Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘ส้มสายน้ำผึ้งฝาง’ ขึ้นแท่นสินค้า GI ลำดับที่ 5 จ.เชียงใหม่ สีสวย-กลิ่นหอม-หวานอมเปรี้ยว สร้างรายได้สู่ชุมชน 270 ลบ./ปี

(11 มิ.ย. 67) นางสาวกนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ส้มสายน้ำผึ้งฝาง’ สินค้า GI ลำดับที่ 5 ของจังหวัดเชียงใหม่ ต่อจากผ้าตีนจกแม่แจ่ม, ร่มบ่อสร้าง, ศิลาดลเชียงใหม่ และกาแฟเทพเสด็จ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไปก่อนหน้านี้ 

‘ส้มสายน้ำผึ้งฝาง’ มีแหล่งกำเนิดเดิมอยู่ที่จังหวัดยะลา เรียกว่า ‘ส้มพันธุ์โชกุน’ ได้ถูกนำมาเพาะปลูกในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำฝาง ลำห้วยแม่ใจ ลำน้ำแม่มาว ลำน้ำแม่เผอะ เขื่อนแม่มาว เขื่อนบ้านห้วยบอน ห้วยแม่งอน เป็นต้น

รวมไปถึงยังมีน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น้ำอุณหภูมิสูงไหลพุ่งจากใต้ดินขึ้นสู่อากาศ ทำให้สภาพดินอุดมไปด้วยแร่ธาตุเหมาะสมต่อการเพาะปลูกส้มสายน้ำผึ้ง ด้วยแหล่งภูมิศาสตร์นี้ ทำให้ส้มสายน้ำผึ้งฝางสามารถเติบโตได้ดี มีผิวสีเขียวอมเหลือง เขียวอมส้ม มันวาว เนื้อกุ้งฉ่ำแน่น ชานและใยนุ่ม รสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม มีอัตลักษณ์ชัดเจนแตกต่างจากส้มสายน้ำผึ้งจากแหล่งปลูกอื่น

หากเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาว ส้มสายน้ำผึ้งฝางจะมีผิวสีเหลืองอมส้ม มีความโดดเด่น จึงได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน อีกทั้งหน่วยงานในพื้นที่ยังให้การสนับสนุน ยกให้ส้มสายน้ำผึ้งฝางเป็นของดีจังหวัดเชียงใหม่ สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับชุมชนให้พื้นที่กว่า 270 ล้านบาทต่อปี 

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาขอเชิญทุกท่านร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการ GI และอุดหนุนสินค้า GI ไทย โดยติดตามข้อมูลสินค้า GI รายการต่าง ๆ และข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องได้ที่เพจ Facebook : GI Thailand หรือสอบถามเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมทรัพย์สินทางปัญญา 1368

'รมว.ปุ้ย' ยกทีม 'ก.อุตฯ' เชื่อมความสัมพันธ์ 'ไทย-จีน' ปูพรมทางด่วนการค้า 'นครศรีธรรมราช-หนานหนิง'

(11 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผยถึงการยกคณะทำงานของกระทรวงอุตฯ และ 'ดีพร้อม' ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช เพื่อไปปฏิบัติภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับพี่น้องชาวท้องที่-ท้องถิ่น ในการสร้างงานสร้างอาชีพพัฒนาวิสาหกิจในพื้นที่ ท่าศาลา สิชล ว่า...

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปุ้ยได้เข้าพบกับ ท่าน อู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำสงขลาลา และ ท่าน จาง จื้อเหวิน กงสุลพาณิชย์ และคณะผู้ก่อการดีงามเพื่อชาวนครศรีธรรมราช สมชาย ลีหล้าน้อย, รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ยุทธกิจ มานะจิตต์, ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช  'น้ายูร' ประยูร เงินพรหม, ประธานหอการค้านครศรีธรรมราช 'โกหนุ่ม' กรกช เตติรานนท์, กรรมการหอการค้าไทย พี่นนท์ นนทิวรรธ์ นนทภักดิ์, สภาอุตสาหกรรม และ สมาคมพาณิชย์จีน มาร่วมหารือกันในตัวเมืองนครศรีธรรมราช

นครหนานหนิง มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมายาวนานมาก โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช ชาวจีนไหหลำได้อพยพมาตั้งรกรากมานับร้อยปีแล้ว ความสัมพันธ์ทั้งทางประวัติศาสตร์ การเชื่อมโยงผู้คนบรรพบุรุษวัฒนธรรม มีกันมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น

ประเด็นสำคัญ...ปุ้ยได้ถือโอกาสเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการเกษตรบ้านเรา เช่น ทุเรียน, มังคุด, ส้มโอ โดยได้ริเริ่มในการเฟ้นหาผู้ซื้อรายใหม่ ๆ จากนครหนานหนิง มาซื้อตรงจากนครศรีธรรมราช เป็นการทำตลาดผู้ซื้อรายใหม่ และมีหอการค้านครศรีธรรมราช รับอาสาในการเชื่อมโยง เป็นทางด่วนของการค้าระหว่างนครศรีธรรมราช และหนานหนิงเส้นทางใหม่ก็ว่าได้ อันนี้ข่าวดี

รมว.ปุ้ย กล่าวอีกว่า ตนยังได้ยืนยันไปในเรื่องความพร้อมของท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนายกรัฐมนตรีได้มาปฏิบัติราชการที่นครศรีธรรมราช ได้มีการเร่งรัดเรื่องท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ให้เต็มรูปแบบโดยเร็วเรามีความพร้อมสามารถเชื่อมโยงตรงได้ หลังจากนี้จะมีการติดตามขยายผลให้เร็วที่สุดอย่างต่อเนื่อง แล้วปุ้ยจะมาอัปเดตเรื่องนี้เป็นระยะ ๆ ต่อไป 

‘หอการค้าฯ’ ชี้!! บอลยูโรดันเงินสะพัด 8.7 หมื่นล้าน แต่ 6.7 หมื่นล้าน จะมาจากการเดิมพันพนันบอล

(11 มิ.ย.67) นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงฟุตบอลยูโร 2024 จะมีการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ 20,575 ล้านบาท และมีการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจ หรือจากการเดิมพันพนันบอล 67,044 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วงยูโร 2024 จะสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจไทย 87,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งก่อน และมากกว่าฟุตบอลโลกในปี 2022 ที่มีเงินสะพัด 75,000 ล้านบาท

ขณะที่ ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงฟุตบอลยูโร จากกลุ่มตัวอย่างกว่าพันคนทั่วประเทศพบว่าส่วนใหญ่จะใช้จ่ายมากกว่ายูโรครั้งก่อน โดยกิจกรรมที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดคือ การซื้ออาหารและเครื่องดื่ม เฉลี่ยประมาณ 3,700 บาทต่อคน การทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านอาหารประมาณ 4,497 บาทต่อคน และการซื้อสินค้าของที่ระลึกทีมบอล 2,475 บาทต่อคน

นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมการเล่นพนันบอลเพิ่มสูงขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่าง 35.6% บอกว่าตัวเองจะเล่นพนันบอล ส่วนใหญ่พนันเป็นเงินสด โดยเฉลี่ยใช้เงินประมาณ 2,000 บาทต่อนัด หรือเฉลี่ยคนละ 23,574 บาทตลอดฤดูกาล ทีมที่คนไทยส่วนใหญ่เชียร์ 3 อันดับแรกคือ อังกฤษ, เยอรมนี และฝรั่งเศส ขณะที่ทีมที่คาดการณ์ว่าจะได้แชมป์ 3 อันดับแรกประกอบด้วยอังกฤษ, ฝรั่งเศส และสเปน ตามลำดับ

นอกจากนี้ เมื่อเจาะลึกไปถึงกลุ่มผู้บริโภคพบว่า สื่อที่ใช้ในการรับชม ฟุตบอลยูโร 2024 ในปีนี้ TV เป็นสื่อที่กลุ่ม Baby Boom ใช้รับชมมากที่สุด โดยกลุ่มดังกล่าวจะใช้ในการรับชมกับครอบครัว ขณะที่การรับชมผ่าน Website และ ผ่าน APP สตรีมมิ่งจะเป็นที่นิยมของกลุ่ม Gen X และ Gen Z

สิ่งที่น่าสนใจของพฤติกรรมผู้บริโภคในการรับชมฟุตบอลยูโร 2024 ในปีนี้ คือ คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้สถานที่รับชมฟุตบอลนอกบ้านลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงฟุตบอลโลกปี 2022 ‘บ้าน’ เป็นสัดส่วนที่คนไทยมีการรับชมมากที่สุด อยู่ที่ 65.9% เพิ่มขึ้นจาก ฟุตบอลโลก2022 ที่มีสัดส่วน 34.6%

ขณะที่ร้านอาหารมีสัดส่วนการรับชมอยู่เพียง 5.7% ลดลงจาก ฟุตบอลโลก 2022 ที่มีสัดส่วน 20.7 ด้าน ลานกิจกรรม มีสัดส่วนการรับชมอยู่ 5.9% ลดลงจากฟุตบอลโลก 2022 ที่มีสัดส่วน 22.4 และ สถานบันเทิง มีสัดส่วนการรับชมอยู่ที่ 2.9% ลดลงจากฟุตบอลโลก 2022 ที่มีสัดส่วน 22.1% สิ่งที่น่าสนใจคือ บ้านเพื่อน เป็นสถานที่มีการรับชมฟุตบอลยูโร 2024 ที่มีการเติบโตสูงสุด หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 19.6% มากกว่าช่วง ฟุตบอลโลก 2022 ที่มีสัดส่วน เพียง 0.1%

ย้อนอดีต 'ซีพี' ร่วมทุน 'ปตท.-จีน' เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันร่วมกัน แต่ล่ม สะท้อนผู้เล่นจะอยู่ได้ ราคาน้ำมันต้องถูก-ขายง่าย-กระจายกลุ่มลูกค้า

รู้หรือไม่? ซีพีก็เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 2536 ซีพี ร่วมลงทุนกับ 'ซิโนเปค' บริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของจีน จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมชื่อ 'ปิโตรเอเชีย' โดยเชิญการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เข้าร่วมทุนด้วย

ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นที่ ซีพีถือหุ้น 35% / ปตท.ถือหุ้น 35% และซิโนเปค 30%

ปิโตรเอเชีย ภายใต้สัญลักษณ์ 'ช้างแดง' เริ่มเปิดให้บริการในปี 2537 มีสถานีบริการน้ำมัน 37 แห่ง และจุดจ่ายน้ำมันขนาดเล็กอีก 450 แห่งทั่วประเทศ

หนึ่งในจุดขายสำคัญของปั๊มช้างแดงตอนนั้น คือ มีร้านเซเว่นอีเลฟเว่นให้บริการ ในยุคที่ ปตท.ยังคงบริหารร้านสะดวกซื้อแบรนด์ของตัวเอง เช่น จอย, พีพีทีที, สไมล์, ปตท.มาร์ท

แต่ธุรกิจปั๊มน้ำมันช้างแดงไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควร ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 5-7 ล้านบาท หรือตลอดที่เปิดกิจการ ขาดทุนราว 200 ล้านบาท แม้ปรับแผนการตลาดในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เกิดขึ้น ผู้ค้าน้ำมันทุกรายระส่ำ ปิดกิจการจำนวนมาก เอาแค่เฉพาะ ปตท.เจ้าเดียวก็ขาดสภาพคล่องราว 2 พันล้านบาท

จากจุดนี้ ทำให้ทั้ง ซีพี และ ซิโนเปค เสนอถอนทุน และให้ ปตท.เข้าซื้อหุ้นแทนทั้งหมด ขณะเดียวกัน ปตท.ถูกตัดลดงบลงทุนโครงการ ก็เลยจะขายหุ้นปิโตรเอเชียให้กับต่างชาติ เพราะไม่ต้องการแบกรับภาระ

เรียกว่าเป็นเผือกร้อนที่ต่างฝ่ายต่างก็โยนใส่กัน

แม้ว่าช่วงหนึ่ง ปตท.จะเปิดเผยว่ามีบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง 'อาร์โก้' ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ร้านเอเอ็มพีเอ็มในขณะนั้น แสดงความสนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้น แต่สุดท้ายก็ไม่สนใจที่จะซื้อหุ้นแล้ว

ในปี 2541 ซีพีเสนอขายปั๊มน้ำมัน 37 แห่งทั่วประเทศให้กับ ปตท.เพียงรายเดียว เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเนื่องจากขาดทุนสะสมสูงถึง 300 ล้านบาท อีกทั้งยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แต่ ปตท.ก็ตัดสินใจไม่รับซื้อกิจการ เพราะต้องการประคับประคองปั๊ม ปตท.ที่ในขณะนั้นเหลือเพียงแค่ 1,500 แห่งให้อยู่รอด อีกทั้งปั๊ม ปตท.กับปั๊มพีเอหลายแห่งอยู่ติดกัน จะเกิดการแข่งขันกันเอง

อย่างไรก็ตาม ผลที่สุด ที่ประชุมบอร์ด ปตท.เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2541 อนุมัติให้ ปตท.ซื้อปั้มน้ำมันปิโตรเอเชีย 17 แห่ง ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมีทำเลไม่เหมาะสม

จากนั้นในวันที่ 21 ส.ค. 2541 การประชุม 3 ฝ่ายระหว่าง ปตท. / ซีพี และ ซิโนเปค เห็นชอบให้หยุดดำเนินธุรกิจขายปลีกน้ำมัน แต่ยังคงดำเนินธุรกิจจำหน่ายส่งน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรม และดำเนินธุรกิจร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในปั๊ม

ส่วนปั๊มปิโตรเอเชียที่ดูแลโดยตัวแทนจำหน่าย 11 แห่ง ถ้าต้องการดำเนินกิจการต่อ ก็ให้เปลี่ยนเป็นปั๊ม ปตท. แต่ถ้าไม่ต้องการก็ให้ปิดกิจการ เพื่อหยุดความเสียหายต่างๆ

ปัจจุบัน ปั๊มปิโตรเอเชียได้เลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะทุกปั๊มเปลี่ยนเป็น ปตท.หมดจนไม่เหลือเค้าความเป็นปั๊มช้างแดงที่มีอยู่เดิม ขณะที่บางส่วนก็ปิดกิจการไปแล้ว

ความล้มเหลวของปั๊มช้างแดงในอดีต สาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ยึดติดแบรนด์เดิม กระทั่งมาถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ยิ่งซ้ำเติมให้ปิโตรเอเชียอยู่ลำบาก

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไป มีความเป็นไปได้ว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ซีพีลงมาทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เพราะเซเว่นอีเลฟเว่น ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่เป็นร้านสะดวกซื้อตามปั๊มน้ำมัน (Gasoline Store) หรือ G Store ซึ่งในเวลานั้น มีร้านไทเกอร์มาร์ทของปั๊มเอสโซ่ ร้านสตาร์มาร์ทของปั้มคาลเท็กซ์ และร้านซีเล็คของปั๊มเชลล์ ซึ่งแต่ละค่ายต่างหาจุดดึงดูดให้ลูกค้าใช้บริการในปั๊มของตัวเอง

ซีพี จึงก่อตั้งปั๊มน้ำมันของตัวเองภายใต้ชื่อ ปิโตรเอเชีย เพื่อให้เซเว่นอีเลฟเว่นมีสาขา G Store ที่จะมารองรับไลฟ์สไตล์ของคนเดินทาง ภายหลังปั้มปิโตรเอเชียเปลี่ยนเป็นปั๊ม ปตท. ก็ยังคงให้บริการอยู่

ขณะที่ร้านเอเอ็มพีเอ็ม ที่ ปตท.บริหารในปี 2540 โดยมีทิพยประกันภัยร่วมลงขัน ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในความเป็นจริงได้เพียงแค่โลโก้เอเอ็มพีเอ็มมาติดไว้หน้าร้าน แต่ไม่ได้รับเซอร์วิสต่างๆ มาเลย

เมื่อ ปตท.ตัดสินใจเซ็นสัญญาให้เซเว่นอีเลฟเว่นเปิดร้านสะดวกซื้อแทนร้านเอเอ็มพีเอ็มเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2545 กลายเป็นการต่อความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสองธุรกิจยักษ์ใหญ่ มาจนถึงทุกวันนี้

 

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ถ่ายทอดความรู้ 'ยานยนต์-พลังงานยุคใหม่' เสริมแกร่ง 'วิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ-ผู้ประกอบการผลิตอะไหล่ไทย'

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่  หนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ  เสริมสร้างทักษะแรงงานไทยสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน พร้อมดันไทยเป็น EV Hub ของอาเซียน 

เมื่อไม่นานมานี้ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN (ฉางอาน) ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่ เพื่อสนับสนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ ของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังกลุ่มผู้ประกอบการผลิตอะไหล่รถยนต์ภายในประเทศ และการจัดหาพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในอนาคต

นายเซิน ซิงหัว กล่าวว่า "ความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทยไม่เพียงแค่การผลิต และการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังทุ่มเทในการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี และการศึกษาของภาคยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตยานยนต์ที่ยั่งยืนของประเทศ และเสริมสร้างทักษะแรงงานในท้องถิ่นให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้"

ทั้งนี้ ทาง CHANGAN ตั้งเป้าหมายให้ Local Content หรือวัตถุดิบในประเทศของรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และเพิ่มเป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2570 ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น EV Hub อาเซียนในอนาคตอันใกล้นี้

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ดอกเบี้ยขาลงเริ่มต้นแล้ว หวัง 13 มิ.ย.นี้ 'กนง.' จะไม่ขวางโลกอีกต่อไป

(11 มิ.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยว่า ดอกเบี้ยขาลงเริ่มแล้ว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank-ECB) ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์, ธนาคารกลางแห่งแคนาดา ทยอยปรับดอกเบี้ยนโยบายลงแห่งละ 0.25% และคาดว่าจะมีธนาคารกลางอีกหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ยตามมา รวมทั้ง Federal Reserve แห่งสหรัฐอเมริกา

ต้องถือว่าเป็นการประสานนโยบายดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ของโลกอีกครั้งหนึ่ง และเป็นจุดหักเห (Turning Point) ครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพราะการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะช่วยผ่อนคลายนโยบายการเงินและพยุงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน ขณะที่เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มอ่อนตัวลงและเข้าใกล้กรอบเงินเฟ้อของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ แล้ว

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีความผันผวนทางการเงินมากที่สุดประเทศหนึ่ง และมีเงินเฟ้อติดลบและหลุดกรอบล่างมาเป็นเวลายาวนาน ก็เชื่อมั่นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้โอกาสของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งหน้าในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% เสียที และประกาศแผนการลดดอกเบี้ยครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างโปร่งใส และถ้าจะให้ดี พร้อม ๆ กับการลดดอกเบี้ย ธปท. ก็ควรจะออกมาแสดง ความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายต่อประชาชนกับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความผิดพลาดของนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา

ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว ปี 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย หลังจากที่งบประมาณแผ่นดิน 2567 เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนราชการได้เบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนพฤษภาคมเดือนเดียวแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วกว่าเท่าตัว และมีแนวโน้มที่จะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนในระดับสูงจนสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณแผ่นดินประจำปี 2568 ซึ่งมีวงเงินสูงถึงกว่า 3.7 ล้านล้านบาท ก็จะมุ่งเน้นการยกระดับการลงทุนภาครัฐ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. วงเงิน 50,000 ล้านบาท จะช่วยเอื้อให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อมเข้าถึงสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น

"นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นการกระตุ้นการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แล้ว ธปท.ล่ะ จะมัวเพิกเฉยทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ได้อย่างไร" อ.พงษ์ภาณุ กล่าว

‘โบลท์’ เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่ ‘เน้นเช่ามากกว่าซื้อ’  ไม่ต้องแบกภาระระยะยาว - แรงกดดันทางเศรษฐกิจ

(10 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริการ “Subscription Model” กลายเป็นเทรนด์มาแรงแห่งยุคที่สอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ของชิ้นใหญ่ที่เคยถูกให้ความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ที่ควรมีไว้ในครอบครอง งานศึกษาทั้งในและต่างประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ไม่ต้องการแบกภาระระยะยาว บวกกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้การใช้ชีวิตแบบปลอดหนี้เป็นคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น

สอดคล้องกับเทรนด์ที่ ‘โบลท์’ (Bolt) แอปพลิเคชันเรียกรถเจ้าแรกในยุโรป ที่เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่กลางปี 2566 เปิดเผยว่า ขณะนี้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของกำลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากผลสำรวจหลายแห่งพบว่า เหตุผลที่ผู้บริโภคหันมาใช้บริการแอปฯ เรียกรถมากขึ้น เกิดจากมุมมองเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของที่เปลี่ยนไป

จากเดิมที่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) มองว่า การเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่าง ‘บ้าน’ หรือ ‘รถยนต์’ เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่า ปัจจุบันทัศนคติดังกล่าวเปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ให้น้ำหนักกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ Gen Z มองว่า การใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน

‘โบลต์’ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น หนี้สินที่ติดพันต่อเนื่องจากระบบการศึกษา ส่งผลให้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ‘Subscription Model’ จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลายแบรนด์ที่หันมาทำการตลาดด้วยโมเดลดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง วิดีโอ ภาพยนตร์ หรือบริการในรูปแบบอื่นๆ ก็ด้วย

‘ณัฐดนย์ สุขศิริฐานนท์’ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ‘โบลท์’ มีการขยายช่องทางในการวิ่งงานเพิ่มขึ้นราว 19% ขณะที่สถิติการเรียกใช้บริการผ่านแอปฯ โบลท์นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพิ่มขึ้นมากถึง 600% ยอดจำนวนผู้ใช้งานโตขึ้นอีก 800% จำนวนรถยนต์ 4 ล้อ ที่ให้บริการผ่านแอปฯ ก็เพิ่มมากขึ้น สอดรับไปกับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นราว 9.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาสำหรับรายได้ของ บริษัท โบลท์ ซัพพอร์ต เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2566 พบว่า เติบโตจากปี 2565 พุ่งกระฉูด โกยรายได้กว่า 540 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท แม้ขณะนี้พื้นที่ให้บริการจะยังไม่ครอบคลุมเท่ากับแอปฯ เรียกรถเจ้าตลาด แต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีของ ‘โบลท์’ อยู่ไม่น้อย จับตาดูกันต่อไปว่า สมรภูมิที่ห้ำหั่นผ่านสงครามราคาเช่นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

‘บ.ค้าข้าว 8 ราย’ ยื่นประมูลข้าวเก่า 10 ปี จับตา 3-4 ราย กล้าสู้ราคา-พร้อมปิดดีล

(10 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า(อคส.)เปิดให้ยื่นซองเอกสารคุณสมบัติของเอกชนที่สนใจยื่นประมูลข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นตัน ตามโครงการรับจำนำ ที่มีอายุการเก็บ 10 ปี ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ปรากฏว่ามีจำนวน 8 ราย ส่งตัวแทนเข้ายื่นซอง ได้แก่

1)บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัดกำแพงเพชร
2)บริษัท ธนสรร ไรซ์ จังหวัดชัยนาท
3)หจก.อุบลไบโอเกษตร จังหวัดอุบลราชธานี
4)บริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด(มหาชน) จังหวัดอุบลราชธานี
5) บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อา.การเกษตร จังหวัดนครสวรรค์
6) บริษัท ทรัพย์แสงทอง สุพรรณบุรี
7) บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม
8) บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์

ทั้งนี้ อคส. จะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เสนอซื้อและประกาศรายชื่อ ผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งผู้เสนอซื้อสามารถตรวจสอบรายชื่อของผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วนล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ www.pwo.co.th ขององค์การคลังสินค้า

จากนั้น ให้ผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถยื่นซองเสนอซื้อได้ในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 12.00 น. ที่อคส.

สำหรับข้าวที่นำมาประมูล มีปริมาณ 15,000 ตัน จากโครงการรับจำนำข้าว ในปี 2556/57 แยกเป็น 1.คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) รวม 26,094 ตัน หรือ 258,106 กระสอบจาก 24 โรงสี และได้ระบายข้าวสารแล้ว 3 ครั้ง คงเหลือ 11,656 ตัน หรือ 112,711 กระสอบ 2.คลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 9,567 ตัน หรือ 94,637 กระสอบ ซึ่งระบายข้าวสารแล้ว 4 ครั้ง คงเหลือ 3,356 ตัน หรือ 32,879 กระสอบ

แหล่งข่าวในวงการค้าข้าว กล่าวว่า จากดูชื่อบริษัท คาดว่าการร่วมแข่งราคาประมูลในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ที่น่าจะให้ราคาดี 3-4 ร

“ดูจากตัวเลข 8 ราย ที่ยื่นซอง ถือว่าสูงกว่า คาดการณ์” แหล่งข่าว ระบุ

‘ททท.’ เล็งจีบ ‘4 อินฟลูฯดังของจีน’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ หวัง กระตุ้นการท่องเที่ยวไทย หลัง ยอด ‘นทท.จีน’ ต่ำกว่าเป้า

(10 มิ.ย. 67) นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ บินไม่เกิน 6 ชั่วโมง อย่างตลาดเอเชียได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศต้นทางที่ยังไม่ฟื้น ทำให้เม็ดเงินมีไม่เพียงพอในการออกเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาด จีน ญี่ปุ่น ส่งผลให้แนวโน้มทั้งปีของนักท่องเที่ยวเอเชียโตไม่ถึงเป้าหมายที่คาดไว้ แต่ก็มีหลายตลาดในเอเชียที่ไม่ได้แย่ทั้งหมด เพราะบางประเทศเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย โดยประเมินจากสถิติการเดินทางเข้ามาในปัจจุบัน ที่หากแนวโน้มการเดินทางเฉลี่ยต่อเดือนยังสูงกว่าเป้าหมายที่ ททท. คาดการณ์ไว้ มั่นใจว่าจำนวนสะสมทั้งปี 2567 ของตลาดเหล่านี้จะเกินเป้าหมายแน่นอน

นายฉัททันต์ กล่าวว่า มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ วีซ่าเป็นการถาวรให้กับจีน ถือว่าเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมอื่น อาทิ คู่แข่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ร้อนแรงมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยังโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ อย่างจุดหมายปลายทางของภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้หลายคนจะพูดถึงตลาดเวียดนามมากกว่าเดิม รวมถึงมีหลายตลาดออกมาตรการกระตุ้นประชากรให้เที่ยวในประเทศ อาทิ รัฐบาลจีน ใส่เงินจำนวนมหาศาล เพื่อกระตุ้นการเดินทางในประเทศให้คนจีนเที่ยวในจีนมากขึ้น ทำให้ช่วงที่ผ่านมา จีนเดินทางออกนอกประเทศน้อยลง รวมทั้งเดินทางมาไทยไม่มากเท่าที่ควรด้วย

“เรามีหลายตลาดที่นักท่องเที่ยวจากประเทศต้นทางเข้ามาเที่ยวมากกว่าที่คาดไว้ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย แต่ต้องยอมรับว่า ประเทศเหล่านั้นไม่ได้สร้างจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไทยได้เท่ากับตลาดจีน ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดอินเดียดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยสถิติล่าสุดไต่ระดับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 โดยปัจจัยอุปสรรคที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวไปไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้คือ 3.5 ล้านล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจเอเชียยังเติบโตไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ หลายประเทศหันมาใช้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ จีน รัฐบาลจึงต้องกระตุ้นการเดินทางเพิ่มขึ้นผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อเดินให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้” นายฉัททันต์ กล่าว

นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. กล่าวว่า หนึ่งในมาตรการที่เตรียมกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย คือ ททท.เตรียมทาบทาม 4 อินฟลูเอนเซอร์ดังของจีนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่อยู่ระหว่างการทาบทาม เบื้องต้นมีการพูดคุยอยู่ 4 คน คือ จ้าวลู่ซือ (Zhao Lusi) หวังอี้ป๋อ (Wang Yibo) เซียวจ้าน (Xiao Zhan) และไป๋ลู่ (Bai Lu) เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี โดยจะเริ่มคิกออฟตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ ที่จะมีการนำตัวมาสคอต ‘ลาบูบู้ ไทยแลนด์ เอดิชัน’ เข้ามา ต่อด้วยงานหนีห่าวมันท์ ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งตรงกับวันชาติจีน พร้อมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีน และจะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปี 2568 ที่จะมีเทศกาลตรุษจีนและวันครบรอบความสัมพันธ์ไทย-จีนด้วย

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ต้องยอมรับว่า ยอดนักท่องเที่ยวจีนมีการชะลอตัวลง เพราะเป็นช่วงเดือนที่จะมีการสอบเอนทรานซ์ (เกาเข่า) เป็นการสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเด็กนักเรียนจีน ซึ่งโอกาสสอบมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ผู้ปกครองหรือครอบครัวจะหยุดการเดินทางเพื่อเป็นกำลังใจให้บุตรหลานในช่วงสอบก่อน ในช่วงเดือนกรกฎาคม จะเริ่มเห็นการเดินทางอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีการเดินทางเพิ่มขึ้น ไทยต้องเตรียมรับการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากอั้นการเดินทางไปก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย

‘สุริยะ’ กำชับทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับรอง นทท. ไตรมาส 4 เล็งเพิ่ม ‘เที่ยวบินและเส้นทางรถไฟท่องเที่ยวธรรมชาติ-วัฒนธรรม’

(10 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปจัดทำแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ปลายปี 2567 หรือไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ สอดรับกับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

*AOT คาด มิ.ย.-พ.ย.ผู้โดยสารทะลุ 60 ล้านคน

นายสุริยะ กล่าวว่า ได้สั่งการให้บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ไปดำเนินการจัดเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในส่วนของแผนเพิ่มจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอต่อผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ ครอบคลุมผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศที่เดินทางผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

จากการรายงานของ ทอท. พบว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออก 6 ท่าอากาศยานรวม 9,503,475 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.08% และมีจำนวนเที่ยวบิน 61,435 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.90% ขณะเดียวกัน ทอท. ยังได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมจำนวน 60.3 ล้านคน และมีจำนวนเที่ยวบิน 380,000 เที่ยวบิน ดังนั้น เชื่อว่า ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว จึงมีแนวโน้มสูงว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ ทอท. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการในท่าอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง และบริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม ทอท. ยังได้รายงานว่า ล่าสุด ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ดำเนินการติดตั้ง และทดลองใช้เครื่อง Automated Border Channel (ABC) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการตรวจหนังสือเดินทางให้มีความคล่องตัวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นครับ โดยระยะแรกได้ติดตั้งไว้ ณ บริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทางขาออกระหว่างประเทศ โซน 2 จำนวน 13 เครื่อง

*รฟท. เพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรม-ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สั่งการให้จัดเตรียมเพิ่มขบวนรถไฟ ทั้งเส้นปกติและขบวนพิเศษ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนฯ โดยในเบื้องต้น จะเพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย

จากก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในหลายเส้นทาง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในรูปแบบไปเช้า-เย็นกลับ (วันเดย์ทริป) เช่น ขบวนรถไฟนำเที่ยวน้ำตกไทรโยค, ขบวนรถไฟนำเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์, ขบวนรถไฟนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังจัดรถขบวนพิเศษรถจักรไอน้ำนำเที่ยว ไปเช้า-เย็นกลับในวันสำคัญต่าง ๆ

*รฟม.เตรียมขบวนรถเสริม-ช่องทางพิเศษ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมขบวนรถไฟฟ้าและสถานีของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร ทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู และสายสีเหลือง เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ในช่วงไฮซีซั่นไตรมาส 4/2567 เบื้องต้นได้เตรียมขบวนรถเสริมให้บริการในกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น พร้อมทั้ง จัดเตรียมช่องทางพิเศษสำหรับจำหน่ายเหรียญโดยสาร เตรียมไว้ในสถานีที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก

“ผมขอยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้การกำกับดูแล พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้าน และทุกการคมนาคมต้องมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยหากทุกหน่วยงานฯ มีความคืบหน้าของแผนรองรับการท่องเที่ยวสำหรับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะดำเนินการรายงานต่อประชาชนให้ทราบโดยทันที” นายสุริยะ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top