Wednesday, 4 June 2025
TODAY SPECIAL

4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 รัชกาลที่ 6 วางรากฐานโรงเรียนเอกชน ตรากฎหมายควบคุมคุณภาพการศึกษา

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา ‘พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์’ พุทธศักราช 2461 ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่ควบคุมดูแลการจัดตั้งและดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน ซึ่งในขณะนั้นเริ่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

พระราชบัญญัติดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อ ควบคุมมาตรฐานการศึกษานอกภาครัฐ โดยกำหนดให้โรงเรียนราษฎร์ต้องขออนุญาตจัดตั้งจากกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และต้องดำเนินการภายใต้หลักสูตรและข้อบังคับที่ทางราชการกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของครู ผู้บริหาร และการตรวจสอบจากทางราชการ ตลอดจนบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน จึงนับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการจัดระบบการศึกษาเอกชนให้เข้าสู่ระเบียบแบบแผนเดียวกับการศึกษาในภาครัฐ

พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ฉบับนี้ ได้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน และสะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงตระหนักถึงบทบาทของการศึกษาเอกชนในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาประเทศในระยะยาว

ทรงพระเจริญ ๓ มิถุนายน วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหารและพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

วันที่ 3 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 

พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี คู่พระบารมีรัชกาลที่ 10

สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2521 มีพระนามเดิมว่า สุทิดา ติดใจ ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2543 ก่อนที่จะทรงเข้าทำงานเป็นพนักงานต้อนรับของการบินไทย เมื่อปี พ.ศ.2546 - พ.ศ. 2551 หลังจากนั้น ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอกพิเศษ)

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และสถาปนาพลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็น "สมเด็จพระราชินีสุทิดา" ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ต่อมา พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสุทิดาขึ้นเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี"

2 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ร.9 เสด็จฯ ทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน ทรงพระราชทานชื่อ 'เขื่อนขุนด่านปราการชล'

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริ ให้พิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน ที่บ้านท่าด่าน จ.นครนายก โดยเร่งด่วน เนื่องจากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้อยู่ในบริเวณพื้นที่ราบเชิงเขา สามารถเป็นแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์แก่ราษฎรทางตอนล่างได้เป็นจำนวนมาก

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเขื่อนคลองท่าด่านว่า 'เขื่อนขุนด่านปราการชล (KHUN DAN PRAKARNCHON DAM)'

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวาง โครงการและก่อสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล

จากนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 โดยอนุมัติการก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2546 ในวงเงิน 10,193 ล้านบาท และอนุมัติแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ พร้อมอนุมัติงบประมาณปี 2540 ถึง 2551 ในวงเงิน 990 ล้านบาท เริ่มดำเนินงานก่อสร้างในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 และเริ่มเก็บกักน้ำในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548

เขื่อนขุนด่านปราการชล จะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกักและจัดสรรน้ำอย่างเป็นระบบให้แก่พื้นที่เกษตรกรรวม 185,000 ไร่ ทำให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์กว่า 9,000 ครัวเรือน และเมื่อสามารถไขปัญหาน้ำท่วมสลับกับความแห้งแล้งลงได้แล้วก็จะช่วยลดปัญหาดินเปรี้ยวไปได้ในที่สุด

1 มิถุนายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ พิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกในรัชสมัย

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ ไปประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเป็นข้อเตือนใจให้แก่บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน โดยมีความตอนหนึ่งว่า..

“...ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้มีความตั้งใจในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่บ้านเมืองและประชาราษฎร โดยตั้งมั่นในสามัคคีธรรมและพร้อมใจกันร่วมมือในการดำเนินการของรัฐสภาให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเราให้มีวัฒนาถาวรสืบไป”

ต่อมา ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาด้วยพระองค์เอง 33 ครั้ง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผู้กระทำพิธีเปิดประชุม 6 ครั้ง และมีจำนวน 4 ครั้ง ที่ผู้แทนพระองค์เป็นผู้ประกอบรัฐพิธีเนื่องจากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่สามารถมาได้

31 พฤษภาคม พ.ศ.2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 เสด็จทิวงคตจากเหตุเรือพระที่นั่งล่ม

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ‘พระนางเรือล่ม’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน เป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทิวงคต จากเหตุการณ์อุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่ม จนเป็นที่มาของเรื่องราว ‘พระนางเรือล่ม’ ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา โดยเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระองค์เจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระสติปัญญาเลิศล้ำ และทรงมีพระอัธยาศัยจริงจังเด็ดขาด ปฏิบัติข้อราชการและรับสั่งด้วยความเฉียบคมชัดเจน จึงทำให้ได้ติดตามเสด็จฯ และถวายงานรับใช้ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นที่เล่าขานกันว่า ด้วยพระอุปนิสัยรับสั่งเฉียบคม ทำให้พระองค์เป็นที่นับถือในพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารยิ่งนัก

กระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้แต่งเรือพระที่นั่ง เพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน พร้อมด้วยมเหสีทุกพระองค์ แต่แล้วกลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อเรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าสุนันทาฯ เกิดอุบัติเหตุและล่มลง ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

เป็นเหตุให้พระองค์เจ้าสุนันทาฯ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อรรควรราชกุมารี ซึ่งเป็นพระราชธิดา พร้อมทั้งพระราชบุตรในพระครรภ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าทรงทราบเรื่อง จึงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาได้มีพิธีถวายพระเพลิงศพ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2423 ภายในงานนี้มีการแจกหนังสือสวดมนต์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้พิมพ์แจกเพื่อเป็นพระราชกุศล จำนวน 10,000 เล่ม นับเป็นหนังสืองานศพเล่มแรกของไทย 

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี พร้อมทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ  ขึ้นอีกหลายแห่ง อาทิ ที่พระราชวังบางปะอิน หรือที่สวนสราญรมย์ 

ต่อมายังมีการสร้างศาลสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดกู้ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยสร้างขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่นำเรือพระที่นั่งขึ้นมาจากน้ำ ภายหลังเรียกกันว่า ‘ศาลพระนางเรือล่ม’ 

ทั้งนี้เป็นสถานที่สักการะของประชาชน โดยภายในมีข้อมูลอื่น ๆ อาทิ พระราชประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ รวมถึงบทกลอนที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ได้บรรยายถึงความรักที่มีต่อพระองค์ บรรจุเอาไว้อีกด้วย

30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์นักประชาธิปไตย เสด็จสวรรคต

30 พ.ค. ของทุกปี เป็น ‘วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ น้อมรำลึกวันสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 กษัตริย์นักประชาธิปไตย 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงศึกษาในระดับมัธยมที่วิทยาลัยอีตัน ประเทศอังกฤษ

จากนั้นทรงศึกษาต่อด้านวิชาการทหารที่โรงเรียนนายร้อยเมืองวูลิช และทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เมื่อพ.ศ. 2461 เสด็จขึ้นครองราชย์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบพระราชสันตติวงศ์เมื่อพุทธศักราช 2467 

ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 (นับตามปฏิทินปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2469) และทรงสละราชสมบัติขณะประทับที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (พ.ศ. 2478 ตามปฏิทินปัจจุบัน) เนื่องด้วยความคิดเห็นที่ขัดแย้งทางการเมืองบางประการ

หลังจากนั้นได้ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษจนกระทั่งสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พุทธศักราช 2484 ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นการส่วนพระองค์อย่างเรียบง่าย ปราศจากพิธีการใด ๆ ที่สุสานโกลเดอร์ส กรีน (Golders Green)

กระทั่งในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ขอพระราชทานให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับสู่ประเทศไทย เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทานอุทิศถวายตามพระราชประเพณี

หลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิ ซึ่งอยู่ชั้นบนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่วนพระบรมสรีรางคารนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุไว้ที่พระพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรสภายในพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

พระราชกรณียกิจสำคัญในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ การฉลองพระนครครบ 150 ปี รัชกาลที่ 7 เสด็จฯเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและสะพานพุทธฯ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 และในปีเดียวกันนี้เอง พระองค์ยังทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรครั้งแรกในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และศาสนา

พระราชดำริที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ การพัฒนาการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยทรงพระกรุณาให้มีการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญพระราชทานแก่ชาวไทยทั้งมวล แม้จะยังมิได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นในปี พ.ศ. 2475

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่อนุชนรุ่นหลังอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในปลายปีพ.ศ. 2544

สถาบันพระปกเกล้าจึงมีความเห็นว่า สมควรที่จะเสนอให้มี วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น สถาบันฯ จึงแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาโดยมี นายทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา เป็นประธาน คณะทำงานชุดดังกล่าวนี้ มีมติว่า สมควรกำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 7 คือ วันที่ 30 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น 'วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว' ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2545 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปีเป็น 'วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว'

29 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ครบรอบ 40 ปี โศกนาฏกรรมเฮย์เซล หนึ่งในเหตุการณ์สุดเลวร้ายในโลกฟุตบอล

วันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่ยากจะลืมเลือน เพราะถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกฟุตบอล ณ เฮย์เซล สเตเดียม (คิง โบดวง สเตเดียม ปัจจุบัน) ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม สังเวียนนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรลิเวอร์พูล กับ ยูเวนตุสในศึกฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปัจจุบัน ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 (ค.ศ.1985)

เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจากแฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน รวมถึงมีบาดเจ็บอีกกว่า 600 คนเลยทีเดียว

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลิเวอร์พูลถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 6 ปี เช่นเดียวกับทุกสโมสรในอังกฤษก็ถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 5 ปี

28 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยือนญี่ปุ่นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

ในช่วงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรี พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และหนึ่งในประเทศที่พระองค์เลือกเสด็จพระราชดำเนินเยือน คือ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2506

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ในหลวง ร.9 และ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ไปยังพระราชวังอิมพีเรียล และทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระราชินีแห่งญี่ปุ่น ในโอกาสนี้ พระองค์ได้ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นมงคลยิ่ง ราชมิตราภรณ์ แด่สมเด็จพระจักรพรรดิและเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี บรมราชวงศ์ แด่สมเด็จพระราชินี 

หลังจากนั้นสมเด็จพระจักรพรรดิทรงจัดงานถวายพระกระยาหารค่ำ ณ พระบรมมหาราชวังอิมพีเรียล และทรงมีพระดำรัสต้อนรับ จากนั้นทรงเชิญชวนดื่มถวายพระพร

27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 วันเกิด ‘พุทธทาสภิกขุ’ ปราชญ์แห่งไชยา ผู้ได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก

พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) หรือ พุทธทาสภิกขุ เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2449 ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมชื่อ “เงื่อม พานิช” ท่านเป็นพระผู้ผลิตสื่อธรรมะในยุคที่เทคโนโลยียังไม่พัฒนา

ท่านได้ร่วมกับ “ธรรมทาส พานิช” ผู้เป็นน้องชาย ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดร้างตระพังจิก ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมโดย “พุทธทาสภิกขุ” ท่านให้ชื่อว่า สวนโมกขพลาราม เพราะบริเวณที่ตั้งมีต้นโมกและต้นพลาขึ้นอยู่มาก มีความหมายว่า “สวนป่าอันเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์” ต่อมาในปี 2486 “สวนโมกขพลาราม” ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดธารน้ำไหล บริเวณเขาพุทธทอง ริมทางหลวงหมายเลข 41 อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ท่านมีความปรารถนาให้ “สวนโมกขพลาราม” หรือ สวนโมกข์ เป็นสถานที่แสวงหาความสงบและศึกษาธรรม โดยภายในมี “โรงมหรสพทางวิญญาณ” ซึ่งเป็นอาคารที่รวบรวมภาพศิลปะ คำสอนในศาสนานิกายต่าง ๆ ภาพพุทธประวัติ รอบบริเวณวัดเป็นสวนป่าร่มรื่นเต็มไปด้วยปริศนาธรรม ปราศจากโบสถ์และศาลาอย่างวัดทั่วไป เหมาะสำหรับเป็นที่ฝึกอบรมจิตใจและศึกษาพุทธศาสนา ทั้งยังมีการฝึกสอนสมาธิสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติด้วย

“พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)” หรือ “พุทธทาสภิกขุ” มรณภาพเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 ที่วัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม 2548 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้ประกาศยกย่องให้ “พุทธทาสภิกขุ” เป็นบุคคลสำคัญของโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top