Tuesday, 17 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

จันทบุรี – เดินหน้าฉีดวัคซีน ‘ซิโนแวค’ บุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วกว่า 6,000 ราย มีอาการข้างเคียงแค่ 4 – 5 คน ส่วนโรงพยาบาลรองรับผู้ป่วยได้ 333 เตียง เปิดโรงพยาบาลสนามรักษาผู้ป่วยแล้วที่บ้านจันทเขลม

แพทย์หญิงกนกพร สวัสดิชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ตามที่จังหวัดจันทบุรีได้รับจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด -19 ซิโนแวครวม 2 รอบจำนวน 12,840 โดส และได้ฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้เกี่ยวข้อง ด่านหน้าไปแล้วจำนวน 6,420 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการปกติ มีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับผลข้างเคียง ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว แต่อาการแพ้น้อยกว่าการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และมีอาการชา แต่ไม่อ่อนแรงประมาณ 4 – 5 คน แต่ก็หายเป็นปกติแล้ว สำหรับอาการป่วยของผู้ติดเชื้อในรอบนี้พบว่าน่าเป็นห่วงเนื่องจากไม่มีอาการ และพบผู้ป่วยในกลุ่มคนอายุน้อย ผู้ป่วย 1 ใน 4 มีอาการรุนแรงปอดบวมต้องให้ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ แต่ทางโรงพยาบาลก็ยังมียาต้านไวรัสเพียงพอต่อการรักษา

ทั้งนี้ จังหวัดจันทบุรีได้มีแผนรองรับการรักษาผู้ป่วยไว้อย่างพอเพียงมีเตียงรวม 333 เตียง แยกเป็นที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า 92 / โรงพยาบาลสองพี่น้อง 31 เตียง และ โรงพยาบาลสนาม บ้านจันทเขลม  210 เตียง อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทางโรงพยาบาลได้มีการกักตัวแพทย์ และ บุคลากรทางการแพทย์ไปบางตึกเนื่องจากมีผู้ป่วยเข้ามารักษาและปกปิดข้อมูลส่งผลให้แพทย์ พยาบาล และ บุคลากรทางการแพทย์ต้องกักตัวเองดังนั้นหากผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าเสี่ยงเมื่อเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลขอให้เปิดเผยข้อมูลความเป็นจริงเพื่อป้องการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งการระบาดรอบนี้น่ากลัวกว่ารอบที่ผ่านมา จึงขอให้ชาวจันทบุรีทุกคนต้องป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ตั้งการ์ดสูง ใส่หน้ากากอนามัย ขยันล้างมือ เว้นระยะห่าง อย่างจริงจัง และเวลาถอดหน้ากากอนามัยที่ถูกต้องต้องจับที่บริเวณสายของหน้ากาก อย่าไปสัมผัสบริเวณด้านหน้าเนื่องจากมืออาจมีเชื้อโรคและทำให้ติดโรคได้     


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

เชียงราย - สมาคมท่องเที่ยวทั่วภาคเหนือ ยื่นหนังสือ คัดค้านสรรหาประธานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ

จากกรณีที่มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาประธานสภาอุตสาหกรมท่องเที่ยวจังหวัดทั่วประเทศไทย และ ได้มีการแต่งตั้งผู้เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาในส่วนของภาคเหนือเรียบร้อยแล้วนั้น ทางสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวในเขตภาคเหนือตอนบนโดยเฉพาะ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง  ฯลฯ ต่างออกมาคัดค้านการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและวิธีการสรรหาดังกล่าว โดยในส่วนของจังหวัดเชียงราย นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ กรรมการ สทท.ภาคเหนือเขตพื้นที่ 1 และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย พร้อมด้วยสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหลายราย ได้ยื่นหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธาน สทท .ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องแล้ว

โดยนางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ กล่าวว่าตนในฐานะสมาชิกสามัญของ สทท.และสมาคมโรงแรม จ.เชียงราย สมาคมมัคคุเทศก์เชียงราย สมาคมเครือข่ายท่องเที่ยวเชียงราย และสมาคมคนยองจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย รวมทั้งสมาคมด้านการท่องเที่ยวอีกหลายจังหวัดของภาคเหนือโดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ที่มีสมาคมด้านการท่องเที่ยวมากที่สุด ได้ยื่นหนังสือต่อผู้บริหารหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว เพื่อคัดค้านรูปแบบการสรรหาประธาน สทท.แต่ละจังหวัดในปีนี้ เนื่องจากมีการงดใช้ขัอบังคับบางจุดและยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยกระทำกันมานาน 10-20 ปี ด้วยการที่คณะกรรมการ สทท.แต่งตั้งคนนอกหรือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่ละภาคให้เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัด โดยมอบอำนาจให้ประธานแต่งตั้งกรรมการอีก 2 คน รวมประธานเป็น 3 คน ทำการคัดสรรแล้วเสนอชื่อให้ สทท.พิจารณา

ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตที่ให้กรรมการ สทท.ในเขตพื้นที่นั้น ๆ เป็นผู้จัดหาประธานคณะกรรมการสรรหาในจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบ จากนั้นเปิดให้สมาคมด้านการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัดเป็นกรรมการสรรรหา ซึ่งก็จะทำให้แต่ละจังหวัดได้ตัวแทนที่เป็นที่ยอมรับและเป็นตัวแทนของภาคธุรกิจในจังหวัดอย่างแท้จริง แต่รูปแบบใหม่ที่ สทท.นำมาใช้ไม่เปิดโอกาสให้ทุกสมาคมได้มีโอกาสเลือกแต่กลับมอบอำนาจให้บุคคลแค่ 3 คน  เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในภูมิภาคที่ต้องอาศัยคนที่สมาชิกคิดว่าดีที่สุดเข้าไปทำงาน โดยเฉพาะเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 เพราะมีตัวอย่างผ่านมา จ.เชียงราย ต้องประสบปัญหาอย่างหนักแต่ทางสมาคมต่าง ๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรนแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยที่สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่มีบทบาทเลย

"ปัจจุบันมีการแต่งตั้งประธานกรรมการสรรหาไปยัง 30 จังหวัดทั่วประเทศแล้ว ทำให้หลายจังหวัดทำหนังสือคัดค้านเช่นกัน และหลายจังหวัดที่ประธานสภายังอยู่ในวาระ เช่น จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง  ต่างทำหนังสือค้านด้วยโดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ มีการร่วมกันลงชื่อคัดค้านไม่น้อยกว่า 8 สมาคม เช่น สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือเชียงใหม่ สมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่  เพราะการสรรหาในอนาคตก็จะถูกกระทำเหมือนกัน" กรรมการ สทท.ภาคเหนือเขตพื้นที่ 1 และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย กล่าว

นายวิโรจน์ ชายา นายกสมาคมโรงแรม จ.เชียงราย กล่าวว่า สทท.มีข้อบังคับเรื่องการตั้งประธานกรรมการสรรหาผู้จะมาเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดว่าให้กรรมการเขตพื้นที่นั้น ๆ หรือคณะกรรมการสภา สทท.แต่งตั้งประธานกรรมการสรรหาได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการแต่งตี่งกรรมการเขตพื้นที่เป็นหลักทำให้เป็นที่ยอมรับของสมาชิกส่วนใหญ่ แต่ปรากฎว่าครั้งนี้กลับให้อำนาจคณะกรรมการสภา สทท.ในการแต่งตั้งคนของตัวเองไปยังจังหวัดต่าง ๆ โดยตรง ทำให้สมาชิกสมาคมส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสคัดสรรซึ่งจะส่งผลกระทบแน่นอน   ตนก็ยังสงสัยว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อบังคับหรือไม่เพราะตนเคยเป็นตัวแทนกรรมการเขาร่วมประชุมคณะกรรมการสภา สทท.ก็ไม่เคยได้รับแจ้งรายละเอียดในเรื่องการแต่งตั้งประธานกรรมการสรรหารูปแบบใหม่นี้มาก่อน

ด้านนายบุญเวชย์ ศรีพวงใจ ที่ปรึกษาสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าปัญหาคือสมาชิก สทท.ที่เป็นสมาคมมีอยู่จำนวนมาก ตัวอย่างที่ จ.เชียงราย มีถึง 7 สมาคม จ.เชียงใหม่ มีกว่า 12 สมาคม แต่ทางคณะกรรมการ สทท.กลับให้คนนอกเป็นประธานสรรรหาและตั้งกรรมการสรรรวมทั้งหมด 3 คนเหมือนกันทุกจังหวัด ทั้ง ๆ ที่แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน จึงกังวลว่าเมื่อพวกเขาสรรหาประธานสภาอุตสาหกรรมของจังหวัดได้แล้วจะเป็นทียอมรับของแต่ละจังหวัดหรือไม่โดยเฉพาะเชียงรายที่ไม่ได้มาจากฉันทามติของทั้ง 7 สมาคม จึงไม่รู้ว่าเหตุใด สทท.จึงทำเช่นนี้เพราะอาจทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดเกิดปัญหา เพราะประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดคนใหม่อาจไม่เป็นที่ยอมรับของสมาชิกส่วนใหญ่


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย - ชุมชนชาวมุสลิมปรับตัวยุคโควิด ปรุงอาหารใส่ปิ่นโตแจกแทนจัดเลี้ยงช่วงถือศีลอด

ที่ชุมชนกกโท้ง เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนชาวมุสลิมในจังหวัดเชียงราย ซึ่งช่วงนี้เป็นนช่วงการถือศิลอด เนื่องในเดือน รอมฎอนเป็นเวลา 30 วัน  ทางกลุ่มขาวมุสลิมใน จ.เชียงราย นำโดยนายปรีชา อนุรักษ์ กรรมการอิสลามประจำ จ.เชียงราย ได้รวมกลุ่มกันบริจาคทานเพื่อจัดทำอาหารสำหรับให้ชาวมุสลิมที่ถือศิล ได้บริโภคหลังพระอาทิตย์ตกดิน  โดยการปรุงอาหารและแจกจ่ายด้วยปิ่นโตเพื่อให้สมาชิกที่เป็นชาวมุสลิม ผู้ยากไร้  นำไปรับประทานที่บ้านแทนการจัดเลี้ยงด้วยโรงทานตามมัสยิดต่าง ๆ เหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 

โดยทางกลุ่มได้จัดสถานที่มอบปิ่นโตที่บริเวณหน้าร้านโรตีป้าใหญ่ตั้งอยู่ที่ชุมชนกกโท้ง เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.ฌชียงราย โดยแต่ละวันจะมีลูกหลานและคนงานร้านโรตีป้าใหญ่ มาช่วยกันปรุงอาหารเป็นเมนูต่าง ๆ อย่างหลากหลาย และนำบรรจุในปิ่นโต 5 ชั้นโดยมีข้าว 2 ชั้นและอาหารจำนวน 3 ชั้นเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคในครอบครัว  โดยผู้ที่จะเป็นสมาชิกกลุ่มต้องเข้ารับการอบรมด้านการป้องกันไวรัสโควิด-19 จากนั้นมีการลงทะเบียนและมอบหมายเลขปิ่นโตให้เพื่อให้แต่ละคนได้ไปรับปิ่นโตในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ของทุกวันอย่างถูกต้องและ นำปิ่นโตมาคืนในวันถัดไป

นายปรีชา กล่าวว่าตามปกติพวกเราก็จะมีทำบุญเลี้ยงอาหารเป็นประจำทุกเดือน โดยเฉพาพในช่วงเดือนรอมฎอน จะทำกันทุกวัน แต่เนื่องจากช่วง 1-2 ปีนี้เกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องหันมาปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาการนั่งรับประทานรวมกลุ่ม จึงได้คิดค้นการนำปิ่นโตมาใช้ประโยชน์และได้รับการสนับสนุนจากร้านโรตีป้าใหญ่ในการรับเป็นสถานที่และคนปรุงให้ จึงทำให้ไม่ต้องเสียต้นทุนมากและมีค่าใช้จ่ายเพียงการจัดหาซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาทำการปรุงเท่านั้น  จากการสอบถามไปยังจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยพบเห็นพื้นที่ใดใช้วิธีการนี้มาก่อนเลย พวกเราจึงถือเป็นกลุ่มบุกเบิกซึ่งทุกพื้นที่สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบได้

"ปัจจุบันมีผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกรับปิ่นโตจำนวน 110 คน  ต้องทำอาหารสำหรับปิ่นโตจำนวน 110 ปิ่นโตต่อวัน รวมระยะเวลาในการจัดทำอาหารใส่ปิ่นโตจำนวน 30 วัน ซึ่งหลังจากดำเนินการมาได้หลายวันพบว่าได้ผลเป็นอย่างดีและผู้ไปรับก็ได้ความรู้เรื่องไวรัสโควิด-19 มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาให้บริการคัดกรองก่อนรับอาหาร และอาหารที่ได้ถือว่าให้มากสามารถนำไปรับประทานร่วมกับคนในครอบครัวได้ซึ่งดีกว่าการจัดเลี้ยงเป็นโต๊ะซึ่งสมาชิกในบ้านบางคนอาจจะไม่เวลาไปรับประทานได้ สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นก็มีผู้บริจาคกันเข้าไปอย่างเพียงพอหรือแม้แต่สมาชิกที่ไปรับปิ่นโตก็ร่วมสมทุบทุนไปด้วย เฉลี่ยค่าใช้จ่ายวันละประมาณ 20,000 บาทแต่ก็ถือว่าได้ผลดีเป็นอย่างมากและหลังเดือนรอมฎอนไปแล้วก็คงจะหาโอกาสในการแจกปิ่นโตเช่นนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

 

“ทิพานัน” โต้ เพื่อไทย ยันโมเดล ศบค.สู้โควิด มีเอกภาพแก้ปัญหาได้ เหน็บ เปิดกว้างฟังข่าวสาร-หยุดรับข้อมูลบิดเบือน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เสนอแนะเรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้ประชาชน ลดการบริหารงานแบบรวมศูนย์ว่า การบริหารแบบรวมศูนย์ มีความเป็นเอกภาพ สามารถจัดการปัญหาได้เบ็ดเสร็จรวดเร็ว การแพร่ระบาดระลอกนี้ควบคุมโดยแบ่งโซนสี ให้เศรษฐกิจโดยรวมเดินต่อได้ และยังเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ สำรองเตียงรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ตั้งโรงพยาบาลสนามในมหาวิทยาลัย และขยายเตียงไอซียูเพิ่มหากผู้ป่วยมีจำนวนมาก อาจจัดตั้ง “ไอซียูสนาม”

นอกจากนั้นมีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มีการจัดโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 ระหว่าง พ.ค.-ธ.ค. 64 เพื่อสร้างอาชีพให้ผู้ว่างงาน กระตุ้นธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs ขนาดเล็ก ขยายเวลาโครงการเราชนะ ไปถึง 30 มิ.ย โครงการคนละครึ่งเฟส 3 เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย และเตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา แก้ปัญหาคนว่างงาน และดูแลผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานประกอบการให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันรวมกันไม่เกิน 90 วัน

“ข้อมูลทั้งหมดนี้ พรรคเพื่อไทยสามารถช่วยสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจได้ทันที อยากขอพรรคเพื่อไทย งดรับข่าวสารที่บิดเบือนผ่านทางโซเชียล หากต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ครอบคลุมและเพียงพอ สามารถรับฟังจากการแถลงข่าวของศบค. แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลจากภาครัฐ เพื่อจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กระบี่ - ชุด ฉก.ความมั่นคงภายในกระบี่จับหนุ่มบ้านห้วยครามยึดยาบ้า 137 มัด 2 แสนกว่าเม็ด

ที่ห้องประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศาลากลางจังหวัดกระบี่ พันตำรวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยพันเอก สมบัติ สืบท้วม รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ พันตำรวจเอก ศิริศักดิ์ สงพะโยม ผู้กำกับการสืบสวน กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ และพันตำรวจโท ก้องภพ โพธิ์แสน ผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 462 จังหวัดกระบี่ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมหนุ่มวัย 30 ปี พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของจังหวัด เป็นเครือขายรายสำคัญทางภาคเหนือ พร้อมของกลางยาบ้า 137 มัด 274,000 เม็ด

ด้วยร้อยตำรวจเอก นิพนธ์ หนูชัยแก้ว หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 42 รองหัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ นำกำลังชุดปราบปรามยาเสพติดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ จับกุมตัวนายรณกร หรือเบล เกลี้ยงบุตร อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 155 หมู่ที่ 6 บ้านห้วยคราม ตำบลห้วยยูง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ได้ริมถนนสายเหนือคลอ - เขาพนม บริเวณหน้าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ หมู่ที่ 6 บ้านห้วยคราม ตำบลห้วยยูง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ต่อเนื่องภายในไร่อ้อย หมู่ที่ 3 บ้านใหม่ ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ และต่อเนื่องที่บ้านพักของนายรณกร ยึดของกลางยาบ้า 137 มัด 274,000 เม็ด สมุดบัญชีรายการลูกค้ายาเสพติด 1 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง รถจักรยานยนต์เอ็มเอ็กเอส ทะเบียน 1 กค 4842 กระบี่ โดยแจ้งข้อกล่าวหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

โดยร้อยตำรวจเอก นิพนธ์ หนูชัยแก้ว หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 42 รองหัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ สืบทราบว่านายรณกร เกลี้ยงบุตร เป็นพ่อค้ารายใหญ่ใหญ่ที่ลักลอบค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดกระบี่มาช้านาน และเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ทางภาคเหนือ และเป็นเครือข่ายกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา จึงได้วางแผนจับกุมโดยล่อซื้อยาบ้า 20 มัด 4 หมื่นเม็ด ราคา 6 แสนบาท โดยให้นำยาบ้ามาจำหน่ายก่อนแล้วค่อยทยอยส่งเงินให้ จึงนัดส่งยาบ้าที่เกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น สามารถจับกุมตัวได้พร้อมด้วยยาบ้าตามที่นัดกันเอาไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการขยายผลจนตามตรวจยึดยาบ้าได้อีก 117 มัด 234,000 เม็ด รวมยาบ้าที่ยึดได้ 137 มัด 274,000 เม็ด

จากการสอบสวนปากคำในเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นายรณกร เกลี้ยงบุตร ให้การรับสารภาพว่าถูกจับกุมในคดียาเสพติดและพึ่งพ้นโทษมาจากเรือนจำจังหวัดกระบี่มาได้ 1 เดือนเศษ จากนั้นนายวรันธร หรือเค ฝอยทอง อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 140 / 9 ถนนเมืองเก่า ตำบลกระบี่ใหญ่ อำเภอเมืองกระบี่ และนายสุโกมล หรือโก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 6 บ้านควนออก ตำบลพรุเตียว อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ได้ติดต่อขอให้เข้าร่วมเครือข่ายลักลอบค้ายาเสพติด ซึ่งบุคลทั้งสองมีหมายจับของศาลจังหวัดกระบี่ไม่ต่ำกว่า 5 หมาย โดยหลบหนีอยู่ในฝั่งพม่าด้านท่าขี้เหล็กจังหวัดเชียงราย จากนั้นจึงรับปากและเริ่มค้ายาอีกครั้ง โดยสั่งยาบ้าทางออนไลน์ 2 ครั้งแรกนำยาบ้าเข้ามา 10 – 20 มัด และครั้งนี้เป็นครั้งที่สามนำยาบาเข้ามา 490 มัด 9 แสน 9 หมื่นเม็ด และไปรับยาที่บ้านบางเภา อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช นำส่งขายไปแล้ว 363 มัด จนกระทั้งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้และยึดยาบ้า 137 มัด หากขายได้ทั้งหมดจะได้เงินไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

นราธิวาส – ผู้ว่าฯนราธิวาส ตรวจเยี่ยมด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และคนไทยที่เดินทางกลับประเทศ

หลังมาเลเซียผลักดันแรงงานต่างชาติกลับประเทศ ภายใน 21 เมษายนนี้ ยืนยันจังหวัดนราธิวาสพร้อมรองรับ เน้นย้ำมาตรการคัดกรองโรค COVID19

วันนี้ (21 เม.ย. 64) ที่ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก พร้อมทั้งรับทราบข้อมูลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำด่าน โดยมีนายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก นายวัลลภ วุฒาพาณิชย์ นายด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ขนส่งจังหวัดนราธิวาส สาธารณสุขอำเภอสุไหงโก-ลก หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยกำลังในพื้นที่ร่วมต้อนรับ

นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้พบปะคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศมาเลเซียตั้งแต่ช่วงเช้าโดยได้ขอความร่วมมือให้ผู้ที่เดินทางผ่านด่านให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ถูกต้องและเป็นความจริง เพื่อใช้ในการควบคุมและสอบสวนโรค และยืนยันว่าจังหวัดนราธิวาสพร้อมดูแลคนไทย ซึ่งมีความพร้อมในการรองรับและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในโอกาสต่อไป

ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนราธิวาสได้เตรียมความพร้อมด้านมาตรการรับมือคนไทยเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย โดยมีสิ่งที่ห่วงใยมากที่สุด คือ การสอบสวนโรคหรือการคัดกรองโรคเบื้องต้นของคนไทยที่เดินทางเข้ามาอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีมาตรการตั้งแต่ช่วงการระบาดในรอบแรกที่ได้เตรียมการไว้แล้ว โดยต้องเข้าสู่การสอบสวนโรค กักกันตัว และการส่งตัวกลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย

สำหรับผู้ที่ติดเชื้อจะเข้าสู่การรักษาที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งขณะนี้ทางโรงพยาบาลเปิดรับผู้ที่ติดเชื้อในรอบแรก 43 ราย ในรอบเดือนเมษายนตั้งแต่ 1 เมษายนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อจำนวน 405 ราย และจำนวน 249 คนเป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส รวมทั้งมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย แห่งแรกที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสสำหรับรักษาผู้ต้องขัง แห่งที่ 2 ที่ศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพยาเสพติดจังหวัดนราธิวาส และแห่งที่ 3 ที่ศูนย์พักพิงร่วมใจอุ่นไอรัก ซึ่งสามารถรองรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง สำหรับคนไทยที่เดินทางเข้ามาในวันนี้จะมีมาตรการโดยให้เจ้าหน้าที่เปิดรับผู้ที่เดินทางผ่านแดนทุกวันตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนนี้

ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาได้ให้คำแนะนำ โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ให้ความสำคัญกรณีแรงงานต่างด้าวทุกสัญชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงนี้เช่นเดียวกัน สำหรับแรงงานต่างด้าวทุกสัญชาติที่เข้ามาในช่วงนี้จะต้องถูกดำเนินคดีในการหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการ 7 - 15 วัน หากมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากได้เตรียมสถานที่ไว้ที่ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก ณ สนามกีฬาและหอประชุมใหญ่ และที่อำเภอตากใบ เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าว ในด้านข้อมูลผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส วันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่เป็นศูนย์โดยผู้ต้องขังจำนวน 2,334 กว่าคน มีผู้ติดเชื้อสะสมในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส จำนวน 249 คน


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

สุราษฎร์ธานี - จับจริง ปรับจริงแล้ว ไม่สวมหน้ากากอนามัย ศาลแขวงสุราษฎร์ธานี พิพากษาปรับ 4,000 บาทผู้ประกอบการ สนับสนุนช่วยจิตอาสา ทำข้าวกล่องและซื้อเครื่องอุปโภค ส่งตามบ้านช่วยผู้กักตัวและกลุ่มหยุดงาน

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ได้ออกประกาศข่าวศาล จับจริง ปรับจริง โดยวันนี้ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ได้ยื่นฟ้องผู้ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัย (1 รายในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี) ตามคำสั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 2323/2564 เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตนในฐานความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราช บัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558โดยศาลมีคำพิพากษาปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท

ส่วนที่อาคารเอนกประสงค์รินทอง วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี ได้มีประชาชน ประมาณ 300 คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ไปเที่ยวสถานบันเทิง 8 แห่งใน อ.เมืองสุราษฎร์ธานีและนักศึกษาที่ไปร่วมงานรับประกาศนียบัตร ได้ทยอยเดินทางไปตรวจหาเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ ได้พบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 41 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคลัสเตอร์สถานบันเทิงที่พบจากการตรวจหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงสูงด้วยรถตรวจหาเชื้อชีววิทยาพระราชทาน จำนวน 326 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 273 ราย รักษาหายแล้ว 8 ราย เหลือยังรักษาที่โรงพยาบาล 265 ราย โดยล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีประกาศด่วนให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน ที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคนและบุคคลที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ให้ไปรับการตรวจหาเชื้อโดยรถพระราชทานเคลื่อนที่ ที่วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี ภายในวันที่ 22 เมษายนนี้

นายแพทย์ศักดิ์ชัย ตั้งจิตวิทยา ผู้อำนวยการโรงพยายาลสุราษฎร์ธานี ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ขณะนี้ได้คัดกรองผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่มีอาการไปพักตัวเพื่อควบคุมโรคในโรงพยาบาลสนามท่าโรงช้าง อ.พุนพิน 96 ราย และโรงพยาบาลสนามราชภัฏสุราษฎร์ธานี 40 ราย รวม 136 ราย และภายใน 2 สัปดาห์นี้ถ้าสามารถค้นหาผู้ป่วย และนำตัวไปควบคุมโรคได้ สถานการณ์แพร่ระบาดคลัสเตอร์สถานบันเทิงจะลดลง ซึ่งได้เตรียมโรงพยาบาลสนามไว้ 400 เตียง จะเพียงพอต่อการองรับผู้ป่วย

วันเดียวกัน จิตอาสากลุ่มไลน์ช่วยโควิด-19 สฎ.นำโดย น.ส.อภิชญาฎา เพชรรัตน์ และคณะที่นำเงินส่วนตัวและที่มีผู้ร่วมสมทบจัดทำอาหารกล่อง และข้าวสาร อาหารแห้ง พร้อมสิ่งของอุปโภคไปส่งตามบ้าน 2 กลุ่ม ผู้กักตัวเอง 14วันที่ได้รับผลกระทบโควิด -19 และกลุ่มผู้ได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถประกอบอาชีพได้กว่า 50 รายแล้ว ซึ่งมีเอกชนผู้ประกอบการร่วมนำวัตถุดิบปรุงอาหารและสิ่งของมาร่วมสมทบ ล่าสุด ศปก.ป้องกันปราบปรามการโจรกรรมสินค้าทางน้ำและป้องกันปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำโดย พ.ต.อ.นิพล ชาตรี ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้ร่วมมอบเครื่องบริโภค อาหารแห้ง จำพวก ข้าวสาร ไข่ไก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมัน ปลากระป๋อง


ภาพ/ข่าว สรเดช ส้มเกลี้ยง สุราษฎร์ธานี

แม่ฮ่องสอน - พลังบุญส่งผ่านกิ่งกาชาดแม่สะเรียง สู่ธารน้ำใจ เป็นความห่วงใยมอบแด่บุคคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลแม่สะเรียง และ โรงพยาบาลสบเมย

จากการที่มีการเผยแพร่ข้อมูลความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเปิดรับบริจาคทางเฟซบุ๊ก ในนาม กิ่งกาชาดอำเภอแม่สะเรียง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้รับบริจาค ไปจัดซื้อชุด PPE และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลแม่สะเรียง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยได้ปิดรับบริจาค เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 สรุปยอดเงินบริจาคทั้งหมด อยู่ที่ 100,000 บาท ซึ่งมาจากธารน้ำใจพี่น้องชาวแม่สะเรียงและทั่วประเทศ 

ในเช้าวันนี้ นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง นางวิลาวัณย์ คัดเชียงแสน นายกกิ่งกาชาดอำเภอแม่สะเรียง พร้อมด้วยคณะกรรมการกิ่งกาชาดอำเภอแม่สะเรียง เป็นตัวแทนส่งมอบชุดกาวน์และชุดPPE ชนิดใช้ครั้งเดียว รวม 350 ชุด และ เฟซชิลด์หน้ากากใส 100 ชิ้น ให้กับโรงพยาบาลแม่สะเรียง และ โรงพยาบาลสบเมย โดยมีบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้แทนรับมอบในเบื้องต้นบุคลากรทางการแพทย์ยังคงมีความต้องการ เครื่องวัดความดันแบบมาตรฐานชนิดสอดแขน เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนไข้สามารถดำเนินการวัดตรวจสอบได้เอง  ซึ่งวงเงินที่คงเหลือ 28,000 บาท ทางกิ่งกาชาดอำเภอแม่สะเรียง จะนำไปซื้อเครื่องวัดความดันดังกล่าว ให้เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาล

สำหรับผู้ที่บริจาคก่อนหน้านี้ สามารถติดต่อขอรับใบเสร็จรับเงินได้ที่ ห้องเสมียนตรา ที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมาย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กิ่งกาชาดอำเภอ งานสำนักงานอำเภอ โทรศัพท์ 0-5368-2283 หรือส่งของบริจาคได้ที่ ที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง หมู่ที่ 2 ถนนเวียงใหม่ ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58110


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร  อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

ระยอง - วิทยาลัยเทคนิคระยอง ปรุงสุกอาหาร "อาหารปันสุข"มอบเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และช่วยเหลือประชาชนแบ่งภาระค่าใช้จ่าย ช่วงโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2564 ที่ร้านอาหารใบชะมวง หน้าวิทยาลัยเทคนิคระยอง อ.เมืองระยอง ผู้สื่อรายงานว่า ว่าที่เรือตรี ชูชีพ อรุณเหลือง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระยอง ได้นำคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน นักศึกษา ปรุงสุกอาหารใส่กล่องพร้อมน้ำดื่มตามโครงการ"อาหารปันสุข" นำไปมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่จุดฉีดวัคซีน และตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 รวม 3 จุด ประกอบด้วย จุดบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าระยอง จุดตรวจเนินอุไร ข้างสวนศรีเมือง และ รพ.ระยอง จำนวน 600 กล่อง รวมทั้งแจกจ่ายให้กับประชาชนบริเวณหน้าวิทยาลัยเทคนิคระยองด้วย

ว่าที่เรือตรีชูชีพ อรุณเหลือง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระยอง กล่าวว่า โครงการ"อาหารปันสุข"ดังกล่าว เป็นความร่วมมือของคณะผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษาจัดทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้า โดยทางวิทยาลัยเทคนิคระยอง จะมีการทำโครงการดังกล่าวต่อเนื่องต่อไป เพื่อเป็นการแบ่งปันความสุขให้กับประชาชนในพื้นที่


ภาพ/ข่าว  วฐิต กลางนอก / ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

ยะลา - ผบ ฉก ยะลา กำชับกำลังพลป้องกันชายแดนพร้อมรับคนไทยถูกทางการมาเลเซียผลักดันสกัดช่องทางธรรมชาติหวั่นเชื้อแพร่ในพื้นที่

ผบ ฉก ยะลา กำชับกำลังพลป้องกันชายแดนที่ 4 พร้อมรับคนไทยถูกทางการมาเลเซียผลักดันกำชับขุดจรยุทธ์สกัดการหลบหนีทางช่องทางธรรมชาติที่ไม่ผ่านการคัดกรองหวั่นเชื้อแพร่ในพื้นที่ หลังจากคนไทยถูกทางการมาเลเซียผลักดันเดินทางกลับเป็นวันสุดท้าย ผ่านด่านพรมแดนเบตง จำนวน 49 คน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้มีการคัดกรองอย่างละเอียดทุกคน

เมื่อวันที่ 21เม.ย.64 บรรยากาศที่ด่านพรมแดนเบตง  อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยในวันนี้มีแรงงานไทยที่ไปทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียกรณีวีซ่าหมดอายุและลักลอบอยู่แบบผิดกฎหมาย ซึ่งทางการมาเลเซียได้ผลักดันกลับเป็นวันสุดท้ายต่างทยอยเดินทางกลับผ่านทางด่านพรมแดนเบตงจำนวน49 คน ที่ทางการมาเลเซียผลักดันกลับมาจากมาตรการป้องกันโควิด-19 ของมาเลเซีย โดยมีเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขอำเภอและกรมควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ คัดกรองคนไทยกลุ่มนี้อย่างละเอียดทุกคน ตามมาตรการป้องกันโควิด-19

โดยมีการวัดไข้ วัดอุณหภูมิร่าง หากมีอุณหภูมิสูงกว่า 37 องศา ทางเจ้าหน้าที่ ก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทันที และได้แยกแรงงานไทยแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาศัยอยู่ใน 5 จังหวัด ภาคใต้ ทั้งสตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ให้ทางจังหวัดนั้นมารับตัวกลับไปกักตัวตามภูมิลำเนาของตนเองที่อาศัยอยู่

โดยในส่วนของ อ.เบตงให้กักตัวอยู่ที่ศูนย์ กักตัวอำเภอเบตง เป็นเวลา 14 วัน หากรายใดมีอาการผิดปกติก็จะถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลทันทีและทำการตรวจหาเชื้อเพาะเชื้อโควิด – 19 นอกจากนี้ทางอำเภอเบตงได้เตรียมชุดปฏิบัติการ รวมทั้งสถานที่ Local Quarantine ในการรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย เพิ่มขี้นด้วย อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเห็นว่ามีบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามากก็ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ อสม. ประจำหมู่บ้านเข้าตรวจสอบ ในเบื้องต้น

ขณะที่ พันเอก อายุพันธ์ กรรณสูต ผู้บังคับชุดป้องกันชายแดน  เดินทางมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ชป.จรยุทธ์ โดยได้เน้นย้ำในการเฝ้าตรวจควบคุมบุคคลหลบหนีข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามแนวชายแดน  ตามมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID19 และได้สั่งการเพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวัง และสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย – มาเลเซียรวมทั้ง เพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน อย่างเข้มข้นทุกตารางนิ้ว สกัดกั้นทุกช่องทางตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย และชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ตามแนวชายแดน พร้อมทั้งเข้มงวดควบคุมพื้นที่  โดยมีตำรวจตระเวนชายแดนชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4405 และ 4406 บูรณาการคนและเครื่องมือร่วมกันในการบังคับใช้กฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด รวมทั้งการเสริมกำลังตามแนวชายแดน  โดยเฉพาะช่องทางที่มีชุมชนหรือหมู่บ้านอาศัยอยู่ใกล้แนวชายแดน

โดยให้มี การจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และการจัดตั้งแหล่งข่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลักลอบการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พร้อมทั้งชี้แจง สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID -19 รวมทั้งขอความร่วมมือจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนในพื้นที่ เป็นหูเป็นตา ช่วยกันสกัดกั้นการกระทำผิดตามแนวชายแดน ตัดต้นตอของขบวนการ ก่อนเน้นย้ำเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายเฝ้าระวังป้องกันตนเอง ให้มีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID-19 ด้วย พันเอก อายุพันธ์ กรรณสูต ผู้บังคับชุดป้องกันชายแดน กล่าว


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top