Thursday, 9 May 2024
ทุนจีนสีเทา

โฆษกสถานทูตจีน เคลียร์ชัดปม 'ทุนจีนเทา' หนุนไทยดำเนินคดีเด็ดขาด วอนอย่าเหมารวม

โฆษกสถานทูตจีน เคลียร์ชัดปม 'ทุนจีนเทา' หนุนไทยดำเนินคดีเด็ดขาด วอนอย่าเหมารวมทั้งหมด

(2 มี.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มีสื่อไทยตั้งคำถามต่อโฆษกสถานทูตจีนเกี่ยวกับเรื่องชาวจีนมีส่วนเกี่ยวข้องธุรกิจสีเทาในไทย ฝ่ายจีนมีความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวอย่างไร

A: รัฐบาลจีนเรียกร้องให้ชาวจีนและวิสาหกิจจีนที่อยู่นอกประเทศเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีในประเทศหรือเขตอาณาที่อาศัยอยู่มาโดยตลอด และดำเนินธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย ตลอดจนตอบแทนสังคมในท้องถิ่น ซึ่งชาวจีนก็ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ชาวจีนและวิสาหกิจจีนที่อยู่ในประเทศไทยได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่การพัฒนาเศรษกิจของไทย ทั้งยังมีส่วนร่วมในงานการกุศล ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ประจักษ์ชัดอยู่ทุกเมื่อ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งดำเนินคดีบุคคลแอบอ้างเบื้องสูง และบุคคลสำคัญของไทยหลอกลวงผู้ประกอบการเกิดความเสียหาย

ตามที่ปรากฏในข่าวสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีกลุ่มทุนจีนสีเทา ชื่อ นายหยู ซิน ฉี(Mr.Yu Xin Qi)  สัญชาติจีน บุคคลดังกล่าวได้จัดตั้งสมาคมชื่อ “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย”และเป็นเจ้าของสมาคมสมาคมดังกล่าวมีลักษณะประกอบการดำเนินงานให้คำแนะนำการลงทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมและสถาบันต่างๆ ในการจัดตั้งสำนักงานเครือข่ายในประเทศไทยเชิญนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลที่มีชื่อเสียงของไทยไปประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมประชุม  จัดกิจกรรมขนาดใหญ่เช่นการประชุมส่งเสริมการลงทุนนิทรรศการตลอดจนให้บริการส่วนลดยานพาหนะในการเดินทางและบริการรับส่งสนามบินแบบวีไอพีแต่ นายหยู ซิน ฉี มีพฤติการณ์อันน่าสงสัยว่า ได้นำภาพถ่ายที่ตนเองถ่ายคู่กับบุคคลมีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำรูปถ่ายคู่ร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เพื่อไปสร้างความน่าเชื่อถือ  รวมถึงมีการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงและบุคคลสำคัญระดับประเทศในการแสวงหาผลประโยชน์ หลอกลวงผู้อื่นเข้ามาเป็นสมาชิกและเรียกเก็บเงินบริจาคเข้าสู่สมาคม มีผู้เสียหายที่ถูกแอบอ้างและถูกหลอกลวงจำนวนหลายราย


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่านายหยู ซิ นฉี มีพฤติการณ์การแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงและบุคคลสำคัญระดับประเทศเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จริง  อีกทั้งมีการจัดตั้งสมาคมที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีรายชื่อในสาระบบของกรมการปกครอง  ต่อมา วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566  เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายค้นศาลอาญาที่ 198/2566 ลง 17 กุมภาพันธ์ 2566 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 77/525 หมู่บ้านภัสสร 19 ซอย 52 ถนนจตุโชติ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร  พบ นายหยู ซิน ฉี  (Mr.Yu Xin Qi) สัญชาติจีน  แสดงตัวเป็นเจ้าบ้านและนำตรวจค้น ผลการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดของกลางเพื่อตรวจพิสูจน์ จำนวน 11 รายการ ได้แก่


1.ป้ายไวนิลรูปและตราสมาคม จำนวน 2 ป้าย
2.ของชำร่วยที่ระลึกของสมาคม(กำไล) จำนวน 1 ชิ้น
3.ตราประทับ จำนวน 13 ชิ้น
4.ป้ายสมาคม จำนวน 1 ชิ้น
5.นามบัตรสมาคม จำนวน 2 กล่อง
6.บัตรประจำตัวสภาเครือข่าย จำนวน 1 ชิ้น
7.ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมมิตรภาพไทย-ฉ่านซี จำนวน 1 ชิ้น
8.นามบัตรกิตติมศักดิ์ จำนวน 40 ชิ้น
9.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสมาคม จำนวน 1 ชุด
10.หนังสือรับรองบริษัทฯ จำนวน 1 ชุด
11.กระเป๋าถือสมาคมแต้จิ๋ว จำนวน 1 ใบ

‘ตร.สืบสวน’ รวบ ‘นวพร’ หัวหน้าใหญ่ ‘อุ้มบุญ-สวมบัตร’ แก๊งจีนเทา พบเอี่ยวค้ามนุษย์ทั้งในจีน-ไทย-กัมพูชา เผย ได้ค่าจ้างหัวละ 5 แสน!!

กรณีเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีชายชาวจีนสวมบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) และเข้าตรวจค้นอาคาร 5 ชั้นย่านถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางรัก พบบุคคลต่างด้าวจำนวน 7 ราย และตรวจพบว่าสภาพภายในมีการแบ่งซอยเป็นห้องพัก และมีอุปกรณ์ไว้สำหรับดูแลหญิงไทยที่รับอุ้มบุญให้กับชาวจีน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปนั้น

ล่าสุด วันที่ 11 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ขยายผลให้ทราบถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรชมพู และกรณีการอุ้มบุญดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่า ชื่อเจ้าของสถานที่ ดังกล่าวคือ น.ส.นวพร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่นำรายชื่อบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ภายในบ้านเลขที่ดังกล่าว

โดยใช้วิธีการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของตน และสำแดงเอกสารเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ย้ายชื่อบุคคลดังกล่าวเข้ามาในทะเบียนบ้าน และออกบัตรชมพูให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ น.ส.นวพรดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมและใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม น.ส.นวพร ได้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า น.ส.นวพร เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่ได้รับสัญชาติไทยจากการแต่งงานกับคนไทย จากนั้นหย่าร้าง และมีสามีใหม่เป็นคนสัญชาติจีน ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน โดยบุตรทุกคนได้รับสัญชาติไทยตามแม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ตามปกติ

น.ส.นวพร เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนจีนมาลงทุนทำธุรกิจ ความเสียหายมากกว่า 700 ล้านบาท ถูกดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับทางการจีนพบว่า น.ส.นวพรมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งในจีน ไทย และกัมพูชา เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และมีทรัพย์สินในครอบครองเป็นบริษัทหลายแห่ง ซึ่งมีชื่อของญาติและลูกของ น.ส.นวพร เป็นกรรมการบริหาร รวมทั้งที่ดินและรถหรูอีกจำนวนมาก ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนประสานงานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทามาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าเครือข่ายทุนจีนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีเครือข่ายของ น.ส.นวพรในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนจีนเหล่านี้ ในการสวมบัตรและอุ้มบุญ เพื่อให้ทุนจีนสีเทาเหล่านี้สามารถประกอบธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆ เสมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเข้ามากระทำผิดในราชอาณาจักรไทย

และทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง ออกบัตรสีชมพูต่างด้าวไว้ให้ พบว่ามีน.ส.นวพรที่มาแต่งกับคนไทย เพื่อให้ได้สัญชาติก่อนเลิกรา แล้วไปอยู่กินกับคนจีน ซึ่ง น.ส.นวพรเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มบุญ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 เรื่องอุ้มบุญจีนในไทย

“น.ส.นวพรมีการถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคนจีนและร่วมมือกับอาหม่า ซึ่งอดีตเลขาฯปปง.รู้จักดี จากการตรวจค้นพบว่ามีการแบ่งห้อง และมีเตียงจำนวนมาก และพฤติการณ์มีการทุจริตกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในการออกบัตรสีชมพู วันนี้จะขอออกหมายจับเจ้าหน้าที่เขต และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top