Wednesday, 4 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ ขันน็อต ออก 4 มาตรการ เฝ้าระวัง - เตรียมความพร้อมขนส่งน้ำมันทางถนน

กรมธุรกิจพลังงาน กำชับผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มมาตรการในการประกอบกิจการรวมถึงเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวันที่ (27 พ.ค. 68) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี พ.ศ. 2568 กรมฯ ได้รับรายงานการเกิดอุบัติภัยของรถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นจำนวนกว่า 26 ครั้ง ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยมีฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 

ดังนั้น เพื่อให้การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนนเป็นไปด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงได้กำชับให้ผู้ประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้        

1. ตรวจสอบและกำชับผู้ขับขี่ หรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเตรียมความพร้อม พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ความเสี่ยงสูง รวมถึงห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยารักษาโรคที่มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสารเสพติดอื่นโดยเด็ดขาด

2. ตรวจสอบสภาพความพร้อมของยานพาหนะ เช่น ระบบขับเคลื่อน ระบบห้ามล้อ ยางรถ ถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอุปกรณ์สำหรับป้องกันและระงับอัคคีภัย

3. ตรวจสอบเส้นทางและวางแผนเส้นทางการขนส่ง เพื่อกำหนดเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย กำหนดจุดเฝ้าระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติภัย รวมถึงการตรวจสอบรายงานสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ และประกาศแจ้งเตือนภัยพิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

4. พิจารณาการประยุกต์ใช้ระบบหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ เช่น ระบบติดตามภายในรถ (In Vehicle Monitoring System; IVMS) ระบบ GEO Fence ระบบ GPS ตรวจจับตำแหน่งและความเร็วรถ ระบบกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ ระบบแจ้งเตือนความเร็วและระยะเวลาขับขี่เกินกำหนด ระบบป้องกันการหลับใน 

'ม.มหานคร' มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียว ที่ติด Top Ranking จับมือ Imperial เปิดศูนย์ SABER Lab แห่งแรกในอาเซียน

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (MUT) และ Imperial (Imperial College London) เปิดห้องปฏิบัติการ SABER Lab แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ต่อยอดงานวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และไบโอเซนเซอร์  เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นนำระดับโลก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย

'MUT – Imperial SABER Lab' จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีขั้นสูงต่อยอดงานวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์และไบโอเซนเซอร์ ขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น 'ศูนย์กลางนวัตกรรม' ภูมิภาคอาเซียน SABER Lab จึงเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของการสร้างเครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยให้ก้าวไกลในระดับสากล

น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดห้องปฏิบัติการ MUT – Imperial Semiconductor AI & BioSensor Electronics Research Laboratory (SABER Lab)และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (MUT) และ Imperial (Imperial College London) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ต่อยอดงานวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และไบโอเซนเซอร์

พร้อมขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กระทรวง อว. มุ่งมั่นที่จะเตรียมความพร้อมและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยมีแผนงานที่ครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม นักวิจัย ไปจนถึงการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี โท และเอก

ในอีก 5 ปีข้างหน้า กระทรวง อว. ตั้งเป้าผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 80,000 คน, ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 150,000 คน และด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) 50,000 คน

พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการพัฒนากำลังคนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล่านี้

การเปิด SABER Lab ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัยด้าน AI, เซมิคอนดักเตอร์ และไบโอเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย

ห้องปฏิบัติการอันทันสมัยแห่งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครและ Imperial ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างสรรค์อนาคตแห่งนวัตกรรม และที่สำคัญคือการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะสูงเพื่อเป็นผู้ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน 

ความร่วมมือนี้สอดคล้องกับวาระสำคัญระดับชาติของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมกำลังคนสำหรับอนาคต เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของเราในด้านเซมิคอนดักเตอร์, ไบโอเซนเซอร์ และ AI

ดังที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า การลงทุนในบุคลากรสำหรับภาคส่วนที่มีศักยภาพสูงเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย” น.ส.ศุภมาส กล่าว

ที่สำคัญ  SABER Lab ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์วิจัยเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นนำระดับโลก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของโลกในศตวรรษที่ 21

MUT–Imperial SABER Lab เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนนโยบายของกระทรวง อว. ในการพัฒนา 'ศูนย์พัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ' ซึ่งดำเนินการโดย 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย

ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

โดย MUT มีบทบาทสำคัญในการฝึกอบรมเพื่อ Upskill และ Reskill บุคลากร รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับนานาชาติ หนึ่งในความร่วมมือที่สำคัญคือกับ Imperial ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้ง SABER Lab แห่งนี้และเพื่อเติมเต็มเป้าหมายการพัฒนากำลังคน

ทาง MUT ได้จัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกจำนวน 5 ทุนต่อปี สำหรับนักศึกษาไทยที่สนใจศึกษาต่อด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ Imperial อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี โดย SABER Lab จะเป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนงานวิจัย การพัฒนา และการสร้างเครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยให้ก้าวไกลในระดับสากล

น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้จะเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราสามารถบรรลุได้ เมื่อสถาบันการศึกษา รัฐบาล และพันธมิตรระหว่างประเทศมารวมพลังกัน

กระทรวง อว. ตั้งตารอที่จะได้เห็นความก้าวหน้าด้านการวิจัย การพัฒนาบุคลากร และการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและประชาคมโลก ในการร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ชาญฉลาดและยั่งยืนยิ่งขึ้น

‘พีระพันธุ์’ เยือนจีน ลุยขยายความร่วมมือบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก เปิดทางระบบ ‘โซลาร์ราคาถูก’ เพื่อประชาชน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะ เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 เพื่อขยายความร่วมมือกับจีนในภารกิจด้านการส่งเสริมพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน และห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมเยี่ยมชมเทคโนโลยีของบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะระบบอินเวอร์เตอร์ ระบบกักเก็บพลังงาน ระบบการจัดการพลังงาน และการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อเร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการลดภาระค่าไฟของประชาชนอย่างยั่งยืน

ในการนี้ นายพีระพันธุ์และคณะมีกำหนดการเยี่ยมชมและเจรจาความร่วมมือด้านต่าง ๆ กับบริษัทชั้นนำที่มีผลิตภัณฑ์และบริการด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก 6 แห่ง ในมณฑลเจียงซู และนครเซี่ยงไฮ้ ประกอบด้วย บริษัท GoodWe Technologies บริษัท Canadian Solar Inc. (CSI) บริษัท Trina Solar บริษัท Changzhou Almaden บริษัท JinkoSolar และบริษัท Sungrow โดยมีนาย Shi Yonghong รองประธานหอการค้าจีนด้านการส่งออกเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์ และ นาย Wang Shuzi ผู้ช่วยด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์โซลาร์ เป็นผู้ประสานงานและเดินทางร่วมกับคณะตลอดการเดินทาง

การเดินทางเยือนจีนครั้งนี้ถือเป็นอีกความพยายามของนายพีระพันธุ์ ที่จะเร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ผ่านการขยายความร่วมมือกับบริษัทด้านพลังงานชั้นนำของจีน เพื่อให้ภาคประชาชนของไทยสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและหาซื้อระบบโซลาร์ในราคาที่ต่ำลง โดยจากการเยี่ยมชมเจรจาหารือกับบริษัทต่าง ๆ ทุกบริษัทพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในแนวทางที่นายพีระพันธุ์นำเสนอซึ่งจะมีการประสานงานกันต่อไป

ILINK ย้ำความแข็งแกร่ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มุ่งสู่รายได้แตะ 7.12 พันล้านบาท ในปี 68

ILINK ร่วมแจงความมั่นคง ในงานพบนักลงทุน Opportunity Day Q1/2568 เน้นย้ำเป้าหมายเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) มุ่งสู่รายได้ทั้งปี แตะ 7.12 พันล้านบาท

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในการนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ และรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ว่า ILINK ยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการสื่อสาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว 

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยืดหยุ่นในการบริหาร และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรวม แม้ไตรมาสแรกจะมีความท้าทายหลายด้าน แต่ ILINK พร้อมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เชื่อมั่นว่าในไตรมาสต่อ ๆ ไป เราจะสามารถเร่งการเติบโต สร้างผลกำไรที่ดี และตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างแน่นอน

โดยภาพรวมผลการดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลักในไตรมาส 1/2568 สำหรับ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) มีรายได้รวม 832.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84.73 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการต้นทุน และโครงสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนา และขยายตลาดของแบรนด์ “LINK AMERICAN & GERMAN RACK” อย่างต่อเนื่อง จากการที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025” เพื่อรองรับความต้องการสายสัญญาณคุณภาพสูงของตลาดทั้งในประเทศ และในอาเซียน

ในส่วนของธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) มีรายได้ในไตรมาสที่1/68 อยู่ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการส่งมอบโครงการ และการเบิกงบประมาณที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพจากโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว เช่น โครงการสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า และสถานีไฟฟ้านนทรี พร้อมทั้ง ยังมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมจากภาครัฐในอนาคต

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ที่ดำเนินงานโดยบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL มีรายได้ 806 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเลื่อนรับรู้รายได้บางโครงการ อย่างไรก็ตาม การประกาศความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “NDC” เพื่อให้บริการโซลูชันด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ และเทคโนโลยีดิจิทัล ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ ILINK ยังคงวางเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์ 'โตอย่างมีคุณภาพ' (Quality Growth) เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการคิดค้น พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับความต้องการของตลาดยุคใหม่ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป

‘ดร.ปิติ’ มัดรวมประเด็นหารือประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 เรื่องสำคัญมุ่งรับมือสงครามการค้า-ขัดแย้งในเมียนมา-ทะเลจีนใต้

รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผู้นำอาเซียนเขาคุยอะไรกันบ้างในการประชุมสุดยอดอาเซียน ปี 2025 ทั้งในการประชุมทางการและการประชุมแบบ Retreat

ผู้นำอาเซียนได้รวมตัวกันในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือและเสนอแนะแนวทางในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ รวมถึงสงครามการค้า ความขัดแย้งในเมียนมา ทะเลจีนใต้ การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของอาเซียน

1. สงครามการค้า

ผู้นำอาเซียนได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้มีการดำเนินการร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากระบบพหุภาคีและหันไปใช้ข้อตกลงแบบทวิภาคีมากขึ้น ทำให้สถานการณ์มีความท้าทาย เขาเสนอแนวทาง 3 ประการ: 
- คงการมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในระดับประเทศและในนามอาเซียนโดยรวม
- เสริมสร้างความพยายามในการบูรณาการภายในอาเซียน โดยตั้งเป้าให้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปลอดภาษี 100% (ปัจจุบัน 98.6%) พร้อมแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ข้อกำหนดใบอนุญาตนำเข้าและขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อน และขยายขอบเขตการค้าจากสินค้าไปสู่บริการ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงข้อตกลงทางเศรษฐกิจ 24 ฉบับที่ยังไม่ได้รับการดำเนินการซึ่งบางส่วนตกลงกันตั้งแต่ปี 2015 และต้องเร่งดำเนินการ

- เร่งการบูรณาการในพื้นที่การเติบโตใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัลและการจัดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค นอกจากนี้ ควรกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกโดยการปรับปรุงข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคอื่นๆ เช่น ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป (EU) และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC)

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคีและความยืดหยุ่นของอาเซียนในการรับมือกับภัยคุกคามจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าอาเซียนควรรักษาระบบพหุภาคีไว้ และให้แบบจำลองเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน-GCC-จีน มีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน เขายังเปิดเผยว่าได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอความเข้าใจในการหารือเรื่องภาษีในที่ประชุมสหรัฐฯ-อาเซียน

นายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ ชินห์ แห่งเวียดนาม เน้นย้ำว่าอาเซียนต้องปรับตัว 'อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ' ต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์โลก เขายังเรียกร้องให้ใช้เครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเร่งรัดการสรุปข้อตกลงการค้าเสรีกับพันธมิตรอย่างแคนาดา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการยกระดับข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่กับจีนและอินเดียเพื่อช่วยกระจายตลาด ผลิตภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทาน

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แห่งไทย เตือนถึง 'ผลกระทบสำคัญ' ของภาษีสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งประเมินกลยุทธ์ใหม่และเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค โดยเรียกร้องให้มีเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการ การบูรณาการภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความร่วมมือใหม่ ๆ

2. ความขัดแย้งในเมียนมา
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงความจำเป็นในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมาอย่างสันติและมีมนุษยธรรม

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ แสดงความชื่นชมต่อความเป็นผู้นำของมาเลเซียในการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา และสิงคโปร์พร้อมที่จะสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียน เขายังเรียกร้องให้มีการหยุดยิงที่ขยายออกไป ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งสู่การแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในเมียนมาระยะยาว นอกจากนี้ อาเซียนควรยึดมั่นในฉันทามติ 5 ข้อและการตัดสินใจเพื่อรักษาสถานะที่ไม่ใช่การเมืองของเมียนมาในการประชุมสุดยอดของกลุ่ม เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของอาเซียนกับพันธมิตรภายนอก

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย กล่าวถึงความก้าวหน้า 'อย่างมีนัยสำคัญ' ในการมีส่วนร่วมกับฝ่ายที่ขัดแย้งในเมียนมา และขอบคุณผู้นำอาเซียนที่อนุมัติการจัดตั้งกลุ่มที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการ เขากล่าวว่า "การมีส่วนร่วมอย่างเงียบๆ มีความสำคัญ" และ "แม้แต่สะพานที่เปราะบางก็ยังดีกว่าช่องว่างที่กว้างขึ้น" มาเลเซียยังเสนอให้มีการตั้งผู้แทนอาเซียนในกิจการเมียนมาให้เป็นตำแหน่งถาวร 3 ปี ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เป็นวาระหมุนเวียนคราวละ 1 ปีตามประธานอาเซียน ทั้งนี้เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง

3. ทะเลจีนใต้
ผู้นำอาเซียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและการรักษาสันติภาพในทะเลจีนใต้

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ เรียกร้องให้อาเซียนเร่งรัดการรับรองประมวลการปฏิบัติที่ผูกมัดทางกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดการความตึงเครียด เขายังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและความร่วมมือทางทะเลเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค และเรียกร้องให้มีความร่วมมือในภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในประเด็นท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่และข้ามพรมแดน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอาชญากรรมข้ามชาติ

4. การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงแนวทางในการขยายและกระชับความร่วมมือทั้งในด้านสมาชิกภาพและเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ กล่าวว่าอาเซียนสามารถสำรวจความร่วมมือใหม่ๆ ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้นได้ โดยอาจมีการมีส่วนร่วมในพื้นที่เฉพาะที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับประเทศที่ยังไม่พร้อมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงคุณค่าของแพลตฟอร์มอาเซียนที่มีอยู่ และเสนอให้ดำเนินการตามแนวคิดอาเซียนว่าด้วยอินโด-แปซิฟิก (AOIP) ในทางปฏิบัติและเป็นรูปธรรม เขายังยินดีต้อนรับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มเติมให้เข้าร่วม CPTPP ซึ่งปัจจุบันมี 6 ประเทศอาเซียนยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียร์โต แห่งอินโดนีเซีย สนับสนุนการที่ติมอร์-เลสเตจะเป็นสมาชิกอาเซียนเต็มตัว 'โดยเร็วที่สุด' และเสนอให้ปาปัวนิวกินี 'เข้าร่วม' กลุ่มด้วย โดยชี้ว่ายิ่งอาเซียนแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับความเคารพในการเจรจาของมหาอำนาจ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย และผู้นำอาเซียนคนอื่นๆ ได้ลงนามใน ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ชี้นำการพัฒนาและความร่วมมือของภูมิภาคในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน และเสริมสร้างขีดความสามารถของสถาบันเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มขนาดใหญ่ที่มีอยู่และในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ยังได้หารือถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออนาคตของภูมิภาค

บริบทและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์: การประชุมจัดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีหว่องกล่าวว่าพหุภาคีและโลกาภิวัตน์กำลัง 'ถดถอย' พร้อมกับคำถามเกี่ยวกับ 'ระเบียบโลกใหม่จะเป็นอย่างไร' นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวว่าอาเซียนมี 'ความเข้มแข็งและยืนหยัด' ที่จะ 'ผ่านพ้นพายุ' แห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และเน้นย้ำถึง 'จิตวิญญาณแห่งความเป็นศูนย์กลางและความเป็นพี่น้อง' ในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน และอาเซียนจะมีการจัดตั้งคณะทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน: นายกรัฐมนตรีหว่องได้เป็นสักขีพยานในการลงนามในข้อตกลงการพัฒนาร่วมเพื่อสำรวจการส่งออกไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเวียดนามไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างสายเคเบิลใต้น้ำใหม่

ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก: อาเซียนจะจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีครั้งแรกกับจีนและคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) เพื่อพยายามลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษี

การปฏิรูปองค์กร: นายกรัฐมนตรีอันวาร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูปองค์กรและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน เพื่อให้กลุ่มสามารถเผชิญกับความท้าทายจาก 'การปฏิวัติเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์' รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียวและสีน้ำเงิน

‘พิชัย’ ถกอาเซียน-จีน-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-นิวซีเเลนด์ จับมือลดความเสี่ยงการค้า ชู WTO เป็นกลไกลฟื้นเศษรฐกิจ

(25 พ.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ว่า ทุกฝ่ายยืนยันสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมร่วมกันหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้ทางการค้าและยึดมั่นในความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ

ที่ประชุมยังเห็นพ้องร่วมกันเร่งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล มุ่งพัฒนาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะการยกระดับความตกลงอาเซียน–จีนภายในปี 2567 เพื่อขยายความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

สำหรับความร่วมมือกับญี่ปุ่น ไทยได้เสนอให้ขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อผลักดันให้อาเซียนเป็นฐานการผลิตระดับโลก ส่วนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ประชุมเห็นพ้องให้เร่งใช้ประโยชน์จาก FTA ฉบับปรับปรุง โดยเน้นเศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงานสะอาด และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอาเซียนในปี 2567 ด้วยมูลค่าการค้ากว่า 770,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อยู่ในอันดับ 3, 6 และ 10 ตามลำดับ สะท้อนบทบาทสำคัญของอาเซียนในเศรษฐกิจภูมิภาคและโลกอย่างต่อเนื่อง

BAFS เดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เตรียมส่งรถเติมน้ำมันประจำการสนามบินกัมพูชา

BAFS รุกตลาด SEA ส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน นวัตกรรมฝีมือคนไทย เตรียมพร้อมประจำการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่กัมพูชา กลางปีนี้!!

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด (BAFS INTECH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทบาฟส์ (BAFS Group) ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบ ผลิต และประกอบรถเติมน้ำมันอากาศยานรวมถึงรถให้บริการภาคพื้นภายในท่าอากาศยาน ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมวิศวกรและเทคนิคของ BAFS INTECH ผสานนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง พร้อมสมรรถนะที่โดดเด่น มีความทนทาน ตอบโจทย์ความต้องการผู้ให้บริการภาคพื้นอากาศยานในระดับภูมิภาค ล่าสุด เตรียมส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน Hydrant Dispenser รถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน และอุปกรณ์ให้บริการภาคพื้นประเภท Mobile Refueling Cart รวมทั้งสิ้นจำนวน 7 คัน ให้กับบริษัท Phnom Penh Aviation Fuel Service Co., Ltd. (PPAFS) ในเดือนพฤษภาคม 2568 สำหรับให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความเป็นผู้นำด้านบริการเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของ BAFS 

อุตสาหกรรมการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS INTECH เริ่มต้นจากองค์ความรู้และความชำนาญในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ต่อยอดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และจุดเด่นในการออกแบบและผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถเลือกขนาดและอัตราการไหล (Flow Rate) ของรถเติมน้ำมันอากาศยาน ให้รองรับกับขนาดและคุณสมบัติของเครื่องบินแต่ละประเภท รวมถึงสภาพแวดล้อมของท่าอากาศยานที่แตกต่างกัน ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และความเหมาะสมต่อการใช้งาน การันตีคุณภาพการผลิตที่สอดคล้องตามมาตรฐานการบริการน้ำมันอากาศยานระดับสากลของ Joint Inspection Group (JIG) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับระบบเติมน้ำมันอากาศยาน 

BAFS INTECH มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ให้สามารถตอบสนองต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยที่ผ่านมา BAFS INTECH เริ่มต้นจากการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานให้กับ BAFS และลูกค้าในประเทศไทย ก่อนจะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา BAFS INTECH ได้รับความไว้วางใจโดยได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบ และผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยาน รวมถึงรถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ให้กับลูกค้าในประเทศเมียนมา และ สปป. ลาว

“จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจให้บริการน้ำมันอากาศยานด้วยมาตรฐานสากลยาวนานกว่า 40 ปี และความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย การส่งมอบรถในครั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของ BAFS INTECH ในฐานะผู้นำในธุรกิจออกแบบและผลิตยานพาหนะภาคพื้นสำหรับท่าอากาศยาน สำหรับในปีนี้ เรายังมีรถที่อยู่ระหว่างการผลิตและรอการส่งมอบอีก 16 คัน โดยคาดว่าในปี 2568 จะมียอดสั่งซื้อจำนวน 17 คัน นอกจากนี้ BAFS INTECH วางแผนการดำเนินธุรกิจ รุกสู่ลูกค้าในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจุดขายในการผลิตรถสมรรถนะเยี่ยมที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนเอเชีย ตั้งเป้าขยายตลาดสู่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ภายใน 5 ปี”

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้ารื้อสัญญาชั่วนิรันดร์ Adder - FiT พร้อมเร่งลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE 100) และคณะตัวแทนสมาคมฯ ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอหารือและรับทราบแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบมีค่า Adder และ Feed-in Tariff (FiT) ที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมาก (Non-Firm SPP) แบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา หรือที่เรียกกันว่า 'สัญญาชั่วนิรันดร์' ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

ทั้งนี้ ระบบ Adder และ Feed-in Tariff เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน หรือให้เงินส่วนเพิ่มจากอัตราค่าไฟปกติแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถต่อสัญญาขายไฟฟ้าได้เรื่อย ๆ ครั้งละ 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติแบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระและทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

ในการหารือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนของสมาคมฯ ได้อธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้องในอดีตซึ่งเป็นที่มาของสัญญาดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับทราบและเห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ถูกต้องและเป็นธรรม โดยนายพีระพันธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และได้กำชับให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการพยายามแก้ปัญหาระบบ Adder และ Feed-in Tariff ที่สะสมมานาน โดยทางสมาคมฯ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะลดผลกระทบที่มีต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

‘เอกนัฏ’ ดัน ‘ดีพร้อม’ โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย เติมศักยภาพด้านท่องเที่ยวใน World Expo 2025

(21 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง ของชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” รวมถึงขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย ด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว เผยแพร่ และสร้างความประทับใจ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า งาน World Expo 2025 Osaka Kansai, Japan เป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญระดับโลก สามารถแสดงศักยภาพผ่านการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปไกลสู่ระดับโลกโดยตอบโจทย์ความต้องการแสดงอัตลักษณ์ของสินค้าไทยจากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นไม่แพ้ใครคือ ‘การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์’ ที่นำเอาอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์ที่ทั้งแปลกใหม่ และลึกซึ้ง นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ชมความงามแต่ยังได้สัมผัสวิถีชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านและใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน ในแบบที่หาไม่ได้จากที่ใดในโลก ตั้งแต่การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นไปจนถึงการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้านทุกกิจกรรม ล้วนเต็มไปด้วยความหมาย เพราะการเดินทางในประเทศไทยคือการเดินทางที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจเข้าด้วยกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย ให้มีความทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 ใน Exhibition Concept สร้างสรรค์ชีวิต เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายปลายทางของคนทั้งโลก Theme Week ที่ 2 The Future of Community and Mobility (อนาคตของชุมชนและการโยกย้าย) เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว และเผยแพร่ สร้างความประทับใจ อันจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยคาดว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ ที่เป็นวัตถุดิบ แปรรูปจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงปลายน้ำที่เป็นการนำผลิตภัณฑ์อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการแสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ใน 2 Concepts ดังนี้

Concept ที่ 1 เป็นการแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก (Inside Out) ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” ที่แสดงถึงผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยที่เกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญา และนวัตกรรมสมัยใหม่ จากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตั้งแต่วัตถุดิบในกลุ่มสารสกัดสมุนไพร Natural Extract, Fragrance, Essential Oil, Aroma Therapy, Flavors และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาสีฟันสมุนไพร น้ำมันมะพร้าวสกัด แป้งขจัดกลิ่นกายเต่าเหยียบโลก Plant-Based Food อาหารเพื่อสุขภาพ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 

Concept ที่ 2 เป็นการแสดงการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ (Outside In) ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” ที่แสดงถึงประเทศไทย เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และยังเป็นผู้นำทางด้าน Medical และ Wellness รวมทั้งมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและทรัพยากรทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทย มีความพร้อมที่จะรองรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Long Stay Medical Tour และ Digital Nomad ผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจกับชุมชนและการท่องเที่ยวสร้างความประทับใจในการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เสน่ห์ใหม่ของประเทศไทยที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจ” คือ การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและมีส่วนร่วมกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายภาพหรือชมความงามจากระยะไกล แต่คือการได้ "ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน" เรียนรู้วิธีการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้าน ลองทำหัตถกรรมด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมพิธีกรรมพื้นเมืองที่เปี่ยมด้วยความหมาย กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงเติมเต็มประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ทำให้การเดินทางในประเทศไทยเป็นมากกว่าการท่องเที่ยว แต่คือการเดินทางของหัวใจที่เชื่อมโยงผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน 

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น มีความร่วมมือในด้านการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวการผลิต และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้ธุรกิจต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดพัฒนาและอยู่รอดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน (JIRITSUKA) และบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ยึดมั่นในปรัชญาความยั่งยืน (ESG) ภายใต้แผนงาน Kirei Lifestyle Plan ซึ่งมุ่งเน้นการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการจัดการวัสดุเหลือใช้จนเกิดประโยชน์สูงสุด

“ดีพร้อม เชื่อมโยงศักยภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกผ่าน Inside Out - Outside In โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ผสานวัตถุดิบธรรมชาติ ภูมิปัญญาไทย และเทคโนโลยีสมัยใหม่สู่ตลาดสุขภาพระดับสากล พร้อมทั้งสะท้อนภาพลักษณ์ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้าน Medical & Wellness Tourism ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว กลุ่มคุณภาพทั่วโลก เสริมด้วยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้นักเดินทางได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ ยังแสดงถึงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน”  นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

รฟท. ผุดแผนรถไฟสายใหม่ 68 กม. สู่สนามบินกระบี่ เชื่อมอันดามัน–ภูเก็ต–กระบี่ กระตุ้นท่องเที่ยวไทย

(22 พ.ค. 68) การรถไฟแห่งประเทศไทยเตรียมบรรจุเส้นทางรถไฟสายใหม่ 'ทับปุด-กระบี่-สนามบินกระบี่' เข้าสู่แผนการก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบ เบื้องต้นมีระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร มุ่งเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวฝั่งอันดามันและสนามบินกระบี่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเป็นอีกทางเลือกทดแทนสนามบินภูเก็ต

เส้นทางเริ่มต้นจากสถานีทับปุด ในโครงการรถไฟสายสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต แล้วแยกลงใต้เลียบทางหลวง 4 ผ่านอ่าวลึก คลองหิน เขาคราม เข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ และจบที่สนามบินกระบี่ มีสถานีหลัก 5 แห่ง โดยออกแบบอาคารสถานีให้สอดคล้องกับศิลปะท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่

รูปแบบการเดินรถจะมีทั้งขบวนรถไฟด่วน เช่น รถไฟท่องเที่ยวเชื่อมภูเก็ต-กระบี่ และรถไฟโดยสารจากกรุงเทพฯ-กระบี่ รวมถึงขบวนท้องถิ่นจากสุราษฎร์ธานี-ทับปุด-กระบี่ หากโครงการนี้เดินหน้า จะช่วยกระจายผู้โดยสารจากสนามบินภูเก็ตสู่สนามบินกระบี่ และสร้างระบบ Airport Link ฝั่งอันดามันทันที

โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การเดินทาง และการท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top