Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘ภูมิธรรม’ เผย ‘Pride Month’ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ยัน!! รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ‘สมรสเท่าเทียม’

(15 มิ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยการนำของท่านนายกรัฐมนตรี ประกาศสนับสนุนทุกความหลากหลาย ได้ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชนฉลองเทศกาล Pride Month เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ LGBTQIAN+ ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โอกาสในการขยายธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME และสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าโดยการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ด้วย

ซึ่งล่าสุด ได้รับรายงานจากนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ถึงการวิเคราะห์การจัดงาน Pride Month ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและการค้า และการบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ภายใต้นโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ของรัฐบาล ที่มุ่งกระจายการท่องเที่ยวสู่ 55 จังหวัด 'เมืองน่าเที่ยว' ที่มีศักยภาพเสริมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Event ระดับโลก ซึ่งการจัดงานเทศกาล Pride Month จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ (Pride Friendly Destination) ทั้งไทยและต่างชาติที่มีแนวโน้มจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง

ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Ipsos ซึ่งทำการสำรวจประชาชน จำนวน 22,514 คน จาก 30 ประเทศในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2566 ระบุว่า ร้อยละ 9 ของประชากรโลกที่บรรลุนิติภาวะระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และประชากรไทย ร้อยละ 9 ก็ระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้จำนวนประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันอาจมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่คาดการณ์ว่าประชากรที่อยู่ใน Gen Z (เกิดหลังปี 2540) มีแนวโน้มระบุตนเองเป็นผู้มีหลากหลายทางเพศมากกว่าประชากรกลุ่ม Millennial, Gen X และ Baby Boomer จึงเห็นได้ว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ นี้ถือเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญที่สามารถมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจของ LGBT Capital บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินยังพบว่า ในปี 2566 กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกมีกำลังซื้อสูงถึง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยมีกำลังซื้อ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้การจัดงานยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการจัดอีเวนต์ ธุรกิจบริการด้านอาหาร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านการจัดกิจกรรมภายในงานเฉลิมฉลอง อาทิ การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า แฟชั่นโชว์การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในงานรวมทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการขนส่ง ที่ให้บริการรองรับผู้เข้าร่วมงานก็ยังได้ประโยชน์ร่วมด้วย และช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยไทยเริ่มจัดงานเฉลิมฉลอง Pride Month เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542

และปัจจุบันมีการจัดงานอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนในทุกภูมิภาค สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายสินค้าและบริการให้กับท้องถิ่น โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน Pride Month มากกว่า 860,000 คน สามารถสร้าง เงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท

และเพื่อสนับสนุนให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 และได้ประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและปฏิบัติต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเสมอภาคและยั่งยืน ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่พร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยเฉพาะการพัฒนายกระดับธุรกิจบริการของไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำ Soft Power ของไทยมาใช้ดึงดูดและออกแบบการจัดงานของไทยให้โดดเด่น พร้อมกับการจำหน่ายสินค้าและบริการของไทย ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและนันทนาการ อาทิ ซีรีส์วายและซีรีส์ยูริของไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสดงถึงความเปิดกว้าง อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงในการสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่สอดแทรกไปกับการผลักดันสินค้าและบริการชุมชนสู่ตลาดโลก และรัฐบาลเดินหน้า ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมให้สำเร็จด้วย

‘สุริยะ’ มอบ ‘ทางหลวงชนบท’ พัฒนาถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทย รับนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยว 'เมืองรอง' ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน

(14 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้เตรียมพร้อมแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมในทุกมิติให้มีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย

ซึ่งนายสุริยะ ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) พัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบท สำหรับการสนับสนุนการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบัน ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย (Thailand Riviera) ถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.4002 (กม. ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรแล้ว โดยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนสามารถเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น หาดตะวันฉาย หาดละแม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง โดยมีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 19+891 อยู่บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 เชื่อมต่อกับ ทล.4002 (ช่วง กม. ที่ 13+100) ด้านขวาทาง ห่างจากปากน้ำหลังสวน 1.5 กิโลเมตร (กม.) ไปสิ้นสุด กม. ที่ 26+644 ห่างจากหาดละแม 1.5 กม. ผ่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร บริเวณหมู่ที่ 5 บ้านแหลมสันติ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร รวมระยะทาง 6.753 กม. ก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต กว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้เส้นทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างรวม 105.440 ล้านบาท 

ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้พัฒนาเส้นทางเพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงถนนสายรองจากถนนสายหลักเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมเศรษฐกิจในเมืองรอง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างปลอดภัยในทุกเส้นทาง

CEO ใหม่ ปตท. รับลูกรัฐบาล หนุน 'ไฮโดรเจน-พลังงานสะอาด' ช่วยไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(14 มิ.ย. 67) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. พร้อมรับนโยบายรัฐบาลมาปฏิบัติตาม เพื่อร่วมผลักดันให้เป็นไปตาม ‘แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024’ ฉบับใหม่ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้นในสัดส่วน 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

โดย ปตท. เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ดังนั้นจึงจะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศ และ ผลักดันโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) (โดยในร่างแผน PDP 2024 กำหนดสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจน 5% นำไปผสมในเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ สำหรับผลิตไฟฟ้า) เนื่องจากไฮโดรเจนถือเป็นพลังงานสะอาด ที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2608 และ CCS ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคตด้วย

สำหรับปัจจุบัน ปตท. ได้เข้าไปลงทุนในแหล่งไฮโดรเจนในต่างประเทศเพื่อศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยี เช่น ในแหล่งตะวันออกกลาง หากเริ่มมีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ปตท. ก็พร้อมขยายการลงทุนเพิ่ม ประกอบกับถ้ารัฐบาลไทยเริ่มส่งเสริมให้นำไฮโดรเจนมาผสมรวมในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทาง ปตท. ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเช่นกัน รวมถึงจะขยายการใช้ไฮโดรเจนไปสู่ธุรกิจโมบิลลิตี้ (Mobility) ด้วย  

นอกจากนี้ในส่วนของราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวนนั้น ทาง ปตท. ได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยการพยายามควบคุมราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ผ่านมา ปตท. ได้นำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มาผสมในดีเซล เพื่อช่วยแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ และพยายามให้ผลประโยชน์ไปถึงเกษตรกรโดยตรงมากที่สุด

ส่วนกรณีที่ภาครัฐเดินหน้าผลักดันความร่วมมือในการสำรวจปิโตรเลียมในแหล่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ปตท.ยืนยันจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐแน่นอน เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ จะนำนโยบายรัฐบาลมาดำเนินการให้สอดคล้องกับบริบทของธุรกิจ ปตท. โดยคำนึงถึงประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม บนพื้นฐานของความสมดุลทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงาน กำไรที่เหมาะสม และการคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม

สำหรับในด้านธุรกิจนั้น ปตท.เตรียมทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจตามแผนการลงทุน 5  ปีใหม่ (2568-2572) ภายในเดือน ส.ค. 2567 นี้ โดยจะต้องนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ปตท. (บอร์ด ปตท.) อนุมัติต่อไป คาดว่า จะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค. 2567 นี้ ทั้งวงเงินลงทุน ธุรกิจที่จะเร่งเดินหน้าต่อ และธุรกิจที่อาจจะปรับลดขนาด หรือถอยการลงทุนลง เป็นต้น ซึ่ง ปตท.จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง และเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังเห็นแผนการลงทุนที่ชัดเจนออกมาในอนาคต

‘พีระพันธุ์’ ชี้ช่อง ‘ก.เกษตรฯ-ก.พาณิชย์’ แก้ปัญหา ‘ราคาปาล์มตกต่ำ’ ต้องขึ้นทะเบียนลานเท-คุมราคาหน้าลาน-คุยผู้ค้าฯ รับซื้อ B100 ราคาสูงขึ้น

(14 มิ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาการรับซื้อปาล์มจากเกษตรกรที่มีราคาตกต่ำ ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาว่า…

การประชุมดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการประชุม ครม. เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ขอให้ทางกระทรวงพลังงานช่วยดำเนินการให้ผู้ค้าน้ำมัน เช่น บมจ. ปตท. และ บมจ. บางจาก รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ B100 ที่นำมาใช้ผสมน้ำมันดีเซล ในราคาประมาณ 33-35 ต่อกิโลกรัม ตามที่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ประกาศไว้ โดยทางกระทรวงเกษตรฯ เล็งเห็นว่า หากผู้ประกอบการผลิตน้ำมันปาล์ม B100 สามารถขายได้ในราคาสูงขึ้น ก็จะสามารถไปรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบหรือ CPO จากโรงหีบหรือโรงสกัดในราคาสูงขึ้นได้ แล้วโรงหีบหรือโรงสกัดก็จะไปซื้อผลปาล์มจากลานเทในราคาสูงขึ้น ทำให้ลานเทสามารถขยับราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรสูงขึ้นได้ตามลำดับ

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้รับเรื่องที่จะไปตรวจสอบข้อเท็จจริง  และจากการตรวจสอบพบว่ากระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะบังคับให้ผู้ค้าน้ำมันรับซื้อน้ำมันปาล์ม B100 ในราคาที่ สนพ. ประกาศ และประกาศของ สนพ. มีเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของ สนพ. เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาใช้เป็นราคาซื้อขายแบบประกาศของกระทรวงพาณิชย์

นายพีระพันธุ์เสนอแนะว่า หากต้องการจะช่วยเหลือเกษตรกรจริง ๆ แล้ว ควรให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้ลานเทรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตามกฎหมายมากกว่า เพราะปัญหาในปัจจุบันก็คือ ลานเทส่วนมากไม่รับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ ในขณะที่โรงหีบหรือโรงสกัดส่วนใหญ่กลับเป็นผู้รับซื้อผลปาล์มจากลานเทตามราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ

นายพีระพันธุ์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการรับซื้อผลปาล์มที่ลานเทว่า ปัจจุบันยังไม่มีการขึ้นทะเบียนลานเทว่า มีจำนวนเท่าใด ขนาดใด ในขณะที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำราคามาตรฐานของราคาปาล์มในแต่ละขั้นตอนไว้ว่า หากราคาขาย CPO อยู่ที่ 32-33 บาท ราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรที่ลานเทจะต้องอยู่ที่ประมาณ 5.50 - 5.75 บาท ซึ่งปัจจุบันราคา CPO อยู่ที่ 32-33 บาท 

ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ควรต้องประกาศราคารับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรที่ลานเทในราคาไม่ต่ำกว่า 5 บาท จึงจะเป็นการช่วยเกษตรกรได้อย่างแท้จริงมากกว่าการขึ้นราคาซื้อ B100 แต่ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ประกาศราคารับซื้อผลปาล์มที่ลานเทที่ประมาณ 4.10 - 4.50 บาทเท่านั้น ขณะที่ลานเทรับซื้อจริงที่ประมาณ 3.90 บาทเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิดปัญหา

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวในการหารือระหว่างรัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมหารือด้วย ซึ่งรัฐมนตรีทุกท่านเห็นด้วยกับแนวทางที่นายพีระพันธุ์เสนอ โดยตกลงกันว่าจะให้เจ้าหน้าที่พลังงานจังหวัด และพาณิชย์จังหวัด รวมทั้งเกษตรจังหวัด ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบการรับซื้อผลปาล์มที่ลานเทในทุกจังหวัด และกระทรวงพาณิชย์จะไปพิจารณาปรับปรุงประกาศกำหนดราคารับซื้อผลปาล์มตามตารางของกรมการค้าภายในต่อไป

ด้านนายพีระพันธุ์จะมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานหารือขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้รับซื้อ B100 ในราคาที่สูงขึ้น โดยจะกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิต B100 ต้องจัดการให้โรงหีบหรือโรงสกัดและลานเทที่เป็นคู่ค้าในแต่ละช่วงมาทำข้อตกลงว่าจะปรับราคารับซื้อผลปาล์มในแต่ละช่วงขึ้นเป็นสัดส่วนเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่เกษตรกรอย่างแท้จริง โดยที่ประชุมตกลงกันให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ไปกำกับดูแลในพื้นที่และทำการสำรวจและขึ้นทะเบียนลานเทให้ถูกต้องต่อไป 

'บอร์ด ตลท.' เคาะ!! 'อัสสเดช คงสิริ' นั่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14

(14 มิ.ย. 67) แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีมติเลือก นายอัสสเดช คงสิริ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 14 แทนนายภากร ปีตธวัชชัย ที่จะครบวาระในกลางเดือนมิถุนายน 2567 นี้

นายอัสสเดช คงสิริ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ‘ดีลอยท์ ประเทศไทย’ (Deloitte Thailand)

ส่วนประวัติ ‘นายอัสสเดช คงสิริ’ มีประสบการณ์ตลาดเงินตลาดทุนมาเกือบ 30 ปี ในการทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) กว่า 20 ปี โดยได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (M&A)

โดยจบการศึกษาจากโรงเรียนชาร์เตอร์เฮาส์ (Charterhouse School) ปี 2532 ประเทศอังกฤษ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) พร้อมทั้งจบ MIT Sloan School of Management MBA, Financial Management

เริ่มต้นทำงานในตำแหน่งวิศวกรโครงการ (Project Engineer) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มานาน 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2536-2546 และย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ J.P. Morgan ระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2546-2548

ถัดมาได้เข้าร่วมงานกับธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) เป็นระยะเวลาเกือบ 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2548-2555 และเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในช่วงปี 2556-2565 หรือทำงานอยู่เกือบ 10 ปี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ในช่วงที่การบินไทยประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

และนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2565 จนถึงปัจจุบัน ได้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ‘ดีลอยท์ ประเทศไทย’ (Deloitte Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชี 1 ใน 4 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

'รัฐบาล' ไฟเขียว!! ช่วยเหลือค่าปุ๋ยชาวนา 3 หมื่นล้านบาท อุ้มเกษตรกร 4.48 ล้านครัวเรือน รอชง ‘ครม.’ ภายใน มิ.ย.นี้

(14 มิ.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตามที่กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้เสนอ

โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรในการซื้อปุ๋ยครึ่งหนึ่ง และเกษตรกรออกเองอีกครึ่งหนึ่ง รวมวงเงินที่จะใช้ดำเนินการทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท มีปุ๋ยรวมทั้งหมด 14 สูตร ทั้งนี้ คาดว่าจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อให้โครงการสามารถเริ่มได้ทันฤดูการผลิตปี 67/68

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิตในการลดต้นทุนการปลูกข้าวให้เกษตรกร โดยรัฐบาลจะสนับสนุนปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และชีวภัณฑ์ ไม่เกินไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ ให้กับเกษตรกร ในปีการผลิต 67/68 ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ซึ่งมีเกษตรกรปลูกข้าวทั่วไปประมาณ 4.48 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 54 ล้านไร่ และเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 0.20 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 120 ล้านไร่

2 ภารกิจสุดหิน ‘ลดค่าไฟฟ้า-สร้าง SPR’ ใต้บังเหียน ‘พีระพันธุ์’ โจทย์ยากที่ต้องทำให้เกิด แม้เลยเถิดไปขัดขาประโยชน์บางกลุ่ม

เมื่อผลการสำรวจความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนคนไทยต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2567 (ในการบริหารงานครบ 6 เดือน) โดย ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปรากฏออกมา พบว่า ภาพรวมประชาชนมีความพอใจมากถึงมากที่สุดต่อการบริหารงานของรัฐบาล 44.3% โดยนโยบาย/มาตรการ/โครงการของรัฐบาลที่ประชาชนมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุดใน 5 อันดับแรก ได้แก่ นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ 68.4%, มาตรการพักหนี้เกษตรกร 38.9%, มาตรการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 33.1%, มาตรการลดค่าไฟ 32.8% และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ 29.3%

สำหรับเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเร่งด่วน 5 อันดับแรก ได้แก่ ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค 75.3%, ลดค่าไฟฟ้า 46.6%, แก้ปัญหาน้ำมันราคาแพง 29.5%, แก้ปัญหายาเสพติด 26.3% และแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ 16.9%

จะเห็นได้ว่าเรื่องที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องการให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็วที่สุด 2 ใน 5 เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงพลังงานที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำกับดูแลอยู่

ความแตกต่างในเรื่องราวเกี่ยวกับความพอใจของพี่น้องประชาชนคนไทยนั้น มีองค์ประกอบเงื่อนไข ปัจจัยที่อธิบายได้ดังนี้ นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ เป็นนโยบายที่ต่อยอดมาจากนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ซึ่งนพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคนแรก และเป็นผู้บุกเบิกวางรากฐานงานหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย เป็นผู้ที่ได้วางรากฐานเอาไว้ และมีการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี 

ในขณะที่มาตรการพักหนี้เกษตรกร รัฐบาลสามารถให้นโยบายแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ไปดำเนินการได้เลย 

สำหรับมาตรการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นภารกิจของกระทรวงท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งอยู่แล้ว และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบรัฐบาลสามารถใช้กลไกของรัฐที่มีอยู่โดยกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการได้เลย

งานยากที่สุดใน 5 อันดับที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยมีความพอใจก็คือ ‘มาตรการลดค่าไฟ’ เพราะทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การกำกับดแลของคุณคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าการออกใบอนุญาตผลิตกระแสไฟฟ้า การกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า Ft (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวณเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ เป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน

สิ่งที่ ‘พีระพันธุ์’ ทำได้ก็คือ ใช้มาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานเพื่อให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่า Ft ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่พยายามแสวงหาวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ เพื่อทำให้ค่า Ft ต่ำที่สุด เรื่องที่กำลังทำอยู่คือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR: Strategic Petroleum Reserve) โดยนอกจากจะได้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG อันเป็นก๊าซหุงต้มที่พี่น้องประชาชนคนไทยใช้กันมากที่สุดแล้ว การสำรองก๊าซ LNG อันเป็นก๊าซเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของบ้านเราในปัจจุบันก็จะมีการสำรองเก็บไว้ด้วย 

ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่มีเครื่องมือ โดยเฉพาะกฎหมายที่จะช่วยในการดำเนินงานเพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซทั้ง LPG และ LNG ถูกลง และการสำรองเชื้อเพลิงดังกล่าวเป็นเรื่องของเอกชนผู้ค้าน้ำมัน ดังนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจึงไม่มีเชื้อเพลิงสำรองในมือเลย จึงทำให้ภาครัฐไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรองใด ๆ กับภาคเอกชน เพราะหากมีการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) เกิดขึ้นแล้ว กระทรวงพลังงานก็จะถือครองเชื้อเพลิงเองเพียงพอต่อการใช้งานในประเทศ 50-90 วัน ซึ่งปริมาณน้ำมันสำรองดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ภาครัฐมีอำนาจในการต่อรองและเป็นการถ่วงดุลระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงที่สำรองใน SPR จะมีการจำหน่ายหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ภาครัฐสามารถรู้ต้นทุนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้โดยตลอด

ทั้งนี้เมื่อประกอบกับมาตรการที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้ประกาศออกมา อาทิ ประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 เพื่อ ‘รื้อ’ ระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือนซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี และที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการคือ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงพลังงานทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับราคากันทุกวันเช่นปัจจุบันนี้ โดยให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงตามที่ราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาต้นทุนเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมันในงวดเดือนนั้น ๆ ณ วันที่มีการปรับราคานั้น

การลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แม้จะเป็นภารกิจที่สุดหิน แต่ ‘พีระพันธุ์’ ก็เต็มใจทำด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่ง่าย ทั้งอาจขัดผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางพวกบางกลุ่ม ซึ่งต้องใช้เวลาในการออกแบบ จัดทำกฎหมายให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขสูงสุดและสนองตอบความต้องการอันเร่งด่วนของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

‘บีโอไอ’ ชี้ Q1/67 ต่างชาติแห่ลงทุน ‘ไทย’ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่า 228,207 ลบ. สะท้อน!! ความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย

(13 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวภายหลัง บีโอไอ และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน ว่า…

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพและความพร้อมหลายด้านที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะขั้นสูง รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนเชิงรุกจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

โดยที่ผ่านมารัฐบาลและบีโอไอได้เดินหน้าออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการลงทุนในโครงการสำคัญของบริษัทรายใหญ่จากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขการลงทุนทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี ด้วยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 8.48 แสนล้านบาท เติบโต 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น FDI กว่า 6.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 72%

ทั้งนี้ บีโอไอเชื่อว่ากระแสการลงทุนจากต่างประเทศจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปี 67 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย

‘บางกอกแอร์เวย์ส’ อัดเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท ปรับปรุง 2 สนามบิน ‘สมุย-ตราด’ รับนักท่องเที่ยว

(13 มิ.ย.67) นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2567-2569 บริษัทฯ มีแผนลงทุนพัฒนาศักยภาพการให้บริการสนามบิน 2 โครงการ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารของสนามบินสมุย วงเงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา และเตรียมการขออนุญาต รวมถึงการออกแบบในรายละเอียดต่าง ๆ โดยคาดว่า จะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี แล้วเสร็จภายในปี 2568

ในเบื้องต้นได้วางแผนปรับปรุงสนามบินเพื่อเพิ่มจำนวนพื้นที่พักคอย (Boarding gate) ภายในอาคารผู้โดยสาร จากเดิม 7 อาคาร เพิ่มเป็น 11 อาคาร และเพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอิน จำนวน 10 เคาน์เตอร์ รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ด้วย โดยเมื่อโครงการปรับปรุงสนามบินสมุยฯ แล้วเสร็จ จะช่วยรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้สนามบินสมุยมีผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่ 2 ล้านคนต่อปี และขาออก 2 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันมีผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่ 1 ล้านคนต่อปี และขาออก 1 ล้านคนต่อปี

ขณะเดียวกัน การปรับปรุงสนามบินสมุยดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองเที่ยวบินได้ 73 เที่ยวบินต่อวัน จากในปัจจุบันมีเที่ยวบินอยู่ที่ 50 เที่ยวบินต่อวัน สำหรับในขณะนี้ สนามบินสมุยมีจำนวนสายการบินที่เปิดให้บริการรวม 2 สายการบิน คือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และสายการบินสกู๊ต (วันละ 1 เที่ยวบิน และเตรียมเพิ่มเป็นวันละ 2 เที่ยวบินในเร็ว ๆ นี้) นอกจากนี้ ล่าสุดยังมีสายการบินของประเทศทิเบตสนใจเปิดเที่ยวบินมายังสนามสมุยด้วย ซึ่งตอนนี้ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แล้ว

นอกจากนี้ โครงการพัฒนาสนามบินตราด วงเงินลงทุนประมาณ 700-800 ล้านบาท ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการฯ คาดว่า จะเริ่มดำเนินก่อสร้างต้นปี 2568 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1-2 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2569 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว จะใช้พื้นที่ประมาณ 200-300 ไร่ จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ อยู่ห่างจากพื้นที่สนามบินเดิมเล็กน้อย สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 200 กว่าคนต่อเที่ยวบิน จากปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 100 คนต่อเที่ยวบิน ส่วนอาคารผู้โดยสารแห่งเดิม จะปรับปรุงเป็นอาคารคลังสินค้า (Cargo)

ส่วนสนามบินตราด จะดำเนินการขยายระยะทางวิ่ง (Runway) จาก 1,800 เมตร ขยายเป็น 2,000-2,100 เมตร เพื่อให้รองรับเครื่องบินไอพ่นขนาดเล็ก รวมถึงเครื่องบินโบอิ้ง 737, แอร์บัส เอ320, แอร์บัส เอ319 จากปัจจุบันรองรับได้แค่เครื่องบิน ATR72-600 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสนามบินตราดนั้น เนื่องจากบริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มศักยภาพของสนามบินตราดให้สามารถรองรับผู้โดยสารในเที่ยวบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศได้ในอนาคต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดต่อและสนใจที่จะเดินทางมายังสนามบินตราด พร้อมทั้งจะพัฒนาให้เป็นสนามบินนานาชาติ (International Airport) และคาดหวังจะพัฒนาให้คล้ายกับสนามบินสมุยด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องมาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และความนิยมของผู้โดยสารต่อไป

นายพุฒิพงศ์ ยังกล่าวถึงเผยแผนการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ว่า จากข้อมูลของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ใน มิ.ย. 2567 คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปี 2567 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นที่ 17.2% และในปี 2567 อุตสาหกรรมการบินจะสามารถกลับมาสู่ระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ได้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดี บริษัทฯ จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานในหลายมิติ เพื่อตอบสนองความต้องการในการเดินทางในช่วงที่จะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

ทั้งนี้ จากยอดการสำรองที่นั่งบัตรโดยสารล่วงหน้า (Advance Booking) ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในทุกเส้นทาง พบว่า ยอดจองล่วงหน้าช่วง มิ.ย. - ธ.ค. 2567 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนไตรมาส 2 มีการเติบโตขึ้น 3% และไตรมาส 3 ซึ่งถึงเป็นช่วงพีคซีซั่นของเส้นทางสมุย  มีอัตราเติบโตขึ้น 11% โดยเส้นทางสมุยยังเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วน 65% ขณะที่ไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีนั้น มียอดการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 35%

นายพุฒิพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 นั้น ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาภายในว่า จะมีการปรับเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ผลมาจากจำนวนผู้โดยสารที่มีแนวโน้มที่ดี แต่ในเบื้องต้นยังคงเป้าหมายเดิมไว้ โดยจะมีผู้โดยสาร 4.5 ล้านคน มีจำนวนเที่ยวบิน 48,000 เที่ยวบิน ขณะที่อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) อยู่ที่ 86% จากในช่วงไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 80 กว่า % และไตรมาส 2 อยู่ที่ 76-78% โดยมีเป้ารายได้ผู้โดยสารรวม 17,800 ล้านบาท จากราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวบินประมาณ 3,900 บาทต่อที่นั่ง

ปัจจุบันสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มีเครื่องบินทั้งสิ้นจำนวน 24 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินแอร์บัส เอ320 จำนวน 3 ลำ, เครื่องบินแอร์บัส เอ319 จำนวน 11 ลำ และเครื่องบิน ATR72-600 จำนวน 10 ลำ โดยในปี 2567 มีแผนปลดระวางเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 จำนวน 1 ลำ และจะจัดหาเครื่องบินแอร์บัส เอ319 เพิ่มจำนวน 2 ลำ เพื่อเป็นการรองรับอุปสงค์การเดินทางที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น

นายพุฒิพงศ์ ระบุว่า ในปีนี้ บริษัทฯ จะจัดทำเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และออกประกาศเชิญชวนผู้ผลิตเครื่องบินเข้าร่วมเสนอราคาเครื่องบินที่จะนำเข้าเพิ่มฝูงบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในอนาคต โดยในเบื้องต้นมีความต้องการประมาณไม่ต่ำกว่า 20 ลำ อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะทยอยรับมอบเครื่องบินในจำนวนดังกล่าวภายใน 2-3 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ในช่วง 3-5 ปีนี้ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สมีเครื่องบินรวมประมาณ 30 ลำ

Krungthai COMPASS วิเคราะห์เหตุ 'Subaru-Suzuki' หยุดผลิตในไทย สันดาปดรอป ทำตลาดยากขึ้น ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง 5 ปี

(13 มิ.ย.67) Krungthai COMPASS วิเคราะห์ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ค่ายรถยนต์ Subaru และ Suzuki ตัดสินใจหยุดสายการผลิตในไทยนั้น มาจาก…

1) การทำตลาดที่ยากขึ้นกว่าในอดีต สะท้อนจากยอดขายและส่วนแบ่งตลาดที่ปรับตัวลงต่อเนื่องในระยะหลัง จากการที่ผู้บริโภคไทยให้ความสนใจรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ลดลงต่อเนื่อง

ซึ่งเมื่อหันกลับมามองโมเดลรถยนต์ที่ทั้ง Subaru และ Suzuki ใช้ทำตลาดในไทย พบว่าล้วนมีแต่รถยนต์ ICE แทบทั้งนั้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่ 2) ปัญหาการขาดทุนที่สะสมอย่างต่อเนื่อง โดย 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) ค่ายรถยนต์ทั้ง 2 ต้องเผชิญกับผลขาดทุนสุทธิสะสมรวมกันถึง 3,781 ล้านบาท

โดยในเบื้องต้นประเมินว่า เฉพาะเหตุการณ์ครั้งนี้อาจกระทบภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ไทยไม่มาก เนื่องจากทั้ง 2 ค่ายรถยนต์มีสัดส่วนการผลิตไม่สูงนัก โดยคาดว่าการผลิตรถยนต์ลดลงราว 6,500 คัน ในปี 2568 จากคาดการณ์เดิมที่ 1,800,000 คัน เหลือ 1,793,500 คัน

อย่างไรก็ดี นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนแรกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องจับตาต่อไปว่าจะมีค่ายรถยนต์รายอื่น ๆ ต้องหยุดสายการผลิตซ้ำรอยกับ Subaru และ Suzuki หรือไม่ เมื่อการแข่งขันจากยานยนต์ไฟฟ้ารุนแรงขึ้นต่อเนื่อง

ดีลเลอร์ควรพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจต่อไป ทั้งการเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับทั้ง 2 ค่ายรถยนต์ต่อไป หรือจะ Diversity ไปเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับค่ายอื่น ๆ

สำหรับเต็นท์รถมือ 2 มีความเสี่ยงที่อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงในกรอบ -1.4% ถึง -0.4% ตามการปรับลดราคาขาย Subaru และ Suzuki มือ 2 ลงตามราคามือ 1 ที่ลดลง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับอัตรากำไรสุทธิโดยเฉลี่ยของธุรกิจซึ่งค่อนข้างบางที่ 1.2% เต็นท์รถรายใดไม่สามารถปรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้ลดลงได้ตามกำไรขั้นต้นที่หายไปก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขาดทุนได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top