Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี จัดงานประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566 (แห่งที่ 3) แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ยากไร้ ณ คลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว สาขาศรีราชา

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 เวลา 13.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ จัดพิธีแจกข้าวสารพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566 ให้กับประชาชนผู้ยากไร้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว สาขาศรีราชา จำนวน 2,000 ชุด สิ่งของที่แจกประกอบด้วย  ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  ปลากระป๋อง  น้ำปลา น้ำมันพืช  และขนม บรรจุถุงผ้ามูลนิธิฯ พร้อมมอบค่าพาหนะ คนละ 100 บาท โดยมี นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายศิลปชัย พันธุ์สุริยานนท์ รองผู้อำนวยการ ด้านพัฒนาองค์กร คลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว  คณะพุทธสมาคมเพียวเยี้ยงไท้ ศรีราชา คณะเครือสหพัฒน์  บริษัท แปซิฟิคพาร์ค ศรีราชา จำกัด และโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ร่วมในพิธี ณ บริเวณคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี

นอกจากนี้ ในวันอังคารที่ 12 กันยายน 2566 มูลนิธิฯ กำหนดแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคครั้งยิ่งใหญ่ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ เป็นลำดับต่อไป

ประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมูลนิธิฯ ได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาทุกปีเป็นเวลาช้านานไม่ต่ำกว่า 80 ปี และคาดว่าจะเป็นมูลนิธิแห่งแรก ที่จัดงานทิ้งกระจาดอย่างเป็นทางการและเป็นกิจจะลักษณะ เพราะถือว่าเป็นประเพณีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เป็นญาติและไม่เป็นญาติพร้อมกับทำทานให้แก่ผู้ยากไร้ ในช่วงประเพณี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มีผู้มีจิตศรัทธา และผู้ใจบุญจะนำเครื่องเซ่นไหว้ อาทิ ข้าวสารอาหารแห้ง และอื่น ๆ มากราบไหว้หลวงปู่ เพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์ ซึ่งมูลนิธิฯ จะรวบรวมไว้ไปสมทบกับสิ่งของที่จัดซื้อเพิ่มเติม เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ รวม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร นครราชสีมา ชลบุรี และ กรุงเทพฯ พร้อมนำมอบองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้พัฒนาการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ ให้เข้ากับการใช้งานในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุในการบรรจุสิ่งของที่มูลนิธิฯ ได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นถุงผ้าเพื่อลดการใช้พลาสติก และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับ คิดเป็นมูลค่าการจัดงานประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 14,462,250 บาท (สิบสี่ล้านสี่แสนหกหมื่นสองพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กร สาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘หยก’ แจง เหตุตัดสินใจไปค่าย เพราะเห็นว่าโรงเรียนทำไม่ถูกต้อง รับ ตกใจที่ครูให้ นร.มีส่วนร่วม พร้อมเปรียบ เหตุการณ์นี้เหมือน 6 ตุลา 19

(1 ก.ย. 66) จากกรณี ‘หยก น.ส.ธนลภย์’ อายุ 15 ปี เยาวชนและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง สมาชิกกลุ่มทะลุวัง อดีตผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุด ต้องการไปขึ้นรถบัสไปค่ายเรียนภาษาจีน ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ แต่ทางครูไม่ให้หยกไป เพราะหยกไม่มีสถานภาพนักเรียนและไม่ได้จ่ายค่าเทอม (เพราะคืนค่าเทอมไปแล้ว) จึงพยายามให้หยกลงจากรถ เพื่อนหยกจึงช่วยกันอุ้มลงจากรถ

‘หยก น.ส.ธนลภย์’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า…

“หนูตัดสินใจไปค่ายเพราะหนูยังคงเห็นว่าโรงเรียนทำไม่ถูกที่คืนเงินมาเงียบๆ แล้วถือว่าหนูไม่ใช่นักเรียนแล้ว หนูยืนยันว่าโรงเรียนไม่เคยมีหนังสือทางการแจ้งหนู ไม่เคยไล่หนูออก มีแต่ไปป่าวประกาศกับสังคม ไม่เคยให้มีส่วนร่วม

ครูไม่ให้หนูไปค่ายและบอกว่าหนูไม่ใช่นักเรียนแล้ว เพราะคืนเงินมาแล้ว ครูให้เพื่อนๆ ช่วยกันอุ้มหนูลงมาจากรถ ครูถามเพื่อนว่ามีใครยังอยากให้หยกเรียนต่อมั้ย เพื่อนๆ ร่วมกันตอบว่า “ไม่” มีคนปรบมือดีใจ ตอนที่เพื่อนอุ้มหนูลงจากรถ

หนูรู้สึกตกใจ หน้าเสียกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พยายามยิ้ม หนูตกใจที่ครูให้เพื่อนเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ และให้เพื่อนเข้ามาเป็นคนออกหน้า รวมถึงใช้วิธีให้เพื่อนๆ ทำอะไรแบบนี้

วันนี้โรงเรียนเอาตำรวจมากำจัดหนูด้วยเช่นกัน ตำรวจช่วยโรงเรียนกันหนูออกหลังจากครูให้เพื่อนเป็นคนมาอุ้ม กำจัดหนูออกจากรถและเพื่อนหลายๆ คนตบมือ หรือยิ้มดีใจเห็นด้วย

สวัสดีวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ณ โรงเรียนเตรียมพัฒน์

ขอบคุณโรงเรียน พี่ตำรวจและครูมากๆ ค่ะ บทเรียนนี้หนูจะไม่ลืม

อดีตผู้สมัคร สส.ก้าวไกล โพสต์ทวิตฯ ขอโทษล่วงละเมิดสาว ล่าสุดลบโพสต์ แต่ชาวเน็ตแคปทัน ด้านเหยื่อเล่าเหตุเกิดตอนเมา

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์ เมื่อนายเกรียงไกร จันกกผึ้ง อดีตผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกล จ.ชัยภูมิ โพสต์ทวิตเตอร์ข้อความขอโทษ ผู้หญิง ที่ตัวเองล่วงละเมิดทางเพศไป โดยระบุว่า ในวันที่ 27 / 06 / 2566 ตนได้ละเลยความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง และได้ละเมิดหลักการเรื่อง consent จนทำลายความเชื่อใจ และหวังดีของเธอ ซึ่งการกระทำนี้ ไม่ควรค่าแก่การให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นการกระทำร้ายแรงต่อจิตใจของเธอ

ผมขอสัญญาไว้กับเกียรติอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ว่า จะไม่มีการละเมิดหลักการอันเป็นที่ยึดมั่นนี้อีก และจะไม่ทำลายความเชื่อมั่นและความหวังดีของใครอีกต่อไป แม้การกระทำครั้งนี้จะไม่มีการให้อภัยใด ๆ แต่ผมจะตอบแทนผู้คนด้วยการรับใช้ซึ่งอุดมการณ์นี้อย่างสุดหัวจิตหัวใจตลอดไป

โดยเพียงหวังว่าจะเธอจะให้อภัยในการกระทำที่ไม่น่าให้อภัยนี้ และเผชิญหน้าอย่างถูกต้องผมได้แต่เฝ้าหวังและรอการให้อภัยจากเธอและเหตุครั้งนี้จะตอกย้ำทุกการกระทำของผมต่อจากนี้อย่างรอบคอบทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นอีก

และการกระทำแบบนี้ยังทำลายซึ่งหลักการที่เรายึดมั่นเสมอมา ผมผู้ที่ไม่ควรให้อภัยอย่างยิ่งนั้นยังไม่รู้สำนึกถึงโอกาสที่มอบให้ยังทำลายโอกาสนั้นต่อเรื่อยมา จนทำให้เรื่องนี้เดือดร้อนถึงบุคคลอื่นที่หวังดีและเชื่อมั่นในตัวผม ผมได้เดินทางไปขอโทษเธอจากใจจริง

หลังจากเจ้าตัวโพสต์เรื่องราวดังกล่าว เจ้าตัวทำการลบและปิดทวิตเตอร์หนี ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพร้อมใจขอความชัดเจน รวมให้ทางพรรคต้นสังกัดชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นมาจาก ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ “พิมxx” ที่วันนี้ได้แชร์โพสต์ของนายเกรียงไกร ที่ได้โพสต์ขอโทษเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพิม ระบุว่า ได้เห็นคำขอโทษที่พิมรอกันบางส่วน และเห็นว่ามีเพื่อน ๆ ที่เคียงข้างพิมอยู่ ทำให้พิมรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณมากค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คำขอโทษเหล่านั้นจะเข้าถึงไม่ได้แล้ว อาจเกิดจากเขาต้องการปิดบัญชีไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม พิมอยากเก็บถ้อยคำเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นประจักษ์ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง

พิม ยังทวิตข้อความอีกว่า มีความคิดเห็นว่า คำขอโทษนี้ไม่ได้ระบุความผิดที่ทำ และอาจยังไม่เข้าใจว่าผิดอะไร พิมเห็นด้วยค่ะ และพิมคงคาดหวังสิ่งนี้กับคนที่พิมรอคำขอโทษถึง 2 เดือนไม่ได้ รวมถึงมีคำถามว่าจะมีการลงขอโทษอีกครั้งไหม พิมยังไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นกัน พิมยังอยู่ในความฉงนใจจากการหายไปของสิ่งที่พิมรอ

ขณะเดียวกันหากย้อนไปเมื่อ 2 วันก่อน พิมได้ทวิตข้อความว่า พิมได้รับการขอโทษ โดยมีพยานจากผู้กระทำเบื้องต้นแล้วเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมนะคะ ขอบคุณความห่วงใยจากทุกท่าน เคยได้ยินสำนวนว่า หมอตายเพราะงู ก็ไม่นึกเลยค่ะ ว่าคนทำเหล้าจะโดนล่วงละเมิดตอนเมาเพราะเหล้า

นอกจากนี้ยังพบว่าเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม หลังเกิดเหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศเกือบ 2 เดือน พิมได้ทวิตข้อความว่า ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กับพิมในเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมานะคะ ขออภัยที่ทำหน้าที่บกพร่องในการเป็นโฆษกxxx เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถสื่อสารเรื่องอื่นได้เต็มที่หากยังไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม พิมได้ให้เวลาและโอกาสกับคู่กรณี และยังเฝ้ารอความรับผิดชอบอยู่ค่ะ

ศาลอาญารับคำฟ้อง ‘ท็อปนิวส์’ เอาผิดเพจ ‘ตุ๊ดส์ review’ ฐานหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสีย เรียกค่าเสียหาย 20 ลบ.

มีรายงานความคืบหน้ากรณีท็อปนิวส์ฟ้องร้องเอาผิดผู้โพสต์หมิ่นประมาทใส่ร้ายให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังและเสื่อมเสียชื่อเสียง ท็อปนิวส์จึงต้องดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายและเรียกร้องค่าเสียหายอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่า

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.66 ศาลอาญา ได้นัดฟังคำสั่งฟ้องคดี บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย ยื่นฟ้อง นายธนบัตร ชายด่าน แอดมินเพจเฟซบุ๊ก ‘ตุ๊ดส์ รีวิว’ ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท จากการที่นายธนบัตรใช้เพจเฟซบุ๊ก ‘ตุ๊ดส์ รีวิว’ โพสต์ข้อความใส่ร้ายท็อปนิวส์ โดยทนายความฝ่ายโจทก์และจำเลยเดินทางมาศาล

ทั้งนี้ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กชื่อว่า ‘ตุ๊ดส์ review’ และเปิดใช้งานแบบสาธารณะให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 จำเลยเผยแพร่ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวว่า 

“รักชาติต้องเสพสื่อที่พัฒนาชาติก่อนเลยจ้า แกเชื่อเราอย่างแรกที่ทุกครอบครัวต้องทำตอนนี้คือ เลิกดู Top News คุณภาพชีวิต สติปัญญา และแนวทางการดำเนินชีวิตแกจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แกจะเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น แกจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่รู้เท่าทันคนอื่น โลกที่ก้าวไปข้างหน้า และเข้าใจว่าปัจจุบันประเทศของเรา และสถานการณ์บ้านเมืองที่แท้จริงอยู่จุดใด ขอให้ทุกคนบอกคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้อง และคนรู้จัก ระมัดระวังในการเสพสื่อที่ปลุกปั่นและสร้างความเข้าใจผิดกับคนในสังคมด้วยครับ รักชาติแต่เสพ Top News เลยพังพินาศ” พร้อมลงภาพเปรียบเทียบข้อความการให้สัมภาษณ์ระหว่าง เปิ้ล จารุณี นักแสดง และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกพรรคก้าวไกล ประกอบข้อความเพิ่มเติมในรูปภาพว่า “คำแนะนำที่ดีที่สุด: ‘เลิกดู TOP NEWS ดึงสติปัญญากลับมา”

โดยศาลเห็นว่า การที่จำเลยใช้ถ้อยคำที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจความหมายว่า ปลุกปั่น หมายถึง ยุยงให้แตกแยกกัน และพังพินาศ หมายถึง เสียหายย่อยยับ และระบุชื่อโจทก์ กรณีเป็นการทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นสื่อมวลชนที่ก่อความแตกแยกในสังคม หากผู้ใดรับชมสื่อของโจทก์จะทำให้ชีวิตไม่เจริญ ทำให้โจทก์ที่เป็นสื่อมวลชนซึ่งต้องพึ่งพาความสนใจ และไว้วางใจจากสาธารณชนได้รับความเสียหาย เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์สาธารณะ และตั้งค่าการเข้าถึงข้อความเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ กรณีจึงเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โดยการโฆษณา ในชั้นนี้ข้อเท็จจริงเป็นไปได้ว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา คดีจึงมีมูล

ดังนั้นคดีของโจทก์จึงมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยมาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 4 ธันวาคม 2566 เวลา 13.30 น.

‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ออกแถลงการณ์ คนละร้านกับ ‘ลูกไก่ทอง’ ไม่มีความเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ-การบริหาร ใดๆ ทั้งสิ้น

(1 ก.ย. 66) จากกรณีดรามา ‘ปังชา’ ของ ‘ร้านลูกไก่ทอง’ ที่นำมาสู่กระแสความสับสนของชาวเน็ตว่า ตกลงแล้ว ‘ร้านลูกไก่ทอง’ กับ ‘ร้านไก่ทอง’ เป็นร้านเดียวกันหรือไม่นั้น

ล่าสุด ‘ร้านไก่ทอง ออริจินัล’ ซึ่งมีชื่อคล้ายกัน ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันผ่านเฟซบุ๊ก ‘ไก่ทอง ออริจินัล - Kaithong Original’ ว่าเป็นคนละร้าน และไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยเหตุการณ์ดรามา ‘ปังชา’ หนนี้ สร้างผลกระทบต่อร้าน เพราะทำให้หลายท่านเกิดความสับสนและเข้าใจผิดอย่างมาก ว่า…

“เนื่องจากทางร้าน ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ได้รับทราบถึงเหตุการณ์และกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจประเภทเดียวกัน เรารู้สึกเห็นใจและเข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก 

ร้านของเราก็เป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน จากชื่อร้านที่มีความคล้ายคลึงกัน ทำให้หลายท่านเกิดความสับสนและเข้าใจผิด 

จึงขอประกาศชี้แจงให้ทราบว่า ร้าน ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ และ ร้าน ‘ลูกไก่ทอง’ ไม่ใช่ร้านเดียวกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ และการดำเนินการใด ๆ ทั้งทางธุรกิจ และการบริหาร ทั้งสิ้น

ทางผู้บริหารและพนักงาน ขอขอบคุณลูกค้า ที่ให้การสนับสนุน ร้านไก่ทอง ออริจินัล ด้วยดีเสมอมา ทางร้านยังมุ่งมั่นรักษามาตรฐานความอร่อย วัตถุดิบที่คงความออริจินัล ด้วยการคัดสรรอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความอร่อยตามกาลเวลาในแบบฉบับต้นตำรับมายาวนานกว่า 25 ปี”

สำหรับ ‘ร้านไก่ทอง ออริจินัล’ ปัจจุบัน มีทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาเมืองทองธานี / สาขาเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ / สาขาเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า / สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ และร้านในเครือ ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ประกอบไปด้วย The Dessert by Kaithong Original เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ และ ARUNN เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน   

‘หนูน้อย ป.1’ รีบหอบหนังสือมาอ่านให้คุณครูฟัง หลังรู้ข่าวว่าครูจะย้ายไปสอนที่อื่น ทำครูสาวน้ำตาซึม

สุดซึ้ง!! หนูน้อย ป.1 รีบหอบหนังสือมาอ่านให้ครูฟัง ก่อนครูจะย้ายไปสอนที่อื่น ทำคุณครูน้ำตาซึม ชาวเน็ตแสดงความคิดเห็น “นี่คือผลลัพธ์ของครูครับ”

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 ไวรัลคนดู 1.9 แสนครั้ง ผู้ใช้ Tiktok ชื่อ @w.landaaaaaaaaaaa ได้โพสต์คลิปเรื่องราวทำเอาคุณครูและชาวเน็ตน้ำตาซึม หลังจากที่หนูน้อยชั้น ป.1 เมื่อรู้ว่าคุณครูจะย้ายไปสอนที่โรงเรียนอื่น ได้รีบหอบหนังสือมาอ่านให้คุณครูฟัง โดยรายละเอียดระบุว่า…

“อยากอ่านหนังสือให้คุณครูฟังก่อนคุณครูจะไปอยู่ที่อื่น #มันคือความรู้สึก #ครูประถมศึกษา #ผมอยากอ่านหนังสือให้คุณครูฟังทุกวัน,คุณครูหญิงจะไปบรรจุโรงเรียนอื่นน้องเด็กป.1 อยากอ่านหนังสือให้คุณครูฟังก่อน”

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปมีชาวเน็ตเข้าชมคลิปแล้วกว่า 1.9 แสนครั้ง พร้อมแสดงความคิดเห็นระบุว่า “ตั้งแต่ดูมา คลิปนี้ทัชใจสุด อะไรจะดีไปมากกว่า ทำให้ครูดูว่าที่ผ่านมา ครูทำได้ดีแค่ไหนและนี่คือผลลัพธ์ ของครูครับ,เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากเลยค่ะ แสดงว่าเด็กๆ รักครูมากเลยค่ะ ขนาดครูจะไป รร. อื่นแล้ว ยังมาอ่านหนังสือให้ฟัง, ครูคือความหวังและเป็นพลังให้เด็กๆหลายต่อหลายคน คุณก็เคยผ่านความรู้สึกนี้มา, แล้ววันหนึ่งมันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด”

ชวนลองชิม อาหารอาข่าสูตรต้นตำรับจาก ‘ร้าน ME THAI’ รสชาติอร่อย ถึงเครื่อง ถึงใจ ตามแบบฉบับชาวอาข่าแท้ๆ

(31 ส.ค. 66) ชวนสัมผัส เมนูเด็ด อาหารอาข่า ‘ร้าน ME THAI’ รสชาติกลมกล่อม อร่อยล้ำ ชูเอกลักษณ์วัตถุดิบ พืชผักสมุนไพร ดีต่อสุขภาพผู้บริโภค

วันนี้ จะพาไปลิ้มรสอาหารกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า ‘ร้าน ME THAI’ บริหารรสชาติความนัวโดย ‘คุณกรรณิการ์ วุ้ยยื้อ’ สะใภ้กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า ซึ่งมีโอกาสได้สัมผัสคลุกคลีใกล้ชิดครอบครัวชาวอาข่ามากว่า 1 ทศวรรษ ซึ่งได้เล็งเห็นถึงประโยชน์อาหารพื้นถิ่นอาข่า จัดเป็นอาหารที่อร่อย แถมดีต่อสุขภาพ ผู้บริโภค

ก่อนจะปิ๊งไอเดีย เดินหน้าเปิด ร้านอาหารอาข่า ที่กรุงเทพฯ เพื่อให้คนเมืองได้รู้จักสัมผัสอาหารอาข่ากันมากขึ้น รวมถึงควบคู่กับการนำเสนอวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอาข่า ผ่านอาหารอาข่า ชื่อเมนู ‘ห่อจาจามะ’ ภาษาอาข่าแปลว่า “กินข้าวด้วยกัน”

คุณกรรณิการ์ วุ้ยยื้อ สะใภ้อาข่าที่คลุกคลีกับครอบครัวอาข่ามากว่า 10 ปี เล่าว่า ทุกครั้งที่ได้ไปบ้านสามีที่บ้านดอยช้าง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จะเจริญอาหารเป็นพิเศษ เพราะอาหารอาข่าเป็นอาหารที่รสจัดจ้านถูกปากและดีต่อสุขภาพ

จึงมีไอเดียมาเปิดร้านอาหารอาข่าในกรุงเทพฯ ที่ร้าน ME THAI สาขาพระราม 9 ซอย 41 เดิมเป็นร้านกาแฟที่เธอและสามีทำร่วมกัน โดยกาแฟที่ใช้ก็เป็นกาแฟปลูกเองและทำเองทุกขั้นตอนจากสวนที่บ้าน

เมื่อตั้งใจจะทำอาหาร จึงได้ไปเรียนรู้วิธีการทำอาหารอาข่า และศึกษาเรื่องราวของอาหารอาข่ามาเป็นอย่างดี การทำอาหารของกรรณิการ์ จะรักษาแก่นหลักของอาหารอาข่าไว้อย่างครบถ้วนนั่นคือการใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นและการปรุงแบบเรียบง่าย หลายเมนูสามารถสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนอาข่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดคือต้องเป็นการทานอาหารร่วมกันหลายๆ คน

‘ห่อจาจามะ’ จะเป็นการรับประทานอาหารอาข่าแบบดั้งเดิม ที่นำวัตถุดิบพื้นถิ่นตามฤดูกาลที่ปลูกไว้ทานในครัวเรือนมาปรุงอาหาร ประกอบด้วย รากหอมชู ผักเริญ ผักแฉกู่ ที่สำคัญยังมี “ถั่วเน่า” ฝีมือคุณแม่ ที่เป็นสูตรเฉพาะของที่บ้านอีกด้วย

สำหรับอาหารอาข่า จะเป็นอาหารที่ผ่านการปรุงแบบง่ายๆ ด้วยการ ต้มหรือผัด รวมถึงอาหารที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารแบบดั้งเดิม เช่น ผักดอง ถั่วเน่า และ หมูรมเตาฟืน รวมถึงขั้นตอนการปรุง จะไม่ใช้น้ำปลา มะนาว น้ำตาล แต่จะใช้รสชาติเปรี้ยวหวานจากผักที่นำมาปรุงอาหาร และจะใช้พริกกับเกลือเป็นเครื่องปรุงหลักเท่านั้น

อาหารอาข่า เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่อง เผ็ดร้อน เพราะเน้นเรื่องสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย โดยรสชาติเผ็ดร้อน จะได้จากพืชผักสมุนไพรต่างๆ เช่น ลาบคั่ว ที่จะมีรสชาติแตกต่างจากลาบเหนือและลาบอีสาน แต่จะมีรสชาติ กลิ่นเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์จากวัตถุดิบ รากหอมชู พืชผักสมุนไพรต่างๆ

คุณกรรณิการณ์ บอกว่า ส่วนเมนูที่อยากแนะนำอีกหนึ่งจานคือ “น้ำพริกแมคคาเดเมีย” ซึ่งแมคคาเดเมีย คือพืชชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสวนที่ทุกบ้านปลูก โดยน้ำพริกแมคคาเดเมียมีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงความหอมมันของแมคคาเดเมีย

บวกกับความหวานอมเปรี้ยวของมะเขือส้ม หรือมะเขือเทศสีดา ผสานความเผ็ดจาก พริก กระเทียม หอมแดง จึงทำให้ได้น้ำพริกมีรสชาติที่อร่อยลงตัวไม่เลี่ยน เมื่อกินกับผักแนม พร้อมข้าวสวยร้อนๆ รับรอง แซ่บอร่อยสุดๆ

วิธีการทำ ไม่ยาก นำแมคคาเดเมีย พริก กระเทียม และหอมแดง มาคั่วให้หอม จากนั้นนำลงไปตำในครก แล้วนำมะเขือส้มที่ต้มแล้วมาตำรวมกัน ต่อจากนั้นปรุงรสด้วยเกลือเพียงเท่านี้ก็จะได้ “น้ำพริกแมคคาเดเมีย” แสนอร่อย

นอกจากนี้ ยังอยากแนะนำเมนู ลาบคั่ว รับประกันไม่เหมือน ลาบเหนือและลาบอีสาน แต่จะมีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ จากตัวรากหอมชู และพืชผักสมุนไพรต่างๆ เมื่อทานแล้วจะได้รสชาติที่กลมกล่อมเค็มนิดๆ เผ็ดร้อนหน่อยๆ การันตีอร่อยแบบลงตัว

คุณกรรณิการ์ เล่าเพิ่มเติมว่า คนที่ได้มาลองทานอาหารอาข่ามักจะถูกใจแม้รสชาติจะแปลกไปจากอาหารที่เคยทาน แต่ก็เป็นความแปลกที่รู้สึกชอบ โดยเมนูที่ถูกใจหลายคนเป็นพิเศษคือ น้ำพริกแมคคาเดเมีย และลาบคั่วดอย ซึ่งก็ดีใจมากที่มีคนเปิดใจให้กับอาหารอาข่า

หลายคนมาทานซ้ำอยู่หลายครั้ง บางคนพาเพื่อนๆ หรือครอบครัวมาทานด้วย ความตั้งใจในอนาคตก็อยากทำให้คนทั่วไปได้รู้จักคนอาข่า และอาหารอาข่ามากเรื่อยๆ เหมือนกับเธอที่หลงรักในรสชาติอาหารและวิถีชีวิตของชาวอาข่าอย่างน่าอัศจรรย์

ผู้สนใจมาร่วม ‘ห่อจาจามะ’ สามารโทรจองล่วงหน้า 1 วัน ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 082-156-2945 โดยจะรับเป็นโต๊ะกรุ๊ปละ 4 – 10 ท่าน เพื่อให้ทุกท่านได้รับประทานอาหารที่หลากหลายเมนู อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันเหมือนอย่างคำว่า “ห่อจาจามะ” พร้อมฟังเรื่องราวความที่มาของวัตถุดิบ และการแนะนำเมนูอาหารจากเจ้าของร้านที่น่าสนใจ

ร้าน ME THAI อยู่ที่ ถนนพระราม 9 ซอย 41 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร สนใจติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ 082-156-2945 หรือติดตาม เพจ FB : ME THAI และ IG : methai_official

‘ไผ่ทองไอสครีม’ เผยภาพเมนูเด็ด ‘หนมปังชาไผ่ทอง’ ชี้!! ขายขนมปังคู่ไอศกรีมเจ้าแรก แต่ไม่สงวนสิทธิ์ความอร่อย

(31 ส.ค. 66) เพจ ‘ไผ่ทองไอสครีม’ โพสต์ข้อความระบุว่า “ไผ่ทองไอสครีมต้นตำรับ เป็นเจ้าแรกที่นำขนมปังมาทานคู่กับ ไอศกรีมจนเป็นซิกเนเจอร์ของไอศกรีมสตรีทฟู้ด

ผ่านมาหลายสิบปี มีร้านไอติมร้านคาเฟ่มากมายที่พัฒนาดัดแปลงขนมปังแพ มาเป็นขนมปังแถว ขนมปังปอนด์ ขนมปังโทสต์ ต่อยอดความอร่อยกันมาเรื่อย ๆ

ไผ่ทองไอสครีม เราภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมอาหารสตรีทฟู้ดของไทย และไม่สงวนสิทธิความอร่อยนี้ไว้ เพราะเราอยากให้คนไทยได้ทานของอร่อย ๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้”

และว่า “ในส่วนที่เราสงวนสิทธิคือ #โลโก้ไผ่ทองไอสครีมต้นตำรับ อันนี้ห้ามนำไปใช้โดยการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำไปใช้โดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากทางแบรนด์นะคะ”

ทั้งยังระบุด้วยว่า “เราเป็นไอติมนะ อย่าฟ้องเรานะ” “บอกเลย แบรนด์ไผ่ทองไอสครีม เจอเรื่องโดนลอกเลียนแบบเยอะมากกก… แต่ไม่ค่อยได้ไปฟ้อง เหนื่อยค่ะ แบ่ง ๆ กันรวยดีกว่า”

ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีผู้เข้าไปชื่นชมและแสดงความเห็นจำนวนมาก เช่น

- เยี่ยมมากครับแบบนี้น่าอุดหนุนมาก ๆ ครับ
- ไผ่ทองน่ารัก อร่อยมาก เจอที่ไหน ถึงกับต้องจอดรถ เพื่อกิน ไผ่ทองเท่านั้น!!!
- นาน ๆ จะเห็นผ่านหน้าบ้านที อร่อยชอบมากค่ะ
- อันนี้เมนูไอติม หรือเมนูปั่นครับ
- ขนมปัง+ชาไทย แต่อยากเรียกสั้น ๆ
- แอดมาเหนือตลอด ชอบ ๆ ครับ
- ชอบมากกกกกกก
- ไอติมในดวงใจ

ผบ.ตร.บินด่วนลงใต้ เยี่ยมให้กำลังใจลูกน้อง พร้อมเยียวยาครอบครัว ตำรวจกล้ายะรัง สั่งดูแลสิทธิประโยชน์เต็มที่ หลังถูกคนร้ายยิงถล่ม เร่งรับตัวตำรวจบาดเจ็บเข้ารักษาที่ รพ.ตร. พร้อมติดตามคนร้ายเร่งด่วน กำชับ SOP ยุทธวิธีในการทำงาน พร้อมดูแลขวัญกำลังใจตำรวจชายแ

วันที่ (31 สิงหาคม 2566) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9  , พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี  เดินทางลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต และเยี่ยมผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.66 เวลา 22.50 น. ในขณะที่ตำรวจสภ.ยะรัง พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง (อส.) ออกลาดตระเวนพื้นที่รับผิดชอบ  มาถึงบริเวณหน้า สำนักงานเทศบาลตำบลยะรัง ม.3 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จว.ปัตตานี ได้ถูกคนร้ายใช้ปืนยิงถล่มใส่เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้ตำรวจเสียชีวิตจำนวน 2 ราย  คือ ด.ต.ตุแวเลาะ ลอมะ และ ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเร๊ะ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะรัง อาสาสมัคร 2 ราย และมีตำรวจบาดเจ็บ 5 ราย  คือ ส.ต.ต.ธนทัต โชคมาก ส.ต.ต.อิสมาเอ็น จิตหลัง  ส.ต.ท.ศราวุฒิ สูสัน ส.ต.ท.ธวัช เส็นฤทธิ์ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะลัง  และพ.ต.ท.ณรงค์ แสนเกื้อ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ยะรัง 

ภายหลัง ผบ.ตร.และคณะได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ พร้อมมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือให้แก่ครอบครัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อส. ที่เสียชีวิต ผู้รับบาดเจ็บ รวมถึงเยี่ยมเด็กที่โดนสะเก็ดระเบิด ณ โรงพยาบาลปัตตานี พร้อมกล่าวกับญาติยืนยันตำรวจรับปากจะดูแลสิทธิประโยชน์ทุกอย่างเต็มที่ รวมทั้งการบรรจุทายาทเข้ารับราชการตำรวจ 

ผบ.ตร.ได้มอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือตำรวจที่เสียชีวิตรายละ 50,000 บาท บาดเจ็บสาหัสรายละ 20,000 บาท บาดเจ็บรายละ 10,000 บาท ส่วนอาสาที่เสียชีวิตรายละ 20,000 บาท และมอบให้ ภ.จว.ปัตตานี เพื่อใช้ดำเนินการดูแลตำรวจรวมยอดประมาณ 300,000 บาท 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ยังได้มอบเงินส่วนตัวช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งด้วย 

สำหรับ ส.ต.ท.ธวัช เส็นฤทธิ์ ที่บาดเจ็บสาหัส สะเก็ดระเบิดเข้าตา ผบ.ตร. ได้นำตัวขึ้นเครื่องมารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ยังได้สั่งดูแลสิทธิประโยชน์เต็มที่ กรณีตำรวจเสียชีวิต สั่งการให้เสนอปูนบำเหน็จความดีความชอบตอบแทนเป็นกรณีพิเศษให้ ด.ต.ตุแวเลาะฯ และ ส.ต.ท.บุญกีนีฯ โดยขอเลื่อนเงินเดือนให้ 8 ขั้น การช่วยเหลือบรรจุทายาท รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือดูแลในส่วนของสิทธิประโยชน์อื่นๆ ทั้งของผู้เสียชีวิตและครอบครัว ด.ต.ตุแวเลาะฯ จำนวน  3,426,820 บาท และ ส.ต.ท.บุญกีนีฯ 2,431,990 บาท ส่วนตำรวจบาดเจ็บที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ 40,000- 281,000 บาท ตามอาการ 
     
ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ , พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ เดินทางไปประชุมติดตามความคืบหน้าและเร่งรัดคดี โดย มี พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9   ตร. ,พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.กฤษดา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.สมกูล กาญจนอุดมการณ์ ผบก.ตชด.ภ.4 ,พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู ผบก.ศพฐ.10  ,พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา ,พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.สส.จชต., พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา ,พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ,พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าร่วม ณ ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี อ.เมืองปัตตานี จว.ปัตตานี
     
ผบ.ตร.กล่าวว่า “ขอแสดงความอาลัย และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ด.ต.ตุแวเลาะ ลอมะ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี และ ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเร๊ะ ผบ.หมู่ (ป ) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี ที่สละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ขอสดุดีตำรวจกล้าทุกนาย ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อรักษาสันติสุขในพื้นที่ภาคใต้  ขณะที่ข้าราชการตำรวจอีก 5 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บ และได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการปฏิบัติหน้าที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าไปดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตั้งแต่ 40,000 – 281,000 บาท ตามอาการของแต่ละราย 

ส่วนทางคดี เบื้องต้น มีความคืบหน้าไปมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบกลุ่มผู้กระทำในเบื้องต้นแล้ว เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัว ทั้งนี้ ได้กำชับเร่งรัดติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด สืบสวนขยายผลดำเนินการทุกมิติ รวมทั้งหาวิธีการในการปฏิบัติที่จะป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้มีความพร้อมในทุกๆเรื่อง วางแนวทางการปฏิบัติ กำหนด SOP ยุทธวิธีในการทำงาน ให้เกิดความปลอดภัย ผู้บังคับบัญชาต้องนำไปลงรายละเอียด คิดแทนลูกน้องว่าจะดำเนินการอย่างไร รวมทั้งการถอดบทเรียนที่เกิดขึ้น มาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น นำมาวิเคราะห์ ปรับแผนทางยุทธวิธี รวมทั้งสอบถามวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ให้จัดลำดับความสำคัญเตรียมทำแผนในการของบประมาณ เช่น ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์ป้องกันตัว โดยคำนึงถึงชีวิตข้าราชการตำรวจเป็นอันดับแรก รวมทั้งคิดระบบเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเน้นย้ำกำลังพลปฏิบัติตามหลักยุทธวิธี ให้เกิดความปลอดภัยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ตร.พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์ และขอส่งกำลังใจให้ตำรวจผู้ปฏิบัติชายแดนใต้ทุกราย”

DSI และผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกันแจ้งเตือนภัย หลังพบ 73 เพจปลอมหลอกให้ลงทุน

เมื่อวันที่ 30  สิงหาคม 2566 พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พร้อมคณะ เข้าพบคณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบด้วย นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ/ประธานคณะกรรมการบริหารและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจักก์ชัย พานิชพัฒน์ รองประธานกรรมการ/กรรมการบริหาร/ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี นายวิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคนิควิศวกรรม นายมานะชัย ขาวประพันธ์ ผู้จัดการอาวุโสสายงานเลขานุการบริษัทและกฎหมาย และนายเขมพัฒน์ เจริญพานิช ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย ที่อาคารกรมดิษฐ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือแนวทาง
ในการแก้ไขปัญหา กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการปลอม Facebook ด้วยการใช้ชื่อบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 73 เพจ เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนทั่วไปร่วมลงทุนกับบริษัทผ่านกองทุนต่าง ๆ ในการขยายกิจการและดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยเสนอให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อและร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก

ในการหารือ คณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแนวทางประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางในการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อแจ้งเตือนประชาชนร่วมกัน นอกจากนั้นคณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังมีความสนใจแนวทางการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันอาชญากรรมที่เกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ของกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ โดยการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีลักษณะเป็นปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสืบค้นข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตมาวิเคราะห์และจัดทำฐานข้อมูลเพื่อเตือนภัยประชาชน อันเป็นมาตรการป้องกันการกระทำผิดที่มีประสิทธิภาพดีกว่าการปราบปรามที่กระทำเมื่อความเสียหาย
เกิดกับประชาชนแล้ว และทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีฐานข้อมูลของผู้กระทำความผิดที่จะสามารถใช้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงกาขยายความร่วมมือด้านการต่างประเทศที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีศักยภาพสนับสนุนการปฏิบัติ ทั้งนี้ ได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน (Working Group) เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง และมีตั้งกลุ่มไลน์สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานเพื่อใช้ในการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารรวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top