Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

‘เจ้าของร้านปังชา’ ยอมรับ สื่อสารผิดพลาด ไม่มีเจตนาเรียกเก็บเงิน ยัน!! ‘ปังชา’ ใคร ๆ ก็ใช้ได้

จากกรณี ‘ร้านอาหารชื่อดัง’ ของไทยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเมนูขึ้นชื่อคือ ‘ปังชาเย็น’ เปิดเผยข่าวสำคัญว่าแบรนด์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ชื่อเมนูดังกล่าวทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้ว พร้อมอ้างอิงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า ร้านสงวนสิทธิห้ามลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข รวมทั้งห้ามนำชื่อแบรนด์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไปใช้เป็นชื่อร้าน หรือใช้เป็นชื่อสินค้าเพื่อจำหน่าย พร้อมกันนี้ยังแนบรายละเอียดกฎหมายโดยอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรม ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณแก้ม เจ้าของร้านลูกไก่ทอง เจ้าของตำรับปังชา ได้เปิดใจผ่านรายการ ‘เที่ยงวันทันเหตุการณ์’ ของ หนุ่ม กรรชัย ถึงประเด็นดังกล่าว ว่า ตนขออนุญาต กราบขอโทษ ตอนนี้เศร้ามาก ที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการสื่อสารของทางร้าน ทั้งหมดเป็นความคลาดเคลื่อนที่ทำให้เกิดกระแสสังคม

คุณแก้ม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ขอโทษร้านที่เชียงราย และร้านที่หาดใหญ่มาก ๆ หากมีโอกาส จะไปขอโทษด้วยตนเอง วันนี้ขอโทษประชาชนทั้งหมด ที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารของทางเรา จนนำไปสู่เหตุการณ์ทุกวันนี้

เรื่องราวเกิดจากที่เพจร้านโพสต์เรื่องลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร แต่เราใส่ข้อความ แต่ไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน และการใส่ข้อความเป็นการสื่อสารที่ผิด ไม่อธิบาย และให้ความรู้อย่างครบถ้วน เมื่อถูกแชร์ออกไปจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด

หนุ่ม กรรชัย ถามว่า ใจดำไปหรือไม่ กับสิ่งที่คุณไปฟ้องชาวบ้านชาวช่อง 102 ล้าน หรือ 7 แสน ทำให้เขาลำบาก คุณแก้ม กล่าวว่า ทั้งหมดที่ออกโนติสไป ไม่มีเจตนาที่จะฟ้องไป และไม่สามารถที่จะฟ้องร้องเขาได้ ทั้งหมดที่เขียนไปในโนติสที่ถูกเขียนไป 102 ล้าน เรื่องเครื่องหมายการค้า เพราะเราดูแบบมาจากต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับเครื่องหมายการค้า ซึ่งเครื่องหมายแต่ละอันมันวัดค่าไม่ได้ และที่ผ่านมาจะเห็นเคส แบรนด์ไทยถูกต่างชาติเอาไปใช้ได้ จึงกลัวต่างชาติเอาไปใช้ได้

หนุ่ม กรรชัย ถามต่อว่า ที่กลัวต่างชาติเอาไปใช้ เข้าใจได้ แต่สิ่งที่คุณทำคือไปยื่นโนติสฟ้องคนไทย มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ คุณแก้ม กล่วาว่า เป็นความผิดพลาดของทางเราโดยตรง ซึ่งได้มีการคุยกับฝ่ายกฎหมายแล้ว โดยการรับการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน และเข้าใจผิดทั้ง 2 ฝ่าย แต่ยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่ฟ้องร้อง

หนุ่ม กรรชัยถามว่า ตกลงว่าปังชา ใช้ได้หรือไม่ คุณแก้ม กล่าวว่า ปังชา ใช้ได้ ทุกคนใช้ได้ ไม่ได้จองเป็นของคนเดียว ปังชา ปังเย็น น้ำแข็งไส ใช้ได้เลย และจะไม่มีการไปยื่นโนติสแล้ว

จากความผิดพลาดตรงนี้เราได้คุยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา และได้รับข้อมูลที่ชัดเจนร่วมกัน ส่วนภาชนะถ้ามีคนใช้แล้วมันคล้ายกัน จะวัดกันตรงไหนนั้น ขึ้นอยู่ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาพิจารณา ตนไม่ทราบรายละเอียดตรงนี้

ทั้งนี้ หนุ่ม กรรชัย สรุปเรื่องที่เกิดขึ้นไว้ว่า คำว่าปังชา คนไทยทุกคนสามารถใช้ได้ การที่ไปจดนั้น เป็นโลโก้ เครื่องหมายการค้า ปังชา เป็นตัวเขียน เป็นตัวหนังสือใช่หรือไม่ คุณแก้ม กล่าวว่า เครื่องหมายการค้าของคนคือ ภาพผู้หญิงไทยและมีตัวถ้วย อีกอันหนึ่งคือ PANG CHA ซึ่งอ่านว่าปังชา

หนุ่ม กรรชัย ถามว่า เมื่อปังชา ภาษาไทยใช้ได้ แล้วชื่อ PANG CHA ภาษาอังกฤษได้หรือไม่ คุณแก้ม กล่าวว่า ใช้ได้ ถ้าไม่ก่อให้เกิดความสับสน ซึ่งอันนี้ต้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามาอธิบายให้ชัดเจน

หนุ่ม กรรชัย ได้พูดเรื่องเครื่องหมายการค้า ตอนหนึ่งว่า ในส่วนของผม เคยเจอกรณีนี้ คือ เคยโดนคำว่า MONSTER ซึ่งเขาไม่ได้จดคำว่า MONSTER ซึ่งเป็นคำธรรมดาสามัญ แต่เค้าจดว่ารูปตัวอักษรนี้ คือ เครื่องหมายการค้า คือ โลโก้ของเขา แล้วเค้าเอามาฟ้องผม ซึ่งในวันนั้น ผมได้ซื้อมาเก็บไว้ คนอื่นมาใช้ผมก็ไม่ได้ไปฟ้องเขานะ

ท้ายสุด คุณแก้ม ได้เปิดใจอีกครั้งว่า “ขอโทษมาก ๆ ตอนนี้แก้มแย่มาก ๆ ขอโทษที่สุด ขอโทษทุกคน เราไม่เคยจับจองอะไรเป็นของเรา ขอให้ทุกคนให้โอกาส และให้อภัยในทุก ๆ สิ่งของทางแบรนด์ด้วย หากมีสิ่งใดทำให้ทุกคนเสียใจ ผิดหวัง วันนี้น้อมรับ กราบขอโทษ และขอโอกาส”

‘หนุ่ม กรรชัย’ ซัดดรามา ‘ปังชา’ แนะ บางเรื่องควรปล่อยไปบ้าง พร้อมย้อนตำนาน ‘ไอซ์มอนสเตอร์’ ลั่น!! ผมคือเจ้าแรกในไทย

กรณีดรามาร้อนจนแฮชแท็ก #ปังชา ขึ้นเทรนด์ข้ามวันข้ามคืน หลังมีข่าวร้านดังยื่นฟ้องร้านค้ารายย่อยที่ใช้ชื่อว่า ‘ปังชา’ ว่าเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า พร้อมฟ้องเรียกค่าเสียหาย 102 ล้านบาท

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ ได้พูดในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า…

“ปังชา มีรากมาจากร้านไอซ์มอนสเตอร์ของผมนี่แหละ เพราะผมเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่นำเข้าน้ำแข็งไสเกล็ดหิมะไสละเอียดแบบนี้เข้ามา ผมไปซื้อสิทธิบัตรมาจากประเทศฟิลิปปินส์ ชื่อว่า ‘ไอซ์มอนสเตอร์’ (Ice Monster)”

“ปรากฏว่าผมเปิดร้านได้ราว 3 เดือน ร้านไอซ์มอนเตอร์ของผมก็โดนฟ้องจากร้านชื่อ ‘มอนสเตอร์ไอศกรีม’ เพราะทางนั้นไปจดคำว่า ‘มอนสเตอร์’ ไว้เป็นภาษาอังกฤษ โดยห้ามใช้คำว่า ‘Monster’ ขายน้ำแข็งไส ไอศกรีม ขายน้ำดื่ม ตอนนั้นโลโก้มีความคล้ายกัน ทางฝ่ายคู่กรณีเรียกค่าเสียหายมาเยอะมาก และบอกให้ผมฉีกถ้วยทิ้งด้วย”

“สุดท้าย ผมเลยให้น้องสาวของผมไปขอซื้อลิขสิทธิ์คำว่า ‘Monster’ มาถือไว้เอง แล้วปล่อยให้ทุกคนสามารถเอาไปใช้ได้”

“คือผมไม่ได้จะมาโอ้อวดว่าผมใจใหญ่อะไร แต่ผมมองว่าเรื่องแบบนี้ บางอย่างเราก็ต้องปล่อยไปบ้าง” หนุ่ม กรรชัย กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับแบรนด์แฟรนไชส์ ‘ไอซ์มอนสเตอร์’ (Ice Monster) เปิดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 เรียกว่าเป็นน้ำแข็งไสในตำนานเจ้าแรกในเมืองไทย ความแปลกใหม่คือเป็นน้ำแข็งที่ป่นละเอียดมากๆ เหมือนเกล็ดหิมะ ท็อปปิ้งด้วยผลไม้ตามฤดูกาล และน้ำเชื่อมก็เป็นสูตรเฉพาะที่ได้ลิขสิทธิ์จากฟิลิปปินส์

แต่ต่อมา ‘หนุ่ม กรรชัย’ ได้ถูกคนที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนถอดชื่อออกจากการเป็นหุ้นส่วนโดยไม่ได้บอกกล่าว จนกลายเป็นคดีฟ้องร้องกันครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากให้หนุ่ม กรรชัย นำไอซ์มอนสเตอร์ กลับมาขายอีกครั้ง

‘ชวน’ รับปริญญา ‘ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์’ ใบที่ 21 สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์มอบเพื่อเชิดชูเกียรติในผลงาน

(31 ส.ค. 66) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยว่า ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาทัศนศิลป์ ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม พิจารณามอบให้นายชวน หลีกภัย ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติในผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด นับเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบที่ 21 ของนายชวน หลีกภัย

สำหรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบแรกจนถึงปัจจุบัน มีดังต่อไปนี้

1.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2528
2.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2530
3.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2536
4.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2537
5.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล พ.ศ. 2541

6.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัย San Marcosสาธารณรัฐเปรู พ.ศ. 2542
7.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ศ. 2545
8.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า พ.ศ. 2547
9.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2549
10.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. 2552

11.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2552
12.) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย พ.ศ. 2555
13.) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภททั่วไป สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต พ.ศ. 2556
14.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2557
15.) นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย พ.ศ. 2559

16.) นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2562
17.) ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารจัดการการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. 2561
18.) นิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แขนงวิชานวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
19. )ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
20.) ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข
21.) ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาทัศนศิลป์ สถาบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

‘ครูบาน้อย’ ละสังขาร สิริอายุ 34 ปี เขียนพินัยกรรมให้ถวายเพลิงค่ำวันนี้

(31 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก คณะศิษย์ครูบาน้อย ญาณวิไชย จังหวัดน่าน แจ้งว่า น้อมกราบถวายความอาลัย ‘ครูบาน้อย’ (พระญาณวิไชย ภิกขุ) วัดถ้ำเชตวัน ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ในวันพฤหัสบดีที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 00.49 น. ณ วัดถ้ำเชตวัน

ประกอบพิธีถวายเพลิงสรีระสังขารตามเจตนารมณ์ ในพินัยกรรมของครูบา วันพฤหัสบดีที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2566 เวลา 20.09 น. ณ วัดถ้ำเชตวัน จังหวัดน่าน

สำหรับประวัติครูบาน้อย หรือ ‘พระญาณวิไชย ภิกขุ’ บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนาแดง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 ในขณะอายุ 12 ปี โดยมี ‘พระครูวิสุทธิ์นันทวิทย์’ (ครูบาศรีมา กตปุญโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุ 20 ปีได้บวชเป็นพระภิกขุ

‘ครูบาน้อย’ เป็นลูกศิษย์ของครูบาบุญชุ่ม ญาณสวโร ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในล้านนา ครูบาน้อยปลีกวิเวก ตัดขาดจากโลกภายนอก เข้าไปปฏิบัติธรรมในพุทธสถานถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย ประกาศตัดทางโลก 3 ปี เข้าบำเพ็ญกรรมฐานในถ้ำ เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2557 และวันที่ 15 ต.ค.2560 ได้ออกจากถ้ำหลังจากครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับครูบาบุญชุมที่ได้ปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น

'อดีตนร.ไทยในญี่ปุ่น' ชี้!! ผลักดันสุราเสรี ไม่ใช่นโยบายที่ดี ยก ‘สหรัฐฯ’ เป็นแม่แบบ ให้ปชช.ดื่มได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ขอพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกสักโพสต์ ในขณะที่ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่อ้างความเป็นประชาธิปไตย ผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่ง แต่ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกากำลังกำหนดให้ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

อ้างอิงจากข่าว "2 drinks a week? US considering changing alcohol guidelines"
https://fox8.com/video/usda-considering-changing-alcohol-guidelines/8947623/ 

สรุปคร่าว ๆ คือ

Dr. George Koob ผู้ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ของประธานาธิบดี Joe Biden กล่าวกับเดลี่เมล์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่ประเทศแคนาดาพึ่งออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ (*1) ซึ่งแนะนำให้ประชาชนจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ที่สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์ (ลดลงจาก 15 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชาย และ 10 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิง) เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์

Dr. George Koob ซึ่งก็เป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิดและโรคพิษสุราเรื้อรัง (National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism: NIAAA) ให้ความเห็นชัดเจนว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และพบว่ากลุ่มคนอายุ 35 ถึง 50 ปี มีการดื่มหนักเพิ่มขึ้นทั่วประเทศจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน โดยคำแนะนำการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวอเมริกัน (*2) อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในปี 2025

สำหรับผมแล้ว การผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่งของพรรคนั้น น่าจะไม่ใช่การสร้างความเท่าเทียมแต่อย่างไร แต่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะ สส. และผู้สมัคร สส. ของพรรคนั้น ก็ทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่แหละ ต้องการเข้ามามีอำนาจเพื่อตัวเองล้วน ๆ

ปล. แต่ที่ยิ่งกว่าเลวคือ ไม่เสียภาษีด้วยนะ ยื่นแบบเสียภาษียังไม่ทำเลย

*1 Canada’s Guidance on Alcohol and Health
https://www.ccsa.ca/canadas-guidance-alcohol-and-health
*2 Dietary Guidelines for Alcohol
https://www.cdc.gov/alc.../fact-sheets/moderate-drinking.htm 

กองทัพเรือจัดการประชุมวิชาการ ครั้งที่ 12 ณ หอประชุมกองทัพเรือ ชูความสำคัญของ Blue Economy

วันที่ 30 ส.ค.66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในการประชุมวิชาการของกองทัพเรือ ครั้งที่ 12 ในหัวข้อเรื่อง Blue Economy : บทบาทสากลใหม่ของกองทัพเรือไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ

การประชุมวิชาการของกองทัพเรือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับแนวคิด Blue Economy สร้างการตระหนักรู้ในการปกป้องสภาวะแวดล้อมทางทะเล และเผยแพร่บทบาทของกองทัพเรือ ในการสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว โดยมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

ในการนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมว่า “…ปัจจุบันแนวคิดเศรษฐกิจสีนำเงินได้กลายเป็นแนวคิดที่มีความสำคัญ และกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมระหว่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ประโยชน์ทางทะเล เพื่อไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน จากการที่กองทัพเรือเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงทางทะเล และมีบทบาทหลักในการดูแลรักษาความมั่นคงเรียบร้อยทางทะเล เพื่อให้เศรษฐกิจทางทะเลสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) และห่วงโซ่กิจกรรมทางทะเล รวมทั้งบทบาทของกองทัพเรือที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว…”

เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในบทบาท และการปฏิบัติงานของกองทัพเรือ ในสภาวะแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนไป โดยเปิดรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และกองทัพเรือต่อไป

‘ใบหยกสกาย’ ปรับเมนูใหม่ ‘คาราวานบุฟเฟต์’ ครบจัดเต็ม มีเมนูพรีเมียมกว่า 100 รายการ แถมนั่งชิลล์ไม่จำกัดเวลา

เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าแห่งบุฟเฟต์ ‘ใบหยกบุฟเฟต์’ เปิดตัวโปรใหม่ล่าสุด “BAIYOKE Private & Caravan Buffet” ที่ Stella Palace ชั้น 79 โรงแรมใบหยกสกาย ปรับเมนูใหม่ เพิ่มเมนูแต่ไม่เพิ่มราคา มาพร้อมคาราวานบุฟเฟต์ที่แรกและที่เดียวในไทย ที่นำไลน์บุฟเฟต์เข็นไปบริการถึงที่โต๊ะ ให้นั่งชิลล์แบบไม่จำกัดเวลา ตั้งแต่ 18.00-21.30 น. รวบรวมสุดยอดเมนูพรีเมียมกว่า 100 รายการ

เริ่มต้นด้วย อาหารจีนพรีเมียมครบจัดเต็ม ทั้งหมูหัน เป็ดปักกิ่ง เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ เคาหยก ไก่จักรพรรดิ ติ่มซำเต็มรูปแบบทั้งแบบนึ่งและแบบทอด ต่อด้วย เมนูซีฟู้ด สด-ลวก-ย่าง อาทิ กุ้งแม่น้ำย่างมันเยิ้ม กุ้งแม่น้ำ ปูม้า หมึก หอยนางรมสด และหอยนานาชนิด

เมนูซีฟู้ดพิเศษเฉพาะที่ Stella Palace ‘ซีฟู้ดฮองเฮา’ น้ำซุปหูฉลาม เลือกวัตถุดิบกุ้ง หอย ปู ปลา ผักสด ไป D.I.Y. เองที่โต๊ะได้ตามใจชอบ อีกทั้งเมนูเป๋าฮื้อ ทั้งพายเป๋าฮื้อ (เป๋าฮื้อ Vol au Vent) เป๋าฮื้อน้ำแดง โจ๊กเป๋าฮื้อ

ใครอยากกินข้าว ที่นี่ก็มีเสิร์ฟข้าวพรีเมียมหน้าล้น พิเศษเฉพาะที่ใบหยกสกาย อาทิ ข้าวคลุกน้ำปลาทะเล ข้าวแซลมอนไข่ดอง ข้าวผัดกากหมูปลาแกะ ข้าวกะเพราหมูตุ๋น ข้าวไข่ข้นกุ้ง-ปู ข้าวยำซีฟู้ดไข่ออนเซ็น

ไม่ใช่มีแต่อาหารจีน ใบหยกยังจัดอาหารญี่ปุ่น ไข่ตุ๋นฟัวกราส์ ซูชิวากิวเบิร์น ซาชิมิแซลมอน ทูน่า ทาโกะ ซาบะดอง มาเสิร์ฟไม่อั้น และเพื่อเพิ่มความวาไรตี้ ที่นี่ยังเสิร์ฟ สเต๊กเนื้อนำเข้าครบทั้ง สเต๊กเซอร์ลอยด์ออสเตรเลีย สเต๊กซี่โครงแกะ สเต๊กหมูคุโรบุตะ สเต๊กแซลมอนนอร์เวย์ สะโพกนางฟ้า สตูว์ลิ้นวัว และซี่โครงหมูซอสไวน์ขาว

ซิกเนเจอร์ที่ขาดไม่ได้ของที่นี่ ชาบูน้ำตกเนื้อวากิว และชาบูน้ำตกหมูคุโรบุตะ อร่อยแบบไม่ปรุงรสอะไรเพิ่ม

ตบท้ายด้วย ขนมหวานสไตล์จีนพิเศษ เช่น สาคูแคนตาลูป แตงโมเกล็ดหิมะแปะก๊วย บอลลาวา สี่สีร้อน โอวหนี่แปะก๊วย บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวยน้ำขิง เต้าฮวยฟรุตสลัด พุดดิ้งมะม่วง

เรียกว่า อิ่มอร่อยทั้งอาหารและวิวที่เห็นกรุงเทพฯ ทั้งเมือง ซึ่งใบหยกเปิดให้ชมวิวบนจุดชมวิว ชั้น 77 และดาดฟ้าพื้นหมุน ชั้น 84 ด้วย อีกทั้งยังฟรี! ห้องไพรเวตส่วนตัว (เมื่อมา 8 ท่านขึ้นไป) ฟรี! เครื่องดื่ม soft drink และน้ำดื่ม

เปิดให้บริการทุกวัน ไม่จำกัดเวลา ตั้งแต่ 18.00 – 21.30 น. ราคาโปรโมชั่นช่วงแนะนำ 1,250 บาทเน็ท (จากปกติ 1,390 บาท)

หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากับงาน TICA Connect ครั้งที่ ​8

กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (Thailand International Cooperation Agency: TICA) จัดงาน TICA Connect ครั้งที่ 8 ในหัวข้อ Enhancing International Cooperation for Sustainable Future” (การขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยได้ย้ำว่า ในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศนั้น การมีส่วนร่วมจากนานาประเทศ และทุกภาคส่วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (2030 Agenda for Sustainable Development) ทั้งนี้ ไทยมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) และ BCG Model ในการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนา

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน TICA Connect ครั้งนี้นั้น นางอุรีรัชต์ เจริญโต อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่การดำเนินงานด้านการพัฒนาของไทยในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน รวมทั้งเน้นบทบาทของหน่วยงานด้านการพัฒนาทั้งไทยและต่างประเทศที่เป็นคู่ร่วมมือกับ TICA ตลอดจนเป็นเวทีสร้างเครือข่ายระหว่างกันเพื่อประโยชน์ในการร่วมกันดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดนิทรรศการของกรมความร่วมมือฯ ซึ่งนำโครงการในสปป. ลาว กัมพูชา และภูฏานมาจัดแสดง และคู่ร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการหลวง กรมพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฟาร์มทะเลตัวอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งนำผลิตภัณฑ์จากผู้พิการมาจัดแสดงและจำหน่าย ตลอดจนหน่วยงานด้านการพัฒนาต่างประเทศเช่น USAID และ Peace Corps ของสหรัฐฯ JICA ของญี่ปุ่น KOICA ของเกาหลีใต้ GIZ จากเยอรมนี AFD ของฝรั่งเศส และ Mekong Institute (MI) และหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเผยแพร่การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทั้งของไทยและที่กรมฯ ดำเนินการกับหุ้นส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน จากคณะทูตานุทูต ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยนักเรียน นิสิต นักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้รับทุนกรมความร่วมมือฯ และสื่อต่าง ๆ

ภายในงาน ยังมีการบรรยายโดย ดร. สุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณนครนิวยอร์ก เข้าร่วมงานในครั้งนี้และได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “Linking Forward to Leave No One Behind” โดยได้เน้นย้ำประชาคมโลกควรร่วมมือกันแก้ไขประเด็นท้าทาย อาทิ ผลกระทบของโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งได้เสนอแนวทางการดำเนินการที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น ความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพเพื่อเสริมสร้างรากฐานในการยุติความยากจน (2) การแก้ปัญหาระบบการเงินโลก รวมถึงการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และ (3) การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและเสริมสร้างศักยภาพให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ​

กรมความร่วมมือฯ ได้จัดให้มีการเสวนา ๒ รายการ รายการแรกเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Enhancing International Development Cooperation for Sustainable Future: Working Together to Promote SDG 13 and SDG 17” โดยผู้แทนจาก TICA และคู่ร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ AFD, GIZ, JICA, KOICA, USAID และสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือเพื่อการพัฒนาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการเสวนารายการที่สองในหัวข้อ “เปิดประสบการณ์นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ไปประยุกต์ใช้ในต่างประเทศผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยวิทยากรที่เป็นผู้ดำเนินโครงการในต่างประเทศ เช่น ภูฏาน กัมพูชา และ สปป.ลาว มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงาน ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ กรมความร่วมมือฯ ได้เปิดตัวคู่มือการประยุกต์ใช้ SEP ในต่างประเทศ ในเว็ปไซต์ของกรมความร่วมมือฯ ด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

​นอกจากนี้ กรมความร่วมมือฯ ได้มอบเข็มเกียรติคุณและประกาศนียบัตรแก่บริษัทบางจาก รีเทล จำกัด  สำหรับความร่วมมือในการต่อยอดโครงการพัฒนาเมล็ดกาแฟที่ปลูกโดยสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง TICA และ JICA จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ “กาแฟดริปเทพเสด็จ” ที่มีจำหน่ายที่ร้านกาแฟอินทนินซึ่งทำให้ชาวเกษตรกรกาแฟดอยสะเก็ดมีรายได้มากขึ้น “กรมความร่วมมือฯ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ และหวังว่าจะสามารถนำรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อประชาชน(Public Private Partnership for People : PPPP) ไปประยุกต์กับโครงการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” อธิบดีกรมความร่วมมือฯ กล่าว

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ' ชวนผู้ใจบุญแบ่งปันอาหารแก่คนไร้บ้าน ย่านราชดำเนิน พร้อมเล็งปรับพื้นที่ กทม.โซนสะพานวันชาติเป็นบ้านอิ่มใจ-จุดรวมสวัสดิการ

(30 ส.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านบริเวณถนนราชดำเนิน ณ วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขตพระนคร

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาใหญ่ของกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีคนไร้บ้านมาอาศัยอยู่บริเวณถนนราชดำเนินค่อนข้างมาก ซึ่งช่วงโควิดระบาดมีคนไร้บ้านประมาณ 1,800 คน เมื่อมิถุนายน 2565 ลดลงเหลือประมาณ 1,200 คน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณถนนราชดำเนินเป็นหลัก และตรอกสาเก ด้านหลังถนนราชดำเนิน และมีบ้างที่คลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งที่ราชดำเนินค่อนข้างเยอะเพราะมีผู้ใจบุญนำอาหารมาแจก และบางคนก็มีการแจกเงินด้วย 

ขอบคุณผู้ที่นำอาหารมาแจกทุกคน แต่อยากขอความร่วมมืออย่านำมาแจกที่ถนนราชดำเนิน ให้นำไปแจกในจุดกรุงเทพมหานครได้กำหนดไว้ให้ 2 จุดหลัก คือ เวลากลางวันที่บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เลยโรงละครแห่งชาติ ตรงจุดกลับรถ ซึ่งตรงนั้นจะเป็นจุดสวัสดิการด้วย มีการจัดหางาน ตรวจคัดกรองโรค ซักผ้า เป็นต้น ซึ่งคนไร้บ้านมีสิทธิเหมือนทุกคนในการรับสวัสดิการขั้นพื้นฐาน มีการช่วยเหลือในการพิสูจน์ตัวตนเพื่อให้สามารถรับสวัสดิการต่าง ๆ ได้ด้วย ส่วนตอนเย็นแจกได้ที่จุดหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ บริเวณตรอกสาเก 

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาคนไร้บ้านไม่ใช่การนำอาหารมาแจก การแก้ปัญหาคือการให้คนไร้บ้านได้สิทธิ ได้งานที่มีความมั่นคง หลายคนมีความรู้ ต้องหางานให้เพื่อที่จะได้มีรายได้ หากมีหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ ส่วนกรณีมีคนไร้บ้านที่สร้างความกังวลในประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยาต้องดูแลให้เรียบร้อยโดยทุกส่วนต้องช่วยกัน ซึ่งการแก้ปัญหาไม่อยากให้เป็นระยะสั้น อยากให้ดูระยะยาว ส่วนกรณีขอทานหลายคนไม่ใช่คนไทย บางคนเช่าบ้านอยู่แต่พาลูกมาขอทานเพราะมีคนให้เงินเยอะ ซึ่งจะมีการเข้าไปดูต่อไป

รองผู้ว่าฯ ศานนท์ กล่าวเสริมว่า ในอนาคตกรุงเทพมหานครจะมีการปรับพื้นที่ของกรุงเทพมหานครบริเวณสะพานวันชาติเป็นบ้านอิ่มใจ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะนำสวัสดิการต่าง ๆ ไปรวมอยู่ตรงนั้น ซึ่งจะมีการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานครและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) คาดว่าถ้าทำเป็นระบบขึ้นน่าจะดีขึ้น

นอกจากนี้ มูลนิธิกระจกเงาได้ร่วมกับกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือคนไร้บ้านทั้งที่จุดสะพานปิ่นเกล้า และเรื่องอื่น ๆ เช่น โครงการจ้างวานข้า ที่เป็นการจ้างงานคนไร้บ้านเพื่อให้มีรายได้ ซึ่งจากเดือนกันยายน 2565 ถึงกรกฎาคม 2566 มีคนเข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน มี 30 คน ที่สามารถเปลี่ยนผ่านไปเป็นคนที่มีบ้าน มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงได้

ทั้งนี้โครงการจ้างวานข้า เป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิกระจกเงาร่วมกันสำนักงานเขตพระนคร ในการจ้างงานคนไร้บ้านให้มีรายได้ เช่น การทำความสะอาด คัดแยกขยะ งานช่างทั่วไป หรือการช่วยงานในมูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น ซึ่งในวันนี้มีคนไร้บ้านบางส่วนได้สมัครร่วมโครงการทำงานกวาดกับทางเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพระนครด้วย

สำหรับวันนี้ มีนายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร และผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสัมฤทธิ์ สุมาลี ผู้อำนวยการเขตพระนคร สำนักพัฒนาสังคม ผู้แทนมูลนิธิกระจกเงา และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่

‘วิว กุลวุฒิ’ ตัวอย่างนักกีฬาที่ดี รักษาวินัย-ไม่มุ่งอบายมุข

‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ แชมป์โลกแบดมินตัน 2023 บรรลุความฝันคือการได้เป็น ‘แชมป์โลก’ และเป้าหมายใหญ่สุดคือคว้าเหรียญทองโอลิมปิก

แน่นอนว่า…กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักและอุปสรรคมากมาย ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ การมีวินัย และจิตใจที่แน่วแน่ อีกทั้งยังต้องสูญเสียช่วงเวลาการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top