Friday, 3 May 2024
LITE

4 เมษายน ของทุกปี ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ พระราชทานให้วันนี้เป็น ’วันภาพยนตร์แห่งชาติ‘ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยร่วมตระหนักถึงคุณค่าของ 'ภาพยนตร์ไทย'

วันภาพยนตร์แห่งชาติตรงกับวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานขึ้น เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และคุณค่าของภาพยนตร์ไทย เพราะภาพยนตร์ถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมบ้านเราได้ดีที่สุด

สำหรับภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกคือเรื่อง 'นางสาวสุวรรณ' เข้าฉายเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาภาพยนตร์ออกมาเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งก็ได้มีงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ไทย ที่ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน จัดขึ้นมา เพื่อมอบรางวัลให้แก่ภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพ และเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ผลิต เช่น รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ รางวัลพระสุรัสวดี รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง และอื่น ๆ อีกหลายรางวัล

‘อาร์ต พศุตม์’ ชวน ‘ป้าปูนา’ มาขายของ พร้อมแบ่งพื้นให้ฟรี แถมจ่อยกรายได้ทั้งหมดให้ ลั่น!! เข้าใจหัวอกพ่อค้าแม่ค้า 

(3 เม.ย.67) หลัง ‘คุณป้าปูนา’ เจ้าของร้านอ่องปูนา ‘ปูนาฟ้าใส พระรามสอง’ เจ้าหนี้ที่ทวงเงินตลกดัง ‘จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม’ กลางห้างดังย่านบางใหญ่ ไปออกรายการโหนกระแสเผชิญหน้ากับ จั๊กกะบุ๋ม เมื่อวานนี้ ซึ่งทุกคนที่ได้ชมได้ฟังการตอบทั้งสองฝั่ง และคิดเห็นไปทางเดียวกัน คือ ถล่มด่าจั๊กกะบุ๋ม รัว ๆ ที่เป็นหนี้แล้วไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย รวมทั้งรู้สึกเห็นใจป้าปูนามาก ๆ ที่แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว จากลูกหนี้แบบนี้ สิ่งดีงามที่ตามมาจากเรื่องนี้ คือคนพร้อมใจกับยื่นมือให้ความช่วยเหลือป้ากันล้นหลาม หนึ่งในนั้นมีพระเอกกล้ามโตอย่าง ‘อาร์ต พศุตม์’ ได้โพสต์ข้อความชวนป้าปูนา มาขายของด้วยกัน ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @art_phasut98 โดยระบุว่า…

“คุณชายหมูกรอบทานคู่กับอ่องปูนา น่าจะอร่อยแน่ ๆ อยากชวนปูนาฟ้าใส มา X กับ คุณชายหมูกรอบ มาออกบูธด้วยกัน สนใจติดต่อมานะครับ พร้อมสนับสนุน” พร้อมใส่แคปชันใต้โพสต์ดังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เข้าใจหัวอกพ่อค้าแม่ค้าคับ อยากสนับสนุนคุณป้าปูนาคับ น่าจะอร่อย (ผมชอบกินอ่องปูอยู่แล้วด้วย) โทรไปหาป้าแล้ว คงกำลังยุ่งกับออเดอร์แน่ ๆ” ซึ่งก็มีเพื่อนดารานักแสดงและแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์สนับสนุนไอเดียของเจ้าตัวกันอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้ ทีมนักข่าว ได้ต่อสายตรงหา ‘อาร์ต พศุตม์’ เพื่อสอบถามเรื่องนี้ โดย ‘อาร์ต พศุตม์’ เผยว่า “ตอนนี้ผมติดต่อป้าได้แล้ว ป้าบอกพรุ่งนี้จะมาที่บูธของผม เวลาราว ๆ ประมาณ 4 โมงเย็น ปกติเวลาไปออกบูธขายของด้วยความที่เขาไม่ได้มีชื่อเสียง คนอาจจะสนใจเขาน้อย แต่ผมมีชื่อเสียงและมาขายของที่บูธทุกวัน ผมจะแบ่งพื้นที่ในบูธของผมให้ป้าส่วนหนึ่ง ให้ป้าขายข้าง ๆ กัน ผมก็จะช่วยยืนขายอยู่ข้าง ๆ แล้วเอารายได้ให้ป้าทั้งหมด ผมไม่เอาสักบาท เขาเจอเรื่องร้าย ๆ มา แต่พอเขาไปออกรายการมา เหมือนเขาได้เงินมากู้ทุกอย่างที่เขาเป็นหนี้แล้ว เชื่อว่าเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว ใครจะให้ตังค์เขา เขาไม่เอา ถ้าเอาตังค์ เขาต้องผลิตของให้ ไม่เอาเงินเฉย ๆ ถ้าใครไม่เอาของ ป้าก็จะเอาไปบริจาคหรือให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาทัชใจผมตรงนี้ สมัยนี้การขายของอาศัยดารามาเก็ตติ้ง ป้าเขาอาจจะอยากใช้ตรงนี้เพื่อเพิ่มรายได้ของให้สินค้า ผมขอพูดกลาง ๆ ในเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นดารามาออกบูธขายของว่าก่อนจะตกลงทำธุรกิจกับใคร ให้ดูประวัติเบื้องลึกของเขาก่อน และตกลงรายละเอียดกันให้ดี ผมเองก็ใจดีและพลาดโดนเอาเปรียบไปเยอะ เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง และสำคัญเลยคืออย่าโลภ ถ้าใครที่หาผลประโยชน์ เขาจะเอาผลประโยชน์เขามาคุยกับเรา คนเรามันค่อนข้างดูกันยาก ให้ใช้เซนต์คุยกันเอา ดูในกูเกิ้ลแบล็กลิสต์ด้วยก็ได้ เดี๋ยวนี้มันมีขึ้นหมดแล้ว ส่วนคิวออกบูธร้านคุณชายหมูกรอบยาวถึง ธ.ค. แล้ว ส่วนหน้าร้านให้ติดตามเพจ ขายตรงนั้นกำไรไม่เยอะ แต่น้อง ๆ ที่มาขายช่วย เขามีรายได้ ก็ขายเพื่อช่วยเหลือเขาครับ”

‘ชลบุรี’ เข้าตา!! จ่อถูกเปิดตัวเมืองใหม่ใน ‘มิชลิน ไกด์ไทย 2568’ ขยายฐานความอร่อย เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งภาคตะวันออก

(3 เม.ย. 67) มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย ประกาศขยายขอบเขตการจัดทำคู่มือฉบับประจำปี 2568 เข้าสู่ ‘ชลบุรี’ เมืองตากอากาศชายทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ส่งผลให้ ‘ชลบุรี’ เป็นจุดหมายล่าสุดในการเข้าดำเนินการคัดสรรและจัดอันดับร้านอาหารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักชิมและนักท่องเที่ยวออกค้นหาประสบการณ์ด้านอาหารที่แปลกใหม่และแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งนี้ คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ฉบับประจำปี 2568 มีกำหนดเผยแพร่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ด้าน เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า “ชลบุรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพซึ่งมีทั้งชายหาดที่งดงาม วัดที่เงียบสงบ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น กิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ ไปจนถึงร้านอาหารและรถเข็นขายอาหารริมทาง และสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องอาหารทะเลสดใหม่ อาหารท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงบรรยากาศการทานอาหารริมชายหาด องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ชลบุรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิตชีวา ทีมผู้ตรวจสอบของ 'มิชลิน ไกด์' รู้สึกตื่นเต้นและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะออกสำรวจและคัดสรรร้านอาหารในพื้นที่นี้”

ชลบุรีเป็นจังหวัดริมฝั่งทะเลซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงประมาณ 80 กิโลเมตร จึงเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมที่ใกล้ที่สุดสำหรับคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการหลบหนีความวุ่นวายจากงานที่เคร่งเครียด รวมทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาไกลจากหลากหลายพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่ม นอกจากประเพณีท้องถิ่น อาหารประจำภูมิภาค และอาหารทะเลสดใหม่แล้ว ชลบุรียังเป็นสวรรค์ของคนรักชายหาดโดยมีจุดท่องเที่ยวสำคัญอย่างบางแสน พัทยา และเกาะล้าน

ด้าน ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทยว่า มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่อาหารไทยบนเวทีโลกและทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารชั้นนำระดับโลก จึงเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้น 5 ด้าน (5Fs) ได้แก่ อาหาร (Food), แฟชั่น (Fashion), ภาพยนตร์ (Film), มวยไทย (Fight) และเทศกาล (Festival) เพื่อยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดโลก

“ศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารที่โดดเด่นและหลากหลายเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์หรืออิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยือนประเทศไทย การที่ ‘มิชลิน ไกด์’ ในฐานะคู่มืออ้างอิงด้านอาหารที่ทรงอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลก เผยแพร่ความหลากหลายและความน่าสนใจของอาหารและบรรยากาศแวดล้อมด้านอาหารในประเทศไทย ถือเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยให้มีความหมายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าการขยายขอบเขตจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ไปยังจังหวัดชลบุรี จะส่งผลดีหลายด้าน...ทั้งต่อตัวจังหวัดเองและต่อประเทศ อาทิ เพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับธุรกิจร้านอาหาร, ส่งเสริมวัตถุดิบในท้องถิ่น, สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน, กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความเป็นเลิศทั้งด้านคุณภาพอาหารและการบริการ โดยชูแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม” คุณฐาปนีย์ สรุปปิดท้าย

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ที่: guide.michelin.com/th/th หรือติดตามข่าวสารล่าสุดของ ‘มิชลิน ไกด์ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ตและพังงา 2565’ ได้ทางเฟซบุ๊ค: facebook.com/MichelinGuideThailand และ facebook.com/MichelinGuideAsia

3 เมษายน พ.ศ. 2565 ‘ในหลวง ร.10’ เสด็จฯ เปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ฯ จ.กาญจนบุรี บรรเทาความเดือดร้อนคนไทยที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ตามพระราชดำริ ‘ในหลวง ร.9’

จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ประกอบกับมีการขยายตัวของชุมชน ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำอุปโภคบริโภคมากขึ้น ระบบประปาที่มีอยู่เดิมไม่สามารถจ่ายน้ำได้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ รวมถึงแหล่งน้ำจากผิวดินซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลทำให้ราษฎรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแนวพระราชดำริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง ระยะแรก 15 โครงการ ครอบคลุม 11 จังหวัด ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรที่ประสบปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคได้ตลอดทั้งปี โดยมีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ พิจารณาพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งและขาดแคลนน้ำ ไม่มีศักยภาพในการเจาะบ่อน้ำบาดาล จำเป็นต้องทำการเจาะบ่อน้ำบาดาลขนาดใหญ่ พร้อมกับก่อสร้างระบบประปาบาดาลในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อน โดยจัดทำโครงการต้นแบบ จำนวน 2 พื้นที่ คือ โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลดงเค็ง อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น และโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จ ฯ ไปทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับ ‘โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง’ เพิ่มเติม ระยะที่ 2 จำนวน 18 โครงการ ครอบคลุม 10 จังหวัด และระยะที่ 3 จำนวน 14 โครงการ ครอบคลุม 14 จังหวัด รวมจำนวนทั้งสิ้น 47 โครงการ ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้น้อมนำพระบรมราโชบายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร ไปดำเนินโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

‘ชาวต่างชาติ’ ติดใจ!! ‘สายฉีดก้น’ ของไทย พร้อมยกให้เป็นที่หนึ่ง แถมกลับประเทศปุ๊บ รีบติดตั้งทันที ท่ามกลางชาวเน็ตแห่แนะนำวิธีใช้

(2 เม.ย.67) เรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งนวัตกรรมห้องน้ำ สำหรับ ‘สายฉีดชำระ’ ที่คนไทยนิยมใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งสำหรับชาวไทยแล้วอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับชาวต่างชาตินั้นอาจจะไม่ใช่ เพราะคุ้นชินกับการใช้ทิชชูมากกว่า

ยกตัวอย่างจากผู้ใช้เรดดิทคนนี้ ที่ได้รีวิวสายฉีดชำระของไทย บอกเลยว่าเขาติดใจมาก ถึงขั้นกลับประเทศปุ๊บ ก็ติดตั้งสายฉีดชำระทันที นอกจากนี้ ยังเอ่ยชมไม่หยุดว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยสัมผัสในไทย

“พอกลับจากเมืองไทย ทิชชูมันก็เหมือนกับกระดาษทรายเลย มาอยู่ที่นี่ ฉันให้ความสำคัญกับการติดตั้งสายฉีด เพราะมันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเคยสัมผัสตอนอยู่ไทย ฉันคิดถึงมันจริง ๆ ห้องน้ำ (ไทย) เกือบทุกที่มีสายฉีดนี้ พอเทียบกับที่นี่แล้วมันไม่มีเลย”

เรียกได้ว่ากระทู้เรดดิทครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก ชาวต่างชาติหลายคนต่างเห็นด้วยกับสิ่งนี้ พร้อมยกว่าสายฉีดชำระนั้นดีกว่ากระดาษทิชชูเป็นไหน ๆ

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตบางส่วนได้แนะว่า การใช้สายฉีดชำระต้องระวังให้ดี เพราะบางครั้งน้ำก็พุ่งแรงเกินไป ยิ่งใช้ในหน้าร้อนแล้วนั้น จากประสบการณ์สุดฟิน อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดได้เช่นกัน

๒ เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มการศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาทรงสำเร็จการศึกษาและได้รับปริญญามหาบัณฑิตจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระปรีชาสามารถในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย พระองค์ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม และให้การอุปถัมภ์ในด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า ‘เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย’ และ ‘วิศิษฏศิลปิน’ ซึ่งต่อมา คณะรัฐมนตรียังมีมติให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็น ‘วันอนุรักษ์มรดกของชาติ’ เพื่อเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการอนุรักษ์มรดกของชาติในสาขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริส่วนพระองค์หลายหลากโครงการ อาทิ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2523 ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะขยายออกไปยัง 44 จังหวัดในพื้นที่ทุรกันดาร

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น ในวาระวันคล้ายวันพระราชสมภพ ประชาชนชาวไทยจึงขอน้อมถวายพระพร ขอทรงมีพลานามัยแข็งแรงยิ่งยืนนาน ทรงพระเจริญ

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567

📌รางวัลที่ 1 : 803481
📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว : 90
📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว : 122 , 809
📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว : 559 , 947
📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 803480 , 803482
 
📌รางวัลที่ 2 : 907492 , 835772 , 067061 , 538699 , 007558
 
📌รางวัลที่ 3 : 381276 , 851206 , 996526 , 709667 , 242784  
848355 , 894038 , 242227 , 950406 , 606987  

📌รางวัลที่ 4: 966683 , 317178 , 703400 , 497986 , 824960  
098288 , 563022 , 536203 , 257965, 140765  
727711 , 993776 , 681369 , 232022 , 706750  
428044 , 656650 , 987777 , 744487 , 119156  
469451 , 604221 , 018965 , 489817 , 628637  
659412 , 513767 , 198864 , 007438 , 251486  
296519 , 561189 , 609946 , 043174 , 716289  
298199 , 113573 , 637017 , 583983 , 495395  
786846 , 983847 , 085992 , 448975 , 117164  
432258 , 142436 , 207231 , 126515 , 628028  

📌รางวัลที่ 5: 569209 , 950123 , 448930 , 124075 , 454736  
902940 , 860794 , 383374 , 620277 , 197770  
136965 , 346850 , 693658 , 969410 , 444341  
657386 , 254077 , 660840 , 559366 , 790587  
807097 , 618464 , 957599 , 481752 , 049995  
071077 , 266895 , 030651 , 731380 , 247024  
138019 , 431669 , 904472 , 825033 , 009510  
343526 , 270061 , 246067 , 557468 , 431882  
977076 , 638147 , 299275 , 735524 , 350356  
815118 , 548896 , 108756 , 092432 , 886369  
446933 , 055465 , 314059 , 337627 , 304267  
174839 , 218821 , 288394 , 728738 , 516433  
993272 , 591279 , 054969 , 039746 , 345065  
861285 , 110887 , 017029 , 134947 , 255946  
954691 , 032408 , 442182 , 287751 , 005149  
349559 , 063298 , 474572 , 734763 , 186133  
867535 , 323717 , 663977 , 763105 , 190484  
190914 , 604460 , 845091 , 821216 , 430409  
751191 , 077852 , 066456 , 592785 , 258560  
219484 , 944425 , 932440 , 912914 , 368343

‘พราวฟ้า-เสี่ยโบ๊ท’ แจ้งข่าวเศร้า ‘ลูกน้อย’ ในท้องไม่อยู่แล้ว เผย เข้าใจโชคชะตา-พยายามยิ้มสู้ ท่ามกลางแฟนคลับแห่ส่งกำลังใจ

เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.67) ‘พราวฟ้า’ การัญชิดา คุ้มสุวรรณ นักแสดงสาวชื่อดัง และ ‘เสี่ยโบ๊ท’ ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์หนุ่มจากค่ายมวยเพชรยินดี โพสต์อินสตาแกรมแจ้งข่าวเศร้า สูญเสียสมาชิกตัวน้อยในท้อง หลังเพิ่งประกาศข่าวดีได้ไม่นาน

โดยก่อนหน้านี้ ‘พราวฟ้า’ ควง ‘เสี่ยโบ๊ท’ แจ้งข่าวดีแก่แฟน ๆ ว่ากำลังตั้งครรภ์ต้อนรับปีมังกรทองในโซเชียลมีเดียส่วนตัว อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา จากข่าวดีดังกล่าวต้องกลายเป็นข่าวเศร้า

"ผ่านเวลามาพอสมควรที่จิตใจของพราวและพี่โบ๊ทเข้มแข็งพอที่จะบอกให้ทุกคนรับทราบว่า ลูกของเรา ไม่อยู่แล้วนะคะ" พราวฟ้า เริ่มกล่าว

"แน่นอนว่าเป็นเรื่องราว และช่วงเวลาที่ยากลำบากของเราสองคนมากที่สุด และพยายามยิ้มสู้กับโชคชะตาอย่างสุดความสามารถ ดังนั้นหากใครได้เดินผ่านเราสองคน ฝากส่งยิ้ม ให้กำลังใจเรานะคะ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เห็นน้ำตาของใครอีก เราสองคนจะรักษาร่างกาย จิตใจ ให้เข้มแข็งมากขึ้นในเร็ววัน เพื่อที่จะมีข่าวดีอีกครั้งค่ะ"

"อย่างไรก็ตาม ขอบคุณจากใจจริง ถึงพี่ ๆ แม่ ๆ ที่ส่งความห่วงใยมาให้พราวทุกช่องทาง รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่รับรู้ว่าพราวมีเบบี๋ หัวใจพราวฟูทุกครั้งที่ได้รับพลังงานดี ๆ เหล่านี้ค่ะ"

"สุดท้ายอยากบอกกับลูกว่า ขอบคุณที่ทำให้แม่มีความสุข ทุกครั้งที่แม่หายใจแล้วมีหนูอยู่ด้วย เป็นอะไรที่พิเศษมาก ๆ ขอบคุณ…ที่มอบบทเรียนให้แม่ ในช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุด แม่ได้เห็นถึงคนที่รักแม่จริง ๆ ครั้งหน้ากลับมา ไม่ต้องกลับไปเอาของเล่นแล้วนะครับ ขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรง แม่อยากเห็นหน้าหนูเร็ว ๆ จัง รักลูกที่สุดครับ ดวงใจแม่" นักแสดงสาวชื่อดัง ทิ้งท้าย

หลังมีการประกาศข่าวเศร้าออกไปก็มีบุคคลในวงการบันเทิง วงการมวย รวมไปถึงแฟนคลับเข้ามาคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้ทั้งสองคนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้

‘ศรีริต้า’ ระดมทุน 100 ล้านบาท ช่วยมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก หวังปรับปรุงหอผู้ป่วยเด็กไอซียู - จัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย

เมื่อวาน (31 มี.ค. 67) เรียกว่าหล่อ สวย รวย เก่ง แถมยังเป็นสายบุญทั้งครอบครัวอีกต่างหสก สำหรับครอบครัวของ ‘ศรีริต้า เจนเซ่น’ และสามีนักธุรกิจ ‘กรณ์ ณรงค์เดช’ ล่าสุดทั้งคู่แท็กทีมหลานชาย หลานสาวทำบุญ ด้วยการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยให้กับโรงพยาบาลเด็ก ในโครงการช่วยน้องให้มองเห็น และปาฏิหาริย์ต่อลมหายใจสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนด

โดย ‘ศรีริต้า’ ได้โพสต์ภาพครอบครัวพร้อมหลานสาว หลานชาย และเขียนข้อความระบุว่า "ขออนุโมทนากับทุกภาคส่วนนะคะ ริต้าในฐานะ Angel Ambassador ของมูลนิธิ เราระดมทุนได้ถึง 100 ล้านบาท ได้ปรับปรุงหอผู้ป่วยเด็ก ICU เป็นที่เรียบร้อยและจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยให้กับโรงพยาบาลเด็ก ในโครงการช่วยน้องให้มองเห็น และปาฏิหาริย์ต่อลมหายใจสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดค่ะ ภูมิใจกับ ภัทร พิมพ์ กวิณท์ ที่ลุกขึ้นมาทำโครงการของตัวเองเพื่อช่วยน้อง ๆ ที่ป่วยกับทางมูลนิธิด้วย อนุโมทนาค่ะ"

งานนี้ทำเอาแฟน ๆ แห่เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญ พร้อมทั้งชื่นชมครอบครัว ‘ณรงค์เดช’ กันยกใหญ่

‘ในหลวง ร.5’ ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘กระทรวงมหาดไทย’ พร้อมวางรากฐานให้หน่วยงานมุ่งมั่นในการ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ แก่ประชาชน

ครบรอบ 132 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนากระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และพระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย พร้อมทั้งได้ทรงปรับปรุงงานของกระทรวงมหาดไทยหลายประการ อาทิ การแก้ไขระเบียบการปฏิบัติงาน การจัดตั้งศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงจัดระเบียบการปกครอง ‘รูปแบบเทศาภิบาล’ และทรงวางรากฐานให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 132 ปี

ทั้งนี้ ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย หลัก ๆ มีดังนี้

>> ด้านการเมืองการปกครอง
รับผิดชอบเกี่ยวกับการอำนวยการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองทุกระดับ ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การปกครอง และการบริหาร หน่วยราชการส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และการรักษาความมั่นคงของชาติ

>> ด้านเศรษฐกิจ 
รับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งจะต้องประสานกับส่วนราชการต่าง ๆ ของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังรับผิดชอบการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร

>> ด้านสังคม
รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาเยาวชน และการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม

>> ด้านการพัฒนาทางกายภาพ
รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดชุมชนการจัดที่ดิน การให้บริการขั้นพื้นฐานในชนบท การจัดผังเมืองรวม ผังเมืองเฉพาะ และการให้บริการสาธารณูปโภคในเขตเมือง

‘เจ้านาย-เจ้าขุน’ เตรียมตบเท้า เข้ารับการตรวจเลือก  กองทัพ เผย ปีนี้ต้องการ ทหารเกณฑ์ 8.9 หมื่นนาย

(31 มี.ค.67) เข้าสู่ฤดูกาลตรวจเลือกทหารกองเกิน (ทหารเกณฑ์) เข้ารับราชทหารกองประจำการ ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 1-12 เมษายน 67 (เว้น 6 เม.ย.) โดยความต้องการของกองทัพในปีนี้ อยู่ที่ 8.9 หมื่นนาย ทำให้ชายไทยที่เข้าเกณฑ์ มีอายุครบ 21 ปี หรือนิสิตนักศึกษา หรือบุคคลที่จะขอผ่อนผันนั้น ต้องเดินทางไปติดต่อแสดงตนต่อคณะกรรมการตรวจเลือก

สำหรับปีนี้ ยังคงมีชายไทยซุปเปอร์สตาร์แวดวง นักแสดง นักร้อง นักกีฬา และลูกคนเด่น คนดัง นักการเมืองเข้าเกณฑ์เหมือนเดิม อาทิ ‘เจ้านาย’ จินเจษฎ์ วรรธนะสิน นักร้อง และ ‘เจ้าขุน’ จักรภัทร วรรธนะสิน นักร้อง ‘มีน’ นิชคุณ ขจรบริรักษ์ นักแสดง, ‘ภูมิ’ เกียรติภูมิ บันลือชัยฤทธิ์ นักแสดง, ‘โดนัท’ภัทรพลฒ์ เดชพงษ์วรานนท์ นักแสดง, ‘อาร์ตติส’ ธนากรณ์ ญาติกลาง นักร้อง, ‘ไรอัน’ กาจบัณฑิต จำปาศิลป์ นักร้องลูกทุ่ง, แทค พงศกร สุเกียง นักแสดง, ‘อชิ’ อชิรวัตติ์ มัสยวาณิช และ นายสราลัญ วัชรพล นายสรัญวุฐิ วัชรพล

31 มีนาคม พ.ศ. 2330 น้อมรำลึกวันคล้ายวันพระราชสมภพ ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระบิดาแห่ง 'การค้า-การพาณิชย์นาวีไทย-การแพทย์แผนไทย' แห่งสยาม

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเจ้าจอมมารดาเรียม พระองค์ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี และทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ครั้งดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กับเจ้าจอมมารดาเรียม (ธิดาพระยานนทบุรีศรีมหาอุทยาน)

เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถได้รับอุปราชาภิเษกขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในปี พ.ศ. 2349 พระองค์จึงมีพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าชายทับ ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ในปี พ.ศ. 2352 พระองค์ ได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าชั้นเอก ออกพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายทับ จนปี พ.ศ. 2356 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรม เป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยทรงได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ให้ทรงกำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรม พระตำรวจว่าความฎีกา นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการต่างพระเนตรพระกรรณด้วย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงกำกับราชการกรมท่า ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอันมาก สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงเรียกพระองค์ว่า ’เจ้าสัว‘

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัวเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวม พระชนมพรรษาได้ 64 พรรษา ดำรงอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เฉลิมพระปรมาภิไธยรัชกาลที่ 3 ใหม่ เป็น ‘พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐ มหาเจษฎาบดินทร สยามินทรวิโรดม บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ออกพระนามโดยย่อว่า ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระบรมราชโองการให้เฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า ‘พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาเจษฎาธิบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ หรือ ‘พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3’

ตลอดระยะเวลาที่รัชกาลที่ 3 ทรงครองราชสมบัติ ประมาณ 27 ปี ตั้งแต่ปี 2367-2394 พระองค์ทรงปกครองประเทศโดยทำนุบำรุงให้ชาติเข้มแข็งรุ่งเรือง โดยทรงมีส่วนร่วมกับขุนนางในการบริหารราชการ และทรงควบคุมกิจการบ้านเมืองด้วยพระองค์เองมาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และทรงเพิ่มพูนรายได้ของประเทศชาติอย่างหลากหลายวิธี อาทิ การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการเก็บภาษีอากรจากรูปของสินค้าและแรงงานเป็นการชำระด้วยเงินตรา รวมถึงมีการเก็บภาษีตั้งขึ้นใหม่ถึง 38 อย่าง เพื่อมิให้บังเกิดความขาดแคลนเหมือนเมื่อครั้งรัชกาลก่อน อีกทั้งยังได้เพิ่มงบประมาณการป้องกันประเทศ สร้างกองทัพเรือ ขุดคูคลอง สร้างป้อมปราการเพื่อรักษาปากน้ำจุดสำคัญ ๆ 

หรือจะเป็นด้านการค้ากับต่างประเทศ พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ทั้งกับชาวเอเชียและชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ากับจีนมาตั้งแต่เมื่อครั้งพระองค์ทรงดำรงพระอิสสริยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ส่งผลให้พระคลังสินค้ามีรายได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ มีการแต่งสำเภาทั้งของราชการ เจ้านาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพ่อค้าชาวจีนไปค้าขายยังเมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิดค้าขายกับมหาอำนาจตะวันตกจนมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกันคือ สนธิสัญญาเบอร์นี พ.ศ. 2369 และ 6 ปีต่อมาก็ได้เปิดสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและมีการทำสนธิสัญญาต่อกันใน พ.ศ. 2375 นับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐอเมริกาทำกับประเทศทางตะวันออก ส่งผลให้ไทยได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก และในขณะเดียวกันก็ทำนุบำรุงประเทศพร้อมกันไปด้วย

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ถวายพระราชสมัญญาว่า พระมหาเจษฎาราชเจ้า และได้ใช้เป็นสร้อยพระนามสืบมาจนปัจจุบัน ต่อมา พ.ศ. 2551 คณะรัฐมนตรีมีมติถวายพระราชสมัญญาว่า พระบิดาแห่งการค้าไทย พระบิดาแห่งการพาณิชย์นาวีไทย และในปี พ.ศ. 2558 ถวายพระราชสมัญญาว่า พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย

ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 31 มีนาคมของทุกปีเป็น วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า หรือ วันมหาเจษฎาบดินทร์ เป็นวันสำคัญของชาติ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ และเห็นชอบให้ให้ถวายพระราชสมัญญาว่า ‘พระมหาเจษฎาราชเจ้า’ แปลว่า ‘พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่’

‘ตั๊ก มยุรา’ สวยของแทร่!! ไม่พึ่งมีดหมอ ลงโพสต์ หน้าใสตอนวัย 40 ปี ขณะที่เป็นพิธีกร ‘แสบคูณสอง’

(30 มี.ค.67) สวยจริงโดยไม่พึ่งมีดหมอ สำหรับ ‘ตั๊ก มยุรา เศวตศิลา’ ตำนานสวย 2,000 ปีไม่เกินจริง ล่าสุดเจ้าตัวย้อนคลิปตัวเองเมื่อ ตอนอายุ 40 ปี ซึ่งสวยและดูหน้าเด็กมากๆ ขณะกำลังเป็นพิธีกรในรายการ ‘แสบคูณสอง’ ที่หลายคนต้องกราบกับความสวยแบบธรรมชาติของนางเอก-พิธีกรรุ่นใหญ่

โดยตั๊ก มยุราเผยแคปชันในอินสตาแกรม ระบุว่า “คุณอ้วน รีเทิร์น ได้กรุณาแชร์มาให้ @aun8 เมื่อครั้งยังเป็นพิธีกรวัยเอ๊าะ ฟาดไป 40 ขวบ นานนนนนนนจัดเลย”

'หลุยส์ วิตตอง' เผยโฉม 8 กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงสุดคูล ตอบโจทย์สาวยุคใหม่ 'หรู-เท่-ใช้งานง่าย' ใบเดียวจบ ไม่ต้องพกเยอะ

เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับกระเป๋าสตางค์ใบเล็กที่ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่อีกที แต่ทราบหรือไม่ว่า...ทุกวันนี้หลายคนก็เริ่มหันมาสนใจการใช้กระเป๋าสตางค์แบบสะพายข้างกันมากขึ้น เพราะไม่ต้องการพกข้าวของเยอะ และไม่อยากใช้กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ 

ยิ่งในยุคดิจิทัลที่มีการใช้จ่ายและพกบัตรออนไลน์กันมากขึ้น กระเป๋าสตางค์แบบแยกจึงยิ่งไม่ค่อยจำเป็น 

จากแนวโน้มดังกล่าว จึงกลายเป็นไอเดียสำคัญให้แบรนด์ 'หลุยส์ วิตตอง' ได้รวบรวมกระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิง สำหรับคนที่กำลังมองหากระเป๋าสตางค์พกง่าย ใบเดียวจบ ไม่ต้องพกเยอะ แถมยังหยิบสตางค์ใช้ง่าย ไม่ต้องงมหาให้วุ่นวาย

และนี่คือ 8 คอลเลกชัน ที่ 'หลุยส์ วิตตอง' จัดมาให้...

1.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Mini Bumbag

เริ่มกันที่ใบแรกที่มีชื่อรุ่นว่า Mini Bumbag ตัดเย็บจาก Monogram แคนวาส ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหลุยส์ วิตตอง มาพร้อมรูปทรงที่มีความน่าสนใจ กับสี่เหลี่ยมคางหมู เป็นกระเป๋าสตางค์ใบไม่เล็กมาก สามารถจุของได้มากกว่าการใส่สตางค์ รองรับการบรรจุโทรศัพท์มือถือ หูฟัง กุญแจรถ บัตรต่าง ๆ มาพร้อมสายสะพายที่มีให้ใช้งานถึง 2 สายด้วยกัน โดยสายหนึ่งเป็นสายหนังสีน้ำตาล ส่วนอีกสายเป็นสายโซ่สีทอง สะพายข้างก็ได้ หรือสะพายเฉียงก็ไม่ขัดสำหรับกระเป๋าใบนี้ 

2.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Nano Noé

ใบถัดมามีชื่อรุ่นว่า Nano Noé เป็นอีกหนึ่งดีไซน์ที่น่าสนใจ ใช้เป็นกระเป๋าสตางค์แบบสะพายข้างได้ เพราะใบไม่ใหญ่เกินไป ตัดเย็บจากผ้าแจ็คการ์ดลาย Monogram ดีไซน์รูปทรงเป็นแบบบักเก็ต มีเชือกรูดสำหรับเปิด-ปิดกระเป๋า บรรจุของได้พอสมควร ทั้งสตางค์ โทรศัพท์มือถือ หูฟัง บัตรต่าง ๆ สามารถสะพายข้างได้ด้วยสายหนังสีน้ำตาล มีสายโซ่สีทองหรูหราประดับที่ด้านหน้ากระเป๋า ใบนี้ออกแนวน่ารักเอาใจวัยรุ่น แมทซ์กับเสื้อผ้าง่าย ๆ ได้อย่างลงตัว 

3.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Ivy

กระเป๋าสตางค์ใบนี้มีชื่อรุ่นว่า Ivy ที่มาพร้อมสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบยาว สามารถใส่ธนบัตรแบบไม่ต้องพับได้ อีกทั้งยังสามารถบรรจุโทรศัพท์มือถือได้ด้วย ใบเล็กกะทัดรัดเหมาะสำหรับพกพาในชีวิตประจำวัน รุ่นนี้ผลิตจากผ้าแจ็คการ์ดลาย Monogram มาพร้อมสี Multicolor ยืนพื้นด้วยสีขาว รูปแบบเรียบง่ายไม่วุ่นวายด้วยดีไซน์ฝาปิด มีสายหนังให้สะพายข้างได้ และสายโซ่สีทองประดับเป็นลูกเล่นเพิ่มความหรูหรา

4.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Pochette Accessoires

กระเป๋าสตางค์อีกหนึ่งใบฝากไว้กับรุ่นที่มีชื่อว่า Pochette Accessoires ตัดเย็บจากวัสดุ Damier แคนวาส เป็นอีกหนึ่งใบที่มาพร้อมรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบยาว ที่รองรับกับการใส่ธนบัตรแบบไม่ต้องพับได้ และสามารถใส่โทรศัพท์มือถือได้ด้วย ดีไซน์กระเป๋าไม่หนาเกินไป พกพาง่าย สามารถสะพายข้างได้ด้วยสายสะพายที่ทำจากหนัง มีสายโซ่สีทองประดับที่ด้านหน้ากระเป๋า มาพร้อมช่องแบ่งกระเป๋าขนาดใหญ่ ช่องกระเป๋าแคนวาสมีซิปด้านใน ช่องกระเป๋าแบนเรียบด้านใน 2 ช่อง และช่องใส่บัตรอีก 2  ช่อง เป็นแบบซิปรูดเปิด-ปิดกระเป๋าที่ด้านบน ใช้งานสะดวก

5.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Félicie Pochette

ในส่วนของกระเป๋ารุ่นนี้ มีสายโซ่สีทองรองรับการถือ แต่สามารถสะพายข้างได้บางโอกาส เป็นการสะพายแบบสายสั้นพอกิ๊บเก๋ กับรุ่นที่มีชื่อว่า Félicie Pochette มาพร้อมวัสดุหนังสีน้ำเงิน Navy Blue เป็นหนังคาวไฮด์ลายเกรนเนื้อนุ่มประทับลาย Monogram Empreinte ภายในมีช่องต่างๆ รองรับการใส่สตางค์และบัตร ประกอบไปด้วยช่องใส่บัตร 8 ช่อง และยังมีกระเป๋าด้านใน 2 ใบ ที่สามารถแยกใช้งานได้ด้วย หากไม่ต้องการสะพายหรือไม่อยากใช้สายโซ่ก็ถอดออกได้ เพื่อใช้งานเป็นกระเป๋าเพาช์

6.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ รุ่น Métis

กระเป๋าสตางค์ที่ชื่อรุ่นว่า Métis มาพร้อมรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ตัดเย็บจาก    หนังคาวไฮด์ลายเกรนเนื้อนุ่มประทับลาย Monogram Empreinte ประดับด้วยตัวล็อคสีทองที่ด้านหน้ากระเป๋าแบบ S lock ที่มาพร้อมดีไซน์ฝาปิดทันสมัย ในส่วนของสายสะพายใบนี้เป็นสายโซ่สีทอง สามารถสะพายข้างได้อย่างเหมาะเจาะ ให้ความหรูหรากำลังดี ใช้ออกงานสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว

7.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ Pico Side Trunk

ใบถัดมาเป็นกระเป๋ารุ่นที่ชื่อว่า Pico Side Trunk ตัดเย็บจาก Monogram แคนวาสในตำนาน มาพร้อมรูปทรงคล้ายหีบขนาดเล็ก ดีไซน์ค่อนข้างโดดเด่นและแตกต่างจากกระเป๋าใบอื่น ๆ สามารถใช้งานแบบกระเป๋าสตางค์สะพายข้างได้ด้วยสายสะพายหนัง มาพร้อมขนาดกระเป๋าที่เล็กกะทัดรัด มีตัวล็อกสีทองแบบ S lock ที่ด้านหน้ากระเป๋า ตกแต่งมุมกระเป๋าโลหะแบบเดียวกันกับหีบในตำนานเมซง นอกจากสะพายข้างแล้ว ใบนี้ยังมีหูจับที่รองรับการเป็นกระเป๋าถืออีกด้วย  

8.กระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ Coussin

ใบสุดท้ายกับกระเป๋าที่มีชื่อรุ่นว่า Coussin เป็นอีกหนึ่งใบที่มาพร้อมขนาดกระทัดรัด ใช้เป็นกระเป๋าสตางค์ได้ รูปทรงใบนี้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ทำจากหนังแกะเนื้อนิ่มประทับลาย Monogram มีสีดำเป็นสีพื้นของกระเป๋า ความพิเศษคือสายโซ่ที่ประดับด้านหน้ากระเป๋า เป็นโซ่ขนาดใหญ่ แต่งลูกเล่นเหลือบสีที่จะเปลี่ยนเป็นเฉดสีน้ำเงินและสีชมพูงดงามตามแสงตกกระทบ พร้อมกันนั้นก็ยังมีสายโซ่ขนาดเล็กที่มีสีเหลือบเช่นเดียวกัน โดยเส้นนี้รองรับการสะพายข้างได้ด้วยความสูงแนวตั้ง 50 เซนติเมตร

ทั้งหมดนี้ก็เป็นกระเป๋าสตางค์สะพายข้างหญิงแบรนด์ หลุยส์ ที่มาพร้อมขนาดกะทัดรัด ใช้เป็นกระเป๋าสตางค์ที่สามารถใส่ของอย่างอื่นเล็กน้อยได้ และยังสะพายข้างได้ เพื่อการพกพาที่สะดวก ไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสะพายแยกอีกให้รุงรัง เหมาะกับคนที่ไม่ชอบพกกระเป๋าใบใหญ่เป็นอย่างดี

30 มีนาคม พ.ศ. 2565 ‘ในหลวง ร.10 - พระราชินี’ เสด็จฯ เปิดอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา รพ.ศิริราช ใช้รองรับผู้ป่วยนอกได้ 5 แสนราย/ปี พร้อมมีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยเทียบเท่าสากล

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงเปิดอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ณ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรุงเทพฯ

ครั้นเมื่อเสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดหาทุนอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ทรงเฝ้าฯ รับเสด็จ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เฝ้าฯ รับเสด็จ

จากนั้น พระองค์ทรงเสด็จฯ ไปถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก แล้วเสด็จฯ ไปยังศาลาศิริราช 100 ปี ถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบ ประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล และจากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ความว่า…

“ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภคทดแทนกลุ่มอาคาร 3 หลัง ได้แก่ อาคารหริศจันทร์-ปาวา ตึกผะอบนพ สุภัทรา ระเบียบ และอาคารเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม”

“ซึ่งมีอายุการใช้งานมานานกว่า 50 ปี เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อให้โรงพยาบาลศิริราชมีอาคารแพทย์ที่ให้บริการเฉพาะทางอย่างครบวงจร เพื่อเป็นการเพิ่มพูนคุณภาพและประสิทธิภาพด้านบริการ”

“การนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา มีความหมายว่าอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงเป็นใหญ่ รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา”

“อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา สูง 25 ชั้นมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น แบ่งการใช้งานพื้นที่ตามลักษณะงาน ประกอบด้วย งานบริการผู้ป่วยนอก งานบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจพิเศษต่าง ๆ รองรับผู้ป่วยนอกได้ประมาณ 500,000 รายต่อปี ผู้ป่วยในประมาณ 20,000 รายต่อปี สามารถให้บริการทางแพทย์และและการตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยเครื่องมือทันสมัยได้อย่างครบวงจร มีประสิทธิภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล”

“นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงทางเดินยกระดับ และทางเชื่อมระหว่างอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา กับอาคารอื่น ๆ เพื่อความสะดวกคล้องตัวและปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ รวมทั้งรับปรุงสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ให้สวยงาม ปัจจุบันการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดบริการให้ประชาชนมาระยะหนึ่งแล้ว”

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปยังแท่นพิธี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา 

ซึ่งพระองค์ทรงเสด็จฯ ไปยังอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ทอดพระเนตรนิทรรศการ ‘นวมินทรบพิตรศิริราชานุสรณ์’ ภายในอาคารจัดแสดงข้อมูลและนวัตกรรมภายในอาคาร เช่น ศูนย์รังสีวินิจฉัยกับเครื่องถ่ายภาพรังสีโพซิตรอนและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้ตรวจหาการแพร่กระจายในระยะเริ่มต้นของโรคมะเร็ง, ห้องจัดยาผู้ป่วยนอกอัตโนมัติ ซึ่งนำระบบจัดยาอัตโนมัติแบบครบวงจรมาให้บริการเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

ต่อมาเสด็จฯ ทอดพระเนตรเครื่องฉายรังสีเร่งอนุภาคอิเล็คตรอน พร้อมระบบภาพนำวิถีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเครื่องแรก และเครื่องเดียวในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง

และทรงเสด็จฯ ไปทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธยในสมุดที่ระลึก แล้วฉายพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับผู้บริหารและคณะกรรมการ สมควรแก่เวลาเสด็จฯ กลับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนทั่วไป ครอบครัวผู้ป่วย เดินผ่านเข้าจุดคัดกรองเพื่อมารอเฝ้าฯ รับเสด็จ ซึ่งจัดไว้ตามเส้นทางเสด็จภายในโรงพยาบาลศิริราช ครั้นเสด็จฯ ถึงบริเวณด้านหน้าอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ประชาชนพร้อมใจเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงแย้มพระสรวลทักทายประชาชน

สำหรับอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระราชทานชื่อศูนย์การแพทย์ว่า ‘อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา’ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2556 และชื่อกำกับภาษาอังกฤษว่า ‘Navamindrapobitr 84th Anniversary Building’ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 มีความหมายว่า “อาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงเป็นใหญ่ รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา”

โดยนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงิน 100 ล้านบาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเงิน 700 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อใช้ในอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ตลอดจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดหาทุน

นอกจากนี้ยังได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระบรมวงศานุวงศ์ ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์สิ่งของเพื่อสมทบทุนอาคารมาอย่างต่อเนื่อง นับจากวันแรกที่โครงการเริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมใช้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของศิริราชและประชาชาติไทย

ทั้งนี้ อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา เป็นอาคารสูง 25 ชั้น มีชั้นพื้นดิน 1 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโรงพยาบาลศิริราช มีพื้นที่ใช้สอยถึง 67,551 ตารางเมตร สามารถบริการแบบเต็มศักยภาพโดยรองรับผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นประมาณ 500,000 รายต่อปี ผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 รายต่อปี ขณะที่เตียงไอซียูเพิ่มขึ้นถึง 62 เตียง

ที่สำคัญภายในอาคารมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีการแบ่งส่วนงานบริการเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ประกอบด้วย งานบริการผู้ป่วยนอก งานบริการผู้ป่วยใน และงานบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ ในแต่ละชั้น อาทิ ชั้นบี 2 ศูนย์รังสีรักษาศิริราช (Siriraj Radiation Oncology Center) ศูนย์แห่งนี้มีเครื่องฉายรังสีที่ใช้รักษาผู้ป่วย มะเร็งที่เรียกว่า LINAC (Linear Accelerator) จำนวน 5 เครื่อง

นอกจากสามารถฉายรังสีในหลากหลายเทคนิคแล้ว ยังมีเครื่องที่มีนวัตกรรมทางการฉายรังสีขั้นสูง คือ เครื่องเร่งอนุภาค MR LINAC ที่เป็นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความแม่นยำสูง เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

โดยชั้น 4 ศูนย์รังสีวินิจฉัย (Diagnostics Radiology Center) ให้บริการ MRI จำนวน 2 เครื่อง CT จำนวน 1 เครื่อง ห้องตรวจ PET/CT (PET/CT Imaging Unit) จำนวน 1 เครื่อง และศูนย์ภาพวินิจฉัยเต้านมศิริราช (Siriraj Breast Imaging), ชั้น R3 ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ (Helipad) เป็นต้น โดยเริ่มเปิดทยอยให้บริการทางการแพทย์มาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2561 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top