Saturday, 27 April 2024
ทุนจีนสีเทา

งานเข้า!! เพจดังแฉ 'อุ๊งอิ๊ง - SC ASSET' เป็นเจ้าของหมู่บ้านทุนจีน โยง 'สีเทา'

'เพจดัง' แฉ อดีตบิ๊กสีกากียุค 'ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ' หนุนออกสัญชาติไทยให้ 'ตู้ห่าว' พบหมู่บ้านทุนจีน โยง 'สีเทา' มีโครงการของ SC ASSET - 'อุ๊งอิ๊ง' หุ้นใหญ่ด้วย 

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 เพจเฟซบุ๊ก The METTAD ได้แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ TOP HIGHLIGHT พร้อมข้อความระบุว่า...

ตำรวจค้นรังหมู่บ้านหรูเครือข่าย 'ตู้ห่าว' ยึดเงินสดรถหรูแหล่งกบดานมาเฟียทุนจีนโยงอสังหาฯ คนตระกูลชินฯ ถึงว่าทำไม 'พท.' รูดซิปปาก รัฐบาลล้างบางทุนจีนสีเทา เพราะมีอดีตบิ๊กนายพลสีกากียุค 'ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ' หนุนหลังออกสัญชาติไทยให้ 'ตู้ห่าว' เปิดทางสะดวกเข้ามาทำธุรกิจสีเทา จึงเงียบเป็นเป่าสากไม่โจมตีรัฐบาล กลัวจะเข้าเนื้อตัวเอง

ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพกราฟิกเชื่อมโยงความไม่ชอบมาพากล พร้อมข้อความ ระบุด้วยอีกว่า...

“พอทุนจีนเริ่มสนุกขึ้น แต่สื่อกลับเงียบปาก
ฝาก Thai PBS สื่อน้ำดี ขยี้หน่อยครับ”

ด้านเว็บไซต์ สถาบันทิศทางไทย-Thai Move Institute ได้ระบุความเกี่ยวเนื่องของกรณีดังกล่าวด้วยเช่นกันว่า "ข้อเท็จจริง หมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บลูเลอวาร์ด สุขุมวิท ทุนจีนสีเทาเหมาซื้อ พบ 'อุ๊งอิ๊ง' ถือหุ้นใหญ่" ขณะที่ Top News ได้มีการขยายรายชื่อและสัดส่วนผู้ถือว่าหุ้นใหญ่บริษัท SC Asset  ดังนี้...

1. แพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้น 28.82%
2. พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือหุ้น 27.89%
3. บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ถือหุ้น 4.77%
4. คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถือหุ้น 2.78%

สอดคล้องกับไทยรัฐที่ได้รายงานว่า ตำรวจไปบุกค้นบ้านทุนจีนสีเทาในหมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บลูเลอวาร์ด สุขุมวิท และหมู่บ้านอื่น ข่าวระบุมีการซื้อเหมาเกือบยกโครงการ 50 หลังจาก 66 หลัง โดยหมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บลูเลอวาร์ด สุขุมวิท เจ้าของโครงการ คือ SC Asset ซึ่งมีรายชื่อผู้ถือหุ้น SC Asset อันดับ 1 คือ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังตำรวจ บช.สอท. ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (คอมมานโด) ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ปิดล้อมตรวจค้น 11 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและ จ.สมุทรปราการ เพื่อหาหลักฐานตรวจยึดสิ่งผิดกฎหมายของกลุ่มทุนจีนสีเทา

โดยตำรวจกระจายกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมายเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา 10 หลัง ในโครงการบ้านหรู 4 แห่ง ประกอบด้วย บ้านหรู 4 หลังในหมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขุมวิท ซอยแบริ่ง-ลาซาล ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโครงการบ้านหรูหลังละกว่า 50 ล้านบาท 

ขณะที่บ้านหลังที่ 5 และ 6 อยู่ในหมู่บ้านทรูแกรนด์ โมนาโก ซอยกาญจนาภิเษก 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. 

บ้านหลังที่ 7 ม.บุราสิริ วัชรพล ถนนสุขาภิบาล 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม. 

บ้านหลังที่ 8, 9 และ 10 ในหมู่บ้านลดาวัลย์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางละมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 

‘บิ๊กโจ๊ก’ ชี้!! คดีทุนจีนสีเทา คืบหน้ากว่า 90% ลั่น!! ไม่มีมวยล้ม แม้ต้องสู้กลุ่มอำนาจเงิน

(1 ธ.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมาย ว่า เรื่องดังกล่าวตนรายงานพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผบ.ตร. จะเป็นผู้รายงานนายกรัฐมนตรี โดยเรื่องนี้ นายกฯ ได้กำชับครั้งล่าสุดในที่ประชุม ก.ตร. ว่าให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ยืนยันเราทำงานยึดหลักกฎหมายตรงไปตรงมา สาวถึงใครก็ว่าไปตามนั้น ถ้าไม่ถึงก็ต้องให้ความเป็นธรรม 

รองผบ.ตร. กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีนี้ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะเราใช้กำลังเยอะมาก ทำให้ต้องใช้เวลาเยอะ เช่น กรณีวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ใช้เวลาทั้งวัน ค้น 3-4 จุด ยึดทรัพย์ 4,000 กว่าล้านบาท ที่เป็นวัตถุทั้งบ้าน รถ เครื่องบิน และต้องนำทรัพย์ที่ยึดมาได้มาโยงเส้นทางการเงิน และยังต้องไล่ต่อว่ายังมีเงินสดอีกหรือไม่แล้วอยู่ที่ไหน

เมื่อถามว่า ปัจจุบันยังมีกลุ่มทุนผิดกฎหมายอยู่ในเมืองไทยอีกหรือไม่ รองผบ.ตร. กล่าวว่า คิดว่าวันนี้หนีออกไปเยอะแล้ว กลุ่มเหล่านี้หลบหนีจากจีนมาอยู่กัมพูชา เมื่อถูกกวาดล้างหนักก็หนีมาอยู่ไทยและสปป.ลาว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตนได้คุยกับ ผบ.ตร.สปป.ลาว เมื่อเราจับมือกันแบบนี้ คนสองสัญชาติ ก็ต้องไม่มีแผ่นดินอยู่ ไปอยู่ที่อื่น

วันนี้กลุ่มคนที่อยู่แบบผิดกฎหมายที่ไม่ใช่กลุ่มทุนจีนที่มีปัญหา เขาก็หนีไปเป็นร้อยคนแล้ว เพราะเขาก็กลัวจึงออกไปก่อนดีกว่า แต่หลังจากนี้เราต้องเข้มงวดตั้งแต่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และการให้วีซ่า อย่างกรณีการจับกุม นายโทนี่ หรือนายเฉิน จ้าวฮุ้ย ที่ถือวีซ่าธุรกิจ ก็ต้องตรวจสอบว่าออกได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกก็ต้องเพิกถอน หากใครเกี่ยวข้องกับการให้วีซ่าที่ไม่ถูกกฎหมายต้องถูกดำเนินคดีหมด เช่นวีซ่านักเรียนที่ให้กับคนอายุ 57 ปี แบบนี้ออกมาได้อย่างไร ต้องถูกดำเนินคดีแน่ไม่ปล่อยไว้ เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อลงทุน แต่มาก่ออาชญากรรม

'ดร.เสรี' ขยี้ซ้ำ!! ปมขายบ้านให้ทุนจีนสีเทา เหตุไฉน 50 คนไทย พร้อมใจขายให้คนจีน

(6 ธ.ค. 65) ไม่นานมานี้ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“คนไทย 50 คนซื้อบ้าน รับโอนจากบริษัทอสังหาฯ แล้ว มีคนจีนต้องการซื้อต่อ ปรากฏว่า คนไทยทั้ง 50 ราย พร้อมใจกันขายให้คนจีนทั้ง 50 คนเลย ฟังดูอัศจรรย์มากเลยนะคะ

เจ้าของโครงการที่เป็นลูกเจ้าของคอกยังเงียบอยู่ไม่พูดอะไรเลย เพราะกรณีนี้ งานเข้าจริง ๆ ยากที่จะหาคำอธิบายใด ๆ มาชี้แจง ว่าทำไมคนต่างชาติจึงเป็นลูกค้าซื้อบ้าน ทั้ง ๆ ที่กฎหมายไม่อนุญาต

ที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือ คนของตนเองดันออกมาพูดยืนยันว่าเรื่องที่พูดกันเป็นเรื่องจริง จนมีคนหลายคนเชียร์ให้ขุดต่อ อย่าได้หยุด ขุดให้เต็มที่ไปเลย

งานนี้ตำรวจที่ทำคดีจะต้องทำอย่างโปร่งใส จัดการกับคนทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง อย่าให้มีการลูบหน้าปะจมูก เป็นมวยล้มต้มประชาชนที่ต้องการกระฉากหน้ากากคนที่ทำผิดกฎหมายเพราะเห็นแก่ตัว”

‘คนเพื่อไทย’ โร่แจ้งความ หลังมีภาพร่วมเฟรมตู้ห่าว ยัน!! ไม่รู้จักกันส่วนตัว เจอกันตอนนี้ก็จำหน้าไม่ได้

(6 ธ.ค. 65) เมื่อเวลา 14.15 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีถูกโยงเป็นข่าวและมีภาพปรากฏออกมาว่ามีความรู้จักสนิทกับนายหาวเจ๋อตู้หรือตู้ห่าว กลุ่มทุนจีนสีเทาว่า ภาพที่ปรากฏเป็นข่าวนานมากแล้ว โดยเป็นการเปิดตัวโรงงานแถว จ.สมุทรปราการ ซึ่งตนไปเป็นเพื่อนกับคุณลุงที่ถูกเชิญไปร่วมงานเท่านั้น โดยงานดังกล่าว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร.ขณะนั้นเป็นประธาน แต่กลับถูกโยงทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย เพราะถูกนำมาเล่นข่าวในช่วงจะเลือกตั้ง ตนเป็นนักการเมืองที่ถูกป้ายสี ดังนั้นตนจึงได้ไปแจ้งความเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนายตู้ห่าวเลย เห็นหน้าตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้เลย

นายวิชาญ กล่าวกรณีนายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยที่จะย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่า พรรคดูแลและให้โอกาสนายประเดิมชัยตั้งแต่ปี 62 ตั้งแต่สมัยนายประเดิมชัยเป็น ส.ก. ส่วนการตัดสินใจย้ายไปอยู่พรรคใดก็ถือเป็นสิทธิ ซึ่งเราก็จะได้คัดสรรบุคคลลงสมัครแทนนายประเดิมชัยต่อไป ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้คุยกับนายประเดิมชัยในเรื่องดังกล่าว แต่ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เริ่มมีกระแสข่าวว่าจะย้ายพรรค แต่ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยดูแลสมาชิกทุกคนเท่าเทียมกัน

'ชูวิทย์' แฉ 3 พลตำรวจตรี 'เรียกรับส่วย' ขบวนการแปลงวีซ่า เอื้อ 'นายทุนจีนสีเทา'

(7 ธ.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมสุนัขคู่ใจ โดยตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ว่า 'สัน' ซึ่งในการแถลงได้กล่าวถึงการเปิดหลักฐานขบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สังกัด ตม. ที่อำนวยความสะดวก ให้กลุ่มทุนจีนสีเทา รวมถึงเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนเข้าพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมาย

นายชูวิทย์ ตั้งชื่อการแถลงวันนี้ว่า 'ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ' โดยเปิดเผยว่า มีนายตำรวจ ยศ พล.ต.ต. จำนวน 3 นาย ซึ่งมี 2 นาย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแปลงวีซ่า และ สมาคมเถื่อน โดยมีการเรียกรับเงินกับ 'นายทุนจีนสีเทา' ที่เข้ามาในประเทศไทย และ ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย

ทั้งนี้กลุ่มนายทุนจีนสีเทา จะอยู่ในประเทศไทยได้ 30 วัน โดยวีซ่านักท่องเที่ยว หลังจากนั้น หากต้องการเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็น วีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ (non b visa) หรือ อาสาสมัครมูลนิธิ (non o visa) จะติดต่อผ่านคนกลาง และไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิเถื่อน จากข้อมูลที่มีอยู่ 8 แห่ง ซึ่งหลอกว่า จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการศึกษาภาษาจีนของเด็กและเยาวชน โดยจะจ่ายเงินตรงให้ตำรวจ ตม.รายละ 100,000 - 300,000 บาท พบข้อมูลดำเนินการระหว่างปี 2563 ถึง 2564 มีการอนุมัติเปลี่ยนประเภทวีซ่า ไปกว่า 3,325 ราย 

นายชูวิทย์ ยังบอกอีกว่า เรื่องที่พูดทั้งหมด ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง อย่าเอาไปเชื่อมโยง เป็นแค่การตั้งคำถาม ไปยังผู้ที่มีอำนาจในรัฐสภา และ ทำเนียบรัฐบาล

ผบ.ตร.มอบ จเรตำรวจ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี นายชูวิทย์ฯ แฉ ตำรวจ ตม.เอี่ยวทุนจีนสีเทา หากพบดำเนินการเด็ดขาด องค์กรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้

วันนี้ (8 ธ.ค.2565) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เปิดเผยถึง กรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงข่าวปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ กรณีมีตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมเปิดปฏิบัติการค้น 53 จุดใน 18 จังหวัด ปราบเอเจนซี่เปิดมูลนิธิเอื้อประโยชน์ต่อวีซ่ากลุ่มทุนจีนสีเทา

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสืบสวนจับกุม กลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้ามาทำธุรกิจสถานบันเทิงในประเทศไทยโดยใช้คนไทยเป็นนอมินี แต่แอบแฝงด้วยธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด หรือคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ขยายผลสืบสวนจับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทาเหล่านี้ และเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินได้เป็นจำนวนมาก ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น

​จากการสืบสวนขยายผลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่กลุ่มทุนจีนเหล่านี้สามารถเข้ามาภายในราชอาณาจักรและขออนุญาตอยู่ต่อได้นั้น ได้ใช้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา หรือเป็นอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ เพื่อขยายเวลาในการอยู่ต่อทุกครั้ง โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบโดยละเอียดว่ามีการดำเนินการตามที่แจ้งจริงหรือไม่ จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มเอเจนซี่ที่รับต่อวีซ่าโดยเปิดตัวเป็นมูลนิธิหรือสถานศึกษา เพื่อตรวจสอบข้อมูลว่ามีการดำเนินการจริงหรือไม่

​โดยเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.65 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนประสานความร่วมมือไปยัง บช.น. ,บช.ภ.1 , บช.ภ.2 ,บช.ภ.3 ,บช.ภ.4 , บช.5 บช.ภ.7 สตม. และ บช.ทท. เปิดปฏิบัติการเข้าค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 53 จุด อยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ ลำพูน น่าน หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น และอุดรธานี โดยผลการตรวจค้น

กลุ่มที่ 1. มูลนิธิและสถานศึกษา ตรวจยึดเอกสารการสมัครเรียนและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบความผิดปกติจำนวนมาก

กลุ่มที่ 2 ผับเบบี้เฟส ซูเปอร์คลับ เอกมัย ตรวจยึด/อายัดทรัพย์ เพื่อตรวจสอบ ลำโพง ยี่ห้อ aike Audio จำนวน 82 ตัว, ไฟสแกน (ไฟ Beam) จำนวน 176 ตัว , เครื่องทำควัน/ไอน้ำ จำนวน 25 ตัว , ไฟสำหรับทำแสงเลเซอร์ จำนวน 10 ตัว  ตรวจยึดทรัพย์ ไฟสแกน (ไฟ Beam) จำนวน 3 ตัว ,กระสุนปืนพลุ จำนวน 261 ชิ้น ,ปืนสำหรับยิงพลุ (กระบอกเล็ก) จำนวน 11 กระบอก ,ปืนสำหรับยิงพลุ (กระบอกใหญ่) จำนวน 2 กระบอก ,น้ำยาสโมค ยี่ห้อ DJ RABBIT จำนวน 10 ลัง (40 แกลลอน) ,น้ำยาสโมค ยี่ห้อ YEROMCA จำนวน 6 ลัง (24 แกลลอน)
ผับ Space Plus และบริษัท สเปซ พลัส คลับ ตรวจยึด/อายัดทรัพย์ เพื่อตรวจสอบ ,ไฟติดตั้งเวที (LED+BEAM) จำนวน 150 ชิ้น , ไฟติดตั้งเวที BEAM XD-LIGHT) จำนวน 35 ชิ้น ,จักรยานออกกำลังกาย (PS300) จำนวน 81 คัน, ไฟสปอร์ตไลท์ ยี่ห้อ ACME จำนวน 4 ชิ้น, ไฟสปอร์ตไลท์ ยี่ห้อ ADJ จำนวน 4 ชิ้น, ลูมอม มีไฟ จำนวน 1000 ชิ้น, พลุ แบบยาว(ใช้ไฟฟ้า) (ลังละ 20 อัน) จำนวน  260 ลัง, รถไฟฟ้าเด็กเล่น จำนวน 3 คัน, กำไลข้อมือเรืองแสง (ลังละ 48 อัน) จำนวน 50 ลัง, แก้วน้ำพลาสติก (ลังละ 100 อัน) จำนวน 93 ลัง, ซองกันน้ำโทรศัพท์ (ลังละ 500 อัน) จำนวน 40 ลัง, ถังขยะ (ลังละ 6 อัน) จำนวน 3 ลัง, แก้วน้ำ จำนวน 60 ชิ้น, แก้วน้ำโปเกม่อน จำนวน 60 ชิ้น, แก้วยาว (ลังละ 72 อัน) จำนวน 40 ลัง, น้ำยาควันเวที  DT4 (ลังละ 70 อัน) จำนวน 4 ลัง เพื่อตรวจสอบความผิดตามเกี่ยวกับ พรบ.ศุลกากร

กลุ่มที่ 3 ความผิดเกี่ยวกับนายหลิน หลง ตรวจพบเสื้อคล้ายเครื่องแบบทหารพร้อมเครื่องหมายประดับคล้ายยศพันเอก จำนวน 1 รายการ ,ไวน์และสุราต่างประเทศ โดยตรวจยึดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต และศุลกากร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากช่วงที่ผ่านมา ได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ใช้คนไทยเป็นนอมินีในการทำธุรกิจในไทย ทำให้พบแผนประทุษกรรมที่เป็นรูปแบบใกล้เคียงกันของกลุ่มดังกล่าว โดยพบว่ากลุ่มดังกล่าวจะใช้เหตุผลในการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างเหตุจากการศึกษา หรือเป็นอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้มีการดำเนินการตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบกลุ่มเอเจนซี่เหล่านี้ เพื่อมิให้คนไม่ดีใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นช่องทางในการอยู่อาศัยเพื่อกระทำความผิดในประเทศไทยเราได้ นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบถึงเจ้าของหรือผู้เปิดมูลนิธิหรือสถานที่เหล่านี้ รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยว่า ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนจีนสีเทาหรือไม่ หากพบการกระทำความผิดจะขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

‘เพื่อไทย’ จวก ‘ระบบราชการไทย’ เละเทะ เปิดช่องให้ธุรกิจสีเทาทำผิดกฎหมายได้ง่าย

‘เพื่อไทย’ สับระบบราชการเปิดช่องทุจริต ธุรกิจสีเทาบานเป็นดอกเห็ด ชี้สังคมจับตาคดี ‘ตู้ห่าว’ จะรอดหรือไม่ ตอกผู้นำปล่อยกลุ่มทุนจีนหนุนการเมือง ทำตัวเหนือกฎหมาย

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 65 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีธุรกิจทุนจีนสีเทาของนาย ‘ตู้ห่าว’ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการบุกทลายผับดังย่านเจริญราษฎร์ พบยาเสพติดและบ่อนการพนัน นำไปสู่การขยายผลให้เห็นว่าทุนจีนสีเทามีเครือข่ายที่เติบโต ฝังรากอยู่ในสังคมไทยจนมีมูลค่าเงินหมุนเวียนและทรัพย์สินเกือบหมื่นล้านบาทว่า ขอตั้งคำถามหากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ดำเนินการจริงจังมาตลอด 8 ปี ทุนจีนสีเทาคงไม่เติบโตเหมือนในวันนี้ใช่หรือไม่ กรณีของนายตู้ห่าว ไม่ใช่ความผิดส่วนบุคคล แต่เป็นเพราะการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันจึงเติบโต ซึ่งสาเหตุของความล้มเหลวการตรวจสอบการทุจริตและทุนจีนสีเทา ดังนี้

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ เผยต่างชาติสนใจไทยจัดการ ‘คดีตู้ห้าว’ พร้อมเตือนสติคนไทย อย่ามัวหลงทางเรื่องค่าแรง 600

‘พล.ท.นันทเดช’ เผยทั่วโลกกำลังจับตาดูไทยในการใช้กฎหมายจัดการทุนจีนสีเทา เตือนอย่าไปหลงทางกับเรื่องเล็ก ๆ อย่างค่าแรง 600 บาท

(15 ธ.ค. 65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ตู้ห้าว’ กำลังเป็น ‘ตู้ว่างเปล่า’ มีเนื้อหาว่า ปรากฏการณ์ของ ‘มาเฟียทุนจีนสีเทา’ กำลังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ขอย้ำว่าเวลาผ่านมาแล้วถึง 2 เดือน แต่คดีคืบหน้าไปอย่างแผ่ว ๆ ถ้าไม่มีคุณชูวิทย์ ป่านนี้คงจะเงียบไปแล้ว

น่าเศร้าที่สังคมไทยกำลังตกเป็นเหยื่อของคนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง องค์กรที่ดูแลสังคม รวมทั้งพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็พลอยเงียบไปด้วย ที่มันแปลก คือ เงียบไปทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล

‘ตำรวจ’ เผยผล ทลายแก๊งเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหด ชี้!! ได้ท่อน้ำเลี้ยงจาก ‘ทุนจีน’ มีเงินสะพัดกว่า 2.5 พัน ล.บ.

ปฏิบัติการทลายแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความข่มขู่ลูกหนี้ รวบนายทุนจีนพร้อมพวก 19 ราย พบเงินสะพัดในระบบกว่า 2,500 ล้านบาท

ในช่วงระหว่างปลายปี 64 ถึงปี 65 ได้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. กรณีกู้เงินมาจากแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบชื่อ กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม และ Self service รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 40 แอปพลิเคชัน โดยเรียกดอกเบี้ยโหดกว่าร้อยละ 2,080 ต่อปี 

นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหาย จากกรณีดังกล่าว ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร. ได้สั่งการให้ บช.ก. เร่งรัดปราบปรามแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการข่มขู่คุกคามผู้กู้ให้ได้รับความเดือดร้อน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงได้มอบหมายให้ บก.ปอศ. โดย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. ดำเนินการสืบสวนหาเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ต่อมาวันที่ 15 ธ.ค. 65 พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 / หัวหน้าชุดปฏิบัติการส่วนกลาง ศปน.ตร. พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการ บก.ปอศ. ร่วมบูรณาการกับ น. ภ.1 ภ.2 ภ.5 และ ภ.7 รวมกำลังทั้งสิ้นกว่า 100 นาย บุกทลายเครือข่ายลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านแอปพลิเคชันชื่อ ‘Self service’ และ แอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 40 แอปพลิเคชัน ซึ่งมีพฤติการณ์ในการปล่อยเงินกู้ เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ทวงถามหนี้โดยส่งข้อความข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย 

ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง โดยเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแอปลิเคชั่นดังกล่าว และออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 23 หมาย ผู้ต้องหา 22 ราย และได้ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 22 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี เชียงราย พะเยา ชลบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 20 หมาย ผู้ต้องหา 19 ราย ประกอบด้วย

1. น.ส.เปา ลู่ ซัน สัญชาติจีน อายุ 34 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 828/2565 ลง 13 ธ.ค.65 
2. น.ส.ไช่ ซิง เหมย สัญชาติจีน อายุ 29 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 829/2565 ลง 13 ธ.ค.65 และหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 737/2565 ลง 13 ธ.ค.65    
3. น.ส.กรรณฐภรรฐ อายุ 32 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 821/2565 ลง 13 ธ.ค.65 
4. นายกิติศักดิ์ อายุ 33 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 818/2565 ลง 13 ธ.ค.65
5. น.ส.ดวงนภา อายุ 37 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 825/2565 ลง 13 ธ.ค.65
6. น.ส.พรรณรัตน์ อายุ 28 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 822/2565 ลง 13 ธ.ค.65
7. น.ส.น้ำฝน อายุ 27 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 823/2565 ลง 13 ธ.ค.65  
8. น.ส.บุญเพ็ง นาพรม อายุ 47 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 824/2565
ลง 13 ธ.ค.65  
9. นายคณิน อุดมเดช อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 820/2565 ลง 13 ธ.ค.65
10. นายสราวุฒ ดงพลับ อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 819/2565 
ลง 13 ธ.ค.65

11. น.ส.ปราณี อายุ 29 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 817/2565 ลง 13 ธ.ค.65
12. นายอำนาจ อายุ 48 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 826/2565 ลง 13 ธ.ค.65
13. น.ส.ดารณี อายุ 32 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 827/2565 ลง 13 ธ.ค.65
14. นางสาวพัชรินทร์ อายุ 50 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 728/2565 ลง 13 ธ.ค.65
15. นางสาวสุพรรษา อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 729/2565 ลง 13 ธ.ค.65
16. นายเกรียงไกร อายุ 50 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 733/2565 ลง 13 ธ.ค.65 
17. นายธนดล อายุ 31 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 734/2565 ลง 13 ธ.ค.65
18. นางสาวศิริพร อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 735/2565 ลง 13 ธ.ค.65
19. นางสาวคนึง อายุ 58 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 730/2565 ลง 13 ธ.ค.65

โดยผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน ‘ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันทวงถามหนี้ในลักษณะข่มขู่’

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถตรวจยึดของกลางได้ รวม 7 รายการ ประกอบด้วย
1. สมุดบัญชีเงินฝาก จำนวน 5 เล่ม
2. คอมพิวเตอร์ จำนวน 3 เครื่อง
3. บัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 3 ใบ
4. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
5. ซิมการ์ด จำนวน 4 ซิม
6. เราเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง
7. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 5 เครื่อง

และได้อายัดบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้อง จำนวน 33 บัญชี ยอดเงิน 5,293,869.77 บาท


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top