Thursday, 19 June 2025
ECONBIZ NEWS

'สมาคมโรงแรมไทย' ชี้!! นทท.ต่างชาติแตะ 16 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท อานิสงส์ 'ฟรีวีซ่า'

(25 มิ.ย.67) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวว่า การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวตลาดหลัก ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมล่าสุด ตั้งแต่ 1 มกราคม -16 มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้วถึง 16,200,706 คน เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 765,584 ล้านบาท

กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งมาตรการภาครัฐหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นวีซ่าไทย-จีน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง การกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน รวมถึงการโรดโชว์ของหน่วยงานการท่องเที่ยวไทยที่มีเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง มีส่วนช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

อุปสรรค Landbridge 'ชุมพร-ระนอง' สารพันปัญหาจากทีมคัดค้าน สุดท้าย ECRL เชื่อม 2 ฝั่งทะเลของมาเลย์ ปาดหน้า เปิดปี 2570

(25 มิ.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ เหตุขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการ แลนด์บริดจ์ ช่วง ชุมพร-ระนอง โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“ถ้า #Landbridge ชุมพร-ระนอง มัวแต่ทะเลาะกันก็เลิกเถอะ รอไปใช้ #ECRL ของมาเลย์ เชื่อม 2 ฝั่งทะเล เปิด 2570”

“ส่วนไทย สร้างไม่ได้ กลัวผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลัวคนต่างถิ่น สารพัดปัญหา สุดท้ายข้างบ้านเสร็จก่อน รอไปใช้นะ!!”

“วันนี้ผมมาขอระบายเรื่องแผนการพัฒนา Landbridge ช่วง ชุมพร-ระนอง หน่อยครับ เพราะผ่านมากว่า 2 ปี ที่เริ่มศึกษา หาข้อมูล และหาความเป็นไปได้ จนมาถึงการทดสอบความสนใจของเอกชน ที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเส้นทาง”

“แต่!! ที่ผมได้ยินมา ทั้งในข่าว และมีคนในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า มีการตั้งทีมคัดค้านเพื่อไม่ให้โครงการเกิด โดยยกสารพัดปัญหา สิ่งแวดล้อม ไม่คุ้มค่า เรือใช้เวลานาน ไม่มีสายเรือมาใช้ต่าง ๆ นา ๆ ตั้งมอบมาคัดค้าน ให้โครงการมีความมั่นคงต่ำ และสุดท้ายเอกชนก็จะไม่สนใจเข้ามาร่วม”

“แต่คุณรู้รึเปล่า ระหว่างที่เรามัวแต่ทะเลาะกัน มาเลย์ เขาทำนำหน้าเราไปแล้วกับโครงการ ECRL (East Coast Rail Link) เชื่อม 2 มหาสมุทร ระหว่างท่าเรือ Port Klang ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย กับ Kuantan Port ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมันก็คือ Landbridge ที่เราพูดถึงกันอยู่เนี่ย!!”

“ซึ่งมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าโครงการเรายังไม่ได้ข้อสรุป และยังคัดค้านเตะขากันไปมาอยู่แบบนี้ก็ “เลิกเถอะครับ” เสียเวลา เปลืองเงิน เอาไปใช้กับ EEC เถอะ เพราะถ้าช้ากว่านี้เราก็ไม่ทัน มาเลย์แล้ว”

>> เผื่อใครยังไม่รู้จัก Landbridge พร้อมผลการศึกษาเบื้องต้น รวมทั้งโครงการ ตามลิงก์ใน
https://www.facebook.com/share/VhDoED4eksUG13mz/?mibextid=WC7FNe

>> รายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน รายการ อัปเดตประเทศไทย EP.6
https://fb.watch/opmDXJfSvl/

>> รายละเอียด MR8 Landbridge ชุมพร-ระนอง ก่อนหน้านี้
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1364108297360979&id=491766874595130

>> สรุปตำแหน่งท่าเรือน้ำลึก และเส้นทาง MR8 เชื่อม 2 ฝั่งทะเล
https://www.facebook.com/share/mXvppD6gf4wVN6Kg/?mibextid=WC7FNe

“มาดูรายละเอียด โครงการ ECRL คู่แข่งของ Landbridge ของเรากันก่อน”

“ECRL เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง รัฐบาล จีน (75%) และมาเลย์ (25%) โดยเป็นรถไฟเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งทะเล เพื่อมาแก้ปัญหาช่องแคบมะละกา ที่หนาแน่นมาก และนำสินค้าเข้าแปรรูปในประเทศก่อนส่งออกทั้ง 2 ฝั่งทะเล”

รายละเอียดเส้นทาง ระยะทางรวม 665 กิโลเมตร
- ยกระดับ 138 กิโลเมตร
- อุโมงค์ 53 กิโลเมตร
- ระดับดิน 404 กิโลเมตร
- สายทางแยก 70 กิโลเมตร

“มาตรฐานการออกแบบรถไฟ
- รถไฟราง Standard Gauge (1.435 เมตร)
- ทำความเร็วรถโดยสารสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- เป็นทางคู่ ตลอดเส้นทาง
- ติดระบบจ่ายไฟฟ้า (OCS) ตลอดเส้นทาง”

“ซึ่งล่าสุด Update ความคืบหน้า เดือนมิถุนายน คืบหน้าแล้ว 65% คาดกว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571!!”

>> ลิงก์รายละเอียดโครงการ
https://www.mida.gov.my/wp-content/uploads/2024/03/East-Coast-Rail-Link-ECRL-–-Value-Adding-Disruptor-for-National-Logistics-by-MRL_compressed.pdf?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2MDChMP1s0Db4zDglPjogg5c_TX9EVDJmMMi5zSN1JVzb5nf_1eJJugeQ_aem_CQvxFc87wf9Al93rMldtyA

>> VDO ความคืบหน้าโครงการ เดือนมิถุนายน 67
https://youtu.be/hNCcl6Po3d8?si=YPGGOuj0xVIlE3r9

“ซึ่งอีกหนึ่งความน่าสนใจของเล่นทางนี้ จะทำสายแยกมาติดกับทางรถไฟสายใต้ ของไทย (สถานีสุไหงโกลก) ซึ่งอนาคตอาจจะมีการเจรจารื้อฟื้นการเชื่อมโยงระหว่างประเทศได้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง สินค้าไทยเราต้องไปอาศัยท่าเรือมาเลย์ ในการขนส่งมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่สะดวกมากขึ้นในการรับ-ส่งสินค้าเข้าสู่ โครงการ ECRL ได้โดยตรง”

“สุดท้ายผมขอฝากถึงผู้เกี่ยวข้อง ช่วยตัดสินใจให้ชัดว่าจะเอายังไง จะทำไม่ทำ เพราะถ้าช้ากว่านี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”

'กฤชนนท์' ลงพื้นที่สายสีแดงจัดแผน 'เพิ่มรถสาธารณะ-จุดจอดรถ' แย้ม!! นโยบายรถไฟฟ้า 20 ตลอดสาย หนุนผู้ใช้บริการพุ่งเกินคาด

(25 มิ.ย. 67) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการผลักดัน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองนายกรัฐมนตรี โดยนำร่อง 2 โครงการ คือ 

1.โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 10 สถานี และช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน 4 สถานี

2. โครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ จำนวน 16 สถานี ซึ่งขณะนี้มีประชาชนเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

โดยจากการลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีรังสิต โดยได้มีการเจรจากับประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ระบบขนส่งเสริม หรือ Feeder System ยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะด้านของรถสาธารณะ และสถานที่จอดรถยนต์บริเวณสถานี ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานได้จัดทำแผนและเตรียมดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ทางหน่วยงาน กรมการขนส่งทางบก ได้จัดเตรียมแผนเพิ่มจำนวนการเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะ โดยจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกจังหวัดปทุมธานี ภายในช่วง กรกฎาคม 2567 โดยจากแผนเบื้องต้น จะให้เอกชนเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มอีก 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 วงกลมรังสิต / เส้นทางที่ 2 รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต / เส้นทางที่ 3 รังสิต-โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส และเส้นทางที่ 4 รังสิต คลอง 7 และเตรียมเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป 

จากปัจจุบันนี้ที่มีรถโดยสารสองแถวขนาดเล็ก สีแดง และสีเขียว จำนวน 4 เส้นทาง วิ่งให้บริการตั้งแต่เปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ได้แก่ เส้นทาง 6188 รังสิต-จารุศร / เส้นทาง 1008 รังสิต-อำเภอหนองเสือ / เส้นทาง 1116 รังสิต-สถานีรถไฟเชียงราก และเส้นทาง 381 รังสิต-องครักษ์ 

นอกจากนี้ทางหน่วยงาน รฟท. ยังมีแผนที่จะปรับปรุงพื้นที่ เพื่อให้มีสถานที่จอดรถเพิ่มเป็น 200-300 คัน จากปัจจุบันที่สามารถจอดได้ 100 คัน พร้อมทั้งเร่งดำเนินการพัฒนาแผนการก่อสร้างเป็นอาคารจอดรถยนต์เพิ่มเติมต่อไป

'พีระพันธุ์' แจ้ง 'ม็อบรถบรรทุก' กฎหมายช่วยราคาพลังงานใกล้เสร็จแล้ว คาด!! เสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันในสมัยการประชุมหน้า

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประกาศเตรียมระดมพลผู้ประกอบการรถบรรทุกจัดคาราวานเพื่อนขบวนรถบรรทุกทุกภูมิภาค เข้ากทม.ในวันที่ 3 ก.ค. 67 เพื่อเรียกร้องตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ว่า ให้รอกฎหมายของตน ที่กำลังจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนรูปแบบการคิดราคาใหม่ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกำกับดูแลการค้าน้ำมัน นอกจากนี้ตนจะให้สมาคมรถบรรทุกสามารถนำน้ำมันเข้ามาได้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงโดยปริยาย เพราะราคาน้ำมันที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แบ่งคนละครึ่ง 50-50 ซึ่งราคาน้ำมันแท้ ๆ ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นภาษี ดังนั้นถ้าลดตรงนี้ไปได้น้ำมันก็ลดลง 

เมื่อถามว่า อีกนานหรือไม่ที่การยกร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสร็จสิ้นเรียบร้อย? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ตอนนี้ยกร่างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันในสมัยการประชุมหน้า”

เมื่อถามต่อว่า จะทันต่อการเรียกร้องของกลุ่ม สมาพันธ์รถบรรทุกหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “รอมาตั้ง 50 กว่าปีแล้ว ตนเข้ามายังไม่ถึงปีเลย แต่ตอนนี้กฎหมายจะเสร็จแล้ว”

เมื่อถามอีกว่า ราคาสินค้าและราคาค่าขนส่งกำลังจะขึ้นจะมีมาตรการเฉพาะหน้าออกมาก่อนหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เราก็ต้องขอความร่วมมือ แต่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องประหลาด กระทรวงพลังงานกำกับดูแลพลังงาน แต่ไม่มีอำนาจอะไรสักอย่าง กลายเป็นว่าเราต้องไปขอความร่วมมือทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เคยมีการออกกฎหมายให้กระทรวงพลังงานมีอำนาจในการควบคุมขนาดมาม่าจะขึ้นราคายังต้องขออนุญาต แต่น้ำมันไม่ต้อง”

เมื่อถามอีกว่า เรื่องดังกล่าวจะต้องพูดคุยกับนายกฯ ให้ชัดเจนหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "นายกฯ มอบหมายให้ตนดูแลอยู่แล้ว”

'สุริยะ' แย้มข่าวดี!! มอเตอร์เวย์ 'บางปะอิน-โคราช' ลุ้นเปิดทั้งเส้นต้นปี 69 อำนวยความสะดวกการเดินทาง-บรรเทาการจราจรหนาแน่นบน ถ.มิตรภาพ

(24 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - นครราชสีมา หมายเลข 6 (M6) ระยะทาง 196 กิโลเมตร (กม.) โดยความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างฯ จากข้อมูล ณ พฤษภาคม 2567 งานด้านโยธา มีความก้าวหน้า 95.20% ล่าสุดก่อสร้างแล้วเสร็จ 31 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 9 สัญญา 

ขณะที่งานระบบ มีความก้าวหน้า 39.86% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทาง 9 ด่าน ส่วนงานก่อสร้างที่พักริมทาง 15 แห่ง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายน 2568 และจะเปิดให้บริการบางส่วนได้ในช่วงเดือนมิถุนายน 2569 

ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะเปิดให้บริการตลอดเส้นทาง โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางภายในปี 2568 ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ยังได้สั่งการให้ ทล. เร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M6 ช่วงหินกอง - ปากช่อง ระยะทาง 87 กม. ซึ่งเป็นช่วงที่การจราจรบนถนนมิตรภาพที่มีความหนาแน่น โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ โดยในระยะแรก จะเปิดให้บริการ 1 ฝั่งจราจร 

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 เพิ่มเติมในช่วงหินกอง - ปากช่องนั้น จะทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการมอเตอร์เวย์ M6 รวมระยะทางประมาณ 164 กม. จากที่ในปัจจุบัน ทล. ได้เปิดให้ประชาชนได้บริการแล้ว ตั้งแต่ช่วงอำเภอปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. 

อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 นั้น จะช่วยเพิ่มทางเลือก และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน อีกทั้งยังแบ่งเบาการจราจรหนาแน่นบนถนนมิตรภาพ ที่ในช่วงเทศกาลต่างๆ  จะมีประชาชนใช้เส้นทางดังกล่าว เดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

'กบน.' ควักเงินกองทุนฯ ชดเชยราคาดีเซลเพิ่ม  หลังปรับขึ้นราคาไม่ได้อีก เพื่อลดกระทบประชาชน

(24 มิ.ย.67) ศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาเพิ่มเงินชดเชยราคาดีเซลขึ้นอีกครั้งเป็น 2.02 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยอยู่ 1.60 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับ กบน. ไม่สามารถปรับขึ้นราคาดีเซลได้อีกแล้ว เนื่องจากเต็มเพดานที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดให้ปรับขึ้นได้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันราคาดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ทำให้ กบน. ต้องอนุมัติใช้เงินกองทุนฯ ชดเชยราคาดีเซลเพิ่มขึ้นแทน

ทั้งนี้การเพิ่มเงินชดเชยราคาดีเซลดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนฯ ต้องประสบปัญหาเงินไหลออก 178.28 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งมากกว่าเงินไหลเข้า 158.47 ล้านบาทต่อวัน ทำให้เงินกองทุนฯ ติดลบวันละ 19.81 ล้านบาท หรือประมาณ 594 ล้านบาทต่อเดือน

โดยสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ณ วันที่ 23 มิ.ย. 2567 ภาพรวมกองทุนฯ ยังคงติดลบรวม -110,743 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -63,121 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,622 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กบน. พยายามปรับขึ้นราคาดีเซลจาก 29.94 บาทต่อลิตร นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2567 เป็น 32.94 บาทต่อลิตร หรือเท่ากับปรับขึ้น รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 3 บาทต่อลิตร โดย ครม. อนุญาตให้ปรับขึ้นราคาดีเซลได้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นระหว่างวันที่ 20 เม.ย.-31 ก.ค. 2567 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาดีเซลดังกล่าว เพื่อช่วยลดภาระกองทุนฯ ในการชดเชยราคาดีเซล และหวังให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าจนบัญชีเป็นบวกในแต่ละวัน เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการชำระหนี้เงินต้นก้อนแรก จำนวน 30,000 ล้านบาทในเดือน พ.ย. 2567 นี้ (จากหนี้กู้ยืมทั้งหมด 105,333 ล้านบาท) เบื้องต้น กบน. เคยระบุว่าจะพยายามทำให้กองทุนฯ มีรายรับเป็นบวกในแต่ละวันให้ได้ ภายในเดือน ต.ค. 2567 หรือในอีก 4 เดือนข้างหน้าเพื่อให้ทันต่อการชำระหนี้เงินต้นก้อนนี้

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 24 มิ.ย. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 82.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 80.76 เหรียญหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 85.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ในส่วนของค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าได้รับ ในวันที่ 24 มิ.ย. 2567 ซึ่งรายงานโดย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พบว่าค่าการตลาดดีเซลอยู่ที่ 1.87 บาทต่อลิตร ส่วนของกลุ่มเบนซินยังสูงอยู่ที่ประมาณ 3.4-3.7 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดน้ำมันตั้งแต่ 1-24 มิ.ย. 2567 อยู่ที่ 2.34 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่ควรได้ที่ 1.50-2 บาทต่อลิตร)

‘เศรษฐา’ เร่ง ‘ททท.’ ปั้นทริปเที่ยวตอบโจทย์แต่ละชาติช่วงโลว์ซีซัน ล็อกเป้า!! 'กลุ่มตะวันออกกลาง-รัสเซีย-คาซัคฯ-อินเดีย' ดีมานด์สูง

(24 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ภารกิจเช้านี้เตรียมและติดตามงาน 2 เรื่อง เรื่องแรกตนได้เชิญทาง ททท. มาเตรียมแผนการท่องเที่ยวในช่วง Q2 - Q3 ที่เป็นช่วง Low Season ของไทย 

“ผมได้ขอให้ ททท. เตรียมแพ็กเกจสำหรับแต่ละประเทศที่มีศักยภาพเพื่อจะทำแผนการท่องเที่ยวราย Segment ให้ตอบโจทย์ของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจากกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย หรือประเทศอื่น ๆ เช่น รัสเซีย, คาซัคสถาน, อินเดีย ที่มีความต้องการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงและมีความชอบเฉพาะที่แตกต่าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยว่า นอกจากนี้ยังได้พบกับ Mr. Marcus Wallenberg ประธานกลุ่มบริษัท SAAB SEB ซึ่งตนเคยพบตอนห้วงประชุม World Economic Forum ที่ Davos เพื่อติดตามประเด็นต่าง ๆ ที่เคยคุยไว้ เช่น การดึงดูดการลงทุนในไทย การเข้ามาตั้งโรงงานของ Astra Zeneca ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมแล้ว และทางบริษัทฯ จะวางแผนพบกับนักลงทุนไทย เพื่อทำงานร่วมกันระหว่างการประชุม Davos ในปีหน้า

‘สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam’ เตรียมยุติกิจการในไทย 30 มิ.ย.นี้ พร้อมให้บริการ 27 มิ.ย.วันสุดท้าย หลังดำเนินงานมา 3 ปี

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก Beam Thailand ของ บริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกประกาศถึงผู้ใช้งานในประเทศไทย ว่า Beam Thailand จะยุติกิจการในวันที่ 30 มิ.ย. 67 ขอขอบคุณลูกค้าสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากมีเครดิตการขับขี่ กรุณาใช้เครดิต Beam ภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของการให้บริการ

โดยหากลูกค้าที่มีเครดิตที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง (USER PURCHASED) กรุณาใช้เครดิตเหล่านั้นภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 เครดิตที่ไม่ได้ใช้ภายในวันที่กำหนดจะได้รับการคืนเงินจาก Beam โดยสามารถติดต่อภายในวันที่ 10 ก.ค. 67 ได้ที่อีเมล [email protected] ส่วนเครดิตที่ได้รับจาก Beam ในรูปแบบของโปรโมชันหรือการชดเชย จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการคืนเงิน

"เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านสำหรับการสนับสนุน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ให้บริการลูกค้าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ... ขอบคุณจากใจสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนของท่าน หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในอนาคต" ข้อความจาก Beam Thailand ระบุ

สำหรับ Beam เป็นแพลตฟอร์มสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากประเทศสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยมีแอปพลิเคชัน Beam สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อปลดล็อก เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางภายในพื้นที่บริการ เปิดให้บริการครั้งแรกในไทยที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2564 ก่อนขยายบริการไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา

นอกจากนี้ ยังมีให้บริการในมหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สำหรับบริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2564 ทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท มีนายอลัน จูเลียน เจียง และนายเดบ เซการ์ กันโกพาดิห์เย่ เป็นกรรมการบริษัท 

ข้อมูลการเงินมีดังนี้

ปี 2564 มีรายได้รวม 402,820 บาท ขาดทุนสุทธิ 7,113,974 บาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 11,405,235 บาท ขาดทุนสุทธิ 9,466,254 บาท
ปี 2566 มีรายได้รวม 26,476,532 บาท ขาดทุนสุทธิ 12,556,201 บาท

อนึ่ง นอกจากประเทศไทยแล้ว สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam ยังให้บริการในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และตุรกี

'สุชาติ ชมกลิ่น' จาก 'ก.แรงงาน' สู่ 'ก.พาณิชย์' คิดใหญ่!! ค้าขายไทยดี GDP ต่อประชากรสูง-ร่ำรวย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่งในประเด็นที่เปิดฉาก เป็นการพูดถึงบทบาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สู่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีความแตกต่างในการบริหารงานหรือไม่? อย่างไร? 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า "ผมมองว่าคล้ายกับกระทรวงแรงงาน ตรงนั้นต้องหางานให้พี่น้องประชาชนคนไทยไปทำงาน ซึ่งมีความต้องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศ ที่เราก็ต้องไปเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศในการส่งแรงงาน...

"ขณะที่เมื่อมากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องดูการเจรจาการค้า ว่าแต่ละประเทศต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน...

"อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันของธรรมชาติในแต่ละกระทรวงฯ ก็มี เช่น ในแง่ของพาณิชย์ สินค้าที่เราส่งไปมีเรื่องของการแข่งขันในระดับโลก รวมถึงมีรายละเอียดมากกว่าในเรื่องราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากบทบาทในเรื่องของแรงงาน"

เมื่อถามถึงบทบาทในปัจจุบันว่าต้องกำกับดูแลหน่วยงานใดเป็นสำคัญ? นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบหมายงานจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กำกับดูแลงานของ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า / และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 

โดยในส่วนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการเปิดประตูพูดคุยการค้าขายระหว่างประเทศ ต้องเปิดประตูให้ได้ ซึ่งนโยบายปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าหลักอยู่แล้ว แต่ตนก็พยายามส่งเสริมสินค้ารองให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการสร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่จำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการส่งออกให้ได้ รวมถึงการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากตลาดจีนเพียงอย่างเดียว เช่น อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น 

"ปัจจุบันเรามีทูตพาณิชย์ทั่วโลก 58 ประเทศ ซึ่งทูตต้องทำการบ้านให้เราว่าแต่ละประเทศมีกำลังซื้อเป็นอย่างไร เปิดตลาดใหม่ให้มากขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทย" รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริม 

ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า? นายสุชาติ เผยว่า ก็ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้าต่าง ๆ จากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วจัดทำนโยบายแผนและยุทธศาสตร์ให้มีข้อมูลรอบด้าน  

สุดท้ายกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่อบรมให้ความรู้ให้แก่บุคลากรในภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพด้านการค้าและการพัฒนา ซึ่งทุกหน่วยงานต้องคิดนอกกรอบ เหล่านี้คือภารกิจใต้หมวกผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน

เมื่อถามถึงความกังวลใจกับภารกิจในการบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ที่ค่อนข้างหนัก? นายสุชาติ กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว เป็นความ 'ใฝ่ฝัน' ของผมเลย เพราะวันหนึ่งผมเคยทำหลายภารกิจของกระทรวงแรงงานได้สำเร็จ ก็อยากทำเรื่องการค้าขายให้ประเทศไทยร่ำรวย และมี GDP ต่อประชากรสูงๆ ด้วยเช่นกัน"

เมื่อถามถึงประเด็นราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน? นายสุชาติ กล่าวว่า "เรื่องนี้ท่านภูมิธรรม ได้มอบนโยบายให้ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดีลงไปดูหลายเรื่อง ลงไปดูต้นทุนสินค้าจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร มันสูงจริงไหม ด้วยเหตุและผล และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูงกว่านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าไม่ให้ผู้ผลิตเอาเปรียบผู้บริโภค และต้องสร้างสมดุลให้ได้ เอาความจริงให้ปรากฏอย่าฟังความข้างเดียว" 

สุดท้าย นายสุชาติ ยังได้ฝากถึงกลุ่มผู้กักตุนสินค้า ด้วยว่า ไม่ควรกักตุน เพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน 

'รัดเกล้า' เผย!! 'นายกฯ-สุริยะ' มั่นใจความคืบหน้าท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3  ทุกแผนงานเสร็จทันกำหนด มิ.ย.69 พร้อมรับนักลงทุน-ลดต้นทุนขนส่งไทย

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ติดตามและเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะร่วมลงพื้นที่ และมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้แทนกิจการการค้าร่วม CNNC ร่วมให้การต้อนรับ

นางรัดเกล้า เปิดเผยอีกว่า การมาติดตามโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นการติดตามความคืบหน้าของนายกฯ หลังจากการตรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เดินทางมาตรวจ พบว่ามีความล่าช้า แต่ภายใต้การนำของนายสุริยะ ก็สามารถที่จะแก้ไขได้เหลือร้อยละ 4 และจะดำเนินการก่อสร้างได้ภายในสิ้นปีหน้า ทำให้การก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้คือเดือนมิถุนายน 2569 ซึ่งทางทีมงานมีความกระตือรือร้น และตนเองให้กำลังใจ ทุกคน พูดคุยปัญหาอย่างตรงไปตรงมา และทราบว่าการนำหินเข้ามามีปัญหา ซึ่งนายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินการต่อไปได้เพราะทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา

ด้านผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนงานที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล มีกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้รับจ้าง มูลค่างานรวม 21,320 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานถมทะเลทั้งหมดประมาณ 2,846 ไร่ หรือ 4.5 ล้านตารางเมตร งานขุดลอกร่องน้ำและแอ่งจอดเรือให้มีระดับความลึก 18.5 เมตร และงานเขื่อนกันคลื่น ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมามีความคืบหน้าเพียง 13.26%  ซึ่งหลังจากที่นายกฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามและได้มีข้อสั่งการให้ กทท. เร่งรัดการก่อสร้างให้ทันตามแผน  ทาง กทท. ได้กวดขัน ติดตามการบริหารสัญญาและควบคุมการทำงานของผู้รับจ้างตามข้อสั่งการ สามารถเร่งรัดได้เนื้องานเพิ่มขึ้นกว่า 17%

ผู้ควบคุมงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเลอีกด้วยว่า ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ดำเนินงานได้ 31.12% จากแผนปฏิบัติงาน 35.11% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะดำเนินงานอย่างเต็มที่ แต่ยังคงล่าช้ากว่าแผน 3.99% ซึ่งผู้ควบคุมงานได้จัดทำแผนเร่งรัดการปฏิบัติงาน โดยเพิ่มเครื่องจักรทางบก ทางน้ำ และแรงงานให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้สามารถขุดลอก ได้มากกว่า 2,000,000 ลบ.ม. ต่อเดือน ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ได้กำกับดูแลและควบคุมเร่งรัดการทำงานให้ผู้รับจ้างมีผลงานโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3% ต่อเดือน

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวเพิ่มเติมว่าจากปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างยังมีความล่าช้ากว่าแผนฯ   แต่ก็มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจว่าการก่อสร้างงานทางทะเลจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายในมิถุนายน 2569 รวมถึงจะไม่กระทบกับสัญญาของบริษัทเอกชนคู่สัญญาบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ที่ กทท. จะต้องมีการส่งมอบเฉพาะพื้นที่งานถมทะเลท่าเทียบเรือ F1 ปัจจุบันมีความคืบหน้าการถมไปกว่า 97% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกรกฎาคม 2567 นี้ หลังจากนั้นจะมีเวลาอีกประมาณ 1 ปีเศษ ที่จะต้องการตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ เพื่อเตรียมส่งมอบให้กับบริษัท จีพีซี ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวต่อไปว่า งานส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้โดยบริษัทไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา ที่วงเงิน 7,298 ล้านบาท ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 160 ล้านบาท กทท. สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในต้นกรกฎาคม 2567 สำหรับงานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ มูลค่า 799 ล้านบาท และส่วนที่ 4 งานจัดหาประกอบและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบประกอบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสำหรับบริหารท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2,257 ล้านบาท ทั้งสองส่วนอยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับจ้างจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปี 2567 นี้ 

“โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่จะเพิ่มขึ้น  หากโครงการแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการจะสามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านทีอียูต่อปี ประกอบด้วยท่าเรือ F1 จำนวน 2 ล้านทีอียูต่อปี ท่าเรือ F2 จำนวน 2 ล้านทีอียูต่อปีท่าเรือ E จำนวน 3 ล้านทีอียูต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับขีดความสามารถเดิมของท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 1 และ 2 ที่ 11 ล้านทีอียูต่อปี  จะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 18 ล้านทีอียูต่อปี  ในส่วนนี้จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟและท่าเรือชายฝั่ง รวมถึงการเชื่อมโยงการขนส่งทางรางกับท่าเรือบกให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เป็นการเพิ่มศักยภาพและรองรับการขยายตัวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศอย่างมหาศาล จะช่วยสนับสนุนให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค อีกทั้งช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศจากร้อยละ 14 ของ GDP เหลือร้อยละ 12 ของ GDP สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์มุ่งให้ไทย เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคต่อไป” นางรัดเกล้า ย้ำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top