Tuesday, 17 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

สตูล - กอ.รมน.จังหวัดสตูลร่วมกับ สนง.สสจ.สตูล, ป้องกันจังหวัดสตูล, สภ.เมืองสตูล และ ฝ่ายปกครอง อ.เมืองสตูล ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนผ่านช่องทางสายด่วนความมั่นคง 1374 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตรวจพบร้านนวดแผนโบราณ

กอ.รมน.จังหวัด ส.ต. ได้รับการร้องเรียนร้องทุกข์ผ่านช่องทางสายด่วนความมั่นคง 1374 กอ.รมน. รับแจ้งเหตุความมั่นคง (Coll center 1374 กอ.รมน. รับแจ้งเหตุความมั่นคง) จากพลเมืองดี ว่ามีบุคคลชายไทย อายุ ประมาณ 65 ปี รูปร่างสันทัด ผิวขาว ผมสั้น เปิดร้านนวดแผนโบราณชื่อ “อาเสียน แดนใต้”ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 95/88 ถ.สฤษดิ์ภูมินารถ ซ.12 ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล มีพฤติกรรมน่าสงสัย ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการหลอกลวงประชาชน และประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนผู้มาใช้บริการสถานประกอบการดังกล่าว

กอ.รมน.จังหวัดสตูล ร่วมกับ สนง.สสจ.สตูล, ป้องกันจังหวัดสตูล, สภ.เมืองสตูล และ ฝ่ายปกครอง อ.เมืองสตูล  ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนผ่านช่องทางสายด่วนความมั่นคง 1374 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตรวจพบร้านนวดแผนโบราณชื่อ “เสียน แดนใต้”  ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 95/88 ถนนสฤษดิ์ภูมินารถ ซอย 12 ต.พิมาน อ.เมืองสตูล  จ.สตูล ผลการตรวจสอบภายในบ้านดังกล่าวพบ  นายอาคม วันนา อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32 ถ.ภูมินารถภักดี 2 ต.พิมาน อ.เมืองสตูล จ.สตูล และ นางไหมกาญจณ์  แก้วประมูล  อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 86/61 ถ.สฤษดิ์ภูมินารถ ต.พิมาน อ.เมืองสตูล  จ.สตูล โดยมี นายอาคม วันนา รับเป็นเจ้าของกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ในบ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับตรวจพบสิ่งของอุปกรณ์ซึ่งตกเป็นของกลาง จำนวน 7 รายการ ยาสมุนไพรสีน้ำตาล จำนวน 11 ห่อ, ยาแผนปัจจุบันจัดเป็นชุด ประกอบด้วย สีเหลืองกลม 2 เม็ด  สีเหลืองห้าเหลี่ยม 1 เม็ด สีเขียวกลมรีรูปไข่ 1 เม็ด สีเหลืองนวล 1 เม็ด รวมจำนวน 1,924 ชุด, ยาแผนปัจจุบันจัดเป็นชุด ประกอบด้วย สีเหลืองกลม 2 เม็ด สีเหลืองห้าเหลี่ยม 1 เม็ด และสีขาว 1 เม็ด 3 ชุด รวมจำนวน 19 ชุด,ยาแผนปัจจุบันจัดเป็นชุด ประกอบด้วยสีเหลืองกลม 2 เม็ด สีเหลืองห้าเหลี่ยม 1 เม็ด และเม็ดขาวกลม ๑ เม็ด รวมจำนวน 3 ชุด, ปืนพกสั้นยี่ห้อ colt ขนาด 11 มม.  จำนวน 1 กระบอก ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน, เครื่องกระสุนขนาด 11 มม.  จำนวน 13 นัด,ซองกระสุน จำนวน 1 ซอง

เจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบได้นำตัว นายอาคม วันนา และ นางไหมกาญจณ์  แก้วประมูล พร้อมด้วยของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสตูล ข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันกระทำความผิด จำนวน 8 กระทง ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืน ม.16 ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ,ดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตฝ่าผืน ม.24 ตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ.2541,ประกอบโรคศิลปะโดยไม่ขึ้นทะเบียน และรับอนุญาต ฝ่าฝืน ม.30 ตาม พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542,ขายยาแผนปัจจุบัน โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืน ม.12 ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510, ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยไม่ได้รับอนุญาตฝ่าฝืน ม.๑๗ ตาม พ.ร.บ. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562,ฝ่าฝืน ม.75 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดขายยาบรรจุเสร็จหลายขนาน โดยจัดเป็นชุด  ในคราวเดียวกัน โดยเจตนาให้ผู้ซื้อใช้รวมกันเพื่อบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ (พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ),มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่, ฝ่าฝืนคำสั่ง จ.สตูล ที่ 726/2564 ลงวันที่ 17 เมษายน 2564  เรื่อง มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) จ.สตูล

จากการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนร้องทุกข์ พฤติกรรมของบุคคลดังกล่าว ได้ขออนุญาตเปิดสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ แต่กลับมีการดำเนินการประกอบสถานพยาบาล, การประกอบโรคศิลปะโดยไม่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต ตลอดจนการจำหน่ายยาแผนปัจจุบันโดยไม่รับอนุญาต ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่มาใช้บริการดังกล่าว ได้รับอันตรายต่อสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนอาจจะเข้าข่ายการร่วมกันหลอกลวงประชาชน ให้เกิดความหลงเชื่ออันจะส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี  ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ขอนแก่น - เร่งระบายน้ำบึงหนองโคตร รับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อ ป้องกันน้ำท่วมเขตเศรษฐกิจของเมือง ผู้ว่าฯ คาดปีนี้ฝนตกชุก เร่งเตรียมรับน้ำในทุกพื้นที่อย่างเข้มงวด

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 20 เม.ย 2564 นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น นำเจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอนแก่น, เทศบาลนครขอนแก่น และเทศบาลตำบลบ้านเป็ด ลงพื้นที่ตรวจสภาพปริมาณน้ำเก็บกักและการบริหารจัดการน้ำที่สถานีสูบน้ำพลังงานไฟฟ้าบึงหนองโคตร ต.บ้านเป็ด  หลังจากที่ได้เริ่มพร่องน้ำลงสู่คลองร่องเหมือง มานานกว่า 1 สัปดาห์

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าขอนแก่น จะมีปริมาณฝนที่จะชุกกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ในขณะนี้จังหวัดได้มีการประสานไปยังเทศบาลตำบลบ้านเป็ด เดินเครื่องสูบน้ำ เพื่อระบายน้ำในบึงหนองโคตรลงอีก 3 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการรองรับน้ำ ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

" บึงหนองโคตรเป็นบึงขนาดใหญ่กว่า 800 ไร่ เป็นแก้มลิงในการรับน้ำจากชุมชนเมือง,ท่าอากาศยานขอนแก่น และกรมทหารราบที่ 8 ดังนั้น เมื่อพร่องน้ำได้ระดับ 3 เมตร จะทำให้รองรับน้ำได้ปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้พื้นที่เศรษฐกิจไม่มีปัญหาน้ำท่วมขังอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันได้สั่งการไปให้ทุกอำเภอ ได้มีการสำรวจ และวางแผนในการเฝ้าระวังน้ำท่วมเช่นกัน"

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า เขตพื้นที่เทศบาลนครขอนแก่น ได้วางแผนให้มีการพร่องน้ำออกจากคลองร่องเหมือง เพื่อให้น้ำไหลลงสู่บึงทุ่งสร้าง ก่อนที่จะมีการระบายต่อไปยังหนองอีเลิง และไหลลงสู่ห้วยพระคือ และแม่น้ำชี ในเขต ต.พระลับ อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป ขณะเดียวกันสำนักงานชลประทานที่ 6 เตรียมวางเครื่องสูบน้ำจำนวน 8 จุด รวม 9 เครื่อง  ตามพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขัง เพื่อช่วยในกรระบายน้ำที่ท่วมขังผิวจราจร และพื้นที่ลุ่มต่ำที่จะส่งผลน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน    

 

อย่างไรก็ตามสำหรับถนนมลิวรรณ ที่จะเริ่มมีการขยายผิวจราจร ตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น จนถึงทางเข้าท่าอากาศยานขอนแก่น แขวงทางหลวงที่ 1 ได่มีการมีการวางท่อระบายที่จะระบายจากชุมชนค่ายกรมทหารราบที่ 8 เพื่อให้น้ำไหลลงสู่บึงหนองโคตร จำนวน 3 จุด ซึ่งหากการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ จะทำให้การระบายน้ำที่เคยท่วมขังชุมชนทางเข้ากรมทหารราบที่ 8 จะมีประสิทธิภาพการระบายน้ำได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

ขอนแก่น - รพ.ศรีนครินทร์ เสริมเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มหลังเตียงผู้ป่วยเต็ม ยืนยันสามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่และครอบคลุมผู้ติดเชื้อทุกระดับ พร้อมนำหุ่นยนต์ทดแทนบุคลากรมาใช้ในการส่งอาหาร

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 20 เม.ย.2564 ที่ รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.  เปิดเผยว่า การบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของทางโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในสังกัดชอง มข. ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ที่ในขณะนี้ พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องทะลุกว่า 200 ราย ทำให้เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆที่เตรียมสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะเริ่มเต็ม ซึ่ง รพ.ศรีนครินทร์มีห้องความดันลบทั้งหมด 8 ห้อง เตียงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับหนัก-วิกฤติ ซึ่งมีเตียงผู้ป่วยอยู่ 5 เตียงขณะนี้ก็เต็มเช่นเดียวกัน

"ในส่วนของเตียงที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในระดับหนักและวิกฤตินั้น ทางโรงพยาบาลได้เพิ่มเตียงอีก 5 เตียง ซึ่งจะเพียงพอในการดูและผู้ป่วยในระดับหนัก-วิกฤติ ในส่วนของผู้ติดเชื้อที่มีอาการปานกลาง ภายใต้การบริหารจัดการรับมือสถานการณ์ในระดับสูงสุด ซึ่งในเรื่องของเตียงผู้ป่วยขณะนี้จะสามารถรองรับผู้ป่วยทุกระดับได้ทั้งหมด"

ขณะที่ รศ.นพ.ทรงศักดิ์ เกียรติชูสกุล ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ กล่าวว่า ในแผนของการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ทางโรงพยาบาลได้มีแผนเตรียมพร้อมรับในทุกระดับตั้งแต่ระดับน้อยไม่แสดงอาการไปจนถึงระดับหนักถึงขั้นวิกฤติ แต่จะเน้นในการรักษาผู้ติดเชื้อภาวะวิกฤติเป็นหลักเหมือนกับที่โรงพยาบาลขอนแก่น เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากร ซึ่งการดูแลผู้ป่วยหนักจะแตกต่างจากการดูแลผู้ป่วยระดับอื่น ๆ เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอื่น ๆ เยอะ ทั้งชุดป้องกันที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วยในระดับที่สูง และต้องใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้มีการพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โรงพยาบาลจึงต้องช่วยดูแลผู้ป่วยที่มีอาการในระดับน้อยถึงปานกลางด้วย ทำให้มีการแบ่งสัดส่วนของจำนวนเตียงผู้ป่วยให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

"ขณะนี้เรามีตั้งแต่ผู้ป่วยที่ต้องสงสัยรอผลตรวจ โดยจัดโซนภายในตึกสามารถรองรับได้จำนวน 14 คน คนไข้ที่มีอาการปานกลางจัดโซนไว้ให้ 2 ตึก สามารถรองรับได้จำนวน 20 คน ส่วนคนไข้ที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้นแล้วเป็นอาการคงที่จะย้ายไปอีกตึกหนึ่งและรอกลับบ้านซึ่งรองรับได้16 คนและกำลังพิจารณาหาหอผู้ป่วยรองรับอีก 12 เตียง ในส่วนของคนไข้หนักซึ่งเป็นภารกิจหลักของเราสามารถรับผู้ป่วยได้ทั้งหมด 5 คน ขณะนี้จำนวนเตียงเต็มแล้วทั้ง 5 เตียง แต่เร็ว ๆ นี้จะสามารถส่งผู้ติดเชื้ออาการหนักที่ทำการรักษาหายแล้วกลับบ้าน 1 ราย ก็จะทำให้เตียงหนักว่าง 1 เตียง ทำให้ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ทำการจัดสรรหาหอผู้ป่วยรองรับผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้นอีก โดยใช้หอผู้ป่วยจำนวน 1 ตึกซึ่งจะสามารถรองรับผู้ติดเชื้ออาการหนักจนถึงขั้นวิกฤติได้อีก 5 เตียง โดยวันนี้จะเริ่มเข้าไปทำการปรับเปลี่ยนทันทีตามความเหมาะสมและได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข"

ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า โรงพยาบาล ได้นำหุ่นยนต์มาช่วยในเรื่องของการส่งอาหารและยาให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระดับสูงสุด ส่วนบุคลากรของ รพ.ศรีนครินทร์ ในช่วงของการระบาดระลอกที่ 3 นี้ภายหลังจากพบแพทย์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 2 คน ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงในโรงพยาบาลและตัวผู้ป่วยด้วย เนื่องจากบุคลกรทางการแพทย์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกันในหลายๆ แผนก ต้องมีการปิดหอผู้ป่วยและตึกผ่าตัดเพื่อทำความสะอาด

ในขณะนั้นมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับ แพทย์ที่ติดเชื้อจำนวนเกือบ 600 คน ผู้ป่วยที่แพทย์ที่ติดเชื้อให้การรักษาอีกเกือบ 30 คน แต่ผลตรวจหาเชื้อของทุกคนเป็นลบ ทำให้มีความเข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยต้องสงสัย และผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัด จะมีการนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์มาเสริมโดยซักประวัติผู้ป่วยผ่านทางวีดีโอคอล การสวอบผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดทุกคนรวมถึงผู้ป่วยต้องสงสัยว่าติดเชื้อจะมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อความปลอดภัยต่อบุคลากรทางแพทย์ในระดับสูงสุด พร้อมทั้งจัดทีมแพทย์ให้เข้ากับสถานการณ์หากมีทีมแพทย์ติดเชื้อก็สามารถสับเปลี่ยนทีมแพทย์ยกชุดได้ทันที

นอกจากนี้ยังบริหารจัดการในส่วนของผู้ป่วยโดยการลดการให้บริการบางส่วนภายในโรงพยาบาล แต่จะให้การสอบถามอาการผ่านทางโทรศัพท์และส่งยาไปให้ผู้ป่วยที่บ้านทางไปรษณีย์ ลดระยะเวลาของผู้ป่วยที่จะอยู่ในโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด ซึ่งผู้ป่วยที่จะรับยาภายหลังจากยื่นใบสั่งยาแล้วให้ไปที่อื่นทันทีและจะมีข้อความแจ้งมายังผู้ป่วยว่าขณะนี้สามารถรับยาได้แล้วจึงค่อยเดินทางมารับยากลับไป หรือผู้ป่วยบางรายที่กลัวไม่กล้าเดินทางมาโรงพยาบาลก็จะใช้วิธีการสอบถามอาการผ่านทางโทรศัพท์และจัดยาส่งไปให้ทางไปรษณีย์

ปราจีนบุรี - สาวเสริมสวยใฝ่ธรรมะทุ่มเงินส่วนตัวสองล้านสร้างลานธรรมในหมู่บ้าน

วันที่ 20 เมย.64 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปราจีนบุรีรับแจ้งว่าที่บ้านนาไผ่รส ม.2 ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรีจ.ปราจีนบุรี เจ้าของร้านเสริมสวยบัญชิตา บิวตี้ ซาลอน ควักเงินส่วนตัว 2 ล้านบาทซื้อที่ดินเพื่อสร้างลานธรรมะประจำหมู่บ้านโดยมีเจตนารมณ์เปิดใจใส่ธรรมะให้คนในหมู่บ้านมาสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ เช้า-เย็น โดยเจ้าตัวยึดธรรมะถือศีลปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายปี เมื่อมีโอกาสอยากทำในสิ่งที่คิดไว้

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ร้านเสริมสวยบัญชิตาบิวตี้ซาลอน นส.บัญชิตา บุญพรมอ่อน อายุ 37 ปี เจ้าของร้านเสริมสวยนส.บัญชิตา หรือ น้องแอม เปิดเผยว่า หลังจากที่เรียนเสริมสวยมา 10 ปี เปิดร้านเสริมสวยครบวงจรและเรียนนวดคลายเส้นมาด้วยต่อมาได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ทำให้คิดได้ว่า คนเราทุกคนเกิดมามีคุณภาพชีวิตไม่เหมือนกันอาจเป็นเพราะว่า"บุญ-บาป "เป็นตัวกำหนด สังเกตดูจากการกระทำของตัวเองแต่ละครั้งที่ได้ทำบุญช่วยเหลือคนจนรู้สึกอิ่มใจ มีโอกาสจะร่วมทำบุญกับผู้ยากไร้ตลอดมาในรอบ 10 ปี

ขณะเดียวกันได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ ฟังธรรมะจากหลวงพ่อต่าง ๆ ซาบซึ้งในพุทธคุณเก่งมีแนวคิดที่จะสร้างลานธรรมด้วยตัวเองควักเงินส่วนตัวซื้อที่ 5 ไร่ เพื่อสร้างลานธรรมให้คนเฒ่าคนแก่และ เพื่อน ๆ ที่เป็นกัลยาณมิตรมีใจใฝ่ธรรมะด้วยกันให้มาถือศีลปฏิบัติธรรมที่ลานธรรมที่จะสร้างขึ้นในหมู่บ้าน โดยการเปิดเป็นลานธรรมมีที่นั่งสวดมนต์ไหว้พระ ลานธรรมแห่งนี้จะให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านและใกล้เคียงมาร่วมปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เช้า-เย็นมีโรงทานไว้บริการแก่ผู้มาปฏิบัติธรรมรวมถึงจะสร้างห้องนวดคลายเส้นให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมด้วย แรงบันดาลใจที่จะสร้างลานปฏิบัติธรรมในคิดว่าตัวเองสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนึกถึงหลักความเป็นจริงคนทุกคน หนีการเกิดแก่เจ็บตายไม่พ้น การได้สวดมนต์ไหว้พระและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พ้นจากทุกข์กายทุกข์ใจถือว่าได้สั่งสมบุญแล้ว ได้บริจาคร่างกายกับสภากาชาดไทยเอาไว้แล้วเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ดีกว่าเผาทิ้งซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลยพอมีแนวคิดที่จะสร้างลานธรรมมีญาติติธรรมหลายคนติดต่อเข้ามาที่จะมาร่วมปฏิบัติธรรมอย่างนี้หลายคนแล้วขออนุโมทนาบุญไว้ล่วงหน้าด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  ลักขณา สีนายกอง

ชุมพร – ควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบ ฯ - ชุมพร - สุราษฎร์ธานี)

วันอาทิตย์ ที่ 18 เมษายน 2564 ศรชล.จังหวัดชุมพร บูรณาการร่วมกับ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร ภายใต้การอำนวยการของ นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ./ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร มอบหมายให้ น.อ.กิตติพงษ์ พุ่มสร้าง รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร บูรณาการร่วมกับ นาย พงศ์รันย์ รัตนพรหม ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดชุมพร จัดกิจกรรมควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง(ประจวบ ฯ ชุมพร สุราษฎร์ธานี)

นายนุรัตน์ ขาวสอาด เจ้าพนักงานเดินเรือปฏิบัติงาน หัวหน้าชุดปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 6 นาย นำเรือตรวจประมง 113 ออกตรวจพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ในการนี้ตรวจยึดลอบพับหรือไอ้โง่ จำนวน 59 ลูก โดยมีผู้ลักลอบทำการประมงบริเวณชายทะเล อ่าวทุ่งมะขาม อ่าวทุ่งคา และอ่าวสวี โดยที่ลอบพับและลอบพับปูดังกล่าวเป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขาวอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ มีความผิดตามมาตรา 67 มีโทษตามมาตรา 147 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จาการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่พบผู้กระทำความผิด  เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนและทำการยึดเครื่องมือประมงดังกล่าวนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร อ.เมือง จังหวัดชุมพร จำนวน ลอบพับ (ไอ้โง่ 59 ลูก) ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

สุโขทัย - Sukhothai Crafts and Folk Art “เค้กสีนิลสังคโลก” ต่อยอดงานศิลปสังคโลกสุโขทัย

“เครื่องสังคโลก” เครื่องเคลือบดินเผาที่เป็นเอกลักษณ์จากยุคสุโขทัยกว่า 700 ปี ช่างจะเขียนลวดลายอย่างวิจิตร ที่สะท้อนถึง สภาวะแวดล้อม ความเป็นอยู่ และความเชื่อในสมัยสุโขทัย จากนั้นเคลือบด้วยน้ำยาที่ทำจากเถ้าไม้ผสมดินผิวนา แล้วนำไปเผาในอุณหภูมิสูงจนได้ชื้นงานที่มีเนื้อแกร่ง

สุขเสมอ Coffee and Bakery House คาเฟ่ของคนรุ่นใหม่ โดยคุณศิลป์ไทย สินอำพล และคุณศุภลักษณ์ คงรุ่ง 2 เจ้าของกิจการ ได้ดึงเอาลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ มาประยุกต์ใช้เป็นลวดลายบนหน้าเค้ก พร้อมปรับส่วนผสมของตัวเค้กโดยใช้แป้งจากข้าวหอมนิลออร์แกนิกส์ ซึ่งเป็นผลผลิตที่มีอยู่มากในพื้นที่มาเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบ เพื่อเพิ่มความเป็นสุโขทัยมากยิ่งขึ้น จนได้เป็น “เค้กสีนิลสังคโลก” ของฝากขึ้นชื่อของร้าน

จุดเด่นของเค้กสีนิลสังคโลก คือลวดลายรูปปลาและพรรณพฤกษา ที่สะท้อนให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ในอดีตของกรุงสุโขทัย และยังได้นำลาย ”สิบสองหน่วยตัด” 1 ใน 9 ลายของผ้าตีนจกอันขึ้นชื่อของสุโขทัยมาตกแต่งบนหน้าเค้กอีกด้วย ในส่วนของเนื้อเค้กจะมีความเหนียวหนึบ ต่างจากเค้กทั่วไป เพราะใช้แป้งจากข้าวหอมนิลออร์แกนิกส์ ทำให้มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากข้าว ใช้น้ำมันรำข้าวที่มีไขมันต่ำกว่าแทนเนยและมาการีน เนื้อครีมเป็นสีเขียวไข่กา ซึ่งเป็นสีบนเครื่องสังคโลก

และที่โดดเด่นคือทางร้านมีกิจกรรมให้ลูกค้าสามารถเรียนรู้ ลงมือทำ แต่งหน้าเค้กเอง โดยจะสอนทั้งลายสังคโลกและลายผ้าตีนจก อันเป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัย นอกจากจะได้ความอิ่มเอมในรสชาติอร่อย แล้วยังจะได้ความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  เสนิศชนันต์ สุขกสิกร

อุดรธานี - โรงแรมอุดร พร้อมส่งมอบให้แพทย์พยาบาลกักตัวสู้โควิด ยินดีให้ใช้สถานที่โดยไม่คิดมูลค่า

วันที่ 19 เมษายน 2564เวลา 14.30 น.  ที่โรงแรมวีธรา บูธีค โฮเต็ล ถ.อุดรดุษฎี เทศบาลนครอุดรธานี คณะเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เดินทางมาดูห้องพักของโรงแรม ที่จะใช้เป็นสถานที่กักตัว ของบุคลากรทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่อยู่ในสภาพเป็นผู้เสี่ยงสูง หลังจากบุคคลากรในห้องผ่าตัดติดเชื้อโควิด-19 และมีอุปสรรคจะกลับไปกักตัวที่บ้านได้ เพื่อให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เร็วที่สุด โดยทาง นายณณชัย ทีฆธนานนท์ เจ้าโรงแรมของยินดีให้ใช้สถานที่โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งนางวรนันท์ ทีฆธนานนท์ และ นายกิตติภูมิ ทีฆธนานนท์ ภรรยาและบุตรชายนายณณชัยฯ ให้การต้อนรับและพาตรวจห้องพัก

โดยทางคณะได้ตรวจดูสภาพโรงแรม สูง 5 ชั้น 60 ห้อง ที่ประกอบการมาได้เพียง 8 ปี ประกอบด้วย ล็อบบี้,ห้องอาหาร,ห้องประชุม 1,2,3,ห้องพักแบบเตียงคู่ เตียงเดียว มีเครื่องปรับอากาศ ห้องน้ำในตัว และลานจอดรถ ที่กว้างขวาง ก่อนจะมาร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ตัวแทนจากโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี บอกว่า วันนี้มาตรวจดูความพร้อมของทางโรงแรม ที่พบว่าพร้อมที่จะทำการรับตัวบุคคลากรทางการแพทย์ ของทางโรงพยาบาล ที่จะมาใช้เป็นสานที่กักตัว ซึ่งบุคคลากรที่จะมากักตัว ผ่านการตรวจหาเชื้อแล้วไม่มี แต่ยังคงต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งผู้ที่มากักตัวที่นี่ไม่สะดวกที่จะกลับไปกักตัวเองที่บ้าน ซึ่งดูแล้วทางโรงแรมมีความพร้อมทุกอย่าง ที่จะสามารถให้บุคคลากรที่ถูกกักตัวมากักตัวที่นี่ ซึ่งคาดว่าจะมีการรับมอบพื้นที่พรุ่งนี้ และน่าจะมีบุคคลากรชุดแรกเข้ามากักตัวประมาณ 50 คนก่อน

ด้าน นายกิตติภูมิ ทีฆธนานนท์ บอกว่า ทางครอบครัวยินดีที่จะใช้โรงแรมเป็นสถานที่กักตัวบุคคลากรทางการแพทย์ของทางโรงพาบาลศูนย์อุดรธานี ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว ทางครอบครัวก็ยินดีให้ทางราชการ ใช้โรงแรมเป็นสถานที่ที่ให้บุคคลากรทางการแพทย์ ใช้เป็นที่พักมาแล้ว เป็นการช่วยเหลือชาวอุดรธานีทางหนึ่ง


ภาพ/ข่าว  นายกฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี

สุรินทร์ - ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีสั่งคุมเข้ม แนวชายแดน 5 จังหวัดอีสานตอนล่าง ตามนโยบาย ผบ.ทบ.ในการป้องกันการระบาดของโควิด-19

วันที่ 19 เมษายน 2564 พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องประชุม เพื่อมอบนโนบาย "มาตรการพิทักษ์พล" ของกองทัพมาใช้ควบคุมโควิดโดยกำหนดให้กำลังพลปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันกำลังพลอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการแพร่กระจายเชื้อ 

โดยเฉพาะมาตรการป้องกันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดย ที่อาจเกิดการระบาดของโควิด-19 ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และ หน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์  โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เข้มงวดในการสวมแมสตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กล่าวว่า เพื่อป้องกันการระบาดของ ไวรัสโควิด-19 จึงสั่งการให้กำลังพลในสังกัดเพิ่มการลาดตระเวน ตลอดแนวชายแดน 5 จังหวัดอีสานตอนล่าง 24 ชั่วโมง

โดยเฉพาะมีการตั้งจุดตรวจตามช่องทางธรรมชาติ โดยมีการประสานกับทหารฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิดผ่านช่องทางไลน์และช่องทางวีทีซี  ในการร่วมกันลาดตระเวนแบบคู่ขนาน  เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง  ทั้งนี้ พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ยังกล่าวต่อไปอีกว่า  ในส่วนของการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนนั้น ผู้ว่าราชการทั้ง 5 จังหวัดในพื้นที่อีสานตอนล่าง ได้ส่งรายชื่อและจัดลำดับความเร่งด่วนให้กองกำลังป้องกันชายแดนไว้แล้ว หากได้รับวัคซีนมาอย่างเพียงพอ ก็จะเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนทันที เนื่องจากถือว่ามีความเสี่ยงสูงสุด


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์  แสนกล้า 

สมุทรสาคร - ผู้ว่าฯ ปู กลับมาแล้ว...นำทีมสู้โควิดระลอกใหม่ ประเดิมสนามแรกหารือร่วม รพ.เอกชน ดูแลผู้ติดเชื้อ

เมื่อเวลา 14.30 น. ของวันที่ 19 เมษายน 2564 นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร ได้เดินทางกลับมาบริหารงานที่จังหวัดสมุทรสาคร อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้วได้กลับพักฟื้นรักษาสุขภาพที่บ้านพักในจังหวัดอ่างทอง นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา

โดยการเดินทางกลับมาในวันนี้ของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครนั้น ก็เดินทางกลับมาแบบเป็นการส่วนตัว ไม่ได้มีพิธีการต้อนรับแต่อย่างใดทั้งสิ้น  เมื่อมาถึงที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้แวะทักทายกับเจ้าหน้าที่ อส.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด จากนั้นก็เข้าไปตรวจงานในห้องทำงานของผู้ว่าฯ ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พูดคุยสัมภาษณ์ในบางเรื่องบางประเด็น เช่น ความตั้งใจแรกที่อยากจะทำเมื่อกลับมาในครั้งนี้,การนำทีมสู้โควิด – 19 ในสถานการณ์ปัจจุบัน,โควิดวันนั้น(ก่อนเข้าโรงพยาบาล) กับ โควิดวันนี้(หลังออกจากโรงพยาบาล) ต่างกันอย่างไร,ความสำคัญของโรงพยาบาลสนาม, และอะไรคือสิ่งที่อยากจะบอกกับพี่น้องชาวจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสู้โควิดไปด้วยกัน เป็นต้น

ส่วนการประเดิมภารกิจแรกแบบเบา ๆ เมื่อกลับมาทำงานในฐานะผู้บริหารระดับสูงสุดของจังหวัดสมุทรสาคร และเป็นหัวเรือใหญ่หรือแม่ทัพในการสู้กับสถานการณ์โควิดระลอกใหม่อีกครั้ง ก็คือ การประชุมร่วมกับ นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 8 แห่ง คือ โรงพยาบาลมหาชัย 1 , รพ.มหาชัย 2 , รพ.มหาชัย 3 , รพ.เอกชัย , รพ.วิชัยเวชสมุทรสาคร, รพ.วิชัยอ้อมน้อย,รพ.วิภาราม และ รพ.เจษฎาเวชการ เพื่อรับทราบถึงการให้บริการตรวจรักษาและรับผู้ติดเชื้อโควิด เข้าสู่กระบวนการดูแลของโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตนเองก็ได้ปฏิบัติงานมาอย่างต่อเนื่องแต่เป็นในรูปแบบของ Work From Home และก็ได้ติดตามข่าวสารของจังหวัดสมุทรสาครมาตลอด โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ตั้งใจจะกลับมาทำงานที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่หมอทราบข่าวเสียก่อนเลยรีบสั่งห้ามไว้ สำหรับสิ่งที่ต้องการและอยากจะให้เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาครอันดับแรกในขณะนี้ก็คือ คนสมุทรสาครมีความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับการปรับพื้นที่จากสีส้มเป็นสีแดง โดยมีคนสมุทรสาครหลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะสถานการณ์โควิดมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ แต่คนสมุทรสาครหลายคนไม่เข้าใจว่า ทำไมสมุทรสาครถูกเปลี่ยนสีจากส้มเป็นแดง และจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งก็อยากจะบอกทุกคนว่า การเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีนั้น ก็ด้วยที่สมุทรสาครเป็นเขตปริมณฑล และไม่อยากให้เอาพื้นที่สีมาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ทั้งประเทศก็ล้วนแต่เป็นพื้นที่ๆ เกิดการระบาดของโรคเหมือนกัน และถ้าสังเกตดูจะพบว่า ในหลักการปฏิบัติไม่ว่าจะสีแดงหรือสีส้ม ก็มีข้อบังคับการปฏิบัติที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย เพราะฉะนั้นถ้าคนสมุทรสาครมีความเข้าใจในส่วนตรงนี้ร่วมกันแล้ว ก็จะเข้าใจว่าสีไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “เราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร” ดังนั้นความตั้งใจสิ่งแรกที่อยากจะทำก็คือ อยากสร้างความเข้าใจให้เกิดกับคนจังหวัดสมุทรสาครทุกคนมีความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องดังกล่าวและเดินหน้าสู้โควิดร่วมกัน

นายวีระศักดิ์ฯ เปิดใจอีกว่า ส่วนความพร้อมที่จะกลับมานำทีมบริหารเพื่อสู้กับโควิดอีกครั้งนั้น วันนี้ตนเองก็คิดว่าพร้อมสู้แล้ว แต่ก็ต้องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะวันนี้เราไม่ได้ทำงานอยู่เพียงลำพัง เรามีทีมงานที่คอยช่วยเหลือกัน ทั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่จะต้องคอยประคับประคองช่วยกันให้งานเป็นไปตามที่วางแผนไว้ รวมถึงพี่น้องชาวจังหวัดสมุทรสาครที่ได้ร่วมกันเดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ด้านสถานการณ์โควิด-19 ในวันก่อนที่ผู้ว่าจะเข้าโรงพยาบาล กับ สถานการณ์ในวันนี้ ในความรู้สึกของท่านผู้ว่าสมุทรสาครมีความแตกต่างกันมากน้อยอย่างไรนั้น นายวีระศักดิ์ฯ ก็บอกว่า ถ้าถามผมแล้ว สำหรับสมุทรสาครนั้น สถานการณ์โควิดในวันนี้ดีกว่าในวันนั้นมาก เพราะวันก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลมีคนที่ติดเชื้อโควิดในจังหวัดสมุทรสาครแต่ละวันเพิ่มจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย จนกระทั่งมียอดรวมเป็นหลักหมื่น  แต่วันนี้ผู้ติดเชื้อรายวันมีแค่หลักสิบและส่วนใหญ่ก็เป็นคนต่างจังหวัด ส่วนคนสมุทรสาครก็จะติดเชื้อมาจากข้างนอก ซึ่งวันนี้สามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า สมุทรสาครเป็นโมเดล ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า เราสามารถต่อสู้เอาชนะสถานการณ์โควิด ที่เคยมีผู้ติดเชื้อค่อนข้างมาก จนวันนี้เหลือน้อยลง จนกระทั่งเกือบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้นวันนี้สถานการณ์ของสมุทรสาครดีขึ้นมากจริง ๆ

ส่วนเรื่องของความหนักใจเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาซึ่งเกิดกับแรงงานต่างด้าว กับ สถานการณ์โควิดในปัจจุบันที่ติดเชื้อใจกลุ่มคนไทยนั้น หากจะให้บอกว่าไม่หนักใจก็คงจะไม่ใช่ ก็คงต้องหนักใจบ้าง แต่วันนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องของความหนักใจกันแล้ว แต่ต้องพูดกันถึงเรื่องของ “ความรับผิดชอบ” ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด รับผิดชอบในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และรับผิดชอบในฐานะคนสมุทรสาครคนหนึ่ง  ทุกคนต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน เพราะปัญหานี้คงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้โดยง่ายและรวดเร็ว ปัญหานี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักใหญ่กว่าที่จะผ่านพ้นไปได้

นายวีระศักดิ์ฯ ยังกล่าวถึงโรงพยาบาลสนามด้วยว่า สำหรับโรงพยาบาลสนามนั้น ในวันที่ผมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราช ส่วนหนึ่งที่เป็นความกังวลใจก็คือ การเกิดขึ้นของโรงพยาบาลสนามหรือศูนย์ห่วงใยคนสาคร ทำอย่างไรจะให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสิ่งนี้คือ จุดแตกหักที่จะแยกคนที่ติดเชื้อให้ออกมาจากคนปกติ ถ้าไม่มีโรงพยาบาลสนามก็ไม่มีวันนี้ ซึ่งก็เชื่อว่าคนสมุทรสาครคงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โรงพยาบาลสนามเป็นจุดที่ทำให้จังหวัดสมุทรสาครดีขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก จึงเป็นคำตอบโดยปริยายแล้วว่า “โรงพยาบาลสนามเป็นหัวใจหลักในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด” นั่นคือ การแยกคนที่ติดเชื้อออกมา และสิ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ โรงพยาบาลสนามไม่ใช่สถานที่สุขสบาย มีหลายคนกล่าวถึงโรงพยาบาลสนามในด้านลบหลาย ๆ อย่าง จึงอยากให้เข้าใจร่วมกันว่า แม้โรงพยาบาลสนามจะไม่สะดวกสบายแบบอยู่บ้าน แต่ขอให้เข้าใจว่าโรงพยาบาลสนามจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้เราทุกคนสู้กับสถานการณ์โควิดได้อย่างทันท่วงที

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอขอบพระคุณคนไทยทั้งประเทศ ขอบพระคุณคนสมุทรสาคร สำหรับกำลังใจที่ส่งไปให้ขณะที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการสู้กับโรคโควิด 19 นั้นก็คือ “กำลังใจ” ซึ่งที่ผ่านมาตนเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาตรงนี้ได้อีกครั้ง แต่เพราะได้สิ่งสำคัญที่สุดมาช่วยพยุงนั่นก็คือ กำลังใจ ที่แม้จะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ฉะนั้นกำลังใจที่แต่ละคนมอบให้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด 19 ในปัจจุบันนี้ เพราะทุกคนต้องการกำลังใจเป็นอย่างสูง เพื่อการยืนหยัดต่อไปให้ได้จนกว่าสถานการณ์โควิดจะผ่อนคลาย หรือผ่านพ้นไปในที่สุด วันนี้กำลังใจที่ทุกคนมีให้แก่กันและกัน จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้สมุทรสาครเดินหน้าต่อไป ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ผมไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะประสบปัญหาเพิ่มมากขึ้น หรือน้อยลง  แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า “วันที่เรายังมีลมหายใจ ยังมีกำลังใจที่ดี แม้จะมีอุปสรรคที่ท้าทายให้เราก้าวข้ามไป เมื่อเราผ่านพ้นไปได้ ความสำเร็จจะรอเราอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน”


ภาพ/ข่าว ชูชาตแดพยนต์ ทีมข่าวสมุทรสาคร

ราชบุรี - ชิมเมนูเด็ดที่เจษฎาฟาร์ม ชมแสดงช้างแสนรู้แบบถึงโต๊ะ ในห้องอาหารที่เดียวในโลก

สุดปัง!! ชิมอาหารเมนูเด็ด จิบกาแฟคุณภาพเยี่ยม แถมยังฝึกขี่ม้า ดารา และชมฟรีการแสดงของช้างน้อยแสนรู้แบบถึงโต๊ะในห้องอาหารที่เดียวในโลก

(20 เม.ย. 64) พาไปกันที่เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ตั้งอยู่ที่ ตำบลพิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกการขี่ม้าของบรรดาดารานักแสดงต่าง ๆ อีกทั้งม้าทุกตัวยังอยู่ในละครและภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง อย่าง ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำ ละคร และ ภาพยนตร์อีกด้วย ปัจจุบัน เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ได้มีการต่อยอดเปิดเป็น เจษฎาฟาร์มคาเฟ่เปิดครัวจำหน่ายอาหารสไตล์พื้นบ้าน และ สเต๊กแบรงกัสนำเข้า เป็นสเต็กเนื้อพรีเมียมนำเข้าจากต่างประเทศ รวมไปถึง เมนูสเต็กแบบไทย ๆ ในราคาเบา ๆ สามารถจับต้องได้ นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ทั้งกาแฟสด เมนูน้ำผลไม้ และ เมนูน้ำกัญชาเพื่อสุขภาพ ในสไตล์ร้านแบบเวิสเทริ์นคาวบอย

แต่ที่โดนใจและไม่เหมือนใคร คือ การโชว์การแสดงของเจ้าช้างน้อย “ราชาบุรี” ช้างน้อยวัยเพียง 5 ขวบ ที่แสดงลีลาการเต้นตามจังหวะเพลง แถมยังส่ายตูดแบบน่านัก ไม่ว่าจะยืน 2 ขา นั่งชู 2 ขา นอน และ การควงฮูลาฮูป ภายในร้านอาหาร แบบถึงโต๊ะอาหารให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้ชมกันอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญชมฟรีแบบไม่คิดเงินเพิ่มจากค่าอาหาร หรือ ค่ากาแฟ

ส่วนเมนูเด็ดของทางร้าน ข้าวผัดกระเพราสูตรเด็ดแบบโบราณที่ขายมานานกว่า 20 ปี เมนู สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมารสเด็ด มีทั้งเมนูทะเล เมนูหมูและไก่ และเมนูส้มตำ ราคาเริ่มตัน 50 - 150 บาท ส่วนเมนู สเต๊กแบรงกัสนำเข้า เป็นเสต็กเนื้อนำเข้าราคา 859 บาท สเต็ก หมู-ไก่ เริ่มที่ 259 – 559 บาท สำหรับเมนูเครื่องดื่ม กาแฟสด เริ่มต้นที่ 45 – 60 บาท ส่วนเมนูเครื่องดื่มผสมใบกัญชา ราคาแก้วละ 95 บาท เป็นเครื่องดื่มกัญชาเพื่อสุขภาพ

นอกจากนี้ทางเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ยังมีกิจกรรม นั่งช้างชมธรรมชาติ ไหว้พระถวายสังฆทานในอุโบสถเก่าแก่กว่าสองร้อยปี ที่วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งมีที่เดี่ยวในโลก นอกจากนี้ยังมีบริการขี่ม้า ทั้งม้าใหญ่และม้าแคะ ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมธรรมชาติ โดยรอบฟาร์ม หรือจะไปไหว้พระที่วัด ส่วนราคา 300 – 500 บาท ต่อครั้ง สำหรับคนที่ต้องการฝึกขี่ม้าทางเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ก็บริการสอนจนสามารถขี่ม้าเป็นด้วย

นายเจษฎา สิงห์โต อายุ 39 ปี หรือ คุณอาร์ม เจ้าของเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี เล่าให้ฟังว่า เดิมตนเองเปิดคอกเลี้ยงวัวเพื่อจำหน่าย พอได้อายุ 20 ปีเริ่มมาเลี้ยงม้าแห่นาค โดยไปบริการ ม้าแห่นาคตามงานบวชต่าง ๆ จากนั้นหันมาเริ่มเลี้ยงมาอย่างจริงจัง จนกลายมาเลี้ยงม้าถ่ายละคร จนเกิดความชำนาญ และเปิดเป็นสถานที่ฝึกสอน ดารานักแสดงในการขี่ม้า นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และ ละคร เรื่องต่าง ๆ ตนจึงได้ต่อยอด มาขายอาหาร ซึ่งคุณแม่ขายอาหารตามสั่งมาก่อน จึงไห้มาทำที่ร้าน ตกแต่งในสไตล์ คาวบอย จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม เริ่มต้นราคา 50 - 150 บาท  และ เมนูสเต็กเนื้อนำเข้าราคา 859 บาท

ส่วนตนเองก็เป็นนักแสดง ได้รับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวร จึงได้ซึมซับ ในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้ไปซื้อช้างและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยถ่ายทอดความรู้ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมภายในฟาร์มด้วย

สำหรับนักเที่ยวที่ต้องเดินทางมาเที่ยวที่เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพิกุลทอง (อนามัยพิกุลทอง) ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี โทร 081-2906-753 หรือ แฟนเพจ เจษฏา ฟาร์ม ราชบุรี


ภาพ/ข่าว  ตาเป้ จ.ราชบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top