Thursday, 19 June 2025
ECONBIZ NEWS

เปิด 'แนวรุก-ความพร้อม' ผลิตภัณฑ์ชูอร่อยใต้เงา 'เจดีฟู้ด' สู่เป้าหมาย 'เข้าตลาดหุ้น-ลุ้นขยายตลาดต่างแดน 50%'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับคุณธีรดา หอสัจจกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ก่อตั้งโดยคนไทย และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส และอาหารแปรรูประดับประเทศ สร้างชื่อเสียงในระดับโลก ถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อม ๆ ไปกับการรับมือสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

คุณธีรดา กล่าวว่า บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นโดยคุณพ่อ นายธีรบุล หอสัจจกุล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและอยู่ในวงการอาหารมายาวนาน ในปี 2542 บริษัทฯ ได้เริ่มต้นประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบส่วนผสม (Food Ingredients) ตามสูตรที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมประเภทขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ แบ่งเป็น สินค้ารับจ้างผลิต OEM และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร แบ่งเป็น ผงปรุงรส, อาหารอบแห้ง, ซอสน้ำจิ้ม และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง)

คุณธีรดา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสในปัจจุบันของไทยมีการแข่งขันกันสูงกว่าเมื่อก่อนมาก มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามทางบริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดในอันดับต้น ๆ เนื่องจากมีประสบการณ์มายาวนานและมีการจัดทำระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน รสชาติอร่อย คุณภาพดี เพื่อให้ส่งออกสินค้าไปทั่วโลก

คุณธีรดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ที่มีความต้องการผลิตสินค้าอาหารแปรรูป เครื่องปรุงรส ในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งได้ให้บริการในรูปแบบ One Stop Service ให้คำปรึกษาตั้งแต่การเริ่มผลิต การเลือกรสชาติ การจดแจ้ง อย. และแนะนำการทำตลาดให้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตอีกด้วย

เมื่อถามถึงสัดส่วนของการทำตลาดของบริษัทฯ ในปัจจุบัน? คุณธีรดา เผยว่า แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยการจัดจำหน่ายยังเน้นตลาดในประเทศอยู่ แต่เป้าหมายในอนาคตมองว่า จะขยายตลาดไปต่างประเทศ 50% 

เมื่อถามถึงเทรนด์ของรสชาติ? คุณธีรดากล่าวว่า เมื่อก่อนการผลิตรสชาติจะตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านรสชาติหลัก ๆ เช่น ต้มยำ, ชีส, ซีฟู้ด เป็นต้น แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ต้มยำ จากรสชาติต้มยำธรรมดา ก็ต้องเป็นต้มยำกุ้ง, ต้มยำหัวมันกุ้ง เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตอบโจทย์ลูกค้า และท้าทายผู้ผลิตไปในตัว 

เมื่อถามถึงไลน์ผลิตภัณฑ์ของเจดีฟู้ด? คุณธีรดา เผยว่า ในปัจจุบันมีการออกสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Brand) ได้แก่ แบรนด์โอเค (OK) ซึ่งเป็นผงปรุงรส และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง) มีการคิดสูตรใหม่ให้เหมาะสมกับอาหารและสินค้าเบเกอรี่, แบรนด์ Crispconut ซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ, แบรนด์ กินดี (Kindee) เป็นผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสสำเร็จรูป ไม่มีส่วนผสมของผงชูรส 

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับแบรนด์ GOOD EATS ผลิตภัณฑ์ซุปกึ่งสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ขนมโปรตีนอบกรอบที่ปราศจากผงชูรส โดยมีเป้าหมายยอดขายของบริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568 นี้

เมื่อถามถึงกลยุทธ์ของบริษัทฯ? คุณธีรดา กล่าวว่า มีการปรับตัวเสมอและติดตามเทรนด์ใหม่ตลอดเวลา และได้เรียนรู้จากคุณพ่อ เช่น ต้องศึกษาลูกค้าและแก้ Pain Point ของลูกค้าให้ได้ ว่าความต้องการของลูกค้า คืออะไรถ้าตอบโจทย์ลูกค้าได้ก็จะประสบความสำเร็จ ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมา มองว่าเรื่องโลกร้อนมีส่วนสำคัญทำให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ ราคาวัตถุดิบในตลาดผันผวน ส่วนความภาคภูมิใจของคุณธีรดา คือ การนำพาบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ประสบความสำเร็จ 

เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม? คุณธีรดา เล่าให้ฟังทิ้งท้ายว่า "ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยมลภาวะอื่น ๆ (Low Carbon Business) เราคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและความหลากหลายทางชีวภาพ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการจัดการพลังงานและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2570 เทียบกับปีฐาน 2564"

‘ประภัตร’ ชี้ช่องรัฐ ติดโซลาร์ให้เกษตรกร ช่วยลดภาระต้นทุน พร้อมหนุนปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพิ่มรายได้มั่นคง

(21 มิ.ย. 67) นายประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานในภาคการเกษตร ภาคครัวเรือน ภาคการขนส่งเป็นจำนวนมาก เชื้อเพลิงส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีราคาแพง จากข้อมูลพบว่า มีเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนมากกว่า 8 ล้านครัวเรือน แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพทางการเกษตรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทางการเกษตรสูงขึ้นตาม และต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาพลังงานในภาคเกษตรโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง

นายประภัตร กล่าวว่า ตนมองเห็นสภาพปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอดที่ผ่านมาได้เคยหารือกับ บริษัท แคปปิตอล ทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นผู้ออก Digital Bond เพื่อระดมทุนกับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายเชื่อมต่อกับ บริษัท ซีแอลเอ็มวี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารโครงการในประเทศไทย เพื่อติดตั้ง โซลาร์เซลล์ให้เกษตรกรและโครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยโครงการโซล่าเซลล์จะช่วยทดแทนพลังงานที่มาจากน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตร ปั๊มน้ำไฟฟ้า โดรนสำหรับพ่นปุ๋ย โครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการนี้จะตั้งเป้าช่วยลดไฟฟ้าลงจากราคาปกติ เบื้องต้นได้มีการเร่งหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยให้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ จัดหาแนวทางดำเนินงาน การตรวจสอบคุณภาพระบบโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับกองทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าเชื้อเพลิง และมีรายได้เพิ่มกลับให้แต่ละครัวเรือนจากการปลูกต้นไม้เพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการโซล่าร์เซลล์นำร่องประสบความสำเร็จ จะสามารถขยายผลติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไปยังเกษตรกรทุกครัวเรือน และครัวเรือนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรได้ ตนแนะนำให้บริษัทแคปปิตอลทรัสต์พิจารณาซื้อระบบโซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพสูง มีความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น บริษัท เทสล่า เพราะเชื่อว่าหากเกษตรกรในประเทศได้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์จำนวนมากจากบริษ้ทชั้นนำอย่างเทสล่าก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทยในราคาที่เหมาะสม

'รมว.ปุ้ย' หารือ 'ผบ.ทบ.' ดัน 'ฮาลาล' สร้างอาชีพ-ศก. 3 จว.ชายแดนใต้ เชื่อ!! หากผู้คนมีความเป็นอยู่ดี เศรษฐกิจดี ความขัดแย้งก็จะลดลง

(21 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าพบ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อหารือถึงแนวทางการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล การพัฒนาแนวทางการฝึกอาชีพให้แก่ทหารกองประจําการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า มาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ให้เป็น Halal Valley โดยกลไกหนึ่ง คือ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยจะสนับสนุนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การสร้างอาชีพ การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริการในพื้นที่ภาคใต้ และผลักดันให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล โดยมีแผนปฏิบัติการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  

นอกจากนี้ยังมีแนวทางการพัฒนาฝึกอาชีพให้กับทหารกองประจําการ ก่อนที่จะปลดประจําการออกไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการฝึกอาชีพโดยการพัฒนาทักษะฝีมือตามความถนัด และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงการจัดหางานให้แก่ทหารกองประจําการ ภายหลังจากปลดประจําการไปแล้วให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต 

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกด้วยว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จำเป็นต้องปรับปรุงกรอบระยะเวลาการส่งออกให้มีความกระชับมากขึ้น โดยในปัจจุบันการขออนุญาตส่งออกยุทธภัณฑ์ ใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นจึงต้องหารือถึงแนวทางแก้ไขเพื่อลดขั้นตอนการขออนุญาตและการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย

ด้าน พล.อ.เจริญชัย กล่าวว่า พร้อมให้การสนับสนุนในทุกเรื่องที่ได้มีการหารือมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่ง รมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้เร่งหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าให้เป็นรูปธรรม 

อย่างไรก็ตาม รมว.อุตฯ เชื่อว่าอุตสาหกรรมฮาลาลจะสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย เพราะทหารทำงานเพียงลำพังไม่ได้ เพราะความมั่นคงไม่ได้เกิดจากทหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย ถ้าประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดี เศรษฐกิจที่ดี ความขัดแย้งก็จะลดลง

‘มาริษ’ เผย!! ภารกิจสำคัญต่อ 3 เพื่อนบ้าน 'เมียนมา-สปป.ลาว-กัมพูชา' หนุนความมั่นคงชายแดน เสริมการค้า-ท่องเที่ยว แก้ฝุ่นพิษข้ามพรมแดน 

(20 มิ.ย.67) มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงภารกิจด้านการต่างประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มอบหมาย ภายใต้หัวข้อ 'IGNITE Thailand, Re-ignite Thai Diplomacy ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้วยการทูตมืออาชีพ' ในงาน Meet the Press#1 สื่อมวลชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศร่วมรับฟังอย่างล้นหลาม

แนวทางการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ยุค รมว.มาริษ ที่ถือเป็นลูกหม้อของกระทรวงฯ แบ่งออกเป็น 3 มิติ เริ่มตั้งแต่ มิติฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทย มิติต่อไป คือ ความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกกลับคืนมา เมื่อโลกเชื่อมั่นแล้วไทยจึงกลับไปมีบทบาทนำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอีกครั้ง ส่วนมิติที่ 3 คือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ รมว.บอกว่าแม้อยู่ข้อสุดท้าย แต่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และ World Pulse สนใจมิตินี้เป็นพิเศษ เพราะเพื่อนบ้านมีส่วนอย่างยิ่งกับความมั่นคง การท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์ 

รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวอีกว่า นโยบายต่างประเทศของไทยเน้นส่งเสริมความมั่นคงแนวชายแดน ส่งเสริมการค้า ผลักดันการท่องเที่ยว และแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดน 

"เรื่องความมั่นคง ทุกสายตามองไปที่เมียนมา สถานการณ์ในเมียนมามีผลอย่างมากต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน และไม่ได้แค่ส่งผลกระทบต่อไทยแต่ยังสะเทือนไปทั้งภูมิภาค สิ่งที่ไทยทำไปแล้วคือช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจสีเทา เราอยากเป็น Key player สร้าง Peace dialogue มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อไป แต่สิ่งเหล่านี้เปราะบางต้องค่อย ๆ ทำ" 

รมว.มาริษ กล่าวอีกว่า ในด้านการท่องเที่ยว นโยบายสำคัญจากไอเดียนายกฯ เศรษฐา คือ 6 Countries 1 Destination โดยมีรถไฟความเร็วสูงเป็นตัวเชื่อม ซึ่งจะทำให้ไทยมีบทบาทโดดเด่นมากในด้านนี้ และการท่องเที่ยวระหว่างเพื่อนบ้านสามารถใช้ซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นตัวทำตลาดได้ด้วย เพราะเพื่อนบ้านมีค่านิยมร่วมกัน ถ้าบูรณาการกันได้จะก่อให้เกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้น 

เมื่อพูดถึงเรื่องเพื่อนบ้านกับซอฟต์พาวเวอร์ World Pulse รมว.มาริษ กล่าวว่า นึกถึงตอนที่ไปคุยกับดาตุ๊ก โจจี ซามูเอล (H.E. Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ในงานเทศกาลอาหารปีนังครั้งที่ 2 เมื่อเดือน พ.ค. ท่านทูตชื่นชมกับแนวคิดของนายกฯ เศรษฐา เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน และยอมรับว่าไทยมีทรัพยากรมากกว่า ซึ่งมาเลเซียจะใช้ความเชี่ยวชาญจากไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเลเซีย ส่วนนโยบาย 6 Countries 1 Destination มาเลเซียได้ประโยชน์ด้วยแน่นอน 

“แนวคิดริเริ่มของนายกฯ เศรษฐาดีมาก นายกฯ ของผมยินดีซัพพอร์ตเต็มที่” ท่านทูตย้ำในวันนั้น สอดรับกับแนวทางที่ รมว.ต่างประเทศไทยพูดบนเวทีพอดี พูดเหมือนกันแบบต่างกรรมต่างวาระ แสดงว่านโยบายสอดคล้องตรงกัน

สำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ รมว.ต่างประเทศไปเยือนอย่างเป็นทางการประเทศแรกเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เป็นหนึ่งในนโยบาย 6 Countries 1 Destination โดยไทยจะเพิ่มการเชื่อมต่อทางรถไฟกับ สปป.ลาวและจีน นอกจากนี้การที่ สปป.ลาวได้ชื่อว่าเป็นแบตเตอรีแห่งเอเชีย ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดจึงเป็นสาขาสำคัญอีกสาขาหนึ่ง

ส่วนกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไปเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2566 นโยบายของไทยคือ ส่งเสริมการค้าชายแดน กลับมาเจรจากันเรื่องพื้นที่ทับซ้อน จะมีการเปิดสถานกงสุลในเสียมเรียบและเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม ร่วมมือกันกำจัดมลพิษ PM2.5 และเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์

นี่เป็นแค่ตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ยังมีมิตรประเทศอีกกว่า 100 ประเทศที่ไทยมีสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ความร่วมมือด้านธุรกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน ทั้งหมดนี้ถ้าเป็นไปด้วยดีย่อม IGNITE Thailand ได้ ผลประโยชน์ตกแก่ประชาชนระดับรากหญ้าของทั้งสองประเทศ 

‘พ่อค้าแม่ค้าบุรีรัมย์’ เริ่มบ่น!! ลูกค้าซื้อน้อยลง หลังช่วงนี้ข้าวของต่างๆ ยังคงขึ้นราคาไม่หยุด

(20 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ลงพื้นที่สำรวจราคาไข่ไก่ และผักสดชนิดต่าง ๆ ในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พบว่า ตอนนี้มีพืชผักหลายชนิด ยังคงมีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งพ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาด ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้น ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งคนขายและคนซื้อ รวมถึงคนซื้อก็เริ่มลดน้อยลงด้วย และเลือกซื้อเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

ทั้งนี้ จากการสำรวจแผงผัก พบว่า ยังคงมีการจำหน่ายในราคาคงเดิม และไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด โดยบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อผักนำมาขายต่อ ต้องปรับกลยุทธ์การขาย เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า โดยจะขายในราคาเดิม แต่จำนวนปริมาณจะลดน้อยลง อาทิ ถั่วฝักยาว จากแต่ก่อนเพียงไม่กี่สิบบาท ปัจจุบันราคาซื้อต้นทุนสูงถึงกิโลกรัมละ 90 บาท จากที่ก่อนหน้านี้แบ่งขายเฉลี่ยประมาณ 10-15 ฝัก 10 บาท ต้องนำแบ่งเหลือ 4-5 ฝัก 10 บาท ส่วนพืชผักชนิดอื่นๆ ก็ยังคงมีการปรับราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน และคาดว่าน่าจะมีการปรับราคาสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ต่างจากเนื้อไก่และไข่ไก่

โดยไข่ไก่ตอนนี้ก็มีการปรับขึ้นราคาหน้าฟาร์มด้วย ปรับขึ้นราคาแผงละ 6 บาท ถือว่าเป็นราคาที่สูง ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายหน้าแผงอยู่ที่ ไข่ไก่เบอร์ 0 ราคาแผงละ 160 บาท ,ไข่ไก่เบอร์ 1 ราคาแผงละ 150 บาท ,ไข่ไก่เบอร์ 2 ราคาแผงละ 140 บาท ,ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาแผงละ 130 บาท และไข่ไก่เบอร์ 4 ราคาแผงละ 120 บาท ส่วนไข่เป็ดมี 2 ราคา คือแผงละ 150 กับ 160 บาทต่อแผง

ด้าน นางทองลอ กะเชื่อมรัมย์ เจ้าของร้านทองณภัสไข่ไก่สด อยู่ในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ บอกว่า ยึดอาชีพขายไข่มานานร่วม 30 ปี ตั้งแต่ปี 2540 ช่วงยุคไข้หวัดนกระบาด ก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าไข่ไก่จะมีราคาแพงมากถึงขนาดนี้ โดยทางผู้ค้าส่งแจ้งมาว่า ไข่ไก่ก็มีการปรับขึ้นราคาหน้าฟาร์มด้วย โดยจะมีราคาสูงขึ้นอีกเฉลี่ยแผงละ 6 บาท ซึ่งตั้งแต่ขายไข่มาร่วมจะ 30 ปี ก็ไม่เคบพบเคยเห็นว่า ไข่จะมีการปรับราคาสูงขึ้นถึง 6 บาทต่อแผง เคยเห็นอย่างมากก็แค่ 3 บาทต่อแผงเท่านั้น ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีการปรับราคาขึ้นในวันไหน แต่ทางผู้ค้าส่งได้แจ้งราคาขาย มายังพวกตนซึ่งเป็นผู้ค้าปลีก ว่าจะมีการปรับราคาไข่ไก่ขึ้นอีก

นางทองลอ บอกด้วยว่า ส่วนลูกค้าก็ยังคงนิยมซื้อไข่ไก่ ติดครัวไว้ประกอบอาหารรับประทานเช่นเดิม แต่เริ่มจะมีแนวโน้มการซื้อจะลดลงด้วย เนื่องจากรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย จึงทำให้ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายได้มากเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะในช่วงนี้ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง มีราคาสูงขึ้นเรียกว่าแพงทุกอย่าง แม้กระทั่งไข่ไก่และไข่เป็ด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักใช้ประกอบอาหารของทุกบ้านยังมีราคาแพง นอกจากส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคแล้ว พ่อค้าแม่ค้าก็เดือดร้อนเช่นเดียวกัน เพราะจากที่เคยลงทุนซื้อไข่ไก่และไข่เป็ดมาขาย ต่อวัน 100 แผง เฉลี่ยราคาไม่ถึง 10,000 บาท แต่ทุกวันนี้หากซื้อไข่มาขาย 100 แผง จะต้องลงทุนถึง 15,000 บาท ทำให้ต้องหาเงินทุนมาเพิ่ม และหากเป็นไปได้ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา เพราะไข่ถือเป็นเมนูหลักที่แทบทุกบ้านต้องมีติดไว้ในครัวเรือน

ขณะที่ นางเย็น นะรารัมย์ เจ้าของแผงเย็นของชำ ซึ่งเปิดแผงขายทั้งผักสดและอาหารแห้ง ในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ บอกว่าตอนนี้มีพืชผักหลายชนิด ยังคงมีการปรับราคาต้นทุนสูงขึ้นกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง อาทิ ถั่วฝักยาว กิโลกรัมละ 90 บาท ,มะเขือเทศสีดาลูกเล็ก กิโลกรัมละ 100 บาท ,ลูกท้อกิโลกรัมละ 100 บาท โดยมีการปรับราคาสูงขึ้นมาหลายเดือนแล้ว และคาดว่าน่าจะยังมีการปรับราคาสูงขึ้นอีก ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากภาคขนส่ง ที่น้ำมันได้มีการปรับราคาขึ้นอย่างเรื่อย ๆ จึงทำให้สินค้าอุปโภค-บริโภค และที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย

‘วิชัย ทองแตง’ แชร์ 3 เคล็ดไม่ลับปั้น Startup ไทยให้แกร่ง ‘พันธมิตร-เครือข่าย-ควบรวม’ ต้องปึ้ก!! ในยุคโลกหมุนไว

(20 มิ.ย.67) จากช่อง ‘GodfatherOfStartup’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอช่วงหนึ่งจากโครงการ ‘Chiangmai Web3 City And Metaverse เปิดสปอตไลท์ส่องหา Unicorn’ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 – 30 มิถุนายน 2565 ณ สถานที่อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเทศบาลตำบลแม่เหียะ โดยคลิปดังกล่าวเป็นการบรรยายของ 'คุณวิชัย ทองแตง' Godfather of Startup ซึ่งมีเนื้อหาที่ให้มุมมองสำคัญต่อ Startup ไทยไว้อย่างน่าสนใจมากๆ โดยเนื้อหาในวันนั้นมีรายละเอียดดังนี้...

“เมื่อได้ฟังข้อสรุปสุดท้ายของท่านรัฐมนตรี (คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้น) ที่ว่า ‘เดินเร็วหรือเดินช้า ไม่สำคัญเท่าเดินให้ถูกทาง การจับมือเดินร่วมกัน ของพวกเราในครั้งนี้ จะเป็นการจับมือเดินเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ดีกว่าเดิม และ Startup ของไทยเหล่านี้ คือ อนาคตที่ประเทศมองข้ามไม่ได้” ถ้อยคำจากคุณวิชัยที่ต้องการส่งสารไปถึง Startup ไทย

คุณวิชัย ยังได้กล่าวต่ออีกว่า “หลายท่านคงจะเคยอ่านหนังสือ 2 เล่มของผม (‘ลงทุนสไตล์ วิชัย ทองแตง’ และ ‘ปั้นหุ้น’) ผมอยากจะแนะนำให้กลับไปอ่านดูหน่อย แล้วเราจะเข้าใจบริบทของการทำธุรกิจเพื่อนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดทุนได้อย่างถูกต้อง เพราะคำตอบทั้งหลายอยู่ในหนังสือสองเล่มนี้หมดแล้ว”

ในวันนั้น คุณวิชัย ยังได้เผยถึงเศรษฐกิจช่วงดังกล่าวด้วยว่า “ช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง ทำให้ Startup หลายรายเริ่มปลดพนักงานออก เพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ในมือ ดังนั้นผมจึงอยากจะนำสูตรหนึ่งมาแชร์เป็นเคล็ดลับเพื่อความมั่นคงแก่บรรดา Startup โดยผมอยากให้จับตามอง 3 สิ่ง ได้แก่ Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) / Inflation (เงินเฟ้อ) และ Stagflation (ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว)...

“เราหนี 3 สิ่งนี้ไม่ได้ในช่วงเวลานี้ ยังไงเราก็ต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจกำลังถดถอย และเงินเฟ้อขึ้นสูง อย่างวันนี้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นไป 7.1% เมื่อปี 2013 เงินเฟ้อ 12% ว่างงาน 9% แต่ที่น่ากลัวคือ เรากำลังเจอภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันระหว่าง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ เงินเฟ้อ บวกกับ GDP ประเทศลดลงต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดต่อกัน แถมคนว่างงานมีเพิ่มขึ้น ของแพงขึ้น นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรต้องระวัง ศึกษาให้ถ่องแท้ จะมามัวตกใจไม่ได้ ต้องมีแผนสำรองใหม่ๆ อยู่ตลอด เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องคาดหวังสูง แต่ต้องเดิน ต้องปลุกใจ ให้กล้า เผชิญหน้า ท้าทาย ไม่ว่าจะยากแค่ไหน”

เกี่ยวกับประเด็น Startup ที่เป็นคนรุ่นใหม่มีความปรารถนาสูงส่งในการสร้างความฝันอันยิ่งใหญ่ของตนเองแค่ไหน? คุณวิชัย ได้กล่าวในฐานะผู้กำลังปลุกปั้น Startup / SMEs และบริษัทที่จะมีศักยภาพเติบโตด้วยว่า “ก็ต้องถามกลับว่า พวกเรายังคงรักษาความฝันนี้ไว้หรือเปล่า เคยมีคำกล่าวจากอดีตประธานาธิบดีเยอรมนี (Angela Merkel) เคยบอกไว้ว่า [กำแพงเบอร์ลิน ไม่สามารถจำกัดความคิด ความเป็นตัวตนความฝัน และจินตนาการของฉัน เธอบอกให้พังกำแพงแห่งความเขลาและจิตใจที่คับแคบ ให้กับสิ่งที่มันมิอาจเป็นอยู่เช่นนั้นได้ตลอดไป เราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง]” 

ในวันนั้น คุณวิชัย ยังได้ให้หลักการสำคัญผ่านคีย์เวิร์ดที่เรียกว่า ‘2G’ ไว้ด้วยว่า “ผมขอฝาก 2G เล็ก ที่จะทำให้กลายเป็น 2G ใหญ่ ไว้ดังนี้ ได้แก่ 1.Growth และ 2.Gain คุณต้องสามารถสร้างกำไรและการเติบโตให้ได้ เพราะถ้าคุณสร้าง Growth ได้แปลว่าคุณเข้าใจตลาด เข้าใจเส้นทางของธุรกิจ และถ้าคุณเข้าใจ Gain ได้ แสดงว่าคุณมีความสามารถในการบริหาร หรือก็คือถ้าคุณมี 2 องค์ประกอบนี้เมื่อไร โอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนให้ไปต่อได้อย่างรวดเร็วจะเกิดขึ้น บาง Startup สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่อัป ส่วนบาง Startup พออัปแล้ว แต่ก็ไม่ต่อไม่ถูก ฉะนั้นต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า ‘What’s Next’ คำถามนี้ใช้ได้กับทุกๆ ธุรกิจ แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไป”

เกี่ยวกับประเด็น ‘What’s Next’ ของ Startup คุณวิชัยก็ได้ให้หลักการสำคัญเพื่อสร้าง 2G ให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยว่า “เราต้อง ‘Collaboration’ หรือ ทำงานร่วมกัน หาพันธมิตร เพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน จับมือกันเติบโต ต่อมาคือ ‘Connection’ ทุกคนล้วนมีคอนเน็กชัน จะมากน้อยแค่ไหนเพียงใดไม่สำคัญ อยู่ที่คุณจะขยายเครือข่ายของตัวเองได้หรือไม่ เพราะนี่คือการลดทอนความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญอย่างมาก และสุดท้าย ‘Mergers & Acquisition’ หรือ การควบรวม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสูตรที่สามารถทำให้เราไปสู่เป้าหมายของความสำเร็จได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างที่ผมเองได้ตัดสินใจควบรวมกับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นการ M&A ที่ใหญ่มาก นั่นก็เพราะหากเราต้องการอะไรบางอย่าง (Wealth) เราก็ต้องยอมสูญเสียอะไรบางอย่าง ถ้าต้องการที่กระโดดให้ไกลกว่าเดิม ก็ต้องพร้อมที่จะย่อเข่า”

ท้ายสุด คุณวิชัย ยังได้ฝากถึง Startup รุ่นใหม่ด้วยว่า “แม้ความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ขอให้ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ทำลายคุณธรรม 3 ข้อ ได้แก่...

1. เราจะไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น
2. เราจะเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดี มีคุณธรรม
3. เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้กับผู้ที่ด้อยกว่า

พวกเราจงกระตุ้นตัวเองอยู่เสมอ เพื่อการก้าวไปข้างหน้า”

‘กรมประมง’ จัดอบรมผู้ควบคุมเรือไทย ในโครงการ ‘ไต๋รักษ์ชาติ’  หวังยกระดับความรู้-เพิ่มพูนทักษะ-สร้างการยอมรับในระดับสากล

(20 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมประมง ได้จัดโครงการ ‘ฝึกอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมเรือประมงไทย เพื่อการจัดการประมงที่ยั่งยืน (ไต๋รักษ์ชาติ) รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2567 ณ โรงแรม คามิโอ แกรนด์ จังหวัดระยอง เป็นโครงการนำร่อง

ทั้งนี้ กรมประมงในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลทรัพยากรทางด้านการประมงของประเทศไทย ตระหนักถึงบทบาทและคุณค่าของ ‘ผู้ควบคุมเรือ’ หรือ ‘ไต๋’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำประมง เป็นผู้หาปลา และเป็นหนึ่งในผู้สร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ให้แก่มวลมนุษยชาติ ‘ไต๋’ เป็นอาชีพที่มีคุณค่า มีเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับอาชีพอื่น และในขณะเดียวกันยังเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้จัดการเรือประมง ที่จะพาภาคประมงไทยพัฒนาไปสู่เจ้าสมุทรอีกครั้งหนึ่ง

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เจ้าของเรือประมงพาณิชย์กว่าร้อยละ 90 จ้าง ‘ไต๋’ เป็นผู้ควบคุมเรือเพื่อออกทำการประมง ในแต่ละปี ‘ไต๋’ สามารถทำการประมงมีผลจับกว่า 1.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 71,500 ล้านบาท 

ดังนั้น ‘ไต๋’ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคการประมง การบริหารจัดการทรัพยากรประมง รวมถึงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ำ

เพื่อให้ภาคการประมงไทยบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การสร้างองค์ความรู้ที่จำเป็นจึงเป็นการติดอาวุธความรู้ให้แก่ ‘ไต๋’ เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ทั้งองค์ความรู้ด้านมาตรการการจัดการทรัพยากรประมง ด้านการจัดการประมงทะเล ด้านกฎหมายประมง ด้านกระบวนงานที่สำคัญในภาคการทำประมง รวมถึงกฎหมายประมงระหว่างประเทศ กฎหมายในระดับภูมิภาค และพันธสัญญากับองค์กรต่างๆ (RFMO) ให้แก่ ‘ไต๋’ ล้วนแล้วเเต่จะสร้างประโยชน์ให้กับไต๋เรือ เพิ่มพูนทักษะ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

สำหรับโครงการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมเรือประมงไทย เพื่อการจัดการประมงที่ยั่งยืน (ไต๋รักษ์ชาติ) รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2567 ณ โรงแรม คามิโอ แกรนด์ จังหวัดระยอง เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรองรับ ‘ไต๋’ เรือประมงพาณิชย์ นายท้ายเรือ และชาวประมง ที่ทำการประมงในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรีและตราด รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง จำนวน 50 คน

โครงการฯ ได้เชิญวิทยากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และคณะทำงานร่วมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเล (sea food task force) มาร่วมบรรยายในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการฝึกปฏิบัติภาคสนามการปฐมพยาบาลและการใช้เวชภัณฑ์สำหรับใช้ในเรือ ให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม และยังมีเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม Environmental Justice Foundation หรือ EJF เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการฝึกอบรมในครั้งนี้อีกด้วย

อธิบดีกรมประมงกล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากผู้เข้ารับการอบรมในหลักสูตร ‘ไต๋รักษ์ชาติ’ แล้ว ‘ไต๋’ และผู้เข้ารับการอบรม จะมีความรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการภาครัฐ กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างถูกต้อง จะสามารถลดข้อผิดพลาดและป้องกันการกระทำความผิดในภาคการประมงที่ไม่ได้ตั้งใจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรของไทยให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตได้ การจัดฝึกอบรมในรูปแบบเช่นนี้ จะมีการขยายขอบเขตไปอบรมให้แก่ผู้ทำการประมงพื้นที่อ่าวไทยตอนกลาง ตอนล่างและฝั่งทะเลอันดามัน โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามกำหนดการจัดฝึกอบรมในครั้งต่อไป จากทุกช่องทางสื่อสารของกรมประมง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ หรือกองบริหารจัดการเรือประมงและทำการประมง กรมประมง เบอร์โทรศัพท์ 02-562-0600

‘รมว.ปุ้ย-SME D Bank' ผนึกพันธมิตร 'ภาครัฐ-มหาวิทยาลัย' ปั้นผู้ประกอบการยุคใหม่เปี่ยมศักยภาพ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) 'ส่งเสริมและยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs พร้อมเข้าสู่แหล่งทุนควบคู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน' ระหว่างธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ กับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดย ดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ  สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA โดย ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการสำนักงาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดี และ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดย ดร.สุพัตรา จันทนะศิริ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ณ อาคารปฏิบัติการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสร้างผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ สามารถปรับตัวตามเทรนด์โลกปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งทุนได้ด้วย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีศักยภาพ ผลักดันเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเมื่อมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นรากฐาน จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมกันเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND  

“กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายใต้กำกับ มุ่งเน้นสร้างประโยชน์แก่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยแนวคิด 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' หมายถึง 'รื้อ ลด ปลด' สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการให้มากที่สุด ควบคู่กับ 'สร้างสิ่งใหม่ๆ' ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะการสร้าง 'ความรู้' เพราะเมื่อมีความรู้แล้ว จะทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ และใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญไม่ว่าจะมีวิกฤตใด ๆ เกิดขึ้นอีกในอนาคต ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย จะปรับตัว ก้าวตามทัน สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้านนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือผู้ที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจให้มีความพร้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือระหว่างธนาคารกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและสถาบันการศึกษาในครั้งนี้ จะนำความเชี่ยวชาญและศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน มาเชื่อมโยงให้การสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยครบวงจรอย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับสร้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอียุคใหม่สู่การเป็น Smart SMEs ตั้งแต่การเติมความรู้ด้านการเงิน หรือ Financial Literacy ทักษะการบริหารธุรกิจ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่อยอดธุรกิจ และการเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน 

ทั้งนี้ เมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมแล้ว และต้องการเงินทุน สามารถเข้าถึงแหล่งทุนจาก SME D Bank ที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อไว้รองรับ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ควบคู่กับได้รับการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม 'DX by SME D Bank' (dx.smebank.co.th) ช่วยผู้ประกอบการต่อยอดยกระดับธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนั้น ยังได้รับการสนับสนุนผ่านมาตรการภาครัฐต่าง ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มโอกาส ขยายตลาดและผลักดันเข้าถึงนวัตกรรมสมัยใหม่ด้วย 

‘BYD’ ประกาศลดราคา ‘Dolphin’ ทั้ง 2 รุ่น เปิดจอง 22 - 30 มิ.ย.นี้ หรือจนกว่าสินค้าหมด

(20 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า BYD ประกาศลดราคา DOLPHIN ทั้ง 2 รุ่น หลังแฟนเพจเฟซบุ๊ก BYD RÊVER Thailand ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความระบุว่า…

BYD DOLPHIN DAY RUN OUT Campaign ดอลฟิน ดีลฟิน ๆ ที่สุดแห่งปี!

BYD DOLPHIN รุ่น Standard Range ราคาเพียง 559,900 บาท (จากราคา 699,999 บาท)
BYD DOLPHIN รุ่น Extended Range ราคาเพียง 699,900 บาท (จากราคา 859,999 บาท)

พร้อมติดตั้งฟิล์ม Ceramic ยี่ห้อ XUV MAX ทุกคัน และรับสิทธิพิเศษ RÊVER Care

พร้อมเปิดให้จองที่โชว์รูม BYD ทั่วประเทศวันที่ 22 มิ.ย. 67 เวลา 9.00 น. ตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. 67 - 30 มิ.ย. 67 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

หมายเหตุ แคมเปญนี้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการขายอื่นได้ เช่น Friend gets Friend แคมเปญ, Loyaty แคมเปญ เว้นแต่จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด

‘สุริยะ’ เดินหน้าแผน ‘ลดค่าทางด่วน’ ไม่เกิน 50 บาท นำร่อง ‘งามวงศ์วาน-พระราม 9’ มั่นใจ!! ได้ใช้ภายในปีนี้

(20 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากที่ได้สั่งการให้หาแนวทาง ลดค่าทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน-พระราม 9 ให้เหลือไม่เกิน 50 บาท ตลอดเส้นทาง (จากเดิมที่มีค่าทางด่วนสูงสุด 85 - 90 บาท) เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง โดยความคืบหน้าในขณะนี้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจน และเริ่มให้ประชาชนจ่ายค่าทางด่วนถูกลงภายในปี 2567 แต่อย่างไรก็ตามการลดค่าทางด่วนในอัตราไม่เกิน 50 บาทตลอดสายของทางด่วนช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ทาง กทพ. จะมีการประเมินทุก ๆ 10 ปี เพื่อปรับให้สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ตามสถานการณ์ในขณะนั้น 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้การจราจรที่ติดขัดช่วงสายงามวงศ์วาน-พระราม 9 และภาพรวมในบริเวณดังกล่าว จึงจำเป็นต้องก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) โดยควรเร่งผลักดัน เพื่อแก้ไขปัญหาการสัญจรที่ติดขัดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการดังกล่าว รัฐบาลไม่ต้องมีการลงทุนแต่อย่างใด โดยจะให้ทางผู้ประกอบการที่ได้รับสัมปทานเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด จึงต้องขยายสัญญาทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ไปอีก 22 ปี 5 เดือน โดยระยะเวลาสัญญาที่เพิ่มมานั้นมาจากการคำนวณทางการเงิน และผลตอบแทนจากการลงทุน (Equity IRR) ตามหลักวิชาการ และความเป็นธรรม ซึ่งยืนยันได้ว่าจะไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ และสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ทั้งหมด ทั้งนี้หากมีการก่อสร้าง คาดใช้ระยะเวลา ประมาณ 4 ปี และจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการต่อไป

"ผมยืนยันว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนอย่างแน่นอน แต่ต้องการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ช่วยลดภาระค่าครองชีพ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ตนได้ให้นโยบายและเน้นย้ำว่า ทุกกระบวนการในการดำเนินงานนั้นตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีความละเอียดรอบครอบ โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้" สุริยะ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top