Saturday, 7 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘โอ๋ ฐิติภัสร์’ ซัดทุนต่างชาตินำเข้าขยะซุกเต็มพื้นที่ฟรีโซน ก่อนคัดแยกของดีส่งกลับจีนทิ้งฝุ่นพิษให้คนไทยดม

(6 มิ.ย.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...ฟรีโซนศูนย์เหรียญ ที่เราสัมผัสได้เพียงฝุ่น สูดดมแต่มลพิษ

รับแจ้งเบาะแส…หนึ่งในบริษัทผู้นำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์คือ บ.พีซีวู๊ด จก. ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากร Free Zone จ. ฉะเชิงเทรา 

บริษัทแห่งนี้เคยถูกจับและดำเนินคดีข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่รับอนุญาต และข้อหาครอบครองวัตถุอันตราย เมื่อช่วงเดือน พ.ย. 67 ที่ผ่านมา คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนของ จนท.ตำรวจ สภ.แปลงยาว เพื่อสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล ส่วนกรรมการบริษัทอยู่ระหว่างประกันตัวออกมา

การตรวจสอบครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากกรมศุลกากร เข้าร่วมตรวจสอบด้วย 

บ. พีซีวู๊ดฯพัฒนาตัวเองจากผู้ประกอบการที่ถูกดำเนินคดีข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่รับอนุญาต กลายเป็นผู้พัฒนาที่ดินในพื้นที่ฟรีโซน ให้บริการเช่าโกดัง ขอใบอนุญาตติดต่อหน่วยงานราชการ ประสานขนส่งตู้สินค้าจากท่าเรือมาในพื้นที่ฟรีโซน โดยคิดค่าบริการตามรายการกับผู้เช่าแต่ละโกดัง

ผู้เช่าได้แก่ บ.ซินฮุยเฉิงฯ บ.วินเวลล์ฯ และ บ.รอยซ์ เมทเทิลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่ประกอบกิจการ นำเข้าเศษอลูมิเนียมมาคัดแยกใส่เครื่องเขย่าเอาฝุ่นออก เสร็จแล้วจ้างแรงงานต่างด้าวมาขัดจนสะอาด ใส่ถุงบิ๊กแบ๊คส่งกลับไปประเทศจีน

ความผิดเก่ายังไม่สิ้นแต่ก่อคดีใหม่…ครั้งนี้แจ้งข้อหาใหม่เพิ่มเข้าไป พร้อมออกคำสั่งให้หยุดกิจการและดำเนินคดีอาญา ข้อหาทำลายเครื่องหมายประทับตรายึดอายัดและเคลื่อนย้ายของกลาง…ทำผิดซ้ำ 2 ครั้ง จนท.กรมศุลกากรที่ร่วมภารกิจด้วย จะเสนอให้ผู้บริหารกรมศุลฯ พิจารณาระงับสิทธิ์ฟรีโซนต่อไปค่ะ

เคทีซี -สมิติเวช เปิดวงเสวนาสุขภาพดี-การเงินแกร่ง ส่งเสริมแนวคิดการวางแผนชีวิตอย่างสมดุล

เคทีซีร่วมมือโรงพยาบาลสมิติเวชเปิดเวที KTC FIT Talk ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ส่งเสริมแนวคิดการวางแผนชีวิตอย่างสมดุล ทั้งด้านสุขภาพและการเงิน รับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงาม 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผย “พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต และมีการใช้จ่ายที่สะท้อนเป้าหมายชีวิตในระยะยาว มากกว่าการบริโภคเพื่อความสะดวกชั่วคราว โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและจำนวนสมาชิกที่ใช้บัตรต่างเติบโตมากขึ้นกว่า 50%” 

“ในปี 2568 นี้ เคทีซีวางกลยุทธ์จะขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรสุขภาพให้มากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มสมาชิกเคทีซีและผู้บริโภคให้มากที่สุด กล่าวคือ ไปที่ใดต้องเห็นสิทธิพิเศษจากเคทีซี รวมถึงกลุ่ม Wellness Lifestyle โดยจับมือกับพันธมิตรในกลุ่มโรงพยาบาล ฟิตเนส รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกายและเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Devices) เพื่อตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 20-29 ปี มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ทั้งในกลุ่มโรงพยาบาล สปอร์ตและฟิตเนส ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการที่คนหันมาสนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพเร็วขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย” 

นายแพทย์นรศักดิ์ สุวจิตตานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจและการกีฬา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เผยว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ แนวคิดใหม่ของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ทางการแพทย์ได้นำมาใช้ในการวินิจฉัยและติดตามข้อมูลสุขภาพของผู้บริโภค คือ Wearable Devices อย่างนาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) หรือแหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก เปลี่ยนจากการรักษาเมื่อป่วยเป็นการตรวจจับความเสี่ยงและสัญญาณผิดปกติในระยะเริ่มต้น (Early Detection)”

“โรงพยาบาลสมิติเวช ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ ด้วย Samitivej Wearable Clinic บริการปรึกษาข้อมูลสุขภาพจาก Smartwatch และ Smart Ring ที่ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากอุปกรณ์ผ่านแอปพลิเคชัน Well by Samitivej เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้น (Pre-Screening) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งการนอนหลับ (Sleep) สุขภาพหัวใจ (ECG & Heart) โภชนาการ (Nutrition) การออกกำลังกาย (Sport) และสภาวะอารมณ์ (Emotion) ข้อมูลจาก Wearable Devices เป็นดัชนีสำคัญที่ช่วยให้แพทย์เข้าใจสุขภาพผู้ป่วยได้ดีขึ้น เช่น เห็นอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด อนาคตของการดูแลสุขภาพ Smartwatch จะเป็นอุปกรณ์ดูแลสุขภาพประจำตัว ข้อมูลจะถูกนำมาใช้กับระบบ Telemedicine เพื่อการรักษาเฉพาะบุคคลแบบเรียลไทม์ ทุกที่ทุกเวลา ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องใกล้ตัว ทำได้ทุกวัน ไม่ต้องรอให้ป่วย โรงพยาบาลสมิติเวช มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Wearable Devices พร้อมให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล ทั้งที่โรงพยาบาลและผ่านช่องทางออนไลน์ (Virtual Hospital) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงคำแนะนำจากแพทย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ Call Center โทร 0 2022 2222 หรือ LINE @Samitivej”

นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ, CFA  ผู้อำนวยการ - การเงิน 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชูแนวคิดวางแผนการเงิน-สุขภาพอย่างสมดุล รับมือเศรษฐกิจผันผวนครึ่งหลังของปี 2568 “ในยุคที่เศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและภาวะดอกเบี้ยขาลง ผู้บริโภคไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนชีวิตที่รอบด้าน ทั้งในเรื่องการเงิน สุขภาพและจิตใจ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น คนไทยมีพัฒนาการด้านความรู้ทางการเงินดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการคิดก่อนซื้อและการออม แต่สิ่งที่ควรเพิ่มคือการวางแผนเกษียณในระยะยาวและแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉิน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากว่า 80% ของคนไทยยังไม่มีแผนเกษียณที่ชัดเจน มีภาระหนี้สิน และสิ่งสำคัญที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การมีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการดูแลรักษา” 

“ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีจึงจำเป็นต้องวางแผนด้านการเงินและสุขภาพอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น สำหรับวัยทำงานควรเริ่มต้นจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตั้งเป้าหมายทางการเงินตามสูตร 50-30-20 หรือ 60-20-20 มีเงินสำรองฉุกเฉิน และลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตนเอง รวมถึงฝึกวินัยทางการเงินผ่านระบบออมอัตโนมัติ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และทบทวนแผนทุก 6 เดือน”

“สำหรับทางเลือกเพื่อพิจารณาในการลงทุนเพื่อการออม รับมือเศรษฐกิจปี 2568 ในกลุ่มหุ้น (Selective Underweight) ควรเน้นกลุ่มสาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคและสุขภาพ หรือเลือกลงทุนในหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตลาดกระจายหลายประเทศมากกว่าที่มีการกระจุกตัวของตลาด เน้นหุ้นบริโภคในประเทศที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ลดหุ้นส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะที่ไม่มีสิทธิยกเว้นภาษี ตราสารหนี้ เพิ่มน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและระยะยาว เลี่ยงตราสารหนี้เอกชนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น   อสังหาริมทรัพย์ และลดการถือพันธบัตรอิงเงินเฟ้อจากแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำ สำหรับทองคำ สามารถค่อยๆ เพิ่มการลงทุนระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยง แนะนำถือทองในรูปแบบ USD รับมือค่าเงินบาทผันผวน หรือเข้าซื้อแบบทยอยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน และอยากสนับสนุนให้ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการเงินและสุขภาพอย่างสมดุลและมีวินัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้กับชีวิตและครอบครัว”

นางสาวสิรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติม “บัตรเคทีซีไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการใช้จ่าย แต่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้สมาชิกใช้เงินอย่างมีการวางแผน มีเป้าหมายและมีความรับผิดชอบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างเข้าใจ เพื่อให้สมาชิกเคทีซีได้ใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการใช้จ่าย จากใช้เพื่อความสะดวก เป็นใช้เพื่อคุณภาพชีวิต สำหรับสมาชิกเคทีซีที่ต้องการใช้บริการรับคำปรึกษาสุขภาพเชิงป้องกันผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยี หรือดูแลรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพกับเคทีซีมายาวนาน สามารถรับโค้ดส่วนลด SMVxKTC  เมื่อรับบริการปรึกษาแพทย์ที่ Samitivej Wearable Clinic มูลค่า 800 บาท (ไม่รวมค่าบริการโรงพยาบาล) และชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตเคทีซีผ่านแอปฯ Well by Samitivej ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2568 - 31 สิงหาคม 2568 นอกจากนี้สมาชิกบัตรเคทีซียังจะได้รับส่วนลด 10% สำหรับค่าห้อง และรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัด เมื่อใช้บริการด้านสุขภาพต่างๆ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช และมียอดใช้จ่ายตามกำหนด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/43ajCZd

SPCG กดปุ่มจ่ายไฟโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น เสริมแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

ตอกย้ำความสำเร็จร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมเปิดโครงการ Kagoshima Oura Mega Solar กำลังการผลิต 8.02 MW เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG ตอกย้ำความสำเร็จการร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมพิธีเปิดโครงการ Kagoshima Oura Mega Solar กำลังการผลิต 8.02 MW ในเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่บริษัทร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 และเริ่ม COD ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนมุ่งขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน และเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจรวมถึงความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานในระยะยาว 

ล่าสุด บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเข้าร่วมลงทุนกับ TESS Holdings Co., Ltd. ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Kagoshima Oura Mega Solar ในเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง SPCG ร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 85,282,000 เยน

โครงการ Kagoshima Oura Mega Solar ดำเนินการโดย Kagoshima Oura Solar LLC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 8.02 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีบริษัท Tess Engineering Co., Ltd. ในเครือของกลุ่ม Kazuki Yamamoto และเป็นพันธมิตรของ SPCG มาอย่างยาวนาน รับผิดชอบการดำเนินงานด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง และก่อสร้าง (EPC) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 และดำเนินการส่งมอบโครงการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 รวมถึงเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยมี Kyushu Electric Power Co., Inc. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า เป็นระยะเวลารวม 18 ปี 1 เดือน อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยนต่อหน่วย ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 2/2569 ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งแก่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้มีพิธีเปิดโครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนาย Kazuki Yamamoto ประธานและ CEO ของบริษัท Tess Engineering Co., Ltd. เป็นประธานในพิธีร่วมกับตัวแทนจากบริษัทฯ และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและก่อสร้างโครงการ

“การลงทุนครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SPCG ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ตามเป้าหมายเป็นผู้นำในการลดคาร์บอนและขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด โดย SPCG มุ่งมั่นหาโอกาสขยายการลงทุนในโครงการพลังงานที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่ยั่งยืน” ดร.วันดี กล่าว

‘สวนนงนุช’ เตรียมจัด Nongnooch Plants Expo มหกรรมแสดงพันธุ์ไม้ปูทางยกระดับสู่ตลาดโลก

สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าจัดงาน 'Nongnooch Plants Expo 2025' มหกรรมแสดงพันธุ์ไม้ระดับนานาชาติ ภายใต้แนวคิด 'Innovation – นวัตพรรณไม้ใหม่' ชูความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่สู่ตลาดโลก ยกระดับวงการพันธุ์ไม้ไทยสู่สากลมากขึ้น

ประเทศไทยมีงานมหกรรมพันธุ์ไม้ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอย่างงานสวนหลวง ร.9 ที่จัดขึ้นช่วงปลายปี ดังนั้น สวนนงนุชพัทยาจึงผลักดันให้มีงานลักษณะนี้เพิ่มอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง วัตถุประสงค์ของการจัดงานสนับสนุนและส่งเสริมเกษตรกรผู้ผลิตและเพาะเลี้ยงพันธุ์ไม้ สำหรับประเทศไทยมีผู้ที่เชี่ยวชาญผลิตพันธุ์ไม้แปลกและลูกไม้ใหม่ เป็นจำนวนมาก พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศพบปะและสั่งซื้อพันธุ์ไม้โดยตรงจากผู้ผลิตคนไทย เป็นกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในประเทศและการส่งออก

สำหรับสวนนงนุชพัทยา ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก และยังคงบทบาทสำคัญในฐานะแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์ พันธุ์ไม้และการพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืน ไฮไลต์ภายในงานการแสดงพันธุ์ไม้ใหม่จากผู้พัฒนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อจาก ไต้หวัน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และประเทศไทย มีการออกบูธของผู้ประกอบการกว่า 150 ร้านค้า ระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมเทรดดิชั่น ฮอลล์ 1-3 สวนนงนุชพัทยา  

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nongnoochpattaya.com

‘เอกนัฏ’ ส่ง "ทีมสุดซอย" ปิด บ.กำปั่นทอง เหิมตั้งตัวเป็น “ฟรีโซน” แหล่งรวมขยะพิษ

‘เอกนัฏ’ ส่ง “ทีมสุดซอย” ไล่หวดแก๊งศูนย์เหรียญ หลังขยายผลพบ “บริษัท กำปั่นทอง” ต้นตอแจกดินปนเปื้อนเศษพลาสติกให้ชาวบ้าน พบให้เช่าโกดังคัดแยกขยะพิษ เคยโดนสั่งหยุด-ปรับปรุงกิจการให้ถูกกฎหมาย แต่ยังนิ่ง เหิมตั้งตัวเป็น “ฟรีโซน” ลอบจัดหาขยะพิษให้ลูกค้า 

(4 มิ.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเข้าตรวจสอบและดำเนินคดี บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งได้แจกจ่ายดินปนเปื้อนเศษพลาสติกอันตรายให้ชาวบ้านนำไปถมที่ และตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า ชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ “ทีมสุดซอย” กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) โดยการอำนวยการของ พลตำรวจตรีวัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ ปทส. ได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจนพบ บริษัท กำปั่นทอง อินดัสทรี จำกัด ตั้งอยู่ หมู่ 9 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่โกดังให้เช่าประกอบกิจการ

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบเศษสายไฟถูกฝังกลบในพื้นที่โรงงานและบริเวณท่อส่งแก๊สของ ปตท. ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่ บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด นำไปแจกชาวบ้านเพื่อถมดิน นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิดในการครอบครองและประกอบกิจการคัดแยก บดย่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) จ.ฉะเชิงเทรา เคยเข้าตรวจสอบ บริษัท กำปั่นทองฯ พบว่ามีการประกอบกิจการไม่ตรงตามที่ได้รับอนุญาต จึงได้ออกคำสั่งให้หยุดและแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง แต่จากการเข้าตรวจสอบครั้งล่าสุด บริษัทฯ ยังคงเพิกเฉย จึงจำเป็นต้องสั่งหยุดกิจการ พร้อมยึดและอายัดเครื่องจักรและวัตถุอันตรายทั้งหมด

“ลักษณะการประกอบกิจการของบริษัท กำปั่นทองฯ ทำเหมือนผู้ให้บริการเช่าโกดัง มีหลักฐานการเก็บเงินค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่ายาม ค่าอินเทอร์เน็ตของแต่ละโกดัง ยิ่งกว่านั้นยังทำเสมือนเป็นพื้นที่ฟรีโซนที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย โดยบริการรับจัดหาวัตถุดิบที่เป็นของต้องห้ามนำเข้าในประเทศ เช่น ขยะเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ ชิ้นส่วนรถยนต์ มาให้แต่ละโกดังโดยคิดตามน้ำหนักของรถขนส่งสินค้าที่นำมาส่งให้แต่ละโกดังในแต่ละวัน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุ

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการเข้าตรวจสอบ บริษัท กำปั่นทองฯ มี นายเหว่ย เซิ่น หลิน 
เป็นกรรมการบริษัทและเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งมีโกดังจำนวน 5 หลัง ทั้งหมดปล่อยให้ชาวจีนเช่าทำกิจการคัดแยก บดย่อย เศษสายไฟ มอเตอร์ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้า และเศษอลูมิเนียม แม้ว่าบริษัทฯ จะครอบครองใบอนุญาตโรงงานถึง 5 ใบ แต่กลับแจ้งประกอบกิจการเพียง 1 ใบอนุญาต คือประเภท 105 คัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วโดยไม่ใช่วัตถุอันตราย ซึ่ง สอจ.ฉะเชิงเทรา ได้เคยแจ้งเตือนว่าการประกอบกิจการไม่ตรงตามที่ได้รับอนุญาต และได้ออกคำสั่งให้หยุดและแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง พร้อมแจ้งเตือนให้บริษัทฯ มาแจ้งเริ่มใบอนุญาตที่เหลือ แต่ปรากฏว่าบริษัทฯ ก็ยังคงเพิกเฉย ไม่ดำเนินการใดๆ นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบโรงงานที่ตั้งอยู่นอกรั้วติดกันอีก 2 โรงงาน ก็ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน และพบเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์และมิเตอร์แก๊สอีกด้วย

“บริษัท กำปั่นทองฯ มีใบอนุญาตโรงงานถึง 5 ใบ แต่แจ้งประกอบกิจการเพียง 1 ใบอนุญาต ส่วนอีก 4 ใบ ยังไม่แจ้งเริ่มประกอบกิจการ ซึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทาง สอจ. ฉะเชิงเทรา ได้มีหนังสือเตือนให้แจ้งเริ่มใบอนุญาตภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 หากครบกำหนดจะถือว่าไม่ประสงค์จะประกอบกิจการและจะเพิกถอนใบอนุญาต แต่ปรากฏว่าบริษัทฯ ก็ยังเพิกเฉย” นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวถึงการดำเนินการทางกฎหมายว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ สอจ.ฉะเชิงเทรา ได้ออกคำสั่งให้หยุดกิจการ อายัดเครื่องจักร วัตถุดิบทั้งหมด พร้อมแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงข้อหาครอบครองวัตถุอันตราย และเสนอให้พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานทั้งหมดสำหรับใบอนุญาตที่ยังไม่แจ้งประกอบกิจการ ส่วนกรณีฝังกลบเศษสายไฟบดย่อยถมทับที่บริเวณท่อส่งก๊าซ ปตท. ได้ประสานให้สำนักงานพลังงานจังหวัดมาตรวจสอบ และประสานองค์การบริหารส่วนตำบลเรื่องการลักลอบปล่อยน้ำเสียบริเวณรอบโรงงานด้วย

THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ผู้เข้าชมทะลุ 1.42 แสนคน ยกระดับสู่สากล มูลค่าการค้า!! พุ่งกว่า 1.35 แสนล้านบาท

(3 มิ.ย. 68) กระทรวงพาณิชย์ ประกาศความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติ “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักธุรกิจและผู้ซื้อจากทั่วโลก สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจอาหารของภูมิภาค และแหล่งสำรองอาหารที่มีบทบาทสำคัญของโลก พร้อมเป็นเวทีส่งเสริม “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และยกระดับเศรษฐกิจการค้าของประเทศสู่ระดับสากล

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความสำเร็จของ THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพของผู้ประกอบการไทย แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจจากนานาประเทศต่ออุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างชัดเจน ซึ่งสอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อน Soft Power ของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่มุ่งผลักดันอาหารไทยให้เป็นทั้งจุดแข็งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระดับโลก

“ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักธุรกิจต่างชาติ ไม่เพียงสร้างโอกาสทางการค้าแก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ตอัป แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการสร้างรายได้และการจ้างงานในหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ” นายพิชัยกล่าว

สำหรับผลการจัดงานในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้าจำนวน 3,231 บริษัท 6,208 คูหา จาก 57 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 1,184 ราย และผู้ประกอบการต่างชาติ 2,047 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานรวมทั้งสิ้น 142,370 คน แบ่งเป็นผู้ร่วมเจรจาการค้า 88,349 คน (ชาวต่างชาติ 20,566 คน และชาวไทย 67,783 คน) และประชาชนทั่วไปในวันจำหน่ายปลีกกว่า 54,021 คน

ขณะที่ด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ งานสามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมสูงถึง 135,678.07 ล้านบาท แบ่งเป็น: มูลค่าการซื้อขายในวันเจรจาธุรกิจ: 135,450.25 ล้านบาท (สั่งซื้อทันที: 271.81 ล้านบาท คาดการณ์การสั่งซื้อภายใน 1 ปี: 135,178.44 ล้านบาท) มูลค่าการซื้อขายในวันจำหน่ายปลีก: 227.82 ล้านบาท โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายของผู้ประกอบการไทย คิดเป็นยอดรวม 99,099.28 ล้านบาท

สำหรับประเทศที่มีปริมาณการสั่งซื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ไทย อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น ขณะที่โซนสินค้าที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ Fine Food, Food Technology, Drinks, Frozen Food และ Fruits & Vegetables

งานครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์, หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ซึ่งพร้อมเดินหน้าจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2026 ให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พร้อมยกระดับสู่เวทีการค้าสากลที่รวมเทรนด์และนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 30 พฤษภาคม 2569 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี 

‘พีระพันธุ์’ เผยผลสำเร็จการเจรจาภาคธุรกิจจีน เดินหน้าลดต้นทุนติดตั้งระบบโซลาร์ช่วยคนไทย

‘พีระพันธุ์’ ประสบความสำเร็จเจรจาภาคธุรกิจจีน พร้อมขยายความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์ระบบโซลาร์ราคาถูก ลดต้นทุนการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ภาคประชาชนและธุรกิจไทย   

(2 มิ.ย. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า  การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเจรจาความร่วมมือกับภาคธุรกิจด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจีน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือระบบโซลาร์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง  ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกในการลดภาระค่าไฟของประชาชน และช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมลงด้วย

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า  ในการเยือนจีนครั้งนี้ ตนได้พบปะเจรจากับเจ้าของและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำที่อยู่ในภาคการผลิตอุปกรณ์และระบบพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม  นับตั้งแต่การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ประเภทต่าง ๆ ระบบอินเวอร์เตอร์ทุกขนาด  เครื่องกักเก็บพลังงานและแบตเตอรี่หลากหลายรูปแบบ ไปจนถึงระบบควบคุมและจัดการพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มีการหารือกันเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ระบบโซลาร์ที่มีคุณภาพในราคาถูกลง

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า  จากการเยี่ยมชมและเจรจาหารือกับบริษัทชั้นนำ 6 แห่ง ในนครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลเจียงซู ซึ่งล้วนเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านระบบโซลาร์ในระดับโลก ประกอบด้วย  บริษัท GoodWe Technologies บริษัท Canadian Solar Inc. (CSI) บริษัท Trina Solar บริษัท Changzhou Almaden บริษัท JinkoSolar และบริษัท Sungrow ทุกบริษัทต่างพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในแนวทางที่ตนนำเสนอซึ่งจะมีการประสานงานกันต่อไปเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

“เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกบริษัทที่ได้ร่วมหารือกันในครั้งนี้ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในแนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจของไทย ซึ่งต้องขอขอบคุณทางหอการค้าจีนที่ช่วยประสานการเจรจา โดยเฉพาะท่าน Shi Yonghong รองประธานหอการค้าจีน ที่เดินทางมาจากปักกิ่งเพื่อร่วมคณะเจรจาในครั้งนี้ พร้อมผู้ช่วยที่ดูแลด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโซล่าร์ รวมถึงสถานกงสุลไทยประจำนครเซี่ยงไฮ้ที่ช่วยประสานงานด้านต่าง ๆ” นายพีระพันธุ์กล่าว

การขยายความร่วมมือกับภาคธุรกิจจีนในครั้งนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการออกกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะปลดล็อกกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และส่งเสริมให้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น  เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน และช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ  โดยนายพีระพันธุ์ได้ยกร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในนามของกระทรวงพลังงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว  และเตรียมจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้และจะรีบเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานที่ยั่งยืนให้กับประชาชน

“ผมให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟฟ้าซึ่งกระทบกับค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนไฟฟ้าหลักก็เป็นอีกแนวทางในการลดภาระค่าไฟที่ต้องเร่งทำ  และเร่งหาช่องทางในการเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์ระบบโซลาร์ราคาถูก มีคุณภาพได้มาตรฐาน  ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และต้องทำอย่างจริงจัง” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘ก.พลังงาน’ เพิ่มทางเลือกแหล่งก๊าซผลิตไฟฟ้า จ่อนำเข้า LNG ‘แหล่งอะแลสกา’ 2-5 ล้านตันต่อปี

พลังงาน แจง การซื้อ LNG ผลิตไฟฟ้าต้องถูก ข้อเสนอจากแหล่งอะแลสกา สหรัฐ อเมริกา เป็นการเพิ่มทางเลือก ลดความเสี่ยงในการพึ่งพา กระจายแหล่งซื้อขาย สร้างความมั่นคงในการจัดหาพลังงานให้กับประเทศ จ่อนำเข้าปริมาณ 2-5 ล้านตันต่อปี

(2 มิ.ย. 68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวง ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวกว่า ก๊าซธรรมชาติเหลวจากแหล่งอะแลสกาเป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีศักยภาพในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของไทยในระยะยาว เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การจัดหาก๊าซธรรมชาติของไทย พบว่า ไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ากว่าร้อยละ 58 ของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยที่ก๊าซจากอ่าวไทยสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 60 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ รวมถึง ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต ดังนั้น ไทยจึงมีความจำเป็นต้องนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นในอนาคต 

แหล่งอะแลสกาถือเป็นแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ โดยมีศักยภาพของปริมาณก๊าซสำรองที่พิสูจน์แล้วในพื้นที่ North Slope กว่า 40 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ที่สามารถผลิตและส่งออก LNG ได้กว่า 20 ล้านตันต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2571 ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาถึง 80 ปี มีมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียได้อย่างสะดวกและรวดเร็วผ่านทางมหาสมุทรแปซิฟิกในราคาที่แข่งขันได้ ภายในปี 2574 เนื่องจากเป็นแหล่งก๊าซที่มีขนาดใหญ่ ต้นทุนเนื้อก๊าซต่ำ และสหรัฐฯ มีการใช้เครื่องจักรในการผลิตและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะสามารถขนส่ง LNG มายังไทยได้ภายใน 10-15 วัน ในขณะที่การขนส่งจากแหล่งในตะวันออกกลางใช้ระยะเวลาถึง 20 - 35 วัน ปัจจุบัน โครงการฯ มีความพร้อมที่จะตัดสินใจลงทุน/ดำเนินโครงการ (Final Investment Decision) 

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์มีความพร้อมที่จะประกาศความร่วมมือกับนานาประเทศในระยะเวลาอันใกล้ และมีหลายประเทศได้ให้ความสนใจ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ นอกจากนี้ โครงการผลิต LNG และท่อส่งก๊าซฯ ยังได้คำนึงในด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดตั้งระบบการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในกระบวนการสำรวจและผลิต จึงถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ

“การจัดหา LNG ของไทยนั้น จะคำนึงถึงเรื่องราคาเป็นสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลต่อค่าไฟฟ้า ยิ่งต้นทุนต่ำ ค่าไฟก็มีราคาถูกลง นอกจากประชาชนจะได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมแล้ว ยังดึงดูดให้เกิดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งการใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยี AI, cloud service รวมถึงการขยายตัวของ Data Center โครงการ Alaska LNG จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากราคาถูกแล้ว การขนส่งก็ใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการซื้อจากตะวันออกกลาง อีกทั้งเป็นการเพิ่มแหล่งการซื้อ ไม่พึ่งพาแหล่งใดแหล่งหนึ่งเป็นหลัก ปัจจุบัน กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาปริมาณของการนำเข้า LNG จากแหล่ง Alaska  อยู่ที่ 2-5 ล้านตันต่อปี โดยขึ้นอยู่กับราคาและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเจรจา โดยบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตการเป็นผู้ประกอบการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) ของไทยอยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดของโครงการและพิจารณาความเหมาะสมในเชิงธุรกิจสำหรับการผลักดันความร่วมมือในโครงการ Alaska LNG ร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ ต่อไป” นายวีรพัฒน์ กล่าว

จิ้นห่วย Chin Huay CH ส่งออกสินค้าไทย!! ขายไปทั่วโลก 100 ปี เจริญอุตสาหกรรม ทำยอดขายกว่า 2 พันล้านบาท

1 มิ.ย. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า …

100 ปี เจริญอุตสาหกรรม จิ้นห่วย Chin Huay CH

ขยัน & ประหยัด คือ DNA ของโรงงานเครื่องกระป๋องแห่งแรกๆ ของสยาม คุณทวด ฮวงน้ำ ศรีแสงนาม และคุณปู่ ประชา ศรีแสงนาม ริเริ่มมรดกไว้ให้พวกเราเมื่อปี 1925 ด้วยโรงหมักน้ำปลา&ซีอิ๊ว ที่อำเภอ ท่าฉลอม สมุทรสาคร 

ต่อมาขยายเป็นโรงงานปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง อาหารทะเลอบแห้ง ผลไม้และผักแช่แข็ง และกิจการห้องเย็น 

วันนี้กิจการของเรายังคงผลิตปลากระป๋อง และเสริมทัพด้วยผลไม้อบแห้ง และ ขนมขบเคี้ยว

วันนี้กิจการของเราจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมียอดขายราว 2,000 ล้านบาท

วันนี้กิจการของเราส่งออกสินค้าไทยออกไปมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกตั้งแต่ร้านชำใน China Town ไปจนชั้นวางใน Harrod's

วันนี้กิจการของเราออกไปลงทุนในกัมพูชา และสิงคโปร์

ทั้งหมดวางอยู่บน DNA ของเรา นั่นคือ "ขยัน" "ประหยัด" และ "กตัญญูกตเวที"

NEX ระดมทุนกว่า 3 พันล้านบาท!! เร่งการเปลี่ยนผ่าน พัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทย อย่างครบครัน

(31 พ.ค. 68) บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรชั้นนำของไทย ประกาศความสำเร็จของการระดมทุนเพิ่ม 3,327 ล้านบาท เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของประเทศ

การเพิ่มทุนครั้งนี้ทำให้ NEX มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5,989 ล้านบาท และทำให้บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 49.99% เป็น 77.77% ความร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างครบครัน

"นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของเรา" นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานกรรมการของ NEX และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินของ EA กล่าว "ความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้นนี้ทำให้ EA มีระบบนิเวศ EV ที่สมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเงินทุนเข้าไปที่ NEX เพื่อใช้สำหรับการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด"

กลยุทธ์การใช้เงินทุน

เงินทุนที่ได้รับจะถูกจัดสรรอย่างมีกลยุทธ์เพื่อ:
- ชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าที่ค้างอยู่
- เสริมแกร่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว
- สนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในโครงการโลจิสติกส์สีเขียว
- พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับโซลูชันการขนส่งที่ยั่งยืน

ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาด
NEX ได้ยึดตำแหน่งเป็นผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ one-stop service ชั้นนำของไทย โดยนำเสนอ:
- ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์: รถโดยสาร รถบรรทุก และรถหัวลาก
- โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ: เครือข่ายสถานีอย่างครอบคลุม
- บริการหลังการขาย: ความสามารถด้านการบำรุงรักษาและบริการ

ทั้งนี้บริษัทจะให้บริการหลักแก่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ หน่วยงานราชการ องค์กรขนส่งมวลชน และธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยลูกค้าได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดถึง 2 เท่าของอัตราปกติ

วิสัยทัศน์สำหรับอนาคต EV ของไทย
"เราขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นในภารกิจของเราอย่างต่อเนื่อง" นายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ NEX กล่าว "การระดมทุนครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนภาคการขนส่งเชิงพาณิชย์ของไทยสู่การใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันพัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่พร้อมสำหรับอนาคต"

รากฐานทางการเงินที่ขยายตัวของ NEX สนับสนุนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ให้บริการ Total Green Logistics Solution ที่สมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนที่กว้างขึ้นของไทยและการเปลี่ยนแปลงสู่การขนส่งสะอาดทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top