Saturday, 27 April 2024
จัดตั้งรัฐบาล

‘ผู้กองมาร์ค’ ทิ้ง ‘เพื่อไทย’ ซบ ‘พลังประชารัฐ’ มั่นใจ!! คว้าชัยจัดตั้งรัฐบาล - ทำงานเพื่อ ปชช.

(19 ธ.ค. 65) ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 7 บางซื่อ-ดุสิต พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หลังจากได้รับคำเชิญจากผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ และได้ศึกษานโยบายและแนวทางในการทำงานของพรรคแล้ว ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะมีแนวทางในการทำงานที่เหมือนกันและพร้อมพิสูจน์ว่าเป็นพรรคที่ตั้งใจทำงานให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ทางพรรคมีการพัฒนาการและปรับตัวเองให้เข้าได้กับคนทุกรุ่น เน้นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวว่า ไม่เคยคิดจะเผาบ้านเก่า เพราะทุกการตัดสินใจทางการเมืองขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ทางความคิดของสมาชิกและพรรคที่มีนโยบายแนวทางในการทำงานที่ตรงกันว่าอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศ ในส่วนของการย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งใหม่นั้น เป็นเรื่องปกติของนักการเมืองที่ต้องหาบ้านที่เหมาะสม เพื่อที่จะทำงานให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด ประชาชนก็มีโอกาสได้พิจารณาใหม่ มีสิทธิเลือกผู้แทนที่สามารถทำงานให้กับพวกเค้าได้ตรงตามระบอบของประชาธิปไตย หลายคนมีคำถามว่ามาสังกัดพรรคพลังประชารัฐแล้วจะทำอะไร ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของผมคือจะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเดิม บางซื่อ-ดุสิต เพราะผลการเลือกตั้งในปี 2562 แพ้คะแนนไปเพียงหลักร้อย และยังลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ มีเสียงตอบรับที่ดีมาก และผลจากการสำรวจในการทำโพลทุกครั้ง ก็ชนะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตมาโดยตลอด

‘ชลน่าน’ ยินดี ปชช. ไว้วางใจ ‘ก้าวไกล’ อันดับ 1 รับ!! ยังไม่เห็นเงื่อนไขจัดตั้งรัฐบาล ปัดตอบเป็นฝ่ายค้าน

(15 พ.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย เพื่อเตรียมประชุมกับแกนนำพรรคและกรรมการบริหารพรรค หลังจากผลคะแนนการเลือกตั้งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพรรคพท.ได้คะแนนมาเป็นอับดับสอง โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้กรรมการบริหารพรรคจะมาคุยกันเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานหลังจากนี้ ว่าจะดำเนินต่ออย่างไร ส่วนเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยแสดงท่าทีชัดว่ายอมรับเสียงของประชาชน ที่ไว้วางใจพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้มาเป็นอันดับหนึ่ง ก็ยินดีกับพรรคก้าวไกล และยินดีที่จะให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนจะร่วมมือกันอย่างไรนั้น ในฐานะพรรคอันดับรอง ก็ต้องฟังเสียงของพรรคอันดับหนึ่งว่าจะมีท่าที ทิศทางอย่างไร 

เมื่อถามถึงการลงนามเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลจะมีข้อไหนที่อาจร่วมกันไม่ได้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่รู้ คือเป็นแนวทางที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้ ซึ่งการลงนามชัดเจนถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยว่าหากร่วมกับทำงานแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง ต้องคุยกัน ถ้าร่วมกันไม่ได้ ข้อไหน จะผ่อนคลายหรือยอมกันได้แค่ไหน คงต้องดูตรงนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบเนื้อหาว่ามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง อาจยังตอบไม่ได้ถึงการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งเบื้องต้นที่ทราบจะเน้นไปทางการทำงานตามนโยบาย 

เมื่อถามอีกว่าหากลงนามเอ็มโอยูไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านอีกหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องดูในรายละเอียด ตอนนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เมื่อประชาชนมอบคะแนนให้กับฝ่ายประชาธิปไตยท่วมท้นแบบนี้ เจตจำนงคงต้องการให้ฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาทำงานเป็นรัฐบาล สิ่งนี้สำคัญกว่า จะมาคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นอะไร ไม่ใช่ว่าพอไปด้วยกันไม่ได้ แล้วต้องมาเป็นฝ่ายค้าน

'โบว์' อบรมนิ่มๆ ส.ส.ที่อยากได้พิธาเป็นนายกฯ มี 150 คนจาก 500 ซึ่งไม่ถึงครึ่ง ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

(16 พ.ค.66) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ว่า...

ส.ส.ที่อยากได้พิธาเป็นนายก มี 150 คนจาก 500 .. ซึ่งไม่ถึงครึ่ง

อีก 150 กว่าเสียงที่ไปเติม คือตัวแทนจากพรรคที่อยาก “ร่วมรัฐบาล” ไม่ใช่ตัวแทนของคนที่อยากให้พิธาเป็นนายก เพราะส.ส.เหล่านั้นหาเสียงให้แคนดิเดตคนอื่นหมด ตอนเลือกตั้ง

จะไปเหมาว่านี่คือการแสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่อยากให้พิธาเป็นนายก จนต้องบีบให้พรรคที่เขาไม่อยากได้ “พิธา” มาหลับหูหลับตาโหวตให้ .. ไม่ได้

ไม่มีใครต้องไปโหวตสนับสนุน “การร่วมรัฐบาล” หรือความอยากเป็นนายกของใคร ถ้าเขาไม่ได้ต้องการ เหตุผลพื้นฐานที่สุดของการโหวตคือการแสดงความต้องการ เพื่อเอามานับกันแล้วกำหนดทิศทางประเทศ

การบีบให้คนต้องเลือกในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ไม่ใช่ประชาธิปไตยค่ะ อย่าใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” ให้มันมั่วไปกว่านี้

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาเพี้ยนๆ ก็ต้องหาทางเอาชนะตามกติกาให้ได้ ไม่ใช่ไปสร้างความเพี้ยนใหม่ขึ้นมา

(ตอนเรารณรงค์แก้ ม.272 ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ มีคนมาร่วมลงชื่อแปดหมื่นคน ที่เหลือบอกจะทำไปทำไมไร้สาระ เดี๋ยวชนะเลือกตั้งถล่มทลายก็ปิดสวิตช์ ส.ว. ได้เอง ถึงตอนนี้ทำไม่ได้ตามนั้น จะเลือกใช้วิธีไปบีบบังคับคนอื่น)

ถ้าพิธาได้โหวตไม่พอ พรรคต่อไปมีสิทธิลองเสนอแคนดิเดตของตัวเองแล้วจัดสูตรใหม่บ้าง และควรทำด้วย ถ้าไม่ทำก็ประหลาดแล้ว ตกลงคุณหาเสียงมาแทบตาย เพื่อให้พรรคอื่นซึ่งได้เสียงไม่ถึงครึ่งเป็นนายกหรือ?

ลองดูว่าคุณ “เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย” ได้มากกว่าหรือไม่ นั่นคือคุณสมบัติที่นายกฯ ของวันพรุ่งนี้ต้องมี

ถ้าพรรคเพื่อไทยยังไม่ Get a grip ทุกอย่างจะหลุดไปอยู่ในมือของคนที่คุณไม่ต้องการแน่นอน

‘วิษณุ’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เสียงทะลุ 300 มั่นคงแล้ว แนะ ใช้ไมตรีแลกเสียงโหวต เชื่อ จัดตั้ง รบ.ได้

(18 พ.ค. 66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ห่วงจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ว่า ไม่ทราบ ตนตามเรื่องเท่าที่สื่อมวลชนเสนอ ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น ตอนนี้รอดูว่าจะรวบรวมเสียงเป็นปึกเป็นแผ่นได้หรือไม่ เท่าที่ทราบปัจจุบันรวบรวม 313 เสียง มันก็มั่นคงถาวรแล้ว ซึ่งเสียงเกิน 250 ถือว่ามั่นคงแล้ว รัฐบาลที่แล้วตนยังบอกว่าเรือเหล็กเลย แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่าเหล็กอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงอย่างไรต้องอาศัยเสียง ส.ว.อีก 60 กว่าเสียง นายวิษณุ กล่าวว่า อาศัยในช่วงของการโหวตนายกฯ และอาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ตนถึงได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่า เชื่อเถอะว่าปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง ตนยังยืนยันแบบนี้อยู่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันไป ยังมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกฯ บวกเข้าไปอีกร่วม 30 วัน รวมแล้ว 3 เดือน ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปด่าทอกัน หรือประชดประชันกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เพราะต่างก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐสภา มันไม่ใช่แค่ทำงานฉาบฉวย สำหรับการเลือกนายกฯ อาจจะไม่ใช่ภารกิจยุ่งยากเท่าไหร่ แต่การผ่านกฎหมาย การอะไรต่ออะไรยังมีมากกว่านี้ และหลายคนใน 6-7 พรรคนี้ก็พยายามประสาน เพราะเขามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ฉะนั้น ใช้เวลาตอนนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าลงมือด่าทอตบตีกันตั้งแต่วันแรก

เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมกับพรรคอื่นได้ 8 พรรคแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า กี่พรรคก็ช่าง แต่ตนเห็นว่ามันมั่นคงแล้ว เมื่อถามว่า ไม่เยอะเกินไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่แกนนำรัฐบาลจะไปคิดกัน เราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไรว่าเยอะไป ถ้าเขาได้ 500 ยิ่งดีใหญ่

เมื่อถามว่า มีคนประเมินว่าในรัฐสภาจะไม่สามารถเลือกนายกฯได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมาย หากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนใดคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ผ่าน จะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ได้ โหวตมันทุกวันน่ะแหละ ชื่อเดิมก็ได้”

เมื่อถามว่า พรรคอันดับ 2 จะสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นไปก็ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ทุกอย่าง มันต้องอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งในรอบแรก เพราะว่ามาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ต้องมีความเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาฯ ที่มีอยู่ ซึ่งคือ 376 เสียง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็โหวตอีก โหวตไปโหวตมาจนกระทั่งในที่สุดจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 272 วรรคสองก็แล้วแต่ หรือจะโหวตซ้ำมาตรา 272 วรรคหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะมันอาจจะมีเหตุผลใหม่ๆ ดีๆ และมีคนเปลี่ยนใจเพิ่มขึ้นก็ได้ สำคัญคือ วันแรก ด่านแรก ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

ต่อข้อถามว่า มาตรา 272 วรรคสอง ที่จะใช้ได้คืออะไร นายวิษณุ กล่าวว่า แปลว่าเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว หาบุคคลอื่น แม้กระนั้นพอจะใช้วรรคสองที่ระบุว่า ทั้งนี้ อาจจะเสนอรายชื่อบุคคลที่อยู่ในรายชื่อนายกฯที่แต่ละพรรคเสนอได้ ซึ่งมันก็กลับมาใช้ได้อีก เห็นไหมล่ะ ขนาดใช้วรรคสองยังกลับมาใช้ชื่อเดิมได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับแค่วรรคหนึ่ง รอบแรกไม่ผ่าน แล้ววันหลัง อาทิตย์หน้ามาใหม่ๆ ก็เสนอรายชื่อเดิมได้

เมื่อถามอีกว่า แบบนี้แสดงว่ามีสิทธิที่จะใช้นายกฯ นอกบัญชีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ก็ได้ทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นกรณีของวรรคสอง ซึ่งยาก เพราะกว่าจะได้วรรคสองมันต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งมันยาก มันไม่เกิดได้ง่ายๆ หรอก แล้วเดี๋ยวพวกคุณก็ไปลงข่าวว่าผมชี้ช่องอีก เอาแค่วรรคหนึ่งให้มันจบและผมก็เชื่อว่าจบด้วย”

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามั่นใจว่าจะตั้งรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ผมไม่มั่นใจ แต่ผมเชื่อ”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการใช้กระแสโซเชียลมีเดียมากดดันให้โหวตนายกฯ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่ทราบเลย เมื่อถามว่า จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ไม่ทราบ

‘พิธา’ สร้างตำนานใหม่!! ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาแถลงข่าว ด้านแกนนำ 8 พรรค ตบเท้าเข้าร่วมงานแถลงจัดตั้งรัฐบาล

(18 พ.ค. 66) แถลงข่าวพรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกลทั้ง 8 พรรค ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ โดยประกอบไปด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคสังคมใหม่, พรรคเพื่อไทยรวมพลัง, พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม

โดยช่วงเวลาประมาณ 09.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ได้นั่งวินจักรยานยนต์รับจ้างมาที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เพื่อทำการแถลงข่าวการหารือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 8 พรรค ถือเป็นการสร้างตำนานบทใหม่กับชาวด้อมส้ม

‘สุวัจน์’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ได้ 313 เสียง ถือว่ามีเสถียรภาพมาก ด้าน ‘ชพก.’ ได้ 2 เสียง พร้อมเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

(18 พ.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมงานฉลองครบรอบ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยมี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมพิธีด้วย โดยก่อนเริ่มพิธี นายสุวัจน์ได้เข้ากราบสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ ‘เจ้าคุณธงชัย’ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ที่เดินทางมาเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ว่า บรรยากาศตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่หลายพรรคการเมืองแสดงสปิริตทางการเมือง ในการเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 1 เป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หลังจากนี้ไปก็คงต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเป็นทางการจาก กกต.ก่อน ซึ่งจะต้องรับรองผล 95% ภายใน 60 วัน ก่อนที่จะมีการเลือกประธานรัฐสภา และนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคชาติพัฒนากล้า ถือว่าครั้งนี้ได้ ส.ส.เพียง 2 คนไม่สามารถทำอะไรได้มาก พร้อมที่จะเป็นได้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อทาบทามมาที่พรรคชาติพัฒนากล้าแต่อย่างใด

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ที่พรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ถึง 313 เสียง ถ้าพูดถึงเฉพาะระบบรัฐสภา ก็ถือว่ามีเสถียรภาพมาก เพราะตนเองก็พูดมาโดยตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า รัฐบาลที่มีเสถียรภาพต้องมีอย่างน้อย 300 เสียงขึ้นไป แต่ด้วยกติกาครั้งนี้ที่มีบทเฉพาะกาล ซึ่งจะต้องอาศัยเสียงของ ส.ว.250 เสียง เข้ามาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีกับ ส.ส.500 เสียงด้วย เพื่อให้ได้เสียงเกิน 375 เสียง จึงทำให้ต้องมารอลุ้นเสียงของ ส.ว.ด้วยว่าการตัดสินใจของ ส.ว.จะออกมาเช่นไร

“การเมืองวันนี้ต้องหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน อะไรที่ไม่เข้าใจกัน เพราะหลังเลือกตั้งแล้วเป็นเรื่องของบ้านเมือง ก่อนเลือกตั้งเป็นเรื่องการเมือง วันนี้ถ้าพูดคุยกันได้บางที ความเข้าใจผิดหรืออะไรต่างๆ มันก็จะคลี่คลายไป อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลต้องไปดําเนินการ ว่าทําอย่างไรที่จะได้เสียงจากวุฒิสมาชิก มาสนับสนุนให้เพียงพอ” นายสุวัจน์ กล่าว

‘จตุพร’ ฟันธง!! ‘ก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ชี้ การเมืองถึงทางตัน แต่ขออย่าลงถนน หวั่นเจอรัฐประหาร

‘จตุพร’ วิเคราะห์การเมือง เชื่อ!! ไม่ว่าอย่างไร ‘ก้าวไกล’ ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและฝ่าด่าน ส.ว.ได้ ถือเป็นทางตันทางการเมือง ที่สำคัญยังอยู่ในช่วง 2 เดือนอันตรายที่ กกต. – ศาลชี้เป็นตาย เตือนอย่าลงถนนปลุกรัฐประหาร

(18 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนเปิดเผยว่า วันนี้ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด แม้จะมีความไม่เห็นไม่ตรงกับนายทักษิน ชินวัตร ในการหาเสียงที่ผ่านมา โดยได้วิจารณ์ทุกฝ่ายทำหน้าที่ฐานะประชาชนหาทางออกให้บ้านเมือง เคยบอกให้ทุกฝ่ายต้องหลอมรวมกันต้องคุยกันไม่งั้นเราจะมาเจอกับด่าน ส.ว.ด่านรัฐธรรมนูญ กับดักมากมาย ให้ทำสัญญาประชาคมร่วมกันทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจะมีทางออกร่วมกัน จนกระทั่งมีโอกาสที่จะลงเดินท้องถนนกันใหม่ ก็ไม่อยากจะเห็น ไม่ต้องการวีรชนเพิ่ม

นายจตุพรยังวิเคราะห์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงการจัดตั้งรัฐบาล จะ 6 พรรคหรือ 8 พรรค 313 เสียงก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติในช่วงระยะเวลา 5 ปี ต้องใช้ เสียงเกินครึ่งของรัฐสภา คือ 375 + 1 หรือ 376 แม้ว่าจะมี ส.ว. บางคนรวมด้วยแล้วจะมีตัวเลขถึงจำนวนดังกล่าว ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลแทบจะเป็นศูนย์ ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่ากลไกลักษณะนี้ ถ้าต้องการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอจน ส.ว.หมดอายุ ในเดือน พ.ค. 2567 ณ วันนี้เราเดินมาถึงทางตันของการเมือง ส.ว.โดยส่วนใหญ่ได้แสดงเจตนาที่จะไม่โหวตให้ใคร ทำให้ไม่สามารถมีเสียงถึงจำนวนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้นี่คือทางตันทางการเมือง แม้จะมีความคิดวิธีอื่น แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทำยากมากที่สุด คือพรรคร่วมในจำนวน 8 พรรค ไปจับมือกับอีกฟากหนึ่ง แล้วจะถูกประณามทั้งแผ่นดิน

“วันนี้ภาวะประเทศถึงทางตันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้หวังไว้แต่มองหาความสำเร็จไม่เจอ หนำซ้ำในช่วง 2 เดือนนี้ยังไม่รู้ว่า กกต.จะลงมือตามคำร้องอย่างไร ไม่ว่าเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เรื่องการยุบพรรค 5 พรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นหลักกันทั้งสิ้นยังไม่นับใบแดง เหลือง ส้ม ที่จะมีการแจกกันอีก ดังนั้นจุดชี้ขาดการเมืองตอนนี้อยู่ที่ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ”

เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลแทนได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะซื่อสัตย์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ถ้าพรรคเพื่อไทยซื่อสัตย์จับมือก็จะได้ 313 เสียง วันนี้ที่ ส.ว.พยายามจะส่งเสียงก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ บอกว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยก็พอรับกันได้ แต่ถึงเวลาก็รวมไม่ได้อยู่ดี แต่พรรคร่วมจะ 6 หรือ 8 พรรคต้องมีความซื่อสัตย์ให้กัน จึงได้บอกนายพิธาว่า วันนี้ให้ลงสัตยาบันกันเสีย ว่าจะไม่ทิ้งไม่แยกจากกัน เพราะยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ เพียงแค่จับมือ ก็รอสะบัดมือกันได้ตลอดเวลา พวกเก๋าเกมการเมืองบอกว่านี่คือละครฉากแรกเท่านั้น ถึงไม่ทรยศต่อกันก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ใช่ว่าข้ามฝากและทรยศหมู่มิตร โดยอ้างว่าเป็นการทำเพื่อหาทางออกให้ประเทศแต่ความจริงก็เป็นการหาทางออกให้กับตนเอง ไม่ต้องการคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติเกิดขึ้นอีก
.
ไม่เชื่อว่าพรรคที่ได้เสียงข้างน้อยในปัจจุบันจะกล้าจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะจะเป็นการท้าทายประชาชน ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่ 3 จุดแบบนี้และจัดการไม่ได้บีบกันไปเรื่อยๆ แต่ยังมีจุดชี้ของสถานการณ์ ก็คือ กกต.ในห้วงระยะเวลา 2 เดือนนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนมากมาย

“มีโอกาสสูงที่จะเกิดการลงถนนหลังจากนี้ ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการเคลื่อนไหวให้มากและอย่าปล่อยให้เกิดช่องว่างหรือสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การรัฐประหารได้ อะไรควรทำไม่ควรทำก็ขอให้ระลึกเอาไว้ทุกฝ่าย” นายจตุพร กล่าว

‘อลงกรณ์’ ยืนยัน ข่าวดีล ร่วมรัฐบาลก้าวไกล ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวลือ เพื่อดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าววันนี้ ( 19 พ.ค. ) ว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางส่วนอ้างรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า”มีความเคลื่อนไหวของว่าที่ ส.ส. พรรค ปชป. ในกลุ่มของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค พยายามติดต่อไปยังพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย เพื่อขอเข้าร่วมรัฐบาล

โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่ ส.ส. สงขลา และนายชัยชนะ เดชเดโช ว่าที่ ส.ส. นครศรีธรรมราช เป็นคีย์แมนหลักในการเดินเกม นั้น ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง ขอให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอโดยเฉพาะการอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตนเพราะอาจตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์โดยไม่รู้ตัว

นายอลงกรณ์ยังบอกด้วยว่า ทันทีที่เห็นข่าวดังกล่าวได้สอบถามไปยังนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และได้รับการยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง

และตนยังยืนยันข้อเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์โหวตหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนหลักการเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต้องได้เป็นรัฐบาล ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลพรรคก้าวไกล และยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 และประมวลกฎหมายอาญา ม.112

‘สมศักดิ์’ เผย เจรจาคืบหน้า ส.ว.พร้อมรับฟังเหตุผล เชื่อ!! หลังเอ็มโอยูออก มีลุ้นเสียงหนุน ‘พิธา’ เพิ่ม

(19 พ.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเดินหน้า พูดคุย กับ ส.ว.บางท่าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าในทางบวก แต่จะเดินได้เต็ม 100 คงต้องรอให้การบันทึกข้อตกลง หรือ ‘เอ็มโอยู’ ของพรรคร่วมรัฐบาล ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ออกมาก่อน แต่จากการพูดคุยกับ ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ดี ทาง ส.ว.เอง ก็รับฟังในเหตุและผล ระหว่างนี้ก็รอเพียงแนวทางการทำงาน และนโยบายต่าง ๆ หากเอ็มโอยูทำออกมาได้ดี ก็เชื่อว่าเสียงของ ส.ว.จะไหลเข้ามาเพิ่มอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การตั้งรัฐบาลนี้ คนสนับสนุนไม่ได้มีเพียงแค่ ส.ว.บางส่วน เพราะยังมี ส.ส.บางส่วนที่พร้อมยกมือสนับสนุนรอดูอยู่ ซึ่งจากการพูดคุย ทุกฝ่ายอยากเห็นประเทศเดินหน้า อยากเห็นประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น

‘ชาติพัฒนากล้า’ ตัดสินใจร่วม ‘รัฐบาลก้าวไกล’ เป็นพรรคที่ 10 รวมเสียงได้ 316 เสียง พร้อมหนุน ‘พิธา’ นั่งนายกฯ คนที่ 30

(19 พ.ค. 66) ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ล่าสุดมีรายงานว่า พรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และมีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า มีว่าที่ ส.ส.จำนวน 2 เสียง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลแล้ว โดยเป็นพรรคลำดับที่ 10 หลังจากก่อนหน้านี้ ‘พรรคใหม่’ เพิ่งประกาศตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ มีพรรคร่วม 10 พรรค รวบรวมเสียงได้ 316 เสียง ในการสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการแถลงข่าวเข้าร่วมรัฐบาลในเร็ววันนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top