Monday, 9 June 2025
Hard News Team

‘ทรัมป์’ ยื่นข้อเสนอใหม่ให้ ‘แคนาดา’ เลือกจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์ หรือเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

(28 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอใหม่ต่อแคนาดา โดยระบุว่าแคนาดาเลือกได้เลยจะจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.23 ล้านล้านบาท) เพื่อเข้าร่วมระบบป้องกันขีปนาวุธ 'Golden Dome' หรือกลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เพื่อได้รับสิทธิเข้าร่วมฟรี โดยทรัมป์ประกาศผ่าน Truth Social ว่า “แคนาดาจะไม่ต้องจ่ายแม้แต่ดอลลาร์เดียว หากกลายเป็นรัฐที่รักยิ่งของเรา”

ข้อเสนอของทรัมป์มีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ด้วยนโยบายปกป้องอธิปไตยของประเทศ และปฏิเสธแนวคิดของทรัมป์อย่างชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยล้อเลียนอดีตนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ว่าเป็นเพียง 'ผู้ว่าการทรูโด'

ในขณะเดียวกัน โครงการ Golden Dome ของสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมกว่า 175 พันล้านดอลลาร์ และอาจสูงถึง 542 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว โดยเป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่รวมถึงการวางอาวุธในอวกาศ ซึ่งทรัมป์คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2029

การยื่นข้อเสนอของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากพระเจ้าชาร์ลส์แห่งอังกฤษเสด็จแคนาดาและกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา ย้ำอธิปไตยและเสรีภาพของแคนาดา ขณะที่นายกฯ คาร์นีย์ได้ย้ำจุดยืนว่า “แคนาดาไม่ใช่ของซื้อขายได้” ส่วนทรัมป์ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวก็รู้เอง”

ทบ. แจงเหตุปะทะเดือดทหารไทย - กัมพูชา ชี้ สถานการณ์คลี่คลายทหารไทยไร้บาดเจ็บ

ทบ.แจงเหตุการณ์ปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก อุบลราชธานี ปัจจุบัน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา

เช้าวันนี้ (28 พ.ค.68) ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. 

โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ 

ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่

กองทัพบกขอยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป

สมุทรปราการ-กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังเสียงประชาชนแผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม Green Heart ชั้น 2 โรงแรมเดอะกรีนวิว ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โดยนายพิชากร ศรีจันทร์ทอง ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม สรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 2) โครงการศึกษา ออกแบบ วิเคราะห์ แผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษาและสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่มีต่อการศึกษาของโครงการจากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้พิจารณาประกอบการออกแบบรายละเอียด รวมทั้งการกำหนดมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ 

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม โดยการประชุมในครั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำเสนอสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ 

โดยทางด้าน นายนิรันดร์ จันทร์ชม วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ กรมทางหลวง เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ศึกษาโครงการตั้งอยู่บริเวณทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ประมาณกิโลเมตรที่ 25+900 ถึง กิโลเมตรที่ 30+800 ครอบคลุมพื้นที่ 4 ตำบล 2 อำเภอ 1 จังหวัด ได้แก่ บริเวณพื้นที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง ตำบลเปร็ง ตำบลบางบ่อ และตำบลระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาโครงการจะเป็นการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับรถเข้าทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยถนนโครงการจะออกแบบเป็นสะพานยกข้ามถนนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยได้มีการคัดเลือกตำแหน่งที่ตั้งทางแยกต่างระดับของโครงการ ซึ่งมีแนวทางเลือกทั้งหมด 3 แนวทาง ได้แก่ 
ตำแหน่งที่ 1 จุดตัดระหว่างถนนสายร่วมพัฒนา-ทล.34 บริเวณกิโลเมตรที่ 26+500 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างการก่อสร้าง และต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน อีกทั้งการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 2 จุดตัดระหว่างถนน สป.2003 บริเวณกิโลเมตรที่ 27+900 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้ด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างก่อสร้าง ต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน การขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 3 จุดตัดระหว่างถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี บริเวณกิโลเมตรที่ 30+200 ในเขตตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีจุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายถนนเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีระยะห่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางลาดกระบังที่เหมาะสม ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่ก่อสร้างไม่ผ่านลำน้ำสำคัญ แต่มีจุดด้อยคือมีบ้านเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

โดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ตำแหน่งที่ 3 มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีแนวเส้นทางที่ชัดเจน สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับปริมาณจราจรได้ดีและเอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้างอย่างสะดวก ลดความยุ่งยากด้านการก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งวัสดุ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต่ำ และให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้ทางมากกว่าแนวทางอื่น ส่วนการคัดเลือกรูปแบบทางแยกต่างระดับของโครงการ มีแนวทางเลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 1 Double Trumpet มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันตกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 3 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันออกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง 

ทั้งนี้ แม้ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 จะมีลักษณะทางกายภาพและจุดเด่น-จุดด้อยโดยรวมใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดด้านทิศทางการเดินทางบางจุดที่แตกต่างกัน 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางโดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด และยังมีความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ทั้งในแง่ความสะดวกในการก่อสร้างและการบริหารจัดการด่านเก็บค่าผ่านทาง สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ สำรวจและเก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีประเด็นที่ศึกษาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากรสิ่งแวดลอมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจะนำไปศึกษาต่อในขั้นรายละเอียด (EIA) เพื่อเตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาและรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีกำหนดจัดการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 2) ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน 2568 และกำหนดจัดประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 3) ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาในทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าและรายละเอียดของโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์ www.m7-m9-interchange-ruamphathana-rd34.com หรือ Line Official : @515fcrum

รทสช. ส่ง 'จุติ' นำทีม 11 ขุนพลอภิปรายงบ 69 ยันมติพรรคพร้อมรับหลักการหวังประเทศเดินหน้า

โฆษกรวมไทยสร้างชาติ เผย ส่ง 'จุติ ไกรฤกษ์' นำทีม 11 ขุนพลลุยอภิปรายงบประมาณ '69 ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ยันมติพรรคพร้อมรับหลักการงบประมาณ '69 ให้งบต่อเนื่อง ปิดช่องการแก้ปัญหาให้ประชาชนสะดุด เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาประเทศชาติ

(28 พ.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในส่วนของการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 28-31 พฤษภาคม 2568 โดยมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นประธานการประชุม 

สำหรับการพิจารณาพระราชกำหนดในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่จะมีการพิจารณาพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 หรือ Cyber Security Law และ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ทางพรรครวมไทยสร้างชาติมีมติเห็นชอบต่อพระราชกำหนดทั้ง 2 ฉบับ 

ในส่วนของการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นั้นทางพรรครวมไทยสร้างชาติมีมติรับหลักการกฎหมายทั้ง 2 ฉบับเช่นเดียวกัน 

และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ ในครั้งนี้ ตั้งแต่ 17.00 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไปจะเป็นการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 

โดยที่ประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติได้จัดเตรียมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 11 ท่านเพื่อเป็นผู้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ เป็นผู้อภิปรายนำและควบคุมประเด็นในการอภิปรายของเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้การอภิปรายในครั้งนี้ของ 11 ขุนพลของพรรครวมไทยสร้างชาติเกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน และสามารถให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขในวาระที่ 2 ในชั้นกรรมาธิการต่อไป

นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการคัดเลือกกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 4 ท่าน คือในสัดส่วนของสภาผู้แทนราษฎร และสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีอย่างละ 2 ท่าน เพื่อให้การพิจารณางบประมาณรายจ่ายมีประสิทธิภาพที่สุด

และที่สำคัญพรรครวมไทยสร้างชาติมีมติเห็นชอบ รับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อให้รัฐบาลได้มีเครื่องมือในการใช้แก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจและใช้ในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป การให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีมีความต่อเนื่องสามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 จึงมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจะไม่สะดุดหยุดลงเนื่องด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ 

โรงเรียนนายร้อยตำรวจครบรอบ 124 ปี เปิดเวทีประกาศเกียรติศักดิ์ดาวเงิน เชิดชูเกียรติศิษย์เก่าดีเด่น

โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จัดการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาสรรหาศิษย์เก่าดีเด่น เพื่อรับรางวัล 'เกียรติศักดิ์ดาวเงิน' วานนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกในวาระครบรอบ 124 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รร.นรต.

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกศิษย์เก่าที่ได้รับการเสนอชื่อ 1 นายจากแต่ละรุ่น โดยมีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 28 นาย และมีผู้สละสิทธิ์ 5 นาย เหลือจำนวนผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกทั้งสิ้น 23 นาย การคัดเลือกมุ่งเน้นไปที่ผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม องค์กรตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อยกย่องและเชิดชูศักดิ์ศรีของศิษย์เก่าผู้ทรงคุณค่า พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สำหรับผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ศิษย์เก่าที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่
1. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นรต.รุ่น 32 หมายเลข 9 ได้ 24 จาก 27 คะแนน
2. ศ.ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นรต.รุ่น 25 หมายเลข 4 ได้ 23 จาก 27 คะแนน
3. พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ นรต.รุ่น 20 หมายเลข 2 ได้ 14 จาก 27 คะแนน
4. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา นรต.รุ่น 28 หมายเลข 6 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
5. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง นรต.รุ่น 41 หมายเลข 15 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
6. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย นรต.รุ่น 48 หมายเลข 18 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
7. พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว นรต.รุ่น 18 หมายเลข 1 ได้ 11 จาก 27 คะแนน
8. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นรต.รุ่น 30 หมายเลข 7 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
9. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง นรต.รุ่น 40 หมายเลข 14 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
10. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ นรต.รุ่น 45 หมายเลข 17 ได้ 10 จาก 27 คะแนน

ทั้งนี้ โรงเรียนนายร้อยตำรวจขอแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติแก่ศิษย์เก่าผู้ได้รับการเสนอชื่อทุกท่าน ที่เป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จและความมุ่งมั่นอันสูงสุด พร้อมย้ำเจตนารมณ์เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษี EU 50% ทำให้ ‘เยอรมนี’ เสี่ยงทรุดหนัก คาดสูญ 7.3 ล้านล้านบาท GDP ลดลง 1.1% ต่อปี..ถึง 2028

(27 พ.ค. 68) สถาบันเศรษฐกิจเยอรมนี (IW) รายงานว่า หากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปที่อัตรา 50% ต่อเนื่องจนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจเยอรมนีสูญเสียมูลค่าสูงสุดถึง 200,000 ล้านยูโร (ราว 7.39 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2028

การศึกษาของ IW ชี้ว่า ผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีลดลงเฉลี่ยปีละ 1.1% ระหว่างปี 2025 ถึง 2028 และหากสหภาพยุโรปตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกัน ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของเยอรมนีอาจเพิ่มขึ้นเป็น 290,000 ล้านยูโร (ราว 10.71 ล้านล้านบาท) ในช่วงเวลาเดียวกัน

ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 ว่าจะเรียกเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรปไม่มีความคืบหน้า และระบุว่าหากสินค้าถูกผลิตในสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีดังกล่าว

ขณะที่ ลาร์ส คลิงไบล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนี เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาททางภาษีระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปโดยเร็ว เนื่องจากการเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย

ส่วนภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี โดยเฉพาะภาคการส่งออก กำลังเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

‘เอ ภักดี’ เจ้าของร้านภักดีคาเฟ่ ย้อนความหลัง ได้รับน้ำใจจาก “พระเอกกล้ามโต” รีวิวน้ำพริกให้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน

(27 พ.ค. 68) นายฐิติวัฒน์ ธนการุณย์ หรือ เอ ภักดี เจ้าของร้าน “ภักดี คาเฟ่” โพสต์เฟซบุ๊กถึง ‘อาร์ต พศุตม์‘ ว่า มีช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมลำบากมากๆไม่มีอะไรทำ ต้องมาขายของออนไลน์ ทำน้ำพริกขาย ก็พอขายได้บ้างแต่ไม่มากครับ แต่แล้ว…

หลังบ้านสิครับ วันดีคืนดีไอ้น้องคนนี้ทักเข้ามาหาพี่(ไม่เคยรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวเลยนะครับ) พี่เอครับ ผมขอซื้อน้ำพริกพี่เออย่างละ 5 ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอรีวิวด้วย เฮ้ย…ไอ้เราก็งงสิครับ อยู่ๆนักแสดงชื่อดัง แถมเราก็ชอบน้องมันด้วย เพราะเห็นน้องทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ เยอะแยะมากมาย หลังจากนั้น…พอน้องเขาได้น้ำพริกของผมไป ตั้งแต่บัดนั้นชีวิตของผมเปลี่ยนเลยครับ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ที่ผมใช้ชีวิตโดยการส่งน้ำพริกทั้งทั้งคืน…นี่แหละครับ…ไอ้พระเอกกล้ามโตของพี่

ชาวลาวร้องระงม!!...ค่าไฟพุ่งเกือบ 50% สาเหตุจากดีมานด์เพิ่ม เงินกีบอ่อนซ้ำเติม

(27 พ.ค. 68) สื่อ Nikkei Asia รายงานว่า ค่าไฟฟ้าในประเทศลาวพุ่งสูงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สาเหตุจากความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินกีบที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อแผนของรัฐบาลลาวที่ต้องการเป็น “แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ชาวลาวจำนวนมากแสดงความไม่พอใจผ่านโซเชียลมีเดีย โดยแชร์ภาพบิลค่าไฟฟ้ารายเดือนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ตัวอย่างเช่น บิลค่าไฟเดือนเมษายนที่มีการแชร์อย่างแพร่หลาย พบว่าเพิ่มขึ้นเกือบ 50% จนแตะระดับ 2.7 ล้านกีบ หรือประมาณ 125 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,060 บาท)

รัฐบาลเวียงจันทน์ได้ประกาศปรับขึ้นค่าไฟแบบค่อยเป็นค่อยไปจนถึงปี 2029 โดยคาดว่าอัตราสำหรับครัวเรือนจะอยู่ที่ 1,724 กีบต่อหน่วยภายในสิ้นปี 2026 หรือประมาณ 2.6 บาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงต้นปี 2024

ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับการขยายตัวของภาคธุรกิจและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน โดยลาวมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 21,300 แห่ง ณ สิ้นปี 2024 ขณะที่ประเทศยังพึ่งพาพลังน้ำถึง 70% ในการผลิตไฟฟ้า และต้องแบกรับภาระหนี้ต่างประเทศ ซึ่งยิ่งหนักขึ้นเมื่อค่าเงินกีบอ่อนค่าลงมากกว่า 10% ในรอบปี ล่าสุดอัตราอยู่ที่ 660 กีบต่อ 1 บาทไทย (เทียบกับ 580 กีบเมื่อปีก่อน)

‘ญี่ปุ่น’ หล่นจากบัลลังก์ ครั้งแรกในรอบ 34 ปี หลังเสียแชมป์เจ้าหนี้โลกให้กับ ‘เยอรมนี’

(27 พ.ค. 68) ญี่ปุ่นสูญเสียสถานะประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี แม้ว่าสินทรัพย์สุทธิในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดก็ตาม 

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นระบุว่า ณ สิ้นปี 2024 สินทรัพย์สุทธิในต่างประเทศของญี่ปุ่นอยู่ที่ 533.05 ล้านล้านเยน (ราว 127.93 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 13% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เยอรมนีมีสินทรัพย์สุทธิในต่างประเทศรวม 569.7 ล้านล้านเยน (136.73 ล้านล้านบาท) แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่จีนอยู่ในอันดับสามด้วยสินทรัพย์สุทธิ 516.3 ล้านล้านเยน (123.91 ล้านล้านบาท)

การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธิของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ในต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นเงินเยนสูงขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินทรัพย์สุทธิของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน การที่เยอรมนีขึ้นเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก สะท้อนถึงดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างมาก ซึ่งในปี 2024 อยู่ที่ 248.7 พันล้านยูโร (ราว 9.45 ล้านล้านบาท) เป็นผลมาจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top