้างหน้า เมื่อคุณจะเป็นเจ้าคนนายคน หรือคุณจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าของกิจการบริษัท คุณจะได้รู้ซึ้งถึงการที่คุณ ‘ถูกกระทํา’”

“ผมว่าผมเป็นคนหัวโบราณนะ ผมไม่คิดว่ามีกี่คนที่เป็นแบบ ‘สตีฟ จ็อบส์’ หรือว่าเป็นแบบ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ คนอีก 500-600 คนที่จบมาทําสตาร์ตอัป แล้วประสบความสำเร็จมากพอที่จะสู้ได้ เป็นมหาเศรษฐีได้ มีเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ…”

ความสำเร็จโครงการการสืบสวนสอบสวนยุค 5G ระหว่าง นักศึกษาธรรมศาสตร์ กับสืบนครบาล

เมื่อวันที่  25  สิงหาคม 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ประธานพร้อมด้วย ดร.ญาดา เดชชัย เธียรประสิทธิ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์  ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , ผกก.สส.1-4 บก.สส.บช.น. , ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ , ผกก.ฝอ.ฯ , คณะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะครูพี่เลี้ยงจากสืบนครบาล,สถานีตำรวจนครบาล ห้วยขวาง ลุมพินี พระโขนง และพญาไท ที่ร่วมโครงการฯ และคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ร่วมพิธีปิดโครงการ การสืบสวนสอบสวนยุค 5G ห้องปฏิบัติการกฎหมาย Special Law Lab "Young Lawyers - Police Engagement (YLPE) Project (TU Law and Royal Thai Police) รวม 14 วัน
ณ ห้องประชุมอัจฉริยะ ชั้น 4 บก.สส.บช.น.

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้รับชมการรายงาน สรุปผลการศึกษางานพร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตร ให้แก่นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการฯ

นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการ กล่าวแสดงความในใจว่า ได้เข้าใจชีวิตตำรวจ และการทำงานของตำรวจที่ไม่เคยรู้ ว่าหนัก เครียด ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะหน้างานสืบสวน ของสืบนครบาล ต้องมีความอดทน เสี่ยงอันตราย  อยากให้โครงการนี้ มีการขยายผลต่อไปอีก และขอบคุณ ท่านพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ตลอดจนผู้การจ๋อ และคณะครูพี่เลี้ยงสืบนครบาล

'ลุงตู่' ยก 9 ประเด็นสำคัญในช่วงระยะเวลา 9 ปี 'ทุกแรงขับเคลื่อน' เกิดขึ้นได้ เพราะคนไทยร่วมใจเป็นหนึ่ง

(26 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha’ โดยระบุว่า…

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดของชีวิต เป็น 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และของเราทุกคน เป็น 9 ปีที่ผมได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคตและการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ (1) ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ (2) ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร (3) ‘ป่า’ เช่น ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น (1) ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ (2) ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) การยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย- สะดวก - โปร่งใส เช่น (1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ (2) UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่เราสร้างกันมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้เราเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันขึ้นครับ

'เบ๊น อาปาเช่' เห็นกับตา!! 'แอร์ฯ-สจ๊วต' คุมอารมณ์ ทำหน้าที่ได้ดี แม้ 'ไทยกร่าง' รุมข่มขู่ เหตุไม่ช่วยยกระเป๋าเก็บให้ ก็ไม่ตอบโต้ใดๆ

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'Benz Apache - เบ๊น อาปาเช่' โดย 'อัครเดช โยธาจันทร์' ได้แชร์เหตุการณ์วุ่นวายจากความกร่างของผู้โดยสารคนไทยกลุ่มหนึ่งที่กระทำการข่มขู่พนักงานให้บริการบนเที่ยวบินลำหนึ่ง ว่า...

“วันนี้ผมบินกลับจากเวียดนาม Flight VZ 981 จากเมืองฟูก๊วก ถึงสุวรรณภูมิ จากเครื่องออก 12:00 ต้องดีเลย์ไปออก14:00  เนื่องจากเกิดเหตุการณ์มีการเชิญคนไทยออกจากเครื่อง และออกทั้งหมด 16 คน 

จริง ๆ ผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้เลยนะ แต่มันมีเรื่องที่ผมต้องยอมออกมาโพสต์ถึงเรื่องนี้ เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ 

ผมนั่งที่นั่งแถว 2 ABC ผมเข้ามานั่งก่อน จากนั้นก็มีคนไทยกลุ่มใหญ่ตามเข้ามา เสียงโหวกเหวกคุยกันเฮฮา ไม่ซีเรียสนะ แต่มันเรียกสายตาให้มองเฉย ๆ คนไทยกลุ่มนี้นั่งหลังผมไป 2-3 แถว 

ปัญหาเริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ น้องผู้หญิงในกลุ่มให้แอร์ช่วยยกกระเป๋า แล้วแอร์พูดทำนองว่าต้องยกเองนะคะ ประมาณนี้ อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจนะ เพราะในกลุ่มผู้ชายประมาณ 10 กว่าคนได้ แต่ปัญหามาละ เพราะเสียงข้างหลังคือไม่พอใจละมีการโวยกันในกลุ่มดัง ๆ ให้แอร์ได้ยิน เอาแบบเป๊ะ ๆ เลยนะ เพราะผมตั้งใจฟัง 

“Here เอ้ยยยย แอร์แม่งคิดแต่จะเดินขายของหรอวะ”

“แม่ง ให้ช่วยยกแค่นี้แม่งบอกให้กูไปโหลดดิถ้ายกไม่ไหว” 

“เดี๋ยวกูถ่ายลงสตอรี่เลย ไฟลท์ไรวะ ๆ ด่าแม่งเลย อย่าให้มาขึ้นสายการบิน here นี่อีก” ฯลฯ 

ผมค่อนข้างรู้ละว่ามาคุแน่ เพราะตรงนั้นคนกลุ่มใหญ่ ทีนี้แอร์ 3 คน กับ สจ๊วต 1 คน เดินมาคุยกันด้านหน้าว่าจะเอายังไงดี เครื่องก็ไม่ออกสักที 

สักพักเดียว งวงช้างที่เชื่อมต่อกับเกทก็ขยับกลับเข้ามาที่ประตูเครื่อง (จากตอนแรกที่ปิดประตูเครื่องแล้วนะ) พองวงช้างไหลเข้ามา ผมรู้เลยว่าคงมีการเชิญลงแล้วล่ะ 

แล้วก็ใช่จริง ๆ มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นจากเวียดนามและ รปภ. ขึ้นมาบนเครื่อง กลุ่มลูกเรือทั้ง 4 คน ก็เดินไปชูกระดาษคำเตือน ขอเชิญคนแถวนั้น ลงจากเครื่องบิน (ไม่ได้เชิญลงหมดนะ เชิญแค่ชุดที่โวยวาย) 

แต่ก็เข้าใจที่เขามากันทั้งชุด 16 คน เขาก็จะลงหมดเลย ทีนี้ไอ้ตอนจะลงนี่สิ ของขึ้นกันแล้ว ผมพูดแบบเป็นกลางนะกลุ่มเขาไม่ได้โวยวายทุกคนนะ มีแค่ 3-4 คน แต่ที่เหลือมีสติดี พูดจาดี ผมไม่รู้ว่า 3-4 คนนั้นเขาดื่มหรือทำอะไรมาแต่เขาดูหลุด ๆ มากเลย

ทีนี้มีการเถียงกันว่าแค่ช่วยยกกระเป๋ามันเป็นอะไรนักหนาวะ สายการบินอื่นเขาช่วยยกกันหมด กูบินมาแล้วทุกสายการบิน? 

ตรงนี้ผมขอพูดส่วนตัวนะ ผมว่าผมก็เดินทางมาไม่น้อย อยากให้เข้าใจกันใหม่ว่าแอร์โฮสเตสไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋านะครับ ถ้าไปเจอไฟลท์ไหนยกให้ นั่นไม่ใช่หน้าที่ครับ แต่นั่นคือน้ำใจ ผมคอนเฟิร์มว่า ไม่ว่าสายการบินในประเทศหรือทั่วโลก แอร์ไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋าครับ  

สิ่งที่ผมยอมโพสต์นี้ คือ ก่อนลงจากเครื่องมีการข่มขู่จากผู้ชายในแก๊งว่า “เอาชื่อมรึง 4 คนมานี่ซิ เดี๋ยวมรึง 4 คนเจอกูแน่ พวกมรึงไม่รู้หรอกว่ากรูทำอะไร แต่เดี๋ยวมรึงเจอกูแน่” 

ผมก็ไม่รู้นะครับว่าพี่ทำอะไร พี่คงจะรุ่นใหญ่แน่นอน ผมโพสต์มานี่พวกพี่ ๆ ก็คงจะแค้นผม แต่ผมเห็นน้อง ๆ แอร์กับสจ๊วตโดนพี่รุมข่มขู่ ด่า เป็นครึ่งชั่วโมง แล้วเขาไม่มีทางตอบโต้เลย ผมต้องออกมาพูดจริง ๆ ว่าวันนี้ลูกเรือคุมอารมณ์และแก้ปัญหาได้ดีมาก ๆ ถ้าผมไม่ออกมาเล่า แล้วน้อง ๆ เขาโดนคอมเพลน หรือโดนลงโทษทางหน้าที่การงานผมคงรู้สึกใจหมามาก 

ที่มาโพสต์ช้าไม่ใช่อะไรนะ ก็เพราะพวกพี่นี่แหละครับ จากถึงไทยบ่ายโมง นี่ป่านนี้สองทุ่มครึ่งเพิ่งถึงบ้าน คำไหนผมพิมพ์เกินเลยไปซัดผมกลับได้เลยนะ”

นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”

 

‘เพจมาดามแป้ง’ กางผลสำรวจ การทำงานร่วมกับ ‘คน Gen Z’ พบ ร่วมงานด้วยยาก-ขาดความพยายาม-อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Madam Pang - มาดามแป้ง - นวลพรรณ ล่ำซำ’ ของ คุณนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ ‘มาดามแป้ง’ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือในไทยลีก ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นการทำงานร่วมกับเหล่าคน Gen Z โดยระบุว่า…

“#MuangThaiNewsUpdate

‘Resume Builder’ สำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการมากกว่า 1,300 คน พบว่า 74% เชื่อว่า Gen Z ทำงานร่วมกันได้ยากกว่าคนรุ่นอื่นๆ ซึ่ง 12% ของผู้จัดการต้องไล่พนักงาน Gen Z ออก ตั้งแต่ภายในสัปดาห์แรก เพราะคิดว่าคน Gen Z ขาดความพยายาม และอ่อนไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์

#ทีมแอดมินมาดามแป้ง
#MuangThaiNews”

‘บิ๊กป้อม’ หารือแนวทางรับมือสภาพอากาศผันผวน เร่งสร้างความเข้าใจ ปชช. ลดผลกระทบรุนแรง

(25 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 3/66 มีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 

โดยที่ประชุมเห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการภายใต้ กนภ.จำนวน 8 คณะ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเสนอให้ส่วนราชการต่างกระทรวง มีหน่วยงานรองรับร่วมขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวไปด้วยกัน

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบ การปรับปรุงกฎกระทรวงและการแบ่งส่วนราชการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยจะทำหน้าที่จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นหน่วยประสานงานกลางของประเทศ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นหน่วยให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ศึกษาวิจัย พัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วนต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ผันผวนและทวีรุนแรงมากขึ้น มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของประเทศอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ต้องเตรียมการรับมือ จึงกำชับขอให้คณะกรรมการฯ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ศึกษา ติดตามและขับเคลื่อนดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและระหว่างประเทศ เตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจและความร่วมมือกัน รับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการป้องกันและการแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด

‘ศาลอาญา’ สั่งจำคุก 3 ปี 6 เดือน ‘เก็ท โมกหลวงริมน้ำ’ ฐานปราศรัยดูหมิ่น-แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันฯ

(24 ส.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ.1447/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือเก็ท แกนนำกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เป็นจำเลยในความผิดฐาน ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ

โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 จำเลยได้ปราศรัยระหว่างทำกิจกรรม ทัวร์มูล่าผัว ดูหมิ่นในหลวงรัชการที่ 10 และพระราชินี โดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการดูหมิ่นสถาบัน แสดงความอาฆาตมาดร้ายให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

เหตุเกิดที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4,9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี จำคุก 3 ปี ฐานใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา

ส่วนคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 11 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1423/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ 953/2566 ของศาลอาญา นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลพิพากษารอการลงโทษจึงไม่มีโทษจำคุกให้นับโทษต่อยกคำขอส่วนนี้

‘ชัยวุฒิ’ แจ้ง Google ปิดกั้นแอป Digital Wallet  สกัดมิจฉาชีพ ตุ๋นรับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท

(24 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพได้มีการโฆษณาชวนเชื่อและหลอกลวงให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Digital wallet เพื่อรับเงินดิจิทัล จำนวน 10,000 บาท กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำการตรวจสอบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว พบว่า เป็นแอปพลิเคชันปลอมที่มิจฉาชีพหลอกให้ประชาชนเข้าไปโหลดแอปพลิเคชัน จากนั้นจะใช้แอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงมือถือจากภายนอกเข้ามาขโมยถอนเงินจากบัญชีของท่าน ซึ่งขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้ง google ให้ปิดกั้นแอปดังกล่าว โดยจะติดตามตรวจสอบต่อไป

ขอให้ทุกท่านงดเว้น ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Digital wallet ทุกกรณี หากมีข้อมูลที่ต้องการสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติผ่านเอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และโทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘กรมราชทัณฑ์’ หลังส่อเอื้อ ‘นช.ทักษิณ’ ได้สิทธิเกินขอบเขต

(24 ส.ค. 66) ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ทั้งระบบ มีส่วนช่วยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับอนุมัติให้ไปนอน รพ.ตำรวจแทน แค่เป็นโรคความดันขี้ประติว ชี้อาจเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ นช.ทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำการตรวจสุขภาพตามระเบียบแล้วเพียงไม่กี่นาที กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่านายทักษิณจัดให้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง เพราะอายุเกิน 70 ปี และดูแค่ประวัติทางการรักษาที่ผ่านมาป่วยถึง 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อขาดเลือด, โรคปอดอักเสบเนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19, โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังรักษาอย่างต่อเนื่องหลายโรค ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การอ้างสุขภาพยาวเหยียดดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อพฤติกรรมของนายทักษิณก่อนหน้านี้ ที่ขณะอยู่ต่างประเทศออกมาโชว์ฟิตปั๋งไม่มีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด บินเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแสดงอาการของคนป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด แต่พอเข้าไปในรั้วของเรือนจำกลับเป็นชายแก่อมโรค ที่กรมราชทัณฑ์ต้องทะนุถนอม แยกขังเดี่ยว และยังไม่ทันข้ามคืนก็อนุมัติให้ไปนอนรักษาตัวบนเตียงนอนนุ่มๆ ของ รพ.ตำรวจ ด้วยเหตุผลมีอาการความดันขึ้นสูง รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอรักษาได้ ซึ่งเป็นที่ครหาของสังคมและญาติผู้ต้องขังอื่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันส่วนใหญ่ว่า ได้รับการทะนุถนอมเหมือน นช.ทักษิณหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของทรงผม นช.ทักษิณนั้นอ้างว่าไม่ต้องตัด ไม่ต้องกล้อนผมอย่างนักโทษทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้สูงอายุนั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ขัดต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 เป็นต้นมาแล้ว โดยในระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในข้อ 9 ว่า “นักโทษเด็ดขาดชายให้ไว้ผมสั้น ด้านหน้าและด้านกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 ซม. ชายผมรอบศีรษะเกรียนชิดผิวหนัง” และระเบียบดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ให้เทวดาคนใด จะเลี่ยงไม่ตัดไม่ได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ มีข้อพิรุธอีกมากมายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้ระบบราชการของรัฐใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่อาจขัดต่อระเบียบ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ปอ.ม.157 อันเกี่ยวกับการห้ามการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวกับสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง

ทอ. ส่งเฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน มีภาวะสมองขาดเลือด ส่งรักษาตัวที่ รพ.ตรัง

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค. 66) ที่กองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี กองทัพอากาศ โดยกองบิน 7 ได้รับการประสานจากโรงพยาบาลระนอง ขอรับการสนับสนุนการลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ จากสนามบินระนองของกองทัพอากาศ ภูเขาหญ้า ตำบลหงาว อำเภอเมือง จังหวัดระนอง

สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหญิง อายุ 91 ปี มีอาการปากด้านซ้ายเบี้ยว แขนซ้ายไม่มีแรง พูดไม่รู้เรื่อง 
ตามองไปด้านขวา ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบหรือหลอดเลือดอุดตัน จึงต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลตรัง

ทางพล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้สั่งการให้ศูนย์ยุทธการทางอากาศ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 11 (EC-725) เพื่อปฏิบัติภารกิจดังกล่าว และมอบหมายให้ นาวาอากาศเอก ณัฏฐวุธ ดวงสูงเนิน ผู้บังคับการกองบิน 7 เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติ

โดยเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 11 (EC-725) สังกัดหน่วยบิน 2037 พร้อมชุดลำเลียงทางอากาศสายแพทย์โรงพยาบาลกองบิน กองบิน 7 ได้ปฏิบัติงานร่วมกับโรงพยาบาลระนอง ในการลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เส้นทางบิน กองบิน 7 - สนามบินระนองของกองทัพอากาศ ภูเขาหญ้า - ท่าอากาศยานตรัง เพื่อส่งตัวเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลตรัง

เปิดประวัติ ‘หมออ้อม’ แพทย์ชำนาญการเวชศาสตร์ชะลอวัย คู่ชีวิตที่เคียงข้าง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30

(22 ส.ค.66) หลังจากสมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเลือกให้ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จาก พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาบริหารประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อีกหนึ่งคนที่สปอร์ตไลท์จะฉายไปจับจ้องก็คือ สตรีหมายเลข 1 ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน ภรรยาคู่ใจของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นั่นเอง

วันนี้ คมชัดลึก เลยขออาสาพาไปทำความรู้จักกับ ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล สาวสังคมสุดเปรี้ยวที่การันตีเลยว่าผู้คนในแวดวงไฮโซไม่มีใครไม่รู้จักเธออย่างแน่นอน

‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ชะลอวัย และความงามด้านผิวพรรณ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เธอจบปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ศึกษาและฝึกปฏิบัติการด้านผิวหนังจากศูนย์การแพทย์ไลออนส์ สุพรรณหงส์ กรุงเทพฯ (ปี 2529-2530) ศึกษาและฝึกปฏิบัติด้านแสงเลเซอร์กับศาสตราจารย์ ลีออน โกลด์แมน ผู้ได้ฉายาว่า บิดาแห่งเลเซอร์ ที่เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา

นอกจากบทบาทในการทำงานด้านความงาม ‘หมออ้อม’ พญ.พักตร์พิไล ยังใส่ใจงานด้านสังคมโดยช่วยหมอกฤษณ์ จาฏามระ จัดทำโครงการบ้านพิงพักให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มีที่พักพิง

ด้านชีวิตส่วนตัว ‘หมออ้อม’ พญ. พักตร์พิไล ทวีสิน สมรสกับ เศรษฐา ทวีสิน มีบุตร 3 คน คือ

ลูกชายคนโต ‘น้อบ’ ณภัทร ทวีสิน จบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และฮาร์วาร์ด บิซิเนส สกูล ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้เข้าทำงานที่ Raine group นิวยอร์ก

ส่วนลูกชายคนกลาง ‘แน้บ’ วรัตม์ ทวีสิน เรียนจบปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้าทำงานที่ Bain Consulting ลอนดอน

ขณะที่ลูกสาวคนเล็ก ‘นุ้บ’ ชนัญดา ทวีสิน หลังจากจบปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ทำงานเป็น Educational Counselor ที่ Edusmith ซึ่งตอนนี้เธอกำลังสนุกกับการทำธุรกิจด้านอาหารในเมืองไทย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top