Monday, 9 June 2025
Hard News Team

‘ม.เจ้อเจียง’ พัฒนาวัสดุล่องหนชนิดใหม่ หลบเรดาร์ได้หมด ท้าทาย ‘Golden Dome’ ของทรัมป์..ที่อาจเป็นแค่ภาพฝัน

(28 พ.ค. 68) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน พัฒนา 'วัสดุพรางตัวขั้นสูง' ชนิดใหม่ ที่สามารถหลบหลีกการตรวจจับด้วยอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟในระยะไกล อีกทั้งยังทนความร้อนได้สูงถึง 700 องศาเซลเซียส ทำให้มีศักยภาพใช้ในภารกิจทั้งด้านทหารและอวกาศ สร้างความสั่นคลอนให้กับ 'Golden Dome' โครงการโล่ป้องกันขีปนาวุธที่ประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันอย่างหนัก

ระบบ Golden Dome อาศัยเรดาร์และระบบตรวจจับจากภาคพื้นดินและอวกาศเป็นหัวใจหลัก หากถูกตัดหูตาด้วยเทคโนโลยีล่องหนใหม่ของจีน เช่น โดรนก่อกวนสัญญาณไซเบอร์ หรือหัวรบหลอก ระบบดังกล่าวจะกลายเป็นการสร้างที่เสียเปล่าในสถานการณ์จริง นั่นทำให้จึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่คู่แข่งอาจใช้โจมตีได้

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากโครงการ Golden Dome เดินหน้าต่อ จะกระตุ้นให้จีน รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ เร่งพัฒนาอาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก หรือระบบโจมตีดาวเทียมเพื่อตอบโต้ สถานการณ์อาจบานปลายเป็นการแข่งขันทางอาวุธครั้งใหม่ คล้ายช่วงสงครามเย็นในยุคอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน

สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินว่า Golden Dome อาจใช้เงินภาษีถึง 831,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 30.3 ล้านล้านบาท) แต่กลับมีแนวโน้ม 'ใช้ไม่ได้ผลจริง' ขณะที่จีนพัฒนาแนวทางหลบเลี่ยงการตรวจจับอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ทางออกเดียวของสหรัฐฯ อาจเป็นการ 'ไม่เล่นเกมนี้ตั้งแต่ต้น'

เสรีแสงอาทิตย์ช็อตธุรกิจโซลาร์! อุปกรณ์-ค่าติดตั้งถูกลง ประชาชนได้ประโยชน์

ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้ยกร่างพรบ. ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยความคืบหน้าของกฎหมายว่า

(28 พ.ค. 68) "บริษัทติดโซลาร์จะเก็บเงินลูกค้าได้น้อยลง เพราะการเปิดเสรีโซลาร์จะทำให้ประชาชนมีทางเลือก เกิดการแข่งขันทางการค้า หาซื้อง่าย อุปกรณ์และบริการติดตั้งจะถูกลงมาก แต่ผมเชื่อว่าปริมาณคนติดโซลาร์จะเพิ่มขึ้นมากขึ้นเช่นกัน บริษัทต้องปรับตัวครั้งสำคัญ

- เสรีโซลาร์คือไม่ต้องขออนุญาตหลายหน่วยงานอีกต่อไป เหลือให้แค่ “แจ้ง” เพราะรัฐจะได้รู้ปริมาณใช้ไฟฟ้าจริง เพื่อลดการผลิต ลดการสำรองไฟ และลดราคาไฟฟ้าหลักได้

-อุปกรณ์ติดตั้งต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ซึ่งก็คือ “ประกาศกระทรวง” ที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่การเจาะจงแบบการอนุญาตเฉพาะราย โดยการประกาศกระทรวงเราเทียบเคียงจากมาตรฐานของการไฟฟ้าโดยตัดเรื่องอุปสรรคที่กีดกันประชาชนจากการผลิตไฟได้เอง  

ร่าง “พรบ.ส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” จะได้เข้า ครม.ช่วงปลายเดือน มิ.ย.68 และคาดว่าจะผ่านสภาเป็นกฎหมายปลายปีนี้ครับ"

อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมฯ ม.มหาสารคาม โต้ ‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส’ ปมโจมตี ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เซลล์ รวบอำนาจ รมต.พลังงาน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ชี้ เป็นเรื่องปกติของกฎหมายลูกที่ต้องมีรายละเอียด การให้อำนาจสั่งการ เอื้อพวกพ้องตรงไหน

จากกรณีที่นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันผันตัวเป็น CEO บริษัทโซลาร์ชั้นนำ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเพจ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas และแพลตฟอร์มเอ๊กซ์ (X) ส่วนตัว ถึงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ.... โดยกระทรวงพลังงาน โดยมีเนื้อหาว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้สะท้อนเจตนารมณ์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่กลับเป็นการขยายอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อย่างไม่สมเหตุสมผล จนเสี่ยงกลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองและเครือข่ายธุรกิจใกล้ชิดรัฐบาล

ตามโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1215836123326954&set=a.477905157120058

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน ผศ.ดร. พลกฤษณ์ จิตร์โต อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แสดงความคิดเห็นผ่านช่องคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าว โดยระบุว่า กำหนดที่ตั้งโซลาร์ได้ปกตินิ เขาให้ตั้งตามบ้านไง กำหนดวัสดุ ก็ต้องได้ให้ได้มาตรฐานไม่งั้นไฟไหม้ทำไง ให้อำนาจในการตรวจสอบรื้อถอนปกติไหม ถ้าไม่ให้อำนาจเวลามีปัญหา มันไม่มีคนสั่งการแล้วจะเอายังไง พ.ร.บ. นี้แค่ร่างให้เป็นผู้ดำเนินการ โคตรปกติกฎหมายลูก มันจึงมีรายละเอียดว่า กำหนดยังไง ค่อยโวยวายตรงนั้น ผมกลับมองเป็นเรื่องดี เอื้อพวกพ้องตรงไหน

‘กรีนแลนด์’ เร่งเร้า ‘สหรัฐฯ’ รีบลงทุนเหมืองแร่ ชี้หากเมินเฉย พร้อมเชิญ ‘จีน’ เข้ามาแทน

(28 พ.ค. 68) รัฐมนตรีธุรกิจและทรัพยากรแร่ของกรีนแลนด์ นายนาอาย์ นาธาเนียลเซน (Naaja Nathanielsen) เรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรปเร่งเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ หากยังเพิกเฉย อาจทำให้ประเทศจำเป็นต้องหันไปพึ่งจีนแทน แม้จะต้องการความร่วมมือกับชาติตะวันตกมากกว่า

กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองภายใต้เดนมาร์ก มีแร่หายากจำนวนมากที่ชาติตะวันตกต้องการ โดยเฉพาะแร่ในรายชื่อแร่สำคัญของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกว่า 40 ชนิด แต่ที่ผ่านมากลับยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสหรัฐฯ แม้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจสมัยรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งกำลังจะหมดอายุ

นาธาเนียลเซนวิจารณ์แนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการ “ซื้อกรีนแลนด์” ว่าเป็นเรื่องไม่ให้เกียรติ พร้อมชี้ว่าการมีส่วนร่วมของจีนในภาคเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ในปัจจุบันยังมีน้อย แต่หากชาติตะวันตกยังลังเล ก็อาจเปิดทางให้จีนขยายอิทธิพล

ล่าสุด กรีนแลนด์ออกใบอนุญาตเหมืองแร่ภายใต้กฎหมายใหม่ครั้งแรก ให้กับกลุ่มทุนเดนมาร์ก-ฝรั่งเศส เพื่อสกัดแร่อนอร์โธไซต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟเบอร์กลาส คาดเริ่มก่อสร้างปีหน้า และเดินเครื่องได้ภายใน 5 ปี โดยรัฐบาลกรีนแลนด์ยังคงมองว่ายุโรปเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ร่วมกันระยะยาว

ศาลสั่งจำคุกอีก 2 ปี ‘อานนท์ นำภา’ คดี 112 ปราศรัยหน้าสน.บางเขน รวมโดนโทษจำคุกแล้ว 22 ปี

ศาลอาญาสั่งจำคุก 3 ปี 'อานนท์ นำภา' อดีตแกนนำม็อบราษฎร บุกชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน อีกคดี แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และนับโทษต่อจากคดีอื่น ส่วนเพนกวิน หลบหนีออกนอกประเทศ ศาลให้ออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว

ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง อ.910/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา ทนายความและอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563 กับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวินอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดฐานร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาต

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายด้วยการปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อประชาชนผ่านเครื่องขยายเสียง โดยมีชุมนุมประมาณ 150 คน จัดการชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานไปบ้างแล้วจำเลยที่ 1ให้คำรับสารภาพ เรื่องใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว แต่หลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีนายพริษฐ์ จำเลยที่ 2 ชั่วคราว

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายอานนท์ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่านายอานนท์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของ นายอานนท์ จำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ฐานทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับเป็นพินัย 100 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับเป็นพินัยให้บังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาตรา 30, 31 นับโทษจำคุก นายอานนท์ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2841/2566 ของศาลนี้ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่อ56/2567 ของศาลนี้และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4019/2567 ของศาลนี้

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุก นายอานนท์จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2887/2564 ของศาลนี้ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 62888/2564 ของศาลนี้ และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 2948/2564 ของศาลนี้ คดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธศาลมีคำสั่งแยกฟ้องและจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจาก โทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1186/2565 ของศาลแขวงดุสิต จำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ415/2566 ของศาลแขวงปทุมวันนั้น ศาลมีคำพิพากษาปรับ และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ1802/2564 ของศาลอาญากรุงเทพ ใต้ศาลมีคำพิพากษารอการลงโทษ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

รวมทุกคดี นายอานนท์ นำภา โดนโทษจำคุกรวม 22 ปี 25 เดือน 20 วัน

อุบลราชธานี-ด่วน!!! 'เสียงปืนแตก' ยิงปะทะทหารกัมพูชาที่ช่องบก ล่าสุดทหารไทยปลอดภัย ยังคงตรึงกำลังเข้มในพื้นที่

(28 พ.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่าเมื่อเวลา 05.30 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รายงานว่าได้เกิดเหตุปะทะกับกำลังทหารกัมพูชาที่เข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ

ฝ่ายไทยได้ส่งชุดประสานงานเข้าพูดคุยตามแนวทางปกติ แต่เกิดความเข้าใจผิดจากฝ่ายกัมพูชาที่เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนกำลัง จึงเปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่ ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ โดยการปะทะกินเวลาราว 10 นาที

ต่อมาในเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ฝ่ายไทย เพื่อยุติการปะทะ ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังในพื้นที่

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อหาข้อยุติในประเด็นการอ้างสิทธิ์ และวางแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างสันติ โดยกองทัพบกยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยทุกนายปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พร้อมรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบในโอกาสต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทุ่มงบกว่า 8 แสนบาท มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ และมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

(28 พ.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 32 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 804,530 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน 

โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) และนายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบรถเข็นวีลแชร์ แก่ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ ฝาง แม่วาง สันทราย ดอยเต่า หางดง สันป่าตอง เวียงแหง แม่อาย รวมจำนวน 14 คัน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน 

รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวเชียงใหม่ในครั้งนี้ทั้งสิ้น 876,130 บาท (แปดแสนเจ็ดหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยมีประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  อีกทั้ง มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ณ มูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

จากเหตุมหาอุทกภัยทางภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที โดยได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือถึง 2 ครั้ง หลังจากนั้น ทีมสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท รวมงบประมาณการฟื้นฟูหลังน้ำลดแก่ผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมากว่า 9 ล้านบาท

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมาได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด จำนวน 485 ครัวเรือน รวมดำเนินการไปแล้ว 3 ภาค รวม 54 จังหวัด  813 ครัวเรือน รวมงบประมาณกว่า 15.6 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุก ๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต'

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงพัฒนายารักษามะเร็งสำเร็จ ภายใต้ชื่อ ‘HERDARA’ ผลิตโดยนักวิจัยไทย ผ่าน อย.

เมื่อวันที่ (26 พ.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงประกาศความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ 'ทราสทูซูแมบ' สำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งชนิดอื่น ๆ โดยไม่อาศัยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นับเป็นนวัตกรรมยาชีววัตถุผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทยเป็นครั้งแรก

ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ภายใต้ชื่อ 'HERDARA' ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงยารักษาได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง โดยเฉพาะในบริบทที่โรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในไทย ขณะที่ยานำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูง

ภายใต้พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงริเริ่มโครงการ 'ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ' มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านยา พัฒนาศักยภาพนักวิจัยไทย และวางรากฐานความมั่นคงทางยา ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

การวิจัยและผลิตยาดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายการยกระดับระบบสุขภาพไทย และส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม สะท้อนพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ในการนำวิทยาศาสตร์มารับใช้ประชาชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดโครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ปี 2568 

(28 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดกิจกรรม “Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน” ตามโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ซึ่งเป็นกิจกรรมการเข้าค่ายส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้ สำหรับข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยมีข้าราชการตำรวจ และคู่สมรส เข้าร่วมโครงการ จำนวน 27 ครอบครัว และบุคคล 6 คน รวม 60 คน ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 ณ The Cop Seminar & Resort อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็นประธานกล่าวเปิดงาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ Money Management & Investment กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดโครงการ และ คุณเศรษฐพล ธรรมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และผู้ร่วมโครงการ ร่วมพิธีเปิดโครงการ 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และต้องการส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจ มีวินัยทางการเงิน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้างขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการลงทุน นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจและครอบครัว และ คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีแผนงานการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว 3 โครงการหลัก ได้แก่

1. โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เพื่อปลูกฝังแนวคิดและทักษะเรื่องการบริหารเงินและจัดการหนี้สิน ต่อยอดความรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติจริง รับคำปรึกษาจากวิทยากร เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างยั่งยืนแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมทั้ง ต่อยอดความรู้ด้านการเงิน และการลงทุน แก่บุคคลต้นแบบและต้นกล้าผ่านแคมเปญ 21-Day Challenge กองทุนรวม เสริมสร้างนิสัยการเรียนรู้การลงทุนใน 21 วัน เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวผ่านกองทุนรวม

2. โครงการ Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกษียณแก่ข้าราชการตำรวจ เสริมทักษะและฝึกวางแผนการเงินจริง ผ่าน Workshop ผ่านหลักสูตรบริหารเงินหลังเกษียณ ให้สามารถจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข

3. การส่งเสริมความรู้ผ่าน SET e-Learning ชุดหลักสูตร “การวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้” 3 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตรเงินทองต้องวางแผน 2. หลักสูตรรู้ก่อนเป็นหนี้จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง และ 3. หลักสูตรเป็นหนี้แล้ว จัดการยังไง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนจะดำเนินการพัฒนาและเชื่อมต่อระบบ e-Learning เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัว นักเรียนนายร้อยตำรวจ และนักเรียนนายสิบตำรวจ ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เหมาะสม สามารถบริหารจัดหนี้ วางแผนการออม และมีเงินไว้ใช้จ่ายเพียงพอในยามเกษียณ

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวว่า ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ 1 คือ โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อให้ทุกคนเปิดใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง รู้จักวางแผนการใช้จ่าย วางแผนการออมเงิน วางแผนเกษียณอย่างเป็นสุข เก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ มีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับครอบครัว และเพื่อสร้างบุคคลต้นแบบและบุคคลต้นกล้าทางการเงินต่อไป

คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Money Management & Investment จากปี 2564 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 5 ปี ข้าราชการตำรวจและครอบครัวได้รับความรู้ทางด้านการเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 25,000 นาย คิดเป็นร้อยละ 10 ของข้าราชการตำรวจทั้งหมด และได้สร้างต้นแบบและต้นกล้าทางการเงินประเภทบุคคลและครอบครัวจาก 12 กองบัญชาการ รวมทั้งสิ้น 34 คน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน อาทิ ประหยัดค่าใช้จ่าย 171,000 บาท มีเงินออมเพิ่มขึ้น 375,000 บาท และหนี้สินลดลง 781,000 บาท

โดยในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะสนับสนุนการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กระจายอย่างทั่วถึง ให้ทุกกองบัญชาการมีต้นแบบทางการเงิน จึงจัดให้มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจและครอบครัว และจัดการอบรมโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุข ทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” เพื่อปรับทัศนคติในการใช้ชีวิต ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สินอย่างถูกต้อง โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินประกบระยะเวลา 2 เดือน และสร้างครอบครัวต้นแบบและต้นกล้า เพื่อส่งต่อและแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาการเงินที่ทำให้เค้าชีวิตมีความสุขมากขึ้น ให้กับเพื่อนข้าราชการตำรวจด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top