Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

'3 ฟันเฟือง' เดินเครื่องเศรษฐกิจไทยสะดุดหนัก โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องรีบแก้ไข ก่อนจะถึงทางตัน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนพฤษภาคม ทั้งในปัจจุบัน และอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากเดือนก่อน จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีพฤติกรรมระมัดระวังการใช้จ่าย 

ความกังวลของผู้บริโภค ต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย เลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น และคุ้มค่ามากขึ้น ประครองเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ภาพอนาคตทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ดัชนีความเชื่อมั่นของฝั่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ก็ลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

เครื่องจักรหลัก ที่จะช่วยเดินเครื่องเศรษฐกิจ ก็ติดขัด เครื่องจักรตัวแรก 'การส่งออก-นำเข้า' คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ปรับลดตัวเลขประมาณการการขยายตัว เหลือเพียง 0.5-1.5% ลดลงจากที่เคยตั้งเป้าไว้ 3.7% จากช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีน เราเสียเปรียบดุลการค้ามาก ในปี 2565-2566 ติดลบถึงปีละ 1.29 ล้านล้านบาท 

สินค้าจีนทะลักเข้ามาขายในประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ธปท. ประมาณการว่า 41% ของธุรกิจค้าปลีก ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งผลให้ต้องมีการปรับลดราคา เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้

เครื่องจักรตัวที่สอง 'การใช้จ่ายภาครัฐ' การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของภาครัฐ ยังคงล่าช้า และใช้อย่างจำกัด เนื่องด้วยการต้องรอจัดสรรงบประมาณ ให้กับ ‘โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ส่วนที่สามารถเบิกจ่ายได้ก็เหลือเพียงเล็กน้อย ต่อให้สามารถเข็นโครงการแจกเงินดิจิทัลออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะเม็ดเงินในโครงการ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินงบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นเม็ดเงินตัวเดียวกันที่เตรียมจะมีการเบิกใช้จ่ายอยู่แล้ว

เครื่องจักรตัวที่สาม 'การลงทุนของภาคเอกชน' ข่าวการประกาศปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ ของ 2 ค่ายญี่ปุ่น รวมทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยตัวเลข ไตรมาสแรก ปี 2567 มีโรงงานปิดกิจการสูงถึง 367 แห่ง เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา (ไตรมาสแรก 2564-2567) พนักงานถูกเลิกจ้างมากถึง 10,066 คน ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนค่อนข้างมาก ต่างประเทศที่จะมาลงทุนโรงงานใหม่ๆ ยังมีไม่มากนัก 

เมื่อ 3 เครื่องจักรหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นอันสะดุด ราคาน้ำมันเริ่มคุมไม่ไหว ดีเซล พุ่งทะยานเกินระดับ 33 บาทต่อลิตร ย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจขนส่ง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ยังอยู่ในภาวะราคาแพง ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล การบ้าน เล่มหนามากแล้ว คงต้องเริ่มทยอยส่งการบ้าน ก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ จะ ‘เอาไม่อยู่’

‘รมว.ปุ้ย’ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หนุนเอสเอ็มอีทั่วไทย บุกตลาดออนไลน์  กดไลค์!! SME D Bank ผนึก TikTok ลุยสอนไลฟ์ขายสินค้า ติดปีกธุรกิจโตก้าวกระโดด

(9 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน ‘Live commerce กับ TikToker ของแทร่’ Get Started With TikTok จัดโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กับ TikTok Thailand  ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า  หนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หมายถึง รื้อ ลด ปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการให้มากที่สุด และ ‘สร้าง’ สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ   ซึ่งการเติมความรู้ด้านทำตลาดที่ทันสมัยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะใช้การไลฟ์ขายสินค้า หรือ Live commerce ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง    ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้สามารถคว้าโอกาส ผลักดันธุรกิจให้เติบโตก้าวกระโดด จากกำลังซื้อมหาศาลของลูกค้าทั่วโลก ทั้งในและต่างประเทศ นำไปสู่การต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยจากฐานราก 

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย มีความมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านกระบวนการด้าน ‘การเงิน’ ควบคู่กับด้าน ‘การพัฒนา’  ซึ่งการจัดงาน  “Live commerce กับ TikToker ของแทร่” สร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีศักยภาพสามารถจะขยายช่องทางการขายได้อย่างไร้พรมแดนและมีโอกาสสร้างรายได้มหาศาล ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดออนไลน์กว่า 700,000 ล้านบาท และมีเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ขณะที่ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

ที่ผ่านมา SME D Bank และ TikTok Thailand จับมือจัดกิจกรรมเติมความรู้ การทำตลาดออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาอย่างต่อเนื่อง กระจายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ  สำหรับการจัดงาน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ที่รวบรวมคนดังบนโลกออนไลน์ในแพลตฟอร์ม TikTok  หรือ ‘TikToker’ ที่เป็นคนในพื้นที่ กว่า 15 ราย มียอดวิวรวมกันกว่า 10 ล้านวิว เช่น  ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม (Miss Thailand Universe 2007) ,  คิตตี้นาตาชา (ทองเพชรเอวSศัลย์), ช่างเถอะ พี่ปี้ เป็นต้น มาถ่ายทอดประสบการณ์ “Live สด ขายสินค้า” อีกทั้ง มีกิจกรรม Workshop แนะนำเทคนิคสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ ช่วยยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าสู่การตลาดยุคดิจิทัล รวมทั้ง มีการออกบูธจำหน่ายสินค้าของดีประจำท้องถิ่นกว่า 30 ราย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ควบคู่กับมีบริการพาเข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมกิจกรรมเสริมศักยภาพธุรกิจจาก SME D Bank ได้ฟรี  รวมถึง ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

‘อ.พงษ์ภาณุ’ วิเคราะห์!! เหตุผลที่รายได้รัฐพลาดเป้า โครงสร้างภาษี-การจัดเก็บล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ทำไมรายได้รัฐพลาดเป้า?' เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การจัดเก็บภาษีอากรพลาดเป้าไป 40,000 ล้านบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 เป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพื่อดูแลสังคมและเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้ และการคลังยังขาดดุลและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง

การที่รายได้รัฐต่ำกว่าประมาณการอาจมีสาเหตุหลายประการ…

- ประการแรก เป้าที่ตั้งไว้สูงเกินไปไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง 
- ประการที่สอง ภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ 
- และประการสุดท้าย โครงสร้างภาษีและการบริหารการจัดเก็บล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ

การตั้งประมาณการรายได้ที่สูงเกินไปมีอันตรายเพราะจะทำให้รัฐบาลโน้มเอียงที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายสูงเกินตัว เมื่อเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าก็จะต้องกู้เงินในจำนวนที่มากกว่าที่วางแผนไว้ ส่วนภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรง สำหรับสาเหตุสุดท้ายจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพราะโครงสร้างและการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรไม่ได้รับการปรับปรุงขั้นพื้นฐานมายาวนาน

เริ่มจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเริ่มนำมาใช้เมื่อมีการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในปี 2535 ได้มีการออกแบบให้มีฐานกว้างและจัดเก็บที่อัตรา 10% แต่ปรากฏว่าฝ่ายการเมืองได้ประกาศลดอัตราลงเหลือ 7% มาตลอด 30 ปี และยังมีการกำหนดรายรับขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีไว้ที่ระดับสูง ทำให้ฐานภาษีแคบลง นอกจากนี้การซื้อขายสินค้าและบริการแบบออนไลน์ยังทำให้การจัดเก็บรั่วไหลอีกด้วย

ภาษีเงินได้นิติบุคคลยังคงจัดเก็บโดยยึดหลักสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) ซึ่งเป็นหลักการที่ยึดถือมาเกือบ 100 ปีและอาจไม่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งธุรกิจสามารถเลือกตั้งถิ่นฐานในประเทศที่มีภาษีต่ำหรือไม่มีภาษี (Tax Heaven) แล้วให้บริการข้ามพรมแดนแบบออนไลน์ โดยที่ประเทศต้นทางที่เป็นแหล่งกำเนิดของรายได้ไม่ได้อะไรเลย

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็มีฐานภาษีที่พรุนไปด้วยรายการยกเว้นลดหย่อนภาษีมากมาย ทำให้รายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เติบโตเร็วเท่าที่ควรจะเป็น ค่าลดหย่อนหลายรายการมีมากเกินความจำเป็นและไม่มีความคุ้มค่า สมควรทีจะมีการทบทวนและพิจารณายกเลิกเพื่ออุดรูรั่วของฐานภาษีและเพื่อสร้างความยุติธรรมระหว่างผู้เสียภาษี

ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเริ่มที่จะมีการจัดเก็บตามหลักการภาษีคาร์บอนอยู่บ้างในกรณีสินค้ารถยนต์ แต่ก็มีใช้การลดภาษีสรรพสามิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว การอุดหนุนราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นพลังงาน Fossils นอกจากจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่สวนทางกับประชาคมโลกที่พยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำตามความตกลงปารีสอีกด้วย วันนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องจริงจังกับภาษีคาร์บอนได้แล้ว

นับจากการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่เมื่อปี 2535 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้ว่าการปฏิรูปประเทศจะเป็นเหตุผลหลักของการรัฐประหารเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ดังนั้น จึงขอฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่จะดำเนินการปฏิรูปภาษีอย่างจริงจังเสียทีเพื่อให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง

'เพจดัง' ชี้!! มีเศรษฐีรวยเงียบ ที่ 'ไม่มีเกียรติแต่มีกิน' รอให้เก็บภาษีอยู่อีกมาก ในจังหวะรายได้รายเดือน (ไม่สูง) จากคนที่อยู่ในระบบ เป็น 'เดอะแบก'

(8 มิ.ย.67) จากข้อความของเพจ 'คนงาม ฟินเน่' ซึ่งได้โพสต์เนื้อหา ระบุว่า...

อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน ผมเคยเห็นคนขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ใต้ทางด่วน 
ขายได้วันละ 7-8 พัน เดือนนึงกำไรไม่ถึงแสนก็เฉียดแสนต่อเดือน
ผมเคยเห็นคนขายไส้กรอกย่างชิ้นละบาท
ปั่นซาเล้งขายตอนกลางคืนขายได้วันละ 4-5 พัน  กลางวันขับรถคันเป็นล้านไปจ่ายตลาด
ผมเคยเห็น คนเข็นรถผลไม้
ขายได้วันละ 2-3 พัน แต่ขอโทษกำไรพวกนี้ 70%  เดือนๆ นึง มีเก็บเฉียดแสน
ผมเคยเห็นคนขายส้มตำไก่ย่าง
ขี่มอร์ไซค์พ่วงขายกับเมียสองคน
จอดตามไซด์งานก่อสร้าง จอดตามปั๊มน้ำมัน 
วันนึงมีกลับบ้าน 6-7 พัน กำไรครึ่งนึง เดือนนึงเกือบแสน
ผมเคยเห็นคนขายซูชิ 5 บาทตลาดนัด
ซื้อบ้านเงินสดหลังละ 5 ล้านมาแล้ว
ก็เล่นขายได้วันละ1-2 หมื่น จะซื้อไม่ได้ ได้ยังไง
5 บาทก็จริง เลือกไปเลือกมาคนเดียวเกือบร้อย!
คนเหล่านี้ รวยเงียบๆ
แม้ไม่ได้ใส่สูททำงานห้องแอร์
แต่ขอโทษ...พวกนี้เดือนนึงหาเงินได้มากกว่า
พนักงานทั่วไปถึง 10 เท่า
อย่าได้ดูถูกอาชีพเหล่านี้
อย่าได้ดูถูกคนที่เสื้อผ้า และสิ่งที่เห็น
คนพวกนี้ไม่มีหรอกนะบัตรเครดิต เขามีแต่เงินสด! คนพวกนี้มนุษย์เงินสด มนุษย์เงินล้าน 
ถ้าไม่ดีจริง เขาไม่ทิ้งนามาเข็นผลไม้ขายเต็มกรุงเทพหรอก
อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน
ขอบคุณบทความ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ขอบคุณภาพประกอบจาก สะพานใหม่

***ขณะที่เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อความจากโพสต์ดังกล่าว ในมุมของเหล่าเศรษฐีรวยเงียบ ไว้ด้วยว่า...

เป็นบทความให้พลังบวกที่อ่านแล้วประทับใจมาก…จนอยากให้สรรพากรหาแนวทางเก็บภาษีจากเศรษฐีรวยเงียบเหล่านี้ซักที

กำไรเป็นแสนต่อเดือนแบบนี้ รายได้ต้องระดับสองแสนต่อเดือน แบบนี้ภาษีเงินได้ขั้น 20% ต้องได้สัมผัสแล้วนะ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่หากินเงินภาษีจากคนที่อยู่ในระบบเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ส่วนมากแล้วเป็นพนักงานออฟฟิศ ลูกจ้าง ข้าราชการ ที่รายได้ไม่ได้สูงอะไรมากมาย 

เป็นชนชั้นกลางที่ทำงานทั้งเดือนเพื่อรับเงินเดือนมากินสองอาทิตย์แรกของเดือน

เศรษฐกิจใต้ดิน (Black Market) ระดับ 50-70% ของ GDP ของประเทศไทยนี่คือ เงินภาษีอีกมหาศาล 

มีเศรษฐีรวยเงียบรอให้เก็บภาษีอีกเยอะ

ภารกิจสุดท้าทาย 'รัฐสภาไทย' เดินหน้าลดโลกร้อน ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้สัมภาษณ์พูดคุยผู้บริหารของหน่วยงานต่าง ๆ ในสัปปายะสภาสถาน ถึงทิศทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี จำกัด และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการในการเดินหน้าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรัฐสภาไทย ได้กล่าวถึงความเป็นมาของภารกิจนี้ ว่า...

"รัฐสภาไทยมีคณะกรรมการเรื่องของ สภาสีเขียว ในการผลักดันให้รัฐสภาไทยเป็นต้นแบบสำคัญในการลดโลกร้อน ซึ่งมีการประชุมและตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นเพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน ปี ค.ศ. 2050 ซึ่งท้าทายมาก ในขณะที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าบนเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 ปัจจุบันรัฐสภาไทย มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (Carbon Footprint) ประมาณ 22,000 ตันต่อปี มาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า รองลงมาคือ กระดาษ และขยะ ซึ่งวันนี้หน่วยงานต่าง ๆ ในรัฐสภาได้ขับเคลื่อนอย่างจริงจังเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ เช่น หอสมุดรัฐสภา และสำนักการพิมพ์รัฐสภา เป็นต้น"

ด้าน คุณศิริพร โหตรภวานนท์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานหอสมุดรัฐสภา กล่าวว่า หอสมุดรัฐสภาได้เริ่มดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เนื่องจากได้เข้าร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากจัดการสิ่งแวดล้อมภายในหอสมุด เช่น การจัดการขยะ การรีไซเคิล (Recycle) การรียูส (Reuse) 

"ในปัจจุบันได้แบ่งงบประมาณจัดซื้อหนังสือจากเดิมในรูปแบบกระดาษเป็นรูปแบบอีบุ๊ก (e-Book) มากขึ้น นอกจากนี้ยังรณรงค์สร้างการตระหนักรู้ไปยังข้าราชการรัฐสภา เจ้าหน้าที่ของหอสมุด โดยมีการนำวัสดุอุปกรณ์ใช้แล้วมารียูส กระตุ้นเตือนเรื่องปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้งาน ใช้กระดาษ 2 หน้าอย่างคุ้มค่า จัดโซนแยกขยะต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า หอสมุดเรามีถุงผ้าใส่หนังสือให้บริการ และมีการดิจิไทเซชั่น (Digitization) หนังสือ เอกสารแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลจำนวนมาก เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงได้ทางเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเดินทางมายังหอสมุด โดยหอสมุดรัฐสภาได้เข้าร่วมโครงการสำนักงานสีเขียวของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาสและสิ่งแวดล้อม และได้รับเครื่องหมาย G-green ระดับดีเยี่ยม (G-ทอง) ระดับประเทศใน ปี พ.ศ. 2566"

ด้าน คุณวารุณี แก้วสอาด ผู้อำนวยการสำนักการพิมพ์รัฐสภา กล่าวถึงแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักการพิมพ์รัฐสภาว่า หลัก ๆ จะมุ่งเน้นการลดกระดาษในการพิมพ์ ซึ่งปัจจุบันลดลงประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย

"ในอดีตรัฐสภาไทย ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นต์ กว่า 1,000 ตัน หรือประมาณบอลลูน 1 ลูก แต่ปัจจุบันสำนักการพิมพ์สามารถลดลงมาได้ 50% เหลือเพียง 500 ตัน นอกจากนี้สำนักการพิมพ์รัฐสภาได้จัดทำโครงการ ใต้ร่มสีเขียว เพื่อสร้างความตระหนักรู้และรณรงค์การลดโลกร้อนให้กับข้าราชการรัฐสภา เจ้าหน้าที่ในสำนักการพิมพ์ประมาณ 100 คน เป็นโครงการที่สร้างการมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน โดยทุกคนสามารถนำเสื้อผ้าของใช้มาแบ่งปัน หรือสินค้าเกษตรที่ปลูกอยู่สามารถนำมาขายได้ อีกประเด็นคือเรื่องน้ำเสียที่ปล่อยคาร์บอน ประมาณ 500 ตัน ซึ่งสำนักการพิมพ์เรามีบ่อพักน้ำเสียของเราเอง โดยมีการจัดการน้ำเสียอย่างถูกต้อง ถูกกรรมวิธีเกี่ยวกับการลดโลกร้อน นอกจากนี้เรายังได้นำอุปกรณ์เหลือใช้จากไม้พาเลทมาทำประโยชน์ เช่น ทำโต๊ะ เก้าอี้ ซุ้มกาแฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสำนักการพิมพ์รัฐสภา ได้เข้าร่วมโครงการสำนักงานสีเขียวของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและได้รับเครื่องหมาย G-green ระดับดีเยี่ยม (G-ทอง) ระดับประเทศใน ปี พ.ศ. 2565"

ท้ายสุด ดร.ก้องเกียรติ ได้กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐสภาไทย มีพื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่สีเขียวประมาณ 100,000 ตารางเมตร คิดเป็น 20% ของพื้นที่รวม ซึ่งถือว่าเป็นรัฐสภาที่มีพื้นที่สีเขียวอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งการมีพื้นที่สีเขียวมีประโยชน์ เนื่องจากต้นไม้ช่วยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ช่วยลดโลกร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของข้าราชการรัฐสภา เจ้าหน้าที่ และหน่วยงานต่างๆ อย่างจริงจัง จึงเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่สำคัญเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของรัฐสภาไทย ภายใน ปี ค.ศ. 2050 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น

'ซูซูกิ มอเตอร์' ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยสิ้นปี 2568 ปรับแผนนำเข้ารถจาก 'ญี่ปุ่น-อินเดีย-อินโดนีเซีย' มาจำหน่ายแทน

ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศยุติการผลิตรถยนต์ซูซูกิ ที่โรงงาน อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ช่วงปลายปี 2568 หันนำเข้ารถจากญี่ปุ่น อินเดีย และอินโดนีเซียแทน พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ปี 2567 ย้ำไฮบริด EV มาแน่

(7 มิ.ย.67) ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ออกแถลงการณ์วันนี้ว่า ซูซูกิตัดสินใจยุติการผลิตที่โรงงานประเทศไทย คือ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (SMT) ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนโครงสร้างการผลิตของซูซูกิทั่วโลก

ตามที่รัฐบาลไทยได้มีการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์อีโคคาร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในเวลาดังกล่าวซูซูกิได้สมัครเข้าร่วมโครงการและก่อตั้ง SMT ขึ้น ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจึงได้มีการเริ่มดำเนินการผลิตขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา

โดยสามารถผลิตและส่งออกได้มากถึง 60,000 คันต่อปี ทั้งนี้ด้วยการส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอนและการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของทั่วโลก ซูซูกิได้มีการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระดับโลก จึงได้ตัดสินใจยุติการดำเนินการของโรงงาน SMT ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 นี้

แม้จะมีการยุติการดำเนินการของโรงงานในประเทศไทย แต่ SMT จะยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในการจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยต่อไป ซึ่งจะมีการปรับแผนธุรกิจเป็นการนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในภูมิภาคแถบอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย

นอกจากนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนและให้สอดคล้องในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายของภาครัฐ บริษัทฯ จะมีการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ รวมถึง HEVs เข้าสู่ตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน

สำหรับยอดขายรถยนต์ซูซูกิ 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.67) ทำได้ 2,587 คัน ลดลง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนข้อมูลงบทางการเงินพบว่า บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขาดทุนสุทธิ 2 ปีติดต่อกัน โดยปี 2565 ขาดทุนกว่า 80 ล้านบาท และปี 2566 ขาดทุนกว่า 264 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีรายงานจาก ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ว่า รถยนต์ที่ผลิตภายใต้โครงการอีโคคาร์ ที่โรงงานระยองยังคงจะผลิตและทำตลาดในประเทศจนถึงภายในปี 2568 (มิใช่หยุดในสิ้นปีนี้)

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนการรองรับดูแลช่วยเหลือพนักงานภายหลังยุติการผลิตที่โรงงานระยองอย่างเหมาะสม

ปรับตำแหน่งสถานีราชวิถี Missing Link ย้ายจุดเพื่อเชื่อมต่อเข้า รพ.รามา โดยตรง!!

เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.67) เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความถึงความคืบหน้า โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางช่วงบางซื่อ-มักกะสัน และบางซื่อ-หัวลำโพง ในส่วนของสถานีราชวิถี ที่จะมีการปรับตำแหน่งมาเป็นสถานีโรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า...

บอร์ดรถไฟ ตีกลับ #MissingLink ปรับตำแหน่งสถานีราชวิถี ทำไม? ย้ายตำแหน่งสถานีข้ามฝั่งแยก เพื่อความสะดวกของผู้โดยสาร พร้อมเชื่อมต่อเข้า รพ.รามา โดยตรง!!

จากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่ การรถไฟฯ ได้เอาโครงการรถไฟสายสีแดง ช่วง Missing Link บางซื่อ-หัวลำโพง-หัวหมาก เข้าที่ประชุมบอร์ด การรถไฟฯ เพื่อขออนุมัติ แต่ถูกสั่งให้กลับไปปรับแก้ตำแหน่งสถานีราชวิถี ให้เลื่อนมาทางใต้ของแยกราชวิถี เพื่อตรงกับโรงพยาบาลรามาฯ เพื่อความสะดวกของผู้โดยสารและผู้ป่วยที่เดินทางมาโรงพยาบาลฯ 

ตามลิงก์นี้ 
https://www.thansettakij.com/business/economy/597004

ซึ่งจริงๆ เรื่องการเลื่อนตำแหน่งสถานีราชวิถีนี้ ได้เคยมีการศึกษาและออกแบบ และนำเสนอแผนในการประชุมของกระทรวงคมนาคม ตั้งแต่กลางปี 2565 ซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการ เพื่อให้บอร์ดรับทราบและตีกลับให้มาแก้ตามแผนที่ทำการศึกษาปรับตำแหน่งไป

>> รายละเอียดการย้ายตำแหน่ง สถานีราชวิถี

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตำแหน่งสถานีราชวิถี เดิมตามการศึกษาสายสีแดง อยู่บริเวณ ด้านเหนือของแยก อุภัยเจษฎุทิศ ซึ่งจะติดกับกระทรวงพัฒนาสังคม 

แต่ในแผนการล่าสุด จะย้ายลงมาทางใต้ของแยก อุภัยเจษฎุทิศ ซึ่งจะเป็นบริเวณเดียวกับ ที่หยุดรถรพ.รามา ในปัจจุบัน

แต่ในตำแหน่งนี้มีข้อจำกัดที่ทับซ้อน กับสถานีรถไฟหลวงจิตรลดา และ ติดกับวังจิตรลดา ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมในด้านมุมมอง และความสูงของอาคารสถานี จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบสถานี และทางขึ้น-ลง ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนด

ซึ่งตามมติของ บอร์ดรถไฟ จะมีการเปลี่ยน เป็น สถานีโรงพยาบาลรามาธิบดี 

>> รูปแบบ สถานีโรงพยาบาลรามาธิบดี

จากแบบเดิม จะมีทางขึ้น-ลง 4 ด้าน แต่ตามข้อจำกัดของตำแหน่งใหม่ ทำการลดทางขึ้น-ลง ฝั่งถนนสวรรคโลก ติดกับวังจิตรลดา ออก ให้มาขึ้น-ลงฝั่ง ถนนกำแพงเพชร 5 เป็นหลัก 

พร้อมกับเชื่อมต่อกับอาคารศูนย์เชื่อมต่อใหม่ ของ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งจะติดกับสถานี และทำ Skywalk เชื่อมไปบนถนนราชวิถี ไปยัง Skywalk บนถนนพระราม 6 

พร้อมกับการแก้ไขรูปแบบสถานีให้มีผนังบังสายตา ฝั่งที่ติดวังจิตรลดา และสะพานเชื่อมโรงพยาบาลรามาธิบดี มีการทำผนังกั้น เพื่อเป็นไปตามข้อกำหนด ของสำนักพระราชวัง

ซึ่งจากการปรับแบบต่างๆ จะต้องมีการเพิ่มงบประมาณ อีก 400 ล้านบาท พร้อมกับมีการปรับแก้แบบให้สอดคล้องกับโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ซึ่งจะเป็นคนที่ก่อสร้างทางวิ่งใต้ดินเนื่องจากใช้โครงสร้างร่วมกัน

หวังว่าการปรับแบบสถานีเสร็จจะไม่ติดขัดอะไรและเริ่มเดินหน้าโครงการได้เร็วๆ นี้ 'ซักที' ครับ!!!

CHANGAN เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV  คาด!! ดีลในประเทศเบื้องต้น 3,600 ล้านบาท จาก 67 บริษัท

(6 มิ.ย.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 บีโอไอ และบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด ได้ร่วมกันจัดงาน ‘CHANGAN Sourcing Day’ ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ สำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ฉางอาน จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ Interior and Exterior Group, Stamping Group, Sealing and Sound Absorption Group, Aluminum Die-Casting Group, Suspension System Group และ Electrical Parts Group โดยการจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมงานเพื่อรับฟังนโยบายการจัดซื้อชิ้นส่วนและหลักเกณฑ์การเข้ามาเป็น Supplier ของบริษัท จำนวนกว่า 400 คน จาก 233 บริษัท โดยในจำนวนนี้ มีบริษัทที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเจรจาธุรกิจในครั้งนี้จำนวน 78 คู่ ครอบคลุมชิ้นส่วนหลักๆ ตามความต้องการของฉางอาน เช่น High Voltage Harness, Outside Door Handle, E-Drive, Cross Car Beam (Die Casting), Intelligent Thermal, Outside Door mirror และ Headlining/Carpet ซึ่งจากการประเมินผลเบื้องต้น พบว่าการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ จะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 3,600 ล้านบาท จาก 67 บริษัท

ทั้งนี้ ฉางอาน เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตยานยนต์อันดับต้นๆ ของจีน มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่า 40 ปี ยอดขายสะสมกว่า 26 ล้านคัน และในปี 2566 มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 2.55 ล้านคัน อีกทั้งเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรม โดยมีบุคลากรในทีมวิจัยและพัฒนากว่า 18,000 คน เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ฉางอาน ได้ประกาศแผนสร้างฐานการผลิตในไทย โดยมีเงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาแห่งแรกของบริษัทที่อยู่นอกประเทศจีน และเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และแอฟริกาใต้ โรงงานจะตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง กำลังการผลิตรวม 100,000 คันต่อปี และจ้างงานกว่า 2,000 คน โดยได้วางศิลาฤกษ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2568 นี้ 

‘ที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 4 ราย ได้แก่ BYD, NETA, MG และ BMW ได้ทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 42,000 ล้านบาท โดยการจัดงาน CHANGAN Sourcing Day ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศใน Tier ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดซื้อชิ้นส่วน การว่าจ้างผลิต หรือการร่วมมือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาสู่ผู้ประกอบการไทย ซึ่งบริษัท ฉางอาน ได้แสดงถึงความตั้งใจจริงที่จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดยได้ประกาศเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากถึงร้อยละ 60 ภายในปีแรก และจะเพิ่มถึงร้อยละ 80 ภายใน 5 ปีอีกด้วย’ นายนฤตม์ กล่าว

'สุริยะ' แง้มข่าวดี 'ดูไบ พอร์ต เวิลด์' สนลุยแลนด์บริดจ์-ปธ.จ่อบินมาดูงานเอง พร้อมเผย!! หากร่างกม.แล้วเสร็จ เปิดประมูลโครงการได้ปลายปี 68 

(6 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า ได้เข้าพบหารือกับบริษัทประธานบริษัท 'ดูไบ พอร์ต เวิลด์' ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก มีธุรกิจเรือเดินสมุทรถึง 1,700 ลำ และบริหารท่าเรือในหลาย 10 ประเทศ   ซึ่งบริษัทดังกล่าวแสดงความสนใจที่อยากมาลงทุนในประเทศไทย โดยจะเดินทางมาประเทศไทยภายในเดือนนี้ ขณะนี้กำลังเคลียร์ตารางงานอยู่ 

ส่วนความพร้อมของประเทศไทยในโครงการนี้ยืนยันว่า ในแง่การศึกษาเบื้องต้นค่อนข้างชัดเจนว่ามีประโยชน์ต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยดูจากการที่มีบริษัทในต่างประเทศที่รัฐบาลได้ชักชวนก็ให้ความสนใจ แต่โครงการนี้สำคัญที่สุด คือภาคเอกชน ที่จะตัดสินใจในการลงทุน ว่าโครงการนี้จะเดินต่อไปได้หรือไม่ แต่เท่าที่พูดคุยบริษัทชั้นนำ จากกรุงโรม อิตาลี, ดูไบ และจีน มีบริษัทชั้นนำให้ความสนใจในโครงการนี้ จึงมั่นใจว่าโครงการนี้เกิดขึ้นแน่   

ทั้งนี้การเดินสายโรดโชว์แต่ละประเทศถือว่าสิ้นสุดแล้ว และเตรียมความคิดเห็นที่เดินทางไปแต่ละประเทศ มาลงในรายละเอียด ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. หรือ ร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ ก่อนนำเสนอสู่ ครม. และนำเข้าสู่สภาได้ในสมัยประชุมสภาสามัญนี้  

ทั้งนี้นายสุริยะ ยืนยัน เมื่อ ร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ แล้วเสร็จ จะสามารถเปิดประมูลโครงการได้ ในปลายปี 2568 

‘รัดเกล้า’ เผย ‘ครม.’ เห็นชอบมติเอเปกพัฒนาท่องเที่ยวใน ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ พร้อมหนุน ‘ท่องเที่ยวใส่ใจธรรมชาติ’ หวังดัน ‘ท่องเที่ยวไทย’ สู่เวทีระดับโลก

(6 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน 2567 สาธารณรัฐเปรู ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปก ครั้งที่ 12 ขึ้น เพื่อให้ประเทศสมาชิกรับทราบและรับรองผลการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเอเปก ปี พ.ศ. 2563-2567 รวมทั้งมอบนโยบาย และกำหนดทิศทางการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยในการประชุมจะได้ร่วมกันรับรองร่างเอกสาร 3 ฉบับ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (4 มิ.ย. 2567) ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติแล้ว ได้แก่

1.ร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปก ครั้งที่ 12 
2.ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายหลักการในการป้องกันและลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 
และ 3.ร่างแนวคิดโครงการแพลตฟอร์มเอเปกเพื่อเผยแพร่โอกาสความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายในภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการและการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

ในขณะที่ ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เป็นโครงการวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู ซึ่งได้ระบุเกี่ยวกับปัญหาของการทำอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขยะอาหารในภาคการท่องเที่ยว และได้มีข้อเสนอแนะ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหลักการของเอเปกให้เป็นรูปธรรม และร่างแนวคิดโครงการฯ ที่มีเป้าหมายในการสร้างแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในภาคการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน การถ่ายทอดความรู้ การแลกเปลี่ยนโอกาสด้านความร่วมมือที่มีอยู่ และการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ทั้งนี้ ร่างเอกสารฯ จำนวน 3 ฉบับ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของเขตเศรษฐกิจเอเปก เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นการแสดงถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว และกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อย่างครอบคลุมและยั่งยืน รวมถึงยังเป็นการสนับสนุนบทบาทเด่นของประเทศไทยในเวทีนานาชาติด้วย

“โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงการท่องเที่ยวในหลายทิศทาง ทั้งแนวความคิดที่มีต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และใส่ใจรับผิดชอบ และรูปแบบที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางหลักของการประชุมนี้ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมเดินหน้ากับเอเปกส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประเพณี สร้างงาน กระจายรายได้ให้แก่ท้องถิ่น” นางรัดเกล้ากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top