Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘สุริยะ’ เร่งดัน ‘พ.ร.บ.ตั๋วร่วม’ ใช้ภายในปี 68 พร้อมสานต่อนโยบาย รฟฟ. 20 บาท ตลอดสาย

(13 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาโดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม

นายสุริยะ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมที่ผ่านมา และผลการศึกษาโครงการศึกษาจัดทำแผนการกำกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผน การขนส่งและจราจร (สนข.) โดยผลการศึกษาด้านนโยบายและแผนได้กรอบแนวทางและข้อเสนอแนะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม สำหรับระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โครงสร้างค่าโดยสารร่วมและส่วนลดค่าโดยสารการเดินทางข้ามระบบ และอัตราค่าธรรมเนียมทางการเงินในระบบตั๋วร่วม แผนปฏิบัติการด้านการกำกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม แผนการลงทุนและการพัฒนาระบบตั๋วร่วม แผนพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเดินทางและค่าโดยสาร แผนและแนวทางการติดตามประเมินผล

นายสุริยะ กล่าวต่อไปว่า สำหรับด้านกฎหมายได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนแผนดังกล่าวให้ไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฯ ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ในระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ สนข. เร่งรัดการเสนอร่าง พ.ร.บ. ฯ เพื่อกระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในปี 2568 พร้อมทั้งให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน การพัฒนาและการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมถึงการส่งเสริมและอุดหนุนประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้ระบบขนส่งด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนลดข้อจำกัดจากสัญญาสัมปทานเดิม

ทั้งนี้ นายสุริยะ เผยว่า ได้มอบหมายให้ สนข. กรมการขนส่งทางราง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร ดำเนินการออกประกาศที่เกี่ยวข้อง ภายหลังจาก พ.ร.บ. ฯ มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม

สำหรับร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ประกอบด้วย 7 หมวด และบทเฉพาะกาล (45 มาตรา) ดังนี้
การกำหนดคำนิยาม (มาตรา 1 - 4)
-หมวด 1 คณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (มาตรา 5 - 13)
-หมวด 2 การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (มาตรา 14 - 23)
-หมวด 3 การดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (มาตรา 24)
-หมวด 4 อัตราค่าโดยสารร่วม (มาตรา 25 - 28)
-หมวด 5 กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม (มาตรา 29 - 34)
-หมวด 6 การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต (มาตรา 35 - 36)
-หมวด 7 โทษทางปกครอง (มาตรา 37 - 40)
-บทเฉพาะกาล (มาตรา 41 - 45)

“กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วนั้น จะสามารถสนับสนุนการดำเนินงานการพัฒนาและส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในเดือนมีนาคม 2569 ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก มีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างยั่งยืน เพื่อความอุดมสุขของประชาชนอย่างแท้จริง” นายสุริยะ กล่าว 

‘ไทย’ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ‘ประเทศน่าเยี่ยมชมที่สุด ปี 2024’ จุดขาย!! ‘อาหาร-ศิลปวัฒนธรรม-สถานที่ท่องเที่ยว’

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 67 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณทุกการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าภาพที่ดีจนไทยได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดในปี 2024 (World’s Best Countries To Visit In Your Lifetime, 2024) รวมทั้งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงทุกปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย

ขณะเดียวกัน การจัดอันดับในครั้งนี้ดำเนินการโดยนิตยสาร CEOWORLD ซึ่งเป็นนิตยสารด้านธุรกิจชื่อดัง ใช้วิธีจัดอันดับโดยการเก็บข้อมูลความคิดเห็นจากผู้อ่านมากกว่า 295,000 ราย ที่มีต่อ 67 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ และประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดเป็นอันดับ 1 (World’s Best Countries To Visit In Your Lifetime) ในปีนี้ ด้วยคะแนนร้อยละ 72.15

โดยทางนิตยสาร CEOWORLD ระบุว่า การท่องเที่ยวในประเทศไทยทำให้ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวหลากหลาย เช่น สีสันยามค่ำคืน อาหารอร่อย ศิลปะและวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา แหล่งช็อปปิ้งที่ขึ้นชื่อ แม่น้ำลำคลองที่คดเคี้ยวอย่างสวยงาม วัดของศาสนาพุทธ ตลาดกลางคืน ตลาดน้ำ และสวนสาธารณะสุดพิเศษ

สำหรับผลการจัดอันดับประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดประจำปี 2024 โดยนิตยสาร CEOWORLD ที่น่าสนใจ 10 อันดับแรก มีดังนี้…

- ประเทศไทย ได้คะแนนร้อยละ 72.15
- กรีซ ร้อยละ 67.22
- อินโดนีเซีย ร้อยละ 65.15
- โปรตุเกส ร้อยละ 64.32
- ศรีลังกา ร้อยละ 60.53
- แอฟริกาใต้ ร้อยละ 59.76
- เปรู ร้อยละ 59.76
- อิตาลี ร้อยละ 57.77
- อินเดีย ร้อยละ 57.65
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร้อยละ 57.38

ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค หรือ Tourism Hub ซึ่งการเป็น Tourism Hub นั้น ถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ประเทศไทยที่รัฐบาลมุ่งนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในทุกมิติ โดยในปีนี้รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายรายได้ทางการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และจะทวีเพิ่มมากขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญคือ

การยกระดับประสบการณ์ โปรโมตการท่องเที่ยวไทยในทุกมิติ ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยก่อนการเดินทาง ให้ข้อมูลสำคัญกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่บนเครื่องบิน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในสนามบิน สร้างความประทับใจด้วยมัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวที่มีมาตรฐาน สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

อีกทั้งยังมีการชูเอกลักษณ์ไทย หรือเสน่ห์ไทย นำเสนอเรื่องราว และเพิ่มมูลค่าด้วยการนำจุดแข็งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมมาเป็นจุดขาย ได้แก่ Must Beat มวยไทย, Must Eat อาหารไทย, Must Seek วัฒนธรรมไทย, Must Buy ผ้าไทย และ Must See โชว์ไทย

นอกจากนี้ เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองใกล้เคียง อาทิ เส้นทาง Lanna Culture เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง เส้นทาง UNESCO Heritage Trail มรดกไทย มรดกโลก ผ่านเส้นทางสุโขทัย-กำแพงเพชร และนครราชสีมา เส้นทาง NAGA Legacy นครพนม สกลนคร บึงกาฬ ตามรอยตำนานศรัทธาพญานาคเส้นทาง Paradise Islands ตรัง-สตูล หมู่เกาะแห่งอันดามันใต้ สวรรค์แห่งท้องทะเล เส้นทาง The Wonder of Deep South ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส ใต้สุดแห่งสยาม มนต์เสน่ห์แห่งพหุวัฒน

ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้น Hub of ASEAN เปิดประตูการท่องเที่ยวสู่อาเซียนให้สามารถเชื่อมโยงการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานให้การเดินทางท่องเที่ยวไร้รอยต่อ

ตลอดจน World Class Event Hub ให้ไทยเป็นศูนย์รวม World Class Experience จากการนำ Event ระดับโลกเข้ามาจัดแสดงในประเทศ ทั้งด้านดนตรี กีฬา อาหาร ไลฟ์สไตล์ ศิลปและวัฒนธรรม อาทิ จัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ Summer Sonic Bangkok 2024, KAWS Arts, Moto GP, Volleyball World Championship เป็นต้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ และชื่อเสียงให้กับประเทศ

‘ศาลปกครองสูงสุด’ ยกฟ้องคดี ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ด้าน ‘รฟม.’ ฉลุยเซ็นฯ ‘BEM’ เข้ารับงานทั้งระบบ

(12 มิ.ย. 67) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางยกฟ้องในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ฉบับลงวันที่ 24 พ.ค. 65 และเอกสาร

สำหรับการคัดเลือกเอกชนที่มีการ เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติและ หลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชนให้แตกต่างจากหลักเกณฑ์เดิมตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563

โดยศาลปกครองสูงสุดระบุเหตุผลว่า ประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 24 พ.ค.65 และเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน ที่ออกโดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ไม่มีลักษณะประการใดที่จะทำให้เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ คดีนี้เป็นคดีสุดท้ายที่มีการฟ้องเกี่ยวกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มหลังจากมีการต่อสู้กันมายาวนานกว่า4ปี ซึ่งหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในวันนี้จะทำให้ รฟม.สามารถเซ็นสัญญากับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ในฐานะผู้เสนอผลตอบแทนสูงสุดให้กับภาครัฐได้ภายในปีนี้

‘รมว.ปุ้ย’ หารือ ‘เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น’ ย้ำความร่วมมืออุตฯ ‘ไทย-ญี่ปุ่น’ ยืนยัน!! พร้อมหนุนรถยนต์สันดาปภายใน ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV

(12 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับนายโอตากะ มาซาโตะ (H.E. Mr. OTAKA Masato) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นภาพรวมและโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในอนาคต

รวมถึงนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และนโยบายด้านการจัดการซากรถยนต์ในอนาคต (Future End of Life Vehicle Policy) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567

โดยมีนายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และนางสาวนลินี กาญจนามัย รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคาร สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่มาลงทุนและสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้รับความร่วมมือที่ดีจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) เข้าพบเพื่อรายงานสรุปผลแนวโน้มทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วย

“สำหรับความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างประเทศไทยให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน นายกรัฐมนตรีนายเศรษฐา ทวีสิน ก็มีนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และพร้อมสนับสนุนยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า

ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กำลังรวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการ เพื่อประเมินทิศทางของอุตสาหกรรมต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีแผนการตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular บนพื้นที่ 5,000 ไร่ เพื่อรองรับการจัดการกากของเสียต่าง ๆ ในอนาคตด้วย”

ด้านนายโอตากะกล่าวว่า วันนี้ยินดีที่ได้มีโอกาสได้พูดคุยหารือถึงการขยายการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นที่มาลงทุนในประเทศไทย รู้สึกยินดีที่ทราบว่ารัฐบาลไทยจะยังคงให้การสนับสนุนยานยนต์ ICE และไฮบริด และทางญี่ปุ่นเองก็พร้อมสนับสนุน และที่สำคัญยังมีความยินดีที่จะให้คำปรึกษาเรื่องนิคมอุตสาหกรรม Circular การจัดการพลังงาน รวมถึงเรื่องกากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้

‘บีวายดี’ หั่นราคาแบตรถอีวี สูงสุดแตะ 3 แสน คาดสงครามราคารอบนี้ ทำ ‘ค่ายญี่ปุ่น’ หวั่นหนัก

(12 มิ.ย.67) ประกาศล่าสุดของ กลุ่มบริษัท เรเว่ ผู้ทำตลาดให้กับรถยนต์ไฟฟ้า บีวายดี (BYD) จากประเทศจีน สร้างความฮือฮาแก่ผู้ใช้อีวีอย่างมาก เนื่องจากมีการปรับราคาจำหน่าย Blade Battery ในรถ BYD ทุกรุ่น (ไม่รวม VAT)

ประกอบด้วย...

>> BYD ATTO 3
รุ่น Standard Range แบตเตอรี่ราคา 320,121.50 บาท
รุ่น Extended Range แบตเตอรี่ราคา 378,102.80 บาท

>> New BYD ATTO 3
รุ่น Dynamic และ Premium แบตเตอรี่ราคา 344,691.59 บาท
รุ่น Extended แบตเตอรี่ราคา 378,102.80 บาท

>> BYD DOLPHIN
รุ่น Standard Range แบตเตอรี่ราคา 309,364.49 บาท
รุ่น Extended Range แบตเตอรี่ราคา 378,102.80 บาท

>> BYD SEAL
รุ่น Dynamic แบตเตอรี่ราคา 451,289.72 บาท
รุ่น Premium แบตเตอรี่ราคา 534,728.97 บาท
รุ่น AWD Performance แบตเตอรี่ราคา 536,411.21 บาท

ทั้งนี้ ราคาที่ระบุทั้งหมดยังไม่รวม VAT

ก็น่าจับตาว่า การลดราคาแบตครั้งนี้จะกระทบกับราคาขายปลีกของบีวายดีอีกหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้บีวายดีลดราคาทุกรุ่นไป สูงสุดเกือบ 2 แสนบาท ทำให้เกิดสงครามตัดราคาอย่างหนักในตลาดรถยนต์อีวี และกระทบส่วนแบ่งการตลาดจากค่ายรถญี่ปุ่น ที่เคยเป็นเจ้าตลาดก่อนหน้านี้ไปด้วย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต่อสัญญา 10 ปี ขยายฐานการผลิตรถ EV ในไทย

(12 มิ.ย. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวไทยและสานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกาศลงนามต่อสัญญาว่าจ้างกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี ในฐานะพันธมิตรระยะยาวที่มีบทบาทในการประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 

รวมถึงขานรับนโยบายผลักดันแนวคิด Circular Economy ประเดิมด้วยการส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 MWh ซึ่งรวบรวมมาจากแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้ทดสอบในกระบวนการผลิต ให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ สนับสนุนการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมไทย รวมถึงการยกระดับบุคลากรไทย และสนับสนุนการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้มีมาตรฐานระดับโลก

‘พีระพันธุ์’ ร่าง กม. แยกค่าใช้จ่ายอื่นออกจาก ‘ต้นทุนน้ำมัน’  ปิดช่องผู้ค้าน้ำมัน ผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์และระบบรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ ครั้งที่ 15/2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาร่างแนวทางการจัดตั้งสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพทางด้านราคาเชื้อเพลิงของประเทศไทย 

ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่านายหน้าจากการซื้อขายน้ำมันดิบมายังโรงกลั่นในประเทศไทย โดยนายพีระพันธุ์กำลังยกร่างกฎหมายเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนำ ‘ค่านายหน้า’ และค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ ‘ค่าใช้จ่ายโดยตรง’ ในการได้มาซึ่งน้ำมันมาคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ต้นทุนน้ำมัน’ ซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้แทนในท้ายที่สุด 

“เรื่องหนึ่งที่เป็นกังวลเกี่ยวกับต้นทุนน้ำมันในวันนี้ ก็คือ เรื่องค่านายหน้าและค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายโดยตรงในการซื้อน้ำมัน ถ้าคุณสามารถเอาค่านายหน้ากับค่าใช้จ่ายพวกนี้มาบวกกับค่าน้ำมันแท้ ๆ คุณก็สามารถเอาค่าโน่น ค่านี่มาบวก ทำให้ต้นทุนสูง เลยต้องขายราคาเท่านั้นเท่านี้ พอเป็นอย่างนี้ เราไม่รู้ว่าต้นทุนน้ำมันที่แท้จริงคือเท่าไหร่ เพราะเขาเอารายจ่ายอย่างอื่นที่ไม่มีเหตุจําเป็นมารวมตรงนี้ด้วย ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันไม่มีกฎหมาย มันก็เลยกลายมาเป็นภาระของประชาชน เพราะเราก็ไม่สามารถที่จะไปตรวจละเอียดได้หมดทุกรายการ แต่ถ้าเรามีกฎหมายแยกไว้เฉพาะ โดยกําหนดไว้ว่า สิ่งที่คุณจะมาบวกเป็นต้นทุนน้ำมัน คือ 1. ค่าน้ำมันจริง ๆ 2. ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ส่วนเขาจะมีค่านายหน้าหรืออ้างค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเนื้อน้ำมันแท้ ๆ ก็มีไป แต่เอามารวมไม่ได้ คุณอยากให้บริษัทคุณมีภาระเยอะ ๆ เพื่อจะไปลดกําไร เพื่อไม่ต้องเสียภาษีเยอะ หรืออะไร ก็เลือกทำได้ตามสบาย แต่คุณจะเอาค่าใช้จ่ายพวกนั้นมาโยนให้ประชาชนผ่านต้นทุนน้ำมันไม่ได้ สิ่งที่เราไม่มีวันนี้คือ เรายังไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจทำแบบนี้ แต่นี่คือสิ่งที่ผมกำลังทำเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว

นอกจากนี้ ประชุมได้พิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงในต่างประเทศ เช่น รัสเซีย และ สปป.ลาว รวมถึง กฎหมายพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุมได้พิจารณาข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องน้ำมันเชื้อเพลิง โครงสร้างราคาน้ำมัน และกฎหมายพลังงานของหลายประเทศทั่วโลก เพื่อศึกษาการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงในต่างประเทศ ทั้งด้านรูปแบบการจัดเก็บ ที่มาของเนื้อน้ำมัน โครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บ แหล่งเงิน การบริหารจัดการ และองค์กรที่กำกับดูแล เพื่อร่างแนวทางการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายการจัดเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงในภาพรวมไม่น้อยกว่า 90 วัน (ปัจจุบันไทยมีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายโดยภาคเอกชนอยู่ที่ 25 วัน) โดยกลไกการบริหารจัดการในส่วนนี้จะดำเนินการผ่าน สำนักงานสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงแห่งชาติ (สสนช.) ซึ่งเป็นองค์กรที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ทำหน้าที่กำกับและออกคำสั่งไปยังภาคเอกชน เพื่อให้ภาคเอกชนดำเนินการเกี่ยวกับการสำรองน้ำมันของภาครัฐ  

สำหรับแนวทางการดำเนินการในระยะเริ่มต้นนั้น จะมีการร่างกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงและบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินรวม 6 ฉบับ และจะมีการถ่ายโอนภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปยัง สำนักงานสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงแห่งชาติ (สสนช.) ซึ่งเป็นองค์กรที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ รวมทั้ง การเตรียมการจัดหาพื้นที่สำหรับการเก็บสำรองน้ำมัน

ทั้งนี้ ระบบสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SPR มีประโยชน์ในภาพรวม โดยสามารถช่วยป้องกันและแก้ไขการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วยลดต้นทุนการซื้อน้ำมันจากต่างประเทศในช่วงตลาดโลกราคาสูง และยังสามารถเพิ่มบทบาททางการค้าของไทยในฐานะศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคได้ด้วย

เคาะแล้ว!! รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ปรับขึ้นราคาอีก 2 บาท เริ่ม 17 บาท สูงสุด 45 บาท จาก 43 ดีเดย์ 3 ก.ค. 67

(11 มิ.ย. 67) นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

ทั้งนี้ เนื่องจากสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกำหนดให้มีการปรับอัตราค่าโดยสารทุก ๆ ระยะเวลา 24 เดือน หรือ ทุก ๆ 2 ปี โดยอัตราค่าโดยสารปัจจุบันจะครบกำหนด 24 เดือน ในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ ทำให้การคำนวณอัตราค่าโดยสารใหม่ตามดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) จะมีอัตราเริ่มต้น 17 บาท สูงสุด 45 บาท และจะมีผลบังคับใช้ 24 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2567

รายงานข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน​แห่งประเทศไทย​ เปิดเผยว่า รฟม.ได้เสนอการขึ้นราคาค่าโดยสารให้ ครม.พิจารณา การขึ้นค่าโดยสารเป็นไปตามดัชนีผู้บริโภค ทำให้การขึ้นค่าโดยสารจะมีผลทันทีในวันที่ 3 กรกฎาคม​นี้ โดยอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 17 - 45 บาท จากปัจจุบัน​อัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 17 - 43 บาท

‘ครม.’ ไฟเขียว!! จัดสินเชื่อ 5 พันล้าน ช่วย ‘เอสเอ็มอี’ เข้าถึงแหล่งทุน โฟกัสกลุ่ม 'ท่องเที่ยว-สุขภาพ-อาหาร' ตามแนวทาง IGNITE THAILAND

(11 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ 2 โครงการเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือ 1. โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท และ 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (PGS 11) วงเงินค้ำประกัน 50,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะจัดสรร วงเงินชดเชยดอกเบี้ย 8,275 ล้านบาท

ทั้งนี้ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครั้งนี้ รัฐบาลเชื่อว่า จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินของรัฐได้สะดวกมากขึ้น และในการปล่อยกู้ครั้งนี้จะขยายไปถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และสถาบันการเกษตรที่เป็นนิติบุคคลด้วย

โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ‘IGNITE THAILAND’ เพื่อสนับสนุนเงินทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่...

1.ศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) 

2. ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub) 

และ 3.ศูนย์กลางอาหาร (Agriculture & Food Hub)

ทั้งนี้มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ‘IGNITE THAILAND’ ธนาคารออมสิน จะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อวงเงินรวม 5,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 10 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 10 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.5% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ปลอดชำระเงินต้น 6 เดือน โดยรัฐบาลจะรับภาระชดเชยดอกเบี้ย 1,150 ล้านบาท

‘โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND จะช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเป้าหมาย เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกตามที่รัฐบาลประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ไว้’

ส่วนโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (PGS 11) กำหนดวงเงินค้ำประกัน 50,000 ล้านบาท โดยใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อได้รับสินเชื่อตามโครงการได้เพียงพอกับความต้องการดำเนินธุรกิจ โดยฟรีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันใน 2 ปีแรก และค่าธรรมเนียมเพียง 0.75% ต่อปี ในปีที่ 3 - 4 โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย 7,125 ล้านบาท

'แม่ค้าไก่สด อ.เบตง' โอด หลังราคาไก่สดปรับขึ้นกิโลฯ ละ 10 บ. ส่งผลกระทบหนัก ‘ทุนหาย กำไรหด’ วอนรัฐฯ เข้าคุมราคา

(11 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ภายหลังจากมีการปรับราคาไก่สดขึ้นกิโลกรัมละ 10 บาท จากการตรวจสอบราคาไก่สดเป็นตัว ในตลาดสดเทศบาลเมืองเบตงพบมีการปรับราคาขึ้น จาก กก.ละ 45-50 บาท เป็น กก.ละ 80 บาท

แม่ค้าขายไก่สด ในตลาดสดเทศบาลเมืองเบตง กล่าวว่า มีการปรับราคาไก่กลมเป็นตัวจากเดิม กก.ละ 45-50 บาท ขึ้นเป็น 80 บาท เนื้อไก่ จาก กก.ละ 80 บาท ขึ้นเป็น กก.ละ 100 บาท ขาติดสะโพก จาก กก.ละ 80 บาท ขึ้นเป็น 100 บาท

โดยปกติแผงขายไก่สด จะขายไก่ วันละ 100 -150 ตัว ภายหลังมีการปรับราคาไก่สดขึ้นตนก็ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกัน ทำให้ปริมาณการขายไก่สดลดลง โดยเฉพาะในช่วงนี้ราคาสินค้าต่างๆ มีการปรับราคาสูงขึ้นเกือบทุกชนิด ส่งผลทำให้เนื้อไก่ปรับราคาตามราคาสินค้าอื่นๆ ไล่หลังกันมา ตอนนี้ตนได้ลดจำนวนการสั่งไก่เข้ามาขาย จากวันละ 100-200 ตัว เหลือเพียงวันละ 50-60 ตัว บางทียังขายไม่หมด

แม่ค้าขายไก่สด กล่าวอีกว่าไก่ขึ้นราคาเยอะมาก ล่าสุดเมื่อ 3 เดือนก่อน ก็ปรับขึ้นมาแล้วโดยปรับครั้งละ 5 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาไก่สดในปัจจุบัน ขาย กก.ละ 80 บาท เนื้อหน้าอก กก.ละ 100 บาท เนื้อน่องติดสะโพก กก.ละ 100 บาท ปีกไก่ กก.ละ 100 บาท ไก่กลมเป็นตัวปกติราคา กก.ละ 45-50 บาท ขึ้นมาเป็น 80 บาทแล้ว และยังไม่ทราบว่าราคาจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ แต่ถ้าขึ้นอีกฝากรัฐบาลช่วยควบคุมราคาอย่าให้แพงมากไปกว่านี้ เพราะราคานี้ที่ขายอยู่ก็แพงแล้วไหนจะต้องมีภาระในการจ่ายขนส่ง ไหนจะค่าลูกน้อง เอากำไรมาจากไหน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top