Wednesday, 14 May 2025
NEWS

'วราวุธ' ยกผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชู!! 'วิธีคิด-ปรับตัว' สร้างแรงขับเคลื่อนแก่ภาคการเกษตร

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 66 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ได้ให้เกียรติบรรยายให้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 4 ซึ่งจัดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มูลนิธิเกษตราธิการ และ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี ในประเด็น ‘ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับด้านภาคเกษตรไทย’ เน้นย้ำ การปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ให้เกิดแรงขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้อย่างยั่งยืน

นายวราวุธ ได้กล่าวถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ว่าประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 19 ของโลก ซึ่งมาจากภาคการเกษตรกว่า 56.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทำให้ต้องปรับปรุงยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย หรือ LT-LEDS และจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (The 2nd updated NDC) โดยทบทวนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขาที่สอดคล้องกับเป้าหมาย NDC ซึ่งมีการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ ทั้งด้านการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ จัดทำแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ส่งเสริมภาคเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการ Thai Rice NAMA ทำนาวิถีใหม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาโครงการ Thai Rice GCF เสนอต่อกองทุนภูมิอากาศสีเขียว 

ในด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก มีการส่งเสริมการปลูกป่าและแบ่งปันคาร์บอนเครดิต ด้านการค้า/การลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยต้องขึ้นทะเบียนในระบบ CBAM registry และต้องยื่นขอสถานะ CBAM declarant ก่อนนำสินค้าเข้าไปยัง EU รวมถึงในด้านกฎหมาย ที่จะเร่งผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (18 ส.ค.66) เป็นต้นไป เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ได้ฝากถึง ผู้บริหารระดับสูงในภาคการเกษตร ทุกท่าน ที่เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรนี้ รวมถึงเครือข่าย ความร่วมมือต่าง ๆ ที่ทุกคนมี ให้ช่วยกระตุ้นภาคการเกษตร ให้ร่วมปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ สร้างแรงขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

เปิดโทษ ‘เมาแล้วขับ’ ในญี่ปุ่น หนักจนหลาบจำ เทียบบทลงโทษไทย ไม่สะเทือนสำนึกผู้กระทำผิด

(22 ส.ค.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายถึงความเข้าใจด้านกฎหมายเกี่ยวกับเบียร์และเหล้าของคนไทยที่ยังมีไม่เพียงพอ โดยระบุว่า… 

จากโพสต์ที่แล้วพูดถึงมาตรฐานผู้ผลิตเบียร์และเหล้า ก็มีบางคอมเมนต์แย้งขึ้นมาดังภาพที่ 1 ก็ทำให้รู้ว่า คนไทยบางส่วนอาจยังเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับเบียร์และเหล้าไม่เพียงพอ เลยขออธิบายดังต่อไปนี้

- กฎหมายที่ภาพที่ 1 พูดถึง ผมว่าท่านคงเข้าใจผิด เพราะดูจากปีที่ตรากฎหมาย น่าจะเป็น พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 (*1) ครับ ไม่มีส่วนไหนพูดถึงการผลิตโดยตรง 

- กฎหมายการผลิตเบียร์และเหล้า ต้องไปศึกษากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 (*2) อย่างที่เห็นปีครับ เพิ่งแก้ไขปรับปรุงปีที่แล้วเอง

กลับมาเข้าเรื่องที่อยากพูดครับ คือพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทำให้ท่านรองประธานสภาอาจมีความผิดได้นั้น ในความเห็นส่วนตัว ผมว่าควรยกเลิกกฎหมายนี้ครับ เพราะถ้ากฎหมายที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายจราจรแบบละโทษของการเมาแล้วขับ มีโทษที่รุนแรงจนทำให้ประชาชนเกรงกลัว ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมเลย ผมจะยกกรณีศึกษาในการให้ความตระหนักของอันตรายที่เกิดจากการเมาแล้วขับของญี่ปุ่นมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยครับ

กฎหมายที่ลงโทษผู้เมาแล้วขับ (飲酒運転) ของประเทศญี่ปุ่น บัญญัติไว้ในกฎหมายจราจร (道路交通法) โดยจะแบ่งโทษออกเป็นสองกรณี และแต่ละกรณีจะมีโทษด้านจราจร และโทษอาญาดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับ โดยมีค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.15 มิลลิกรัมต่อลมหายใจ 1 ลิตร 

1. โทษด้านจราจร
จะขึ้นอยู่กับค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ดังต่อไปนี้
- ค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.15 มิลลิกรัมแต่ไม่ถึง 0.25 มิลลิกรัม จะโดนตัดแต้มจราจร 13 แต้ม และพักใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 90 วัน
- ค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.25 มิลลิกรัม จะโดนตัดแต้มจราจร 25 แต้ม และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ โดยไม่สามารถทำใหม่ได้เป็นเวลา 2 ปี

2. โทษอาญา 
- ผู้ขับมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับ 300,000 เยน

กรณีที่ 2 เมาแล้วขับ ไม่ต้องพูดถึงค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ใดๆ สามารถสังเกตอาการเมาได้จากท่าทางทันที เช่น สามารถเดินบนเส้นจราจรสีขาวได้ตรงหรือไม่ สามารถตอบคำถามกับตำรวจได้ปกติหรือไม่เป็นต้น 
1. โทษด้านจราจร
จะโดนตัดแต้มจราจร 35 แต้ม และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ โดยไม่สามารถทำใหม่ได้เป็นเวลา 3 ปี 

2. โทษอาญา
- ผู้ขับมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 1,000,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 1,000,000 เยน 
- ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 500,000 เยน

ถ้ามีประวัติการกระทำผิดซ้ำซากในเรื่องนี้ โทษก็จะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ และสิ่งที่น่าสนใจของกฎหมายญี่ปุ่นคือ ผู้ที่รู้ว่าผู้ขับดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยังให้ผู้ขับใช้รถ และผู้ที่รู้ว่าผู้ขับจะดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ยังขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผู้ที่โดยสารในรถคันเดียวกับผู้ขับที่รู้ว่าผู้ขับที่ดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีโทษด้วย แม้จะไม่ได้เมาแล้วขับก็ตาม โทษอาญาก็เทียบเท่ากันด้วย

จะเห็นว่าโทษเมาแล้วขับของญี่ปุ่นมีความรุนแรงมาก นี่ยังไม่พูดถึงการเมาแล้วขับเป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนะครับ และนอกจากโทษด้านจราจรและโทษอาญาแล้ว ยังมีโทษทางสังคมที่ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับจากสังคม สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ในสถาบันศึกษายามชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น ที่นักศึกษามีสถานะเป็นข้าราชการญี่ปุ่น เคยมีกรณีที่รุ่นพี่ท่านหนึ่งโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ การลงโทษของสถาบันคือ ไล่ออกสถานเดียวครับ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

เมื่อมาเทียบกับโทษของประเทศไทยที่มีเพียง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด) และถูกศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แทบจะเทียบกันไม่ได้เลย นอกจากนี้มาตรการลงโทษในสังคมไทยก็ยังเบาหวิว ผู้กระทำผิดแทบไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากการทำผิดของเขายกตัวอย่างเช่น

- ว่าที่ สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 27 ถูกจับเมาแล้วขับ ปัจจุบันยังทำงานอยู่ในกรรมธิการคณะหนึ่งอยู่ ภาพที่ 2 
https://www.thairath.co.th/news/politic/2694401 
- อธิบดีอัยการ เมาแล้วขับชนคน 1 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท รอลงอาญาไว้ 2 ปี ปัจจุบันยังคงทำงานเป็นอัยการอยู่ 
https://mgronline.com/crime/detail/9640000054252 
- นักบอลดาวรุ่งชลบุรี เมาแล้วขับชนคนเสียชีวิต 1 เจ็บ 1 คน ปัจจุบันกลับมาเป็นนักบอลแล้ว หลังจากหายหน้าไปไม่ถึงปี 
https://www.thaipbs.or.th/news/content/320821 
- ดาราเมาแล้วขับ ปัจจุบันก็ยังทำงานได้อย่างปกติ 
https://www.undubzapp.com/ดารา-เมาแล้วขับ-โดนจับ/
- ตะลึง! พบข้าราชการเมาแล้วขับถูกจับคุมประพฤติช่วงสงกรานต์ถึง 520 คน
https://mgronline.com/crime/detail/9620000039440 

จะเห็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเมาแล้วขับ โทษที่เบาหวิว และคำว่าให้โอกาสสำหรับคนไทย เป็นสิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ไม่เคยลดลง เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าควรจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้โทษเมาแล้วขับรุนแรงขึ้น บทลงโทษในสังคมก็ควรจะต้องเอาจริงเอาจัง เพราะสำหรับผมแล้วการเมาแล้วขับนั้น ผู้ดื่มรู้ตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังกระทำความผิดนั้น ถือเป็นความจงใจ ไม่ใช่ความประมาทแต่อย่างไร 
--------------------------------------------------------------------------
*1 พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551
https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor/c74d97b01eae257e44aa9d5bade97baf/files/lawalc/001_1alc.PDF 
*2 กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565
https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/A/068/T_0001.PDF 

‘หมอตุลย์’ แนะ!! ราชทัณฑ์เชิญแพทย์ตรวจย้ำอีกครั้ง หลังโซเชียลแชร์ภาพ ‘ทักษิณ’ ยังสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

(22 ส.ค. 66) นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เรียนถึง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กรมราชทัณฑ์ โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า…

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากรมราชทัณฑ์แถลงข่าวว่า นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 10 ปี มีโรคต่าง ๆ รุมเร้า เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น ต้องรับการรักษาที่ รพ.ภายนอก 

เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานและจริยธรรมทางการแพทย์ ผมขอเสนอให้ทางกรมราชทัณฑ์เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์มาตรวจร่างกายนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีความจำเป็นต้องรับการรักษาโดยโรงพยาบาลภายนอกหรือไม่ และจำเป็นต้อง Admit หรือไม่ 

เพราะจากที่ปรากฏทางสื่อโซเชียลของตัวนักโทษเอง พบว่าสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีหลายโรคก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาโดยสังคมทั่วไป และป้องกันมิให้มีการฟ้องร้องแพทย์กรมราชทัณฑ์ในข้อหาช่วยผู้ต้องหาให้ได้รับความสะดวกสบายผิดจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป
ขอแสดงความนับถือ 
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์

‘รมว.เฮ้ง’ สั่ง ‘กรมจัดหางาน’ เตรียมตำแหน่งงาน 1,682 อัตรา รองรับชาวมูโนะ จ.นราธิวาส หลังได้รับผลกระทบเหตุโกดังพลุระเบิด

(22 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า มีความกังวลใจหลังได้รับแจ้งว่ามีผู้ประสบภัย จากกรณีเหตุการณ์โกดังดอกไม้เพลิงระเบิดพื้นที่ตลาดมูโนะ อำเภอสุไหงโกลกจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา กว่า 500 ชีวิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการตกงานและนำมาสู่การขาดแคลนรายได้ 

จึงได้มอบหมายให้ ‘5 เสือ’ กระทรวงแรงงาน ติดตามให้ความช่วยเหลือตามภารกิจที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานในด้านต่าง ๆ โดยลงพื้นที่ซ่อมแซมบ้านเรือนและระบบไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ดูแลสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตน รวมทั้งดำเนินการตามข้อกฎหมายเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าของโรงงาน และผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว

จากนั้นกรมการจัดหางานจึงรับไม้ต่อในการให้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งยังจัดเตรียมตำแหน่งงานที่มีความใกล้เคียงกับตำแหน่งงานเดิม โดยลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประสบภัย เพื่อหาทางออกและแนวทางช่วยเหลือให้ได้รับค่าชดเชย และเตรียมงานใหม่รองรับ เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เป็นการแก้ปัญหาว่างงานและขาดแคลนรายได้ 

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งสั่งเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนราธิวาส ลงพื้นที่ดูแลแรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่หลังเกิดเหตุร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานมาโดยตลอด ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการจัดเตรียมข้อมูลและลงพื้นที่ดูแล ทั้งในเรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ รวมทั้งรับลงทะเบียนสมัครงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประสบเหตุ 

โดยมีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์หางานทำ ทั้งสิ้น 154 คนในจำนวนนี้ยืนยันความประสงค์จะทำงาน จำนวน 79 คน ซึ่งกรมการจัดหางานได้จัดเตรียมตำแหน่งงานว่างเพื่อรองรับแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบไว้แล้ว จำนวน 1,682 อัตรา ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส 412 อัตรา และจังหวัดใกล้เคียง ปัตตานี 798 อัตรา และยะลา 472 อัตรา อาทิ ตำแหน่งพนักงานทั่วไป ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และพนักงานขาย เป็นต้น 

นอกจากนี้ ยังแนะนำช่องทางหางานเพิ่มเติมด้วยตัวเองที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ doe.go.th ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง 222,505 อัตรา ไว้ให้บริการ โดยคนหางานสามารถเลือกสมัครงานทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเดินทางซึ่งรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า นอกจากนี้บนแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ ยังให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด โดย Matching ตำแหน่งงานตามพื้นที่ และภูมิลำเนา รวมถึงจับคู่ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่

ทั้งนี้ คนหางานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

ส่อง ‘Patek Philippe’ บนข้อมือ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ‘สวย-หรู-ประณีต’ พ่วงราคาแพงทะลุ 100 ล้านบาท

สะดุดตานาฬิกาบนข้อมือ 'ทักษิณ ชินวัตร' วันเดินทางกลับประเทศไทย 22 ส.ค. 66 นั่นคือ Patek Philippe Grandmaster Chime ที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนที่สุดในโลก

ช่วงเช้าของวันที่ 22 ส.ค. 66 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการโพสต์รูปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการเดินทางกลับประเทศไทยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุรายละเอียดว่า

ตลอดเวลา 17 ปี พี่คงจะรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา ทุกข์ และคิดถึงบ้านมากแต่พี่ก็ต้องอดทน และน้องเชื่อว่าพี่ก็คงใช้เวลาคิดตัดสินใจอยู่นาน แต่สุดท้ายด้วยความคิดถึงครอบครัวและอยากใช้ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิดของเรา

น้องก็เคารพในการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของพี่ครั้งนี้ น้องขอเก็บภาพความทรงจำที่ได้ร่วมเดินทางจากดูไบมาส่งพี่ จนถึงเครื่องบินก่อนที่จะกลับเมืองไทย 

น้องขอให้พี่โชคดี เดินทางกลับอย่างปลอดภัย ทุกอย่างราบรื่น และอย่าลืมรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนะคะ พี่ไม่ต้องห่วงน้องนะ น้องจะเข้มแข็ง อดทน และจะดูแลตัวเองแม้อยู่ในต่างที่ ต่างบ้าน ต่างเมืองคนเดียว เพราะตลอด 6 ปีที่น้องจากบ้านเกิดมา น้องมีพี่คอยดูแลเป็นอย่างดี แต่ก็อดใจหายไม่ได้ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เราไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน 

อย่างไรก็ตามขอให้วันเวลาที่พี่ตั้งตารอที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัววันนั้นมาถึงโดยเร็ว โชคดีนะคะพี่ รักพี่เสมอพี่ชายที่แสนดีของน้องค่ะ

สำหรับภาพภายในภาพเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความอบอุ่นในครอบครัว บนเครื่องบินส่วนตัว ก่อนออกจากสนามบินในประเทศสิงคโปร์มายังประเทศไทย

ขณะเดียวกัน หนึ่งในภาพชุดดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงนาฬิกาบนข้อมือของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างสะดุดตา และจากการสืบค้นข้อมูลคาดว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวเป็นนาฬิกาของแบรนด์ ‘Patek Philippe’ ในรุ่น ‘Grandmaster Chime Ref. 6300’ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ หน้าปัดบอกเวลาทั้งหน้าและหลัง แถมได้รับการยอมรับจนถูกขนานนามให้เป็นนาฬิกาข้อมือที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก 

แบรนด์ดังกล่าวขึ้นชื่อเรื่องความประณีตในการสร้างระบบกลไกแสดงเวลาที่ซับซ้อน หน้าปัดทั้งสองด้านผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ส่วนหน้าปัดอีกด้านสำหรับดู Perpetual Calendar หรือที่เรียกว่านาฬิการะบบปฏิทินถาวร ประกอบกับกระจกแซฟไฟร์อย่างดีเพื่อกันการกระแทกและรอยขีดข่วน โดยตัวเรือนใช้วัสดุสแตนเลสสตีลขนาด 47.7 มิลลิเมตร หนา 16.1 มิลลิเมตร ผ่านการตัดแต่งอย่างดีประกอบเข้ากับสายหนังจระเข้ สามารถสำรองพลังงานได้ 72 ชั่วโมง

ราคาจำหน่ายของ Patek Philippe ในรุ่น Grandmaster Chime Ref. 6300 อ้างอิงจากเว็บไซต์ประมูลนาฬิกาต่างประเทศหลายแห่งและในประเทศไทยที่มีการระบุราคาจำหน่ายจาก Shop ไว้เริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท และ ประเมินราคา Re-Sale ไว้ที่ 150 ล้านบาทขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 ได้มีการประมูลนาฬิกา Patek Philippe Grandmaster Chime Ref. 6300A เรือนเดียวในโลก ซึ่งนำรายได้ทั้งหมดมอบให้กับ Monegasque Association องค์กรที่นำเงินไปสนับสนุนโครงการวิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน Duchenne muscular dystrophy (DMD) โดย Patek Philippe Grandmaster Chime Ref. 6300A ซึ่งจบที่ราคาสูงถึงประมาณ 1,000 ล้านบาท

กองทัพเรือ เปิดอาคาร เครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือ Naval Mission Training Center เพิ่มขีดความในการปฏิบัติงานของกำลังพลหน่วยเรือ

พลเรือเอก เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธาน ในพิธีเปิดอาคาร เครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือ Naval Mission Training Center ณ กองการฝึก กองเรือยุทธการ  อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการกองทัพเรือ เข้าร่วมพิธี

​พลเรือเอก เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดเผยว่า สำหรับ อาคารเครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือ Naval Mission Training Center เป็นอาคารที่ก่อสร้างและติดตั้ง เครื่องช่วยจำลองสถานการณ์ การปฏิบัติงานสาขาต่าง ๆ ในเรือ เพื่อใช้ฝึกกำลังพลของกองทัพเรือที่จะต้องปฏิบัติงานในเรือให้มีความรู้ ทักษะ และความคุ้นเคย ในการปฏิบัติงานในเรือในสถานการณ์ต่าง ๆ  โดยได้รับการอนุมัติงบประมาณ จากกระทรวงกลาโหม ให้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 จากบริษัท Rheinmetaill Electronics GmbH สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และได้รับมอบ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 คุณสมบัติและขีดความสามารถของเครื่องฝึก เครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือ (Naval Mission Training Center) ของกองการฝึก กองเรือยุทธการ มีขีดความสามารถในการจำลองการฝึกและช่วยประเมินผลการฝึกปฏิบัติงานภายในเรือสาขาต่าง ๆ ได้เสมือนจริง ตั้งแต่ในระดับผู้ปฏิบัติงานไปจนถึงระดับทีมปฏิบัติงานภายในเรือ ซึ่งประกอบด้วย 1. การฝึกจำลองการเดินเรือ (Ship Handling Simulator, SHS) เครื่องฝึกจำลองการเดินเรือนี้สามารถจำลองคุณลักษณะต่าง ๆ ของเรือในกองทัพเรือได้อย่างสมจริง ได้แก่ เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวง ภูมิพลอดุลยเดช เรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร เรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา เรือคอร์เวตชุดเรือหลวง รัตนโกสินทร์ และ เรือหลวงอ่างทอง ซึ่งเครื่องฝึกจำลองการเดินเรือนี้สามารถสร้างสถานการณ์และออกแบบการฝึกได้อย่างหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับระดับผู้รับการฝึกตามหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการฝึกที่กำหนด โดยสามารถกำหนดพื้นที่การฝึก ท่าเรือที่สำคัญต่าง ๆ ทั้งน่านน้ำในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงมาจากแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ ระวางต่าง ๆ ตลอดจนสามารถกำหนดสภาพแวดล้อมสำหรับการฝึกได้อย่างครบถ้วน 2. การฝึกจำลองการปฏิบัติงานด้านศูนย์ยุทธการในเรือ ( CIC Trainer, CIC) เครื่องฝึกสามารถจำลองปฏิบัติงานในห้องศูนย์ยุทธการสาขาต่าง ๆ ด้วยการจำลองอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบอำนวยการรบ ระบบอาวุธ และระบบสื่อสารทั้งภายในและภายนอกเรือได้ในลักษณะเดียวกับที่ปฏิบัติงานจริงบนเรือตามหลักปฏิบัติของกองเรือยุทธการ  

3. การฝึกจำลองการปฏิบัติงานด้านการช่างกลในเรือ ( Ship Engines Simulator, SES) สามารถใช้จำลองเพื่อการฝึกปฏิบัติงานกับเครื่องจักรใหญ่ เครื่องจักรช่วย การไฟฟ้าในเรือ รวมทั้งการฝึกปฏิบัติหน้าที่ยามพรรคกลินเรือเดินตำแหน่งต่าง ๆ โดยสามารถสร้างโจทย์สถานการณ์ด้านการช่างกล เพื่อฝึกการวิเคราะห์การทำงาน และแก้ไขข้อขัดข้องของระบบเครื่องจักรต่าง ๆ ภายในเรือ และ 4. การฝึกจำลองการปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนการป้องกันความเสียหายภายในเรือ (Damage Control Trainer) สามารถจำลองสถานการณ์ความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเรือเพื่อฝึกการวิเคราะห์ และ ประเมินค่าความเสียหาย การติดตามสถานการณ์ การสั่งการและการปฏิบัติในการแก้ไข การซ่อมทำ การกู้คืน เพื่อควบคุมความเสียหายตามขั้นตอน ทั้งในระดับศูนย์ควบคุมความเสียหาย และระดับหน่วยซ่อม นอกจากเครื่องฝึกจำลองสถานการณ์ในเรือทั้งสี่สาขาจะสามารถฝึกการปฏิบัติตามแต่ละสาขาในเรือแล้ว เครื่องฝึกเหล่านี้ยังสามารถเชื่อมข้อมูลการฝึกต่อกันเพื่อฝึกการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างสาขาต่าง ๆ ในเรือเสมือนเป็นเรือรบหนึ่งลำได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นทีมของกำลังพลหน่วยเรือ ภายใต้ข้อจำกัดทางด้านงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำลังพลจะมีความรู้ มีความเข้าใจ มีทักษะในการปฏิบัติงานภายในเรือสาขาต่าง ๆ ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติงานและทีมปฏิบัติงาน จนเกิดความชำนาญมีความมั่นใจในการปฏิบัติงานในสภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ สามารถปฏิบัติงานทดแทนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น สามารถทำการฝึกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ประหยัดงบประมาณในการฝึก กำลังทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ทั้งในยามปกติและยามสงครามสามารถตอบสนองต่อภารกิจของกองทัพเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

‘น้ำ วารุณี’ ผู้ต้องหา ม.112 ประกาศ อดอาหารประท้วง ลั่น!! จะดื่มแค่น้ำนมเท่านั้น หลังถูกงดประกันตัว ขังยาว 55 วัน

(21 ส.ค. 66) ทวิตเตอร์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า น้ำ-วารุณี ผู้ต้องขังคดี ม.112 เริ่มอดอาหารประท้วงวันแรกเพื่อประท้วงศาลที่สั่งไม่ให้ประกันตัว เธอเริ่มงดทานอาหารตั้งแต่เวลาเที่ยงของวันนี้ (21 ส.ค.) และจะดื่มเฉพาะน้ำนมเท่านั้น

วารุณีเล่าว่า เธอทนไม่ไหวกับการที่ศาลสั่งไม่ให้ประกันเรื่อยมา โดยใช้เหตุผลเดิมๆ เธอรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง การแสดงออกด้วยวิธีนี้เป็นหนทางเดียวที่ทำได้ เพราะเธอบอกว่าไม่เหลืออะไรแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เพียงร่างกายเท่านั้น

วารุณี ถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2566 จากการที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ลดเหลือ 1 ปี 6 เดือน เพราะรับสารภาพในคดี ม.112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพ ร.10 ขณะเปลี่ยนเครื่องทรง พระแก้วมรกต เป็นชุดกระโปรงยาวสีม่วงจากแบรนด์ Sirivannavari และใส่ภาพสุนัขด้วย

จนถึงปัจจุบันวารุณีถูกคุมขังมากว่า 55 วันแล้ว โดยศาลยังยืนยังไม่ให้ประกันตัว แม้จะยื่นประกันและอุทธรณ์คำสั่งไปแล้วอย่างน้อยถึง 5 ครั้ง ก็ตาม

‘ผบ.ตร.’ เผย ได้รับการประสาน ‘ทักษิณ’ กลับไทยพรุ่งนี้  รอยืนยันเที่ยวบินอีกที เตรียมกำชับดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(21 ส.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ล่าสุดตนเองได้รับการประสานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) ขณะนี้รอการยืนยันจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบิน ซึ่งช่วงเย็นวันนี้จะทราบข้อมูลทั้งหมดอย่างชัดเจน โดยในวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการซักซ้อมมาตรการดูแลความปลอดภัย และการส่งตัวนายทักษิณไปยังสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่สนามบิน เพื่อผ่านการตรวจและยืนยันตัวตนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จากนั้นกองบังคับการการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) จะรับมอบตัวเพื่อลงบันทึกประจำวัน และนำตัวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายศาลและออกหมายขัง จากนั้นจะส่งตัวให้กับกรมราชทัณฑ์เพื่อนำควบคุมตัวไปยังเรือนจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยและการจราจรในทุกจุดทุกขั้นตอน

"ส่วนแผนการรองรับมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ได้เตรียมสถานที่ไว้แล้ว ยืนยันว่าทุกอย่างมีมาตรการและเตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้วทั้งหมด แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจ ส่วนการข่าวด้านความรุนแรงนั้นยังไม่ได้รับรายงาน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะไม่ประมาท" ผบ.ตร.ระบุ

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาพร้อมกับนายทักษิณนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ขณะนี้ขอให้ดำเนินการไปทีละขั้นตอนก่อน แต่ยืนยันตำรวจมีความพร้อมในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ การดูแลความปลอดภัยอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น จะให้การดูแลเช่นเดียวกับการดูแลบุคคลสำคัญ เนื่องจากอาจเกิดเหตุอันตรายได้

'เด็กจีน' ผนึกกำลังจัดงาน China Fair ครั้งแรกในไทย สานสัมพันธ์ไทย-จีนรอบทิศ 'การศึกษา-โอกาสธุรกิจ'

เมื่อวันที่ 19 - 20 ส.ค. ที่ผ่านมา  สมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้จัดงานกิจกรรม China Fair 2023 by TCSA : Study - Work - Travel : The 10th anniversary of BRI โดยการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการทำงานของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักเรียนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีน ร่วมกับ ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง , CAS INNOVATION COOPERATION CENTER (BANGKOK) (CAS-ICCB) และได้รับการสนับสนุนโดย สถานเอกอัครราชทูตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําราชอาณาจักรไทย

ภายในงาน ได้มีการจัดแสดงบูธส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน รวมทั้งการเปิดรับสมัครงานจากบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการบุคคลากรที่มีความสามารถด้านภาษาจีน รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับบริษัทในภาคบริการการท่องเที่ยว อาทิ สายการบิน ประกันภัย และบริการด้านเอกสารวีซ่า

ภายในงาน China Fair 2023 นอกจากการออกบูธโดยองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังมีการจัด Session การบรรยาย และการเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ ตั้งแต่การปฐมนิเทศผู้ที่กำลังเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน การให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการยื่นเอกสาร การใช้จ่ายแบบไร้เงินสด การเตรียมตัวในเบื้องต้น การใช้ชีวิต และการแนะแนวเกี่ยวกับคณะและสาขาที่น่าสนใจในมหาวิทยาลัยในประเทศจีน

นอกจากในประเด็นการศึกษาแล้ว ยังมี Session การแชร์ประสบการณ์การทำงานจากผู้นำระดับประเทศ และผู้บริหารระดับ CEO ชั้นนำในวงการการค้าขายไทย-จีน ไม่ว่าจะเป็น คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย , ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน , คุณปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ , คุณคมสันต์ แซ่ลี CEO of Flash Express และ คุณบุญชัย ลิ่มอติบูลย์ ผู้ก่อตั้ง Moomall และ PUNDAI

สำหรับพิธีเปิดในช่วงเช้าของวันที่ 19 ส.ค. 66 นั้น ทางสมาคมฯ ได้รับเกียรติจาก นางเฝิง จวิ้นอิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําราชอาณาจักรไทย ม รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน และ ศ.ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมและความร่วมมือสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน กล่าวสุนทรพจน์ และร่วมทำพิธีเปิดงาน China Fair ครั้งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนนักศึกษา และการ matching ทางธุรกิจขององค์กรบริษัท และบุคคลต่าง ๆ ที่มาเข้าร่วม ทั้งยังมีการจัดการแสดงด้านวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงกังฟูเส้าหลินโดยเยาวชน การรำไทย และการร้องเพลงฉ่อยด้วยภาษาจีน เป็นภาพของการรวมตัวกันในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา และจะเป็น “อนาคตของความสัมพันธ์ไทย-จีน” ตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน China Fair และวัตถุประสงค์ของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ในการรวมนักเรียนนักศึกษาไทยในจีน และจีนในไทยเป็นหนึ่ง เพื่ออนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน

‘สนธิ’ บุกสรรพากรยื่นสอบ ‘ชูวิทย์’ ปมหมกเม็ดโอนที่เลี่ยงภาษี ชี้!! เป็นนิติกรรมอำพราง ทำรัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินเกือบพันล้าน

(21 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เดินทางเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากร กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดอะเดวิส บางกอก

นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่มายื่นเรื่องเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าคุณชูวิทย์ ขายที่เลี่ยงภาษีให้ตระกูลตัวเอง โดยเป็นการขายจากบริษัทของตัวเองไปให้ลูกๆ และลูกๆ นำไปขายต่อให้อีกบริษัทที่เป็นของตัวเองเช่นกัน โดยคิดราคาที่ดินในการโอนทอดแรกแก่ลูกวาละ 2 แสนบาท และนำไปโอนต่ออีกทอดหนึ่งที่เป็นบริษัทของครอบครัวเหมือนกัน

“บริษัทที่โอนมาเป็นของตัวเองแบ่งที่เป็น 4 แปลง โอนให้ลูก 4 คน หลังจากนั้นโอนต่อให้อีกบริษัทที่ลูกๆ เป็นเจ้าของ คนที่ส่งมาบอกว่าเป็นนิติกรรมอำพราง โอนครั้งแรกเสียภาษีแค่ 11 ล้าบาท แต่ถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี 359 ล้านบาท ถ้าผิดจริงต้องโดนอีกเท่าตัว และรวมหมดตระกูลคุณชูวิทย์ต้องเสีย 900 กว่าล้าน ผมขี้เกียจทะเลาะกับคุณชูวิทย์ เขามั่นใจว่าเขาไม่ผิด เขาทำงานมาเขาเป็นนักบัญชี แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คนที่ชี้ขาดเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นสรรพากร ผมจึงนำหลักฐานมาให้ และถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี ถ้าไม่ใช่ก็จบไป ยุติธรรมมาก ไม่ต้องเถียงกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมาวันนี้” นายสนธิ กล่าว

ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนมีการระบุว่า มีการสมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีอากรอันถึงชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 37 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

สำหรับข้อมูลที่เข้าร้องเรียนในครั้งนี้ มีรายละเอียดบางส่วนระบุดังนี้

ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตรวจพบหลักฐานการทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและการชำระภาษีที่เกิดจากการซื้อขายที่ดินที่ผิดปกติและอาจมีการจงใจหลีกเสี่ยงการชำระภาษี กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก โฉนดที่ดินเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ผู้ขาย กับนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ซื้อ และการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ขาย กับบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้โฟร์ จำกัด หรือบริษัท เดวิส 24 จำกัด ในปัจจุบัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก จำนวน 2 แปลง เนื้อที่แปลงละ 278.5 ตารางวารวม 557 ตารางวา (ปัจจุบันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539) ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-4

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมี น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 1778, 1779 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์

และในวันเดียวกัน คือวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 11.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3538, 3539 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 5-8

ภายหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อรายเก่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 อีก 3 วันถัดมา คือวันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้ลูกของนายชูวิทย์ 4 คน ได้แก่ นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล คนละ 1 แปลง ระบุราคาซื้อขายที่แปลงละ 27.86 ล้านบาท รวม 4 แปลง เป็นราคา 111.4 ล้านบาท คิดเป็นตารางวาละ 200,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 9-12

และในวันเดียวกันนั้น นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกนายชูวิทย์ทั้ง 4 คน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายต่อให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งไว้รอการร่วมทุนระหว่างครอบครัวกมลวิศิษฏ์ กับบริษัทไรมอน แลนด์ (มหาชน) จำกัด ระบุราคาขายที่แปลงละ 502,388,500 บาท รวม 4 แปลง ราคา 2,009,554,000 ล้านบาท คิดเป็นราคาตารางวาละ 3.6 ล้านบาทเศษ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 14-17 ซึ่งบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัดมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูลกมลวิศิษฏ์ เป็นผู้ถือหุ้น รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 18-19 การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามูลค่าการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นการโอนที่ดิน 2 ทอดในวันเดียวกันแต่กลับซื้อขายในราคาที่ต่างกันถึง 18 เท่าตัว โดยการโอนที่ดินทอดแรกจาก ‘บริษัทกงสี’ ให้ ‘ทายาท’ ในราคา ‘ต่ำเป็นพิเศษ’ ซึ่งในวงการอสังหาฯ รู้ดีว่าเป็น ‘นิติกรรมอำพราง’ เพื่อเลี่ยงภาษีเงินได้ของบริษัทจำกัด ในที่นี้คือ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด บริษัทกงสีของตระกูลกมลวิศิษฏ์ ซึ่งตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ(4) ที่เกี่ยวกับ ‘ภาษีเงินได้นิติบุคคล’ สาระสำคัญความว่า บริษัทจำกัดจะต้องโอนขายทรัพย์สินในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด มิฉะนั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ‘ตามราคาตลาดในวันที่โอน’ ได้ตาม ‘ข้อเท็จจริง’ จึงถือว่าราคา 2,009 พันล้านบาทเศษ เป็น ‘ราคาตลาดในวันโอน’ ทำให้บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องถูกประเมินให้มีกำไรในทางภาษีราว 1,900 ล้านบาท (หักจากราคาที่ขายให้กับนายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ นายชูวิทย์ 111.4 ล้านบาท) และต้องเสียภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท หรือ (1,900x20%) ซึ่งไม่สามารถยึดราคาขายให้แก่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ ของ นายชูวิทย์ 4 คน เพื่อชำระภาษีเพียง 11.4 ล้านบาทเศษได้ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 20

ซึ่งหากคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องชำระตาม "ข้อเท็จจริง" คือ ภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท บวกด้วยเบี้ยปรับ 1 เท่าตัว หรือ 380 ล้านบาท และเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (ตั้งแต่ มิถุนายน 2563-กรกฎาคม 2566) หรือราว 205 ล้านบาท รวมภาษีที่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกทั้ง 4 คนของชูวิทย์ ต้องจ่ายรวมประมาณ 965 ล้านบาท หัก 11.4 ล้านบาทที่ได้ชำระไปแล้ว เท่ากับว่าการโอนที่ดินกรณีดังกล่าวอาจมีการหลบเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน และทำให้รัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินถึง 954 ล้านบาท รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย

‘หมอธีระวัฒน์’ ชี้ สูงวัย 80 ขึ้น แค่ทำตัวกระฉับกระเฉง มีดนตรีในหัวใจ  ช่วยลดอายุสมองไปหลายสิบปี ความจำเป็นเลิศเหมือนอายุเพียงแค่ 50

(21 ส.ค. 66) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง คนอายุตั้งแต่ 80 ขึ้นไป และพบว่าสมองยังอยู่อย่างดี ความจำเลิศเหมือนอายุเพียงแค่ 50 มีเนื้อหาว่า

คนอายุตั้งแต่ 80 ขึ้นไป และพบว่าสมองยังอยู่อย่างดี ความจำเลิศเหมือนอายุเพียงแค่ 50 (ลดอายุสมองไปอีก 30 ปี) พบว่า

1.) มีการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลาสม่ำเสมอ (ไม่ได้หมายความว่าต้องออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง) ทำกิจกรรมกาย ทำสวน รดน้ำต้นไม้ เดิน ไปนู่นนี่

2.) มีสุขภาพจิตดีเยี่ยมไม่หมกมุ่นอยู่กับความกังวล หดหู่ ซึมเศร้า แม้จะอยู่คนเดียว เพราะคู่ชีวิตเสียไปแล้วหรือหย่า มิสนใจใครว่าร้าย
*เพราะคนคิดไม่ดีต่อคนอื่น กลับขึ้งเคียดเอง เพราะคนไม่สนใจ กลับเต็มไปด้วยความร้อนบาปกลับเข้าตัวเอง สมองเลยจะเสื่อมเอง (หลักพุทธศาสนา)

3.) มีการเล่นเครื่องดนตรีไม่ว่าจะเป็นสมัครเล่นหรืออาชีพก็ตาม ตั้งแต่วัยกลางคน เรื่อยมาตลอด

*เล่นเก่งไม่เก่ง ไม่ได้ระบุ ขอให้มีความสุข หมอเองเลยหัดเล่น งู ๆ ปลา ๆ ขอให้ได้เล่น ทั้งนี้ ไม่ขึ้นอยู่กับเศรษฐานะ ระดับความสูงส่งทางการศึกษา แม้กระทั่งโรคประจำกาย

มนุษย์สูงวัยสมองใสเหล่านี้เรียกว่า ‘superagers’ โดยที่มีการฝ่อเหี่ยว ของสมองกลีบขมับทางด้านในที่เกี่ยวข้องกับความจำ (medial temporal) และใจกลางสมอง (thalamus) ที่เกี่ยวข้องกับความกระฉับกระเฉงการเคลื่อนไหวไม่ทอดหุ่ยเนือยนิ่ง รวมทั้งเปลือกผิวสมองในตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ฝ่อลงไปเร็ว

สรุปว่า ใจใส กระฉับกระเฉง มีดนตรีในหัวใจ และสำคัญการให้เท่าที่ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทองคือความสุข

สกพอ. ขยายเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ต่อเนื่อง พร้อมเสริมบทบาทสตรีเชื่อมโยงประโยชน์การพัฒนา อีอีซี สู่ชุมชนในทุกมิติ

​ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นประธานกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามแผนผัง อีอีซี หรือ พลังสตรี อีอีซี พร้อมบรรยายความคืบหน้า อีอีซี และมอบแนวทางเกี่ยวกับบทบาทพลังสตรี อีอีซี เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน โดยมีนางสาวฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เกียรติกล่าวต้อนรับและมอบทิศทางการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อรองรับการพัฒนา อีอีซี และนางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชนและสายงานเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร อีอีซี เป็นประธานมอบเกียตริบัตรแก่เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ที่เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนประมาณ 200 คน 
ณ โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท จังหวัดฉะเชิงเทรา 

​ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า อีอีซี ได้ดำเนินการพลังสตรี อีอีซี ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อให้กลุ่มสตรีใน อีอีซี มีส่วนร่วมและเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ อีอีซี และร่วมเป็นพลังเครือข่ายในการดูแลและเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ที่ดินใน อีอีซี ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี และการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยมีพลังสตรี อีอีซี ใน 3 จังหวัด ประมาณ 600 คน สำหรับในปีนี้มีเป้าหมายขยายเครือข่ายให้เพิ่มมากขึ้นครอบคลุมทุกตำบล และเพิ่มบทบาทให้พลังสตรี อีอีซี เป็นกลไกหลักของ อีอีซี ในการเชื่อมโยงประโยชน์ของการพัฒนา อีอีซี ไปสู่ประชาชน และชุมชนในพื้นที่ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้าชุมชน ท่องเที่ยวชุมชน เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดและการกระจายรายได้ การยกระดับชุมชนไปสู่ชุมชน Low Carbon เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น  

​ด้านนางสาวฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นจังหวัดแรกของ อีอีซี ที่เชื่อมต่อจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายให้เป็นเมืองน่าอยู่ รองรับการขยายตัวจากกรุงเทพ โดยจังหวัดได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาระยะ 5 ปี (2566-2570) ต้องการเป็น “เมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน พัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ” ต้องการพัฒนาจังหวัดให้มีความเจริญ แต่ต้องควบคู่กับการสร้างความสมดุลของพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ตั้งเป้าหมายเปลี่ยนจากเมืองผ่าน ให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวและผู้ที่จะมาอยู่อาศัย เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่อย่างยั่งยืนเนื่องจากฉะเชิงเทรามีศักยภาพ 

นอกจากนี้ นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ ได้เน้นย้ำบทบาทของพลังสตรี อีอีซี ว่าเป็นพลังสำคัญในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องและความคืบหน้า อีอีซี ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการพัฒนา เป็นพลังในการเฝ้าระวังติดตามไม่ให้มีการใช้ที่ดินผิดจากข้อกำหนดในแผนผัง อีอีซี และดูแลสิ่งแวดล้อม โดย อีอีซี จะดึงเครือข่ายความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ มาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชน และขอให้ชุมชนที่มีความเข้มแข็งสนับสนุนชุมชนที่เป็นต้นน้ำเพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน โดยหลังจากนี้ประธานเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ทั้ง 3 จังหวัด จะนำประโยชน์ที่ได้จากการประชุมฯ ไปจัดกิจกรรมขยายเครือข่ายในแต่ละจังหวัด เพื่อให้ได้โครงการที่ตรงกับความต้องการและศักยภาพของพื้นที่ต่อไป  

​การประชุมฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 สิงหาคม 2566 โดยมีวิทยากรจากกรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ความรู้เกี่ยวกับแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี และความคืบหน้าการจัดทำผังเมืองรวมระดับอำเภอ และวิทยากรจากองค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก ให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการ Carbon Credit เพื่อใช้เป็นแนวทางในการโครงการชุมชน Low Carbon รวมถึงจัด Workshop การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน การสร้าง Brand และแนวทางการขยายตลาด รวมถึงการเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนใน อีอีซี ที่ประสบความสำเร็จ เช่น ซอสทัย ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา

มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดพิธีสมโภชและพุทธาภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ หลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร. 108 ปี” เสริมสร้างสิริมงคลแก่ตำรวจทั่วประเทศ

ด้วยมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดสร้างและมอบพระพุทธรูป หลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร 108 ปี” หน้าตักขนาด 38 นิ้ว ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประจำอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ เรียบร้อยแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพิธีพุทธาภิเษก และพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรดังกล่าวขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระหลวงพ่อโสธร เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนและกราบบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลสืบต่อไป

พล.ต.ท.อาชยน  ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ส.ค.66) เวลา 09.09 น. เป็นต้นไป พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการตำรวจ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ  ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชและพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” หน้าตัก 38 นิ้ว ซึ่งได้อัญเชิญมาประดิษฐานยังหอพระหลวงพ่อโสธร หน้าอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการนี้ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ 

สำหรับ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชและพุทธาภิเษกครั้งนี้ ถือเป็นพิธีมงคลครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งภายในพิธี ฯ ได้นิมนต์พระเถราจารย์จากทั่วประเทศ จำนวน 108 รูป ร่วมสวดเจริญพระพุทธมนต์ และพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร, พระกริ่งหลวงพ่อโสธร และเหรียญรูปอาร์ม พระพุทธโสธร รุ่น “ตร.108 ปี”  ซึ่งมีรายละเอียดการจัดงาน ดังนี้

•เวลา 09.00 น. แขกผู้มีเกียรติพร้อม ณ มณฑลพิธีลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4
•เวลา 09.09 น. ผบ.ตร.เป็นประธานพิธีบวงสรวงเทพยดาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ มณฑลพิธีลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4
•เวลา 10.09 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมนี วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นพระธานสงฆ์ ณ มลฑลพิธีห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล/ รับประทานอาหารกลางวัน
•เวลา 13.15 น. พิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี 
โดยพระเถราจารย์ 108 รูป ณ มลฑลพิธีด้านหน้าอาคาร อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 17.00 น. พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี ประดิษฐาน ณ หอพระหลวงพ่อโสธร หน้าอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 17.30 น. เสร็จพิธี

พระพุทธโสธร รุ่น “ตร. 108 ปี” มีวัตถุประสงค์จัดสร้างขึ้นเพื่อจัดหารายได้มอบให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, มูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และสมาคมตำรวจ เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการช่วยเหลือ และเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งในปี 2566 เป็นปีประวัติศาสตร์ครบรอบ 108 ปี กรมตำรวจ ซึ่งตัวเลข 108 มีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภและสิริมงคล โดยในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าจะทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผล  108 คือ ผลรวมของพระพุทธคุณ (56) พระธรรมคุณ (38) และพระสังฆคุณ (14) จึงเป็นที่มาของชื่อรุ่นว่า “ตร. 108 ปี” และมี “รูปพระแสงดาบเขนและโล่” ประกอบแบบพิมพ์ ทั้งนี้ สำหรับเหรียญรูปอาร์มพระพุทธโสธรเนื้อทองแดง จะได้มีการแจกจ่ายให้กับข้าราชการตำรวจทุกนายทั่วประเทศ เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป

‘กรมควบคุมโรค’ ชี้!! ยอดผู้ป่วย ‘ฝีดาษวานร’ เริ่มพุ่ง พบเพศชายส่วนใหญ่ ผลพวงจากการมีเซ็กซ์ไม่ปลอดภัย พื้นที่น่าห่วงสุด!! ‘กทม.-นนท์-ชลบุรี’

(20 ส.ค. 66) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) หรือชื่อใหม่ว่า Mpox ในประเทศไทย ว่า โรคฝีดาษวานร เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ เช่น ไปสัมผัสผิวหนังบริเวณที่เป็นตุ่มหนอง แล้วรับเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่ขณะนั้นอาจจะมีผิวแตก หรือเป็นแผลก็ได้ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทยถือว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีความสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และสามารถแพร่ต่อได้

“ในช่วงแรก ประมาณเดือนกรกฎาคม 2565 - เมษายน 2566 จะเป็นต่างชาติจำนวนหนึ่ง แต่ในการติดเชื้อช่วงหลังๆ นี้ ผู้ติดเชื้อเป็นคนไทยเกือบทั้งหมด (หรือเกือบ 100%) ส่วนต่างชาติที่ติดเชื้อช่วงหลังก็เป็นการมาติดเชื้อในประเทศไทย ไม่ใช่เป็นการนำเชื้อมาจากต่างประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปยังไม่ต้องกังวลมาก หากไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง ประชาชนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสติดเลย อย่างช่วง 2-3 เดือนหลังนี้ ไม่มีผู้หญิงติดเชื้อเลย มีแต่ผู้ชายที่มีความเสี่ยงทางเรื่องเพศ เพราะจากการสอบสวนโรคพบว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย” นพ.โสภณ กล่าว และว่าฝีดาษวานรนั้น พบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 โดยระหว่างเดือนกรกฎาคม จนถึงเมษายน 2566 พบแค่ 20 กว่าราย แต่ต่อมาเดือนพฤษภาคม พบ 20 กว่าราย เดือนมิถุนายน พบเกือบ 50 ราย เดือนกรกฎาคม พบเป็นร้อยราย ส่วนเดือนสิงหาคมนี้ คาดว่าจะเป็นหลักร้อยรายเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง คือ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีคู่นอนที่ไม่รู้จัก เวลาไปในที่ที่ปิดไฟมิดๆ ให้มีกิจกรรมทางเพศต่อ” นพ.โสภณ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีผู้เสียชีวิตรายแรกในประเทศไทย ซึ่งมีรายงานว่าติดเชื้อฝีดาษวานร และมีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย เสียชีวิตด้วยเชื้อตัวไหน นพ.โสภณ กล่าวว่า คาดว่าจะเป็นสาเหตุร่วมกัน

“เพราะผู้เสียชีวิตรายนี้ไม่เคยรู้ตัวว่าติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน เลยไม่เคยเข้ารับการตรวจรักษาเอชไอวีเลย เพิ่งมารู้ว่าติดเอชไอวีก็ตอนที่ติดเชื้อฝีดาษวานรแล้ว ดังนั้น ภูมิคุ้มกันจึงต่ำมาก เพราะปกติคนติดเชื้อเอชไอวี หากไม่ได้รับการรักษา เม็ดเลือดขาว ซีดี 4 จะน้อย ซึ่งรายที่เสียชีวิตนี้ พบว่ามีระดับซีดี 4 เหลือเพียง 16 เท่านั้น อีกทั้งยังมีโรคซิฟิลิสด้วย เมื่อติดเชื้อฝีดาษวานรเลยทำให้เกิดเชื้อรา ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ตามมา” นพ.โสภณ กล่าว

เมื่อถามว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษวานรขณะนี้ ซึ่งมีจำนวนมากที่พบว่าติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ได้รับการรักษาเอชไอวีอยู่แล้วหรือไม่ กรณีที่มีการรักษาอยู่ก่อน หากรับเชื้อฝีดาษวานร จะทำให้โรคฝีดาษวานรแสดงอาการอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รู้ตัวอยู่แล้ว และรับยาอยู่ แต่มีบางส่วนที่อาจจะไม่รู้ตัวว่าติดเอชไอวีมาก่อน ทำให้โรคฝีดาษวานร และการติดเชื้อเอชไอวีรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตเหมือนรายแรกที่เสียชีวิต ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเอชไอวี เมื่อติดเชื้อฝีดาษวานร ภูมิคุ้มกันต่ำจะทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ได้ ทั้งนี้ กรณีที่ติดเชื้อเอชไอวี แล้วอยู่ในกระบวนการรักษา ได้รับยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ จะไม่มีความผิดปกติอะไรที่แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อ คือ ภูมิคุ้มกันใกล้เคียงปกติ

เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า น่าเป็นห่วงในกลุ่มเสี่ยงที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง ไม่น่าห่วงมากนัก โดยพื้นที่ที่มีการติดเชื้อค่อนข้างมาก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมาก

“ดังนั้น ขอให้ลดพฤติกรรมเสี่ยง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื้อกำลังเพิ่ม ถ้าเราสามารถลดพฤติกรรมเสี่ยง ก็จะปลอดภัย แต่หากไปมีความเสี่ยงมาแล้ว ก็ให้ตรวจสอบตัวเองว่า มีผื่น หรือตุ่มบริเวณที่สัมผัสหรือไม่ ทั้งอวัยวะเพศ ปาก หน้าท้อง แผ่นอก ถ้าลุกลามเป็นตุ่มหนองมากขึ้น บางคนมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต ให้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล สวมหน้ากากอนามัย เว้นการสัมผัสกับผู้อื่น ส่วนคนที่ไม่เป็นก็ขอให้ล้างมือบ่อยๆ อย่าใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น” นพ.โสภณ กล่าว

‘เกาะล้าน’ เกิดปรากฏการณ์ ‘แพลงก์ตอนบลูม’ อีกครั้ง น้ำทะเลเริ่มเป็นสีเขียว แต่นักท่องเที่ยวยังคงเล่นน้ำตามปกติ

(20 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศชายหาดเกาะล้าน เมืองพัทยา ในวันนี้พบว่าน้ำทะเลเริ่มเป็นสีเขียวอีกแล้ว หลังเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่หาดตาแหวนและหาดตายาย ได้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเขียวมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นน้ำทะเลเกาะล้านเกิดเป็นทะเลเขียวประมาณ 3-4 วัน โดยในวันนี้พบว่าที่เกาะล้านเริ่มมีน้ำทะเลเขียวอีก แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเล่นน้ำตามปกติ

สำหรับน้ำทะเลเขียวนี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า แพลงก์ตอนบลูม จึงทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติ ซึ่งปีหนึ่งจะเกิดขึ้น 2-3 วัน ในช่วงต้นฤดูฝน อาจทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียว เพราะมีน้ำจืดไหลลงทะเล จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยถือว่าไม่เป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวได้ตามปกติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top