Thursday, 9 May 2024
PoliticQuiz

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค และชาวศรีราชา กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนามพรรคอนาคตใหม่

กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว

พรรคอนาคตใหม่ หรือ ก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา สุดท้ายนี้กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ครับ

นอกจากนี้ยังโพสต์อีกเรื่องคือการประชาสัมพันธ์ รถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ให้บริการตรวจเชิงรุกฟรีแก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.- 2 ก.พ. อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ในช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ตอนหนึ่งจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารมประกาศไม่เซ็นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมระบุว่าความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไม่ใช่ความเห็นของตน ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลบางเรื่องก็ไม่ใช่จุดยืนของตน

"บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ผมเป็นตัวของตัวเอง อายุเยอะแล้ว ผมรู้ว่าสถาบันบางสถาบัน ท่านก็ Disrupt อยู่ พัฒนาการทางการเมืองของน้อง ๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ ใครทำอะไรก็ทำไป แต่ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ การเมืองก็เหมือนอาหาร ใครชอบกินอะไรก็กินไป จะมาบอกว่าอยู่บริษัทเดียวกันแล้วชอบเหมือนกันไม่ได้" คารม กล่าว

เมื่อถามว่าในขณะที่มี ส.ส. ก้าวไกล ลงชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังเสนอชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 คารมกล่าวว่า "ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อเลยครับผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็นแล้วมาบังคับผมไม่ได้ด้วย ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฎหมายโอนอัตรากำลังพล แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับของความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ผมมาสาบานตน ผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้มาตรา 112 ความคิดในทางกฎหมายผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่ามุมมองอะไรอย่างไร แต่สรุปว่าผมไม่เซ็น"


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/91293

ญี่ปุ่นประกาศพร้อมผลิตวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ถึง 90 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนในประเทศ เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมด

เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมดที่ทางญี่ปุ่นได้ทำสัญญาไว้กับทาง AstraZeneca จำนวน 120 ล้านโดส

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมที่จะเริ่มแผนการฉีดวัคซีน Covid-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ โดยจะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มบุคลากรแถวหน้าก่อน และจะเริ่มทยอยฉีดให้กับประชาชนทั่วไปได้ในเดือนเมษายน โดยได้สั่งซื้อวัคซีนจากบริษัท AstraZeneca ไปแล้วจำนวน 120 ล้านโดส และจาก Pfizer อีก 75 ล้านโดส ตั้งแต่ปลายปี 2020

แต่เนื่องจากบริษัท AstraZenenca กำลังประสบปัญหาในการผลิตที่อาจทำให้การจัดส่งวัคซีนล่าช้ากว่ากำหนด ทาง AstraZeneca จึงเปลี่ยนเป้าหมาย ให้ License แก่บริษัทยาในญี่ปุ่นผลิตวัคซีนของบริษัทแทนจำนวน 90 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 30 ล้านโดส จะเป็นวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานในอังกฤษ

ซึ่งข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากนาย คาโต้ คัทสึโนบุ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี หลังจากที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากบริษัท AstraZeneca ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งจะสามารถผลิตวัคซีนได้เองในประเทศ

และทาง AstraZeneca ได้พิจารณาบริษัทยาในญี่ปุ่นหลายแห่ง และมีข่าวออกมาแล้วว่าได้เลือกบริษัท JCR Pharmaceutical ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโงะ เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมผลิตวัคซีน 90 ล้านโดสให้กับญี่ปุ่น

สำหรับญี่ปุ่น นี่ถือเป็นข่าวดีที่จะการันตีได้ว่าญี่ปุ่นจะได้วัคซีนตามจำนวนที่ต้องการอย่างเร็วที่สุด เพราะนอกเหนือจากความจำเป็นที่ต้องรีบสกัดการแพร่ระบาด เนื่องด้วยญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มักเป็นกลุ่มมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ Covid-19 และญี่ปุ่นยังมีภารกิจเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ที่ได้ลงทุนล่วงหน้าไปแล้วถึง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่จะล้มเลิกไม่ได้เป็นอันขาดนั่นเอง

และนอกจากที่ญี่ปุ่นแล้ว AstraZeneca ยังมีพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/healthcoronavirus-japan-vaccine/update-2-japan-to-source-most-astrazeneca-vaccines-locally-amid-global-snags-idUSL1N2K306N

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/astrazeneca-produce-90-million-covid-19-vaccine-shots-in-japan-14059478

https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/covid-19-japan-to-locally-produce-astrazeneca-vaccine/2125920

https://www.theguardian.pe.ca/news/world/astrazeneca-to-ask-japans-jcr-pharmaceutical-to-produce-covid-19-vaccine-nikkei-545476/

https://apnews.com/article/eu-oxford-astrazeneca-covid-19-vaccine-d1b45f09b97ce528adad654045c72948

.

‘แนทเธอรีน ดุสิตา’ อดีต BNK48 เจ้าของฉายา ‘ธิดาชาวสวน’ และกูรูผู้ทายผลบอลทีมนั้นชนะ ทีมนั้นมักแพ้ทุกที ยิ้มออก หลังศาลพิพากษาไม่ผิดปมต้นสังกัดฟ้องหมิ่น ส่วนสัญญาลาออกมีผลทันที

แต่ให้ชดใช้ 1 แสนค่าครู พร้อมคืนบัญชีสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ขอเล็งอุทธรณ์บางประเด็น

ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ1806/2563 ที่บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (หรือ iAM ต้นสังกัดของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปไอดอล BNK48) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แนทเธอรีน - น.ส.ดุสิตา กิติสาระกุลชัย ศิลปิน อดีตสมาชิก BNK48 รุ่น 2 เป็นจำเลย ในข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาและการระบุเรื่องของขวัญจากแฟนคลับที่ไม่ได้รับ ซึ่งทางโจทก์มองว่าเป็นการหมิ่นประมาท

โดยโจทก์ฟ้องขอค่าเสียหายต่อชื่อเสียงที่เสียไป จากการที่จำเลย กล่าวหาว่า ลักของขวัญจากแฟนคลับ 1 ล้านบาท และค่าพัฒนาศิลปินอีกต่างหาก รวมเป็นค่าเสียหาย 1,588,298 บ.พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยส่งมอบ User (ชื่อผู้ใช้) และ Password (รหัสผ่าน) ของ Facebook และ Instagram ซึ่งเป็นสิทธิในทางทรัพย์สินของโจทก์คืนให้กับโจทก์, ให้จำเลยลบโพสต์หมิ่นประมาทโจทก์ทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ต, ให้จำเลยขอขมาโจทก์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ และแถลงข่าวขอขมาโจทก์

วันนี้ น.ส.ดุสิตา, นายดุสิต กิติสาระกุลชัย บิดา พร้อมนายพงศธร เอมอ่อน ทนายความจำเลย พร้อมทีมงานบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาศาล ฝ่ายโจทก์มีเสมียนทนายความมาศาล นอกจากนี้ ยังมีแฟนคลับของ น.ส.ดุสิตา เดินทางมาให้กำลังใจอีกจำนวนหนึ่ง

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์กับจำเลยแล้ว เห็นว่า กรณีจำเลยโพสต์ข้อความว่าของหายหมดเลยนั้น จำเลยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใครเอาของขวัญไป คนทั่วไปไม่ทราบว่าใครเอาไป จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียง จึงไม่มีค่าเสียหายส่วนนี้ที่จะให้จำเลยต้องชดใช้ แต่จำเลยเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดในสัญญาโดยไม่ได้บอกกล่าวก่อนเป็นกำหนดระยะเวลาอันสมควร ถือว่าจำเลยผิดสัญญาพัฒนาศิลปิน จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าพัฒนาศิลปิน 100,000 บาท พร้อมส่งมอบบัญชี Facebook และ Instagram คืนให้แก่โจทก์

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว น.ส.ดุสิตา หรือแนทเธอรีน เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่เราออกจากวงได้ หลังจากก่อนหน้านี้ตนส่งจดหมายลาออกไป แต่ทางวงแจ้งว่ายังไม่อนุมัติให้ลาออก แต่ศาลระบุการลาออกของตนมีผลตั้งแต่วันที่ส่งจดหมายลาออกแล้ว ดีใจที่เป็นอิสระรับงานได้อย่างไม่มีข้อผูกมัดอะไร ตอนนี้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานเพลง ซึ่งเพลงที่ 2 เพิ่งเขียนเสร็จ กำลังจะทำการอัดในไม่ช้านี้ การที่เรามาศาลเพราะตกลงกันไม่ได้ มีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันต้องมาจบกันที่ศาล ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีในฐานะเด็กคนหนึ่ง ที่เรามาสู้เพื่อตัวเอง

น.ส.ดุสิตา กล่าวถึง กรณีหมิ่นประมาทที่ศาลยกฟ้องส่วนนี้ว่า ตนบอกไม่ได้รับของจากแฟนคลับ ของหายไป ตอนนั้นคุยกับแฟนคลับทาง Messenger หลังพ้นสภาพเป็น BNK48 แล้ว เขาถามได้รับของหรือยัง ตนบอกยังไม่ได้ ของหายไปไหนไม่รู้ เขาก็แคปข้อความไปลงทางเฟซบุ๊กพิมพ์ด่าต้นสังกัด แต่ตนไม่รู้เห็นด้วย และคำว่าของหายไปแปลว่าเราไม่ได้รับ ไม่ได้แปลว่าเราบอกว่าเขาขโมยไป ตนไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ทั้งนี้ ตนพอใจกับคำพิพากษา รู้สึกโล่ง หายกังวล ตนไม่ได้หมิ่นประมาท การถูกฟ้องทำให้ตนเสียใจมาก กระทบความรู้สึกมาโดยตลอด เพียงเท่านี้ก็ดีใจมาก ยิ้มกว้างได้เสียที

ด้าน นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน เปิดเผยว่า เราเคารพคำพิพากษาของศาล และศาลตัดสินแล้วว่า น.ส.ดุสิตา พ้นสภาพจากการเป็น BNK48 ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 2563 แล้ว ที่ยังไม่อนุมัติให้ออกไม่ถูกต้อง มีผลกับคนอื่นที่อยู่ในวงด้วย ถ้าคนไหนต้องการลาออกก็สามารถลาออกได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต ทันทีที่ลูกจ้างต้องการยกเลิกสัญญา สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ทั้งนี้ นายดุสิตยังมองว่า งานบางอย่างที่ไม่อยู่ในสัญญาแต่ไปให้คนในวงไปทำงาน ถ้าหาเงินได้จากตรงนั้น ทุกคนก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนด้วยความเป็นธรรม คนในวงเหมือนลูกตนทั้งนั้น พ่อแม่ก็รักกันสนิทกัน

ส่วนประเด็นการส่งคืนบัญชี Instagram (ไอจี) นั้น นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน ระบุว่า สภาพบังคับยาก หลัง น.ส.ดุสิตา ออกจากวงมาแล้ว ศาลให้เหตุผลว่าผลงานในสื่อสังคมเป็นผลงานของต้นสังกัด ในข้อเท็จจริงหลังออกจากวง รูปภาพทั้งหมดที่ใส่ไปคือรูปหลังออกจากวง รูปก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว ถ้าเอากลับไปก็เป็นผลงานของ น.ส.ดุสิตา ใช้อะไรไม่ได้ ถ้าเอาไปปิดเฉยๆ ปัญหานี้ตนว่าต้องอุทธรณ์ ถ้าศาลสูงตัดสินให้ไอจีเป็นของ น.ส.ดุสิตา ทางนั้นปิดไปแล้วจะมาคืนได้อย่างไร ไอจีจะเปิดหรือทำใหม่ไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือเราไม่เห็นด้วย น่าจะสร้างบรรทัดฐานให้รู้ว่าน่าจะเป็นข้อตกลงว่าไอจีเป็นของใคร น่าจะทำตั้งแต่แรก สัญญาไม่ได้กำหนด ตอนแรกน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ฟ้องเรื่องหมิ่นประมาท คงไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรก ฟ้องมาก็เสียใจ เพราะในวง น.ส.ดุสิตา ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครเลย

ส่วน นายพงศธร ทนายความของ น.ส.ดุสิตา จำเลย เปิดเผยว่า กรณีที่มีปัญหากันมีทั้งหมด 3 ประเด็น ศาลพิพากษาออกมาแล้ว ประเด็นแรก เรื่องการยกเลิกสัญญา มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่เราบอกเลิกสัญญา แต่ศาลให้ชดเชยค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญา (ค่าครูสอน/เทรนเนอร์) จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งสมเหตุสมผล เราก็ยินดี เพราะว่าจะทำให้ยุติสัญญาไปด้วยความสบายใจ แล้วก็จะเป็นบรรทัดฐานให้กับสมาชิกในวงคนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง ถ้าเกิดไม่พอใจในวงแล้วอยากจะเลิกสัญญาก็สามารถทำได้

ประเด็นที่สอง เรื่องเฟซบุ๊กและไอจี ศาลให้คืนชื่อและพาสเวิร์ดให้กับบริษัท ซึ่งเราจะปรึกษากันในการอุทธรณ์ต่อไป ส่วนประเด็นที่ 3 ศาลพิพากษาว่าการโพสต์ข้อความนั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งนี้ คดีเป็นเพียงศาลชั้นต้น ยังไม่ถึงที่สุด จึงจะต้องปรึกษาหารือกับ น.ส.ดุสิตา, บิดา และทีมทนายความว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยอาจจะอุทธรณ์ในบางประเด็นที่เรายังไม่พอใจ ซึ่งหากจะอุทธรณ์เมื่อไหร่ก็จะให้ข่าวอีกครั้ง


Cr : ภาพ https://www.facebook.com/natherinedusitaa

‘ทักษิณ - มินอ่องหล่าย’ รู้จักกันเป็นอย่างดี!! เปิดปมสัมพันธ์ (ไม่) ลับ ที่จับแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วนๆ

เปิดสัมพันธ์ ‘ทักษิณ’ นักโทษหนีคดี กับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้ทำรัฐประหารเมียนมา พบลึกซึ้งตั้งแต่ยุค ‘ยิ่งลักษณ์’ เป็นนายกฯ สนิทถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้ในคลิปถั่งเช่าฉาว และสามารถบุกไปดูโครงการท่าเรือทวาย พักบ้านหรูเชิงเขามัณฑะเลย์ ก่อนจะยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ แถมสุดท้ายได้บ่อน้ำมันสมใจ หลังเคยปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ในยุคตัวเองเป็นผู้นำ จนถูกตัดสิน 3 ปี และหนีคดี

หลังเกิดเหตุรัฐประหาร ยึดอำนาจในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา นำโดย ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ที่อยู่ในอำนาจ มานานถึง 10 ปี ด้วยวัย 64 ปี เข้าทำการยึดอำนาจจากนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา และประธานาธิบดีวิน มินต์ พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดระเบียบต่างๆ ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น ชื่อของ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ก็โดดเด้งขึ้นมาในสายตาของใครหลายๆ คน

สำหรับ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ นั้นปรากฎพบชัดว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยในหลายมิติ โดย เพจ ‘Wassana Nanuam’ ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาเยือนไทยหลายครั้ง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อมาประชุม GBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-เมียนมา ในฐานะแขกของผบ.ทหารสูงสุดของไทย และก่อนหน้านี้ เมื่อมาไทย ก็มักจะไปพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยมีความสนิทสนมกันมากถึงกับ ขอเป็นลูกบุญธรรมพล.อ.เปรม เพราะรู้สึกว่า เหมือนพ่อของตนเอง เนื่องจากพล.อ.เปรมอายุห่างจากพ่อของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย เพียง 1 ปี กระทั่งพล.อ.เปรม ถึงแก่กรรม พล.อ.มิ่น อ่อง หล่าย ก็ยังเดินทางมาเคารพศพ ที่วัดเบญจมบพิตร และไปลงนาม ที่วังสราญรมย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ กลับมีเรื่องที่น่าสนใจหนึ่ง โดยมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีของไทย โดยนำ ‘คลิปถั่งเช่า’ ในอดีตที่โด่งดัง เมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาถอดความ ซึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (ในขณะนั้น) กับนายทักษิณ ชินวัตร

ช่วงหนึ่งในคลิปถั่งเช่านี้ มีการพูดถึงคนชื่อ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ว่า “…เรื่องของพม่า ผมบอกกับนายกฯ ไปแล้วนะครับบอกว่าใช้ ‘ผบ.สูงสุด’ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเลย เพราะ “ไอ้มิน อ่อง หล่าย” ซึ่งเป็น ผบ.สูงสุด ของพม่า มันเป็นมือหนึ่งของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย แล้ว ‘เต็งเส่ง’ ให้ความเกรงใจมากที่สุด และทีนี้ ‘ไอ้ผบ.สูงสุด’ เขากับ ‘ผบ.สูงสุดไทย’ นี่ มันมาเป็นเคาน์เตอร์พาร์ตกัน ผลัดกันกินข้าวคนละเดือน คนละเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบีบอะไรเรื่อง ‘ทวาย’ นายกฯ เรียกผบ.สูงสุดมาใช้ได้อีกงานหนึ่ง เป็นงานต่างประเทศ

ชายที่เสียงคล้ายนายทักษิณ กล่าวตอบหลายประโยคที่สะท้อนถึงความแนบแน่นว่า “ผมก็ไปสงกรานต์กับมัน กับ ไอ้เนี่ย ผบ.สูงสุด!! … พวกผมทั้งนั้นแหละ มันยกที่ให้ผมแปลงนึง ใจกลางเมืองย่างกุ้ง

ชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ศศิประภา ตอบว่า “ไอ้นี่ต้องเอาไว้นะครับ ถ้าได้ พม่านี่เสร็จเราหมดเลย ต้องเอาให้ได้ … ไอ้มิน อ่อง หล่าย และไอ้รัฐมนตรีกีฬากับโฮเต็ลอีกคนหนึ่ง ไอ้นี่ก็มหาศาลเหมือนกันนะ ผมจะเรียกให้มาพบท่าน มันสร้างทำเนียบรัฐบาลให้ประธานาธิบดี มันสร้างรัฐสภาให้ ขณะนี้มันกำลังสร้าง Sport Complex ให้ มันรวยมหาศาลเลย เจ้าของบ่อหยก

อีกด้านหนึ่ง เพจ Dr.X ได้แฉถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย กับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยอธิบายว่า…”ย้อนดูข่าวช่วงปี 2556 พบว่า นายทักษิณเดินทางเข้าพม่า 2 ครั้ง ครั้งแรก…เดือนมีนาคม 2556 และ ช่วงสงกรานต์ปี 2556 โดยในเดือนมีนาคม 2556 สำนักข่าวประเทศพม่า Eleven media group รายงานว่า นายทักษิณเดินทางไปที่เมืองทวายเพื่อเข้าดูท่าเรือของโครงการทวาย ขณะที่ในช่วงสงกรานต์ ปี 2556 นายทักษิณก็เดินทางไปยังเมืองเมย์เมียว โดยพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่บ้านพักหรูเชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์ และปี 2557 ก่อนการรัฐประหารในไทย นายทักษิณก็ปรากฏตัวที่เมียนมาอีกครั้ง ข่าวว่าไปทำบุญแก้กรรม โดยเข้าพักที่ชั้น 10 โรงแรมชาเทรียม ในย่างกุ้ง แล้วแกนนำพรรคเพื่อไทย, รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูง แห่ไปพบกันเพียบ”

ทั้งนี้หากจับปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า สายสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หนีคดีของไทยนั้น พบว่า หลังเดือนมีนาคม 2556 ที่นายทักษิณเดินทางไปดูโครงการท่าเรือทวาย และช่วงสงกรานต์ 2556 ที่มีการเจรจาลับกันที่บ้านพักหรู เชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์นั้น จากปากคำของนายทักษิณ ยอมรับเองว่า มีการยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ตนเอง ขณะเดียวกันมีการวิจารณ์กันด้วยว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่านายทักษิณจะมีบ่อน้ำมันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย สมความตั้งใจที่ต้องการได้สิทธิมานาน

สำหรับโครงการลงทุนในทวายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย รวมไปถึง น้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา

ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของภูมิภาค

ทั้งนี้จะเห็นว่า นายทักษิณพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเมียนมามาโดยตลอด โดยเมื่อครั้งตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณถูกศาลตัดสินพิพากษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ พบส่วนใหญ่หนุนเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมาย แม้ไม่สนใจเล่น ชี้ผลดีการเก็บภาษี ผลเสียเป็นหนี้ คนไม่ทำงาน ภาระสังคม

จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายครั้งพบว่าบ่อนพนันเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการแพร่เชื้อ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นควรกวดขันไม่ให้มีบ่อนผิดกฎหมาย หรือควรมีการเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน 

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี ‘การเปิดบ่อนพนัน’ ในหัวข้อ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ จำนวน 1,929 คน สำรวจวันที่ 27 ม.ค. – 5 ก.พ. 2564 พบว่า จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามสถานที่ต่าง ๆ ประชาชนให้ความสำคัญกับกรณีการแพร่ระบาดจากการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานเถื่อนมากที่สุด ร้อยละ 92.55 รองลงมาคือ การแพร่ระบาดจากบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ร้อยละ 86.30 

โดยมองว่าการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายนั้นไม่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ได้ ร้อยละ 51.63 และเห็นว่าช่วยได้ ร้อยละ 30.12 ผลดีของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย คือ ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี ร้อยละ 81.97 ผลเสียคือ เป็นหนี้ คนไม่ทำงาน เป็นภาระให้ครอบครัว ร้อยละ 69.22  ภาพรวมเห็นด้วยหากจะมีการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย ร้อยละ 50.70 แต่ไม่สนใจไปใช้บริการ ร้อยละ 83.14 

เป็นกระแสที่ถกเถียงกันในสังคมมาช้านานสำหรับประเด็นการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย แม้ผลสำรวจจะเห็นด้วยกับการเปิดบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันอีกในอนาคต   

นายยุธยา อยู่เย็น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากปัญหาการลักลอบเล่นพนันในบ่อนต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยนั้น ส่งผลให้สังคมไทยตื่นตัวและเฝ้าจับตามองการรายงานสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นสิ่งที่ยากต่อการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย เพราะผู้ติดเชื้อมักไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลเพราะกลัวความผิด ตลอดจนการตั้งข้อสงสัยต่อประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำถามเดิมที่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ควรมีการเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยเสียที 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลในประเด็นดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมาย เนื่องจาก เป็นการสร้างรายได้แก่ประเทศในการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาการทุจริต การเก็บส่วย หรือ มาเฟีย ตลอดจนทำให้ควบคุมได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็ยังคงต้องไขข้อข้องใจแก่ประชาชน ถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง อาทิเช่น ปัญหาหนี้สิน การมอมเมาประชาชน ตลอดจนการเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน เป็นต้น

รัฐบาล เผยคนแห่ลงทะเบียน ‘เราชนะ’ รับเงินเยียวยาแล้วเกือบ 10 ล้านคน ส่วนโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้ประกันตนมาตรา 33 คนละ 4,000บาท เข้าครม. 15 ก.พ.นี้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากโครงการเราชนะได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา ผ่านเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. ตัวเลขนับถึงวันที่ 5 ก.พ. มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 9.54 ล้านคน ซึ่งการลงทะเบียนจะเปิดถึงวันที่ 12 ก.พ. สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทางกระทรวงการคลัง ล่าสุดแจ้งว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป ยังไม่มีกำหนดปิดรับลงทะเบียน 

ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้วงเงินจากโครงการเราชนะได้กับร้านค้าที่เคยใช้อยู่บริการอยู่แล้ว เช่น ร้านธงฟ้า รวมถึงร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ด้วยการสแกนบัตรฯผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน เริ่มแล้วเมื่อ 5 ก.พ. ส่วนกลุ่มที่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง จากโครงการคนละครึ่ง/เราเที่ยวด้วยกัน สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ขณะที่ กลุ่มที่ลงทะเบียนใหม่ สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.

สำหรับการตรวจสอบสิทธิต้องเข้าไปที่เว็บไซด์เราชนะ กดที่ช่อง “ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ” หากพบว่า “ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ” สามารถแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิได้ทางเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่ 8 ก.พ. ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิ ทางกระทรวงการคลังจะโอนวงเงินให้ครั้งแรก 2,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เริ่มวันที่ 18 ก.พ. และจะทยอยโอนให้จนครบ 7,000 บาท ในปลายเดือนมี.ค. จึงขออย่าได้กังวลที่ตอนนี้ไม่มีวงเงินโอนไปถึงมือ

ขณะที่กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการเยียวยา  ภายใต้โครงการ “ม33 เรารักกัน” โดยกระทรวงแรงงานให้ข้อมูลว่า ผู้ประกันตนฯจะได้รับการช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 4,000บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง มีเงื่อนไขคือ ต้องไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 5 แสนบาท ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเปิดให้เริ่มลงลงทะเบียนช่วงกลางเดือนนี้ ที่  www.ม33เรารักกัน.com การโอนเงินจะแบ่งเป็น 4 ครั้ง ตั้งแต่มี.ค.- เม.ย. เรื่องนี้จะเสนอให้ครม. พิจารณา วันที่ 15 ก.พ. และสิทธิการใช้เงินของทุกกลุ่มมีถึงวันที่ 31 พ.ค. ใช้ไม่หมดในแต่ละงวดสามารถสะสมไว้ได้

คิวต่อไป !! ‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ว่าฯ กทม. สอบโครงการก่อสร้างแก้มลิงสวนเบญจกิติ 138 ล้าน มีพิรุธ หลังพบเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่ และไม่ทราบเอาดินซึ่งเป็นทรัพย์สินกทม. ไปกองไหว้ไหน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงบึงน้ำบริเวณสวนเบญจกิติเพื่อจัดทำเป็นแก้มลิง เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้ 137,000 ลบ.ม. โดยได้จัดทำ TOR และปิดประมูลโครงการและลงนามในสัญญาก่อสร้างกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วในมูลค่าโครงการ 138 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.62-10 ต.ค. 63 ที่ผ่านมานั้น ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดใน TOR และสัญญาว่าจ้างส่วนหนึ่งระบุว่า จะต้องขุดดินในบริเวณบึงรับน้ำตามแบบความลึกไล่ระดับตามที่กำหนด พร้อมขนย้ายดินออกไปทิ้ง ณ ที่กำหนด ฯลฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก ช่วง ถ.สุขุมวิท - ถ.พระราม 4 และบริเวณ ซ.สุขุมวิท 16 โดยสามารถรองรับน้ำส่วนเกินมากักเก็บไว้ให้ได้ 137,000 ลบ.ม. ตามสัญญา
“ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ได้สิ้นสุดสัญญาว่าจ้างไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีการส่งมอบงานโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงแรกบริษัทผู้ได้งานมีการจ้างผู้รับเหมาช่วงในการขุดขนดินออกไปทิ้งนั้น คือ บ.ทรัพย์ทรายทอง จก. แต่กลับมีปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างกันขึ้นมา ผู้รับจ้างช่วงจึงนำข้อมูลมาร้องเรียนกับสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยว่า จำนวนดินที่จะต้องขุดลอกอาจไม่ได้ความลึกตามที่กำหนด หรือให้ได้ปริมาตรของการกักเก็บน้ำตามสัญญา และยังมีข้อพิรุธอีกหลายประการ หลังจากมีการเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่เข้ามาแทนที่ โดยไม่มีใครทราบว่าดินเหล่านั้นเอาไปกองไว้ที่ใด เพราะดินเหล่านั้นถือเป็นทรัพย์สินของ กทม. จะนำไปขายให้เอกชนนำไปถมที่ไม่ได้ ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอาจจะไม่รู้ก็ได้” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงจะนำความไปแจ้งและร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ กทม. ให้ตรวจสอบปริมาตรดินและปริมาตรน้ำเป็นไปตามสัญญาจ้างครบ 100% หรือไม่  มีการแอบลักดินไปขายให้เอกชนหรือไม่ และได้มีการดำเนินการสั่งปรับตามเงื่อนไขการผิดสัญญาการส่งมอบงานไปแล้วหรือไม่ อย่างไร และหากพบว่ามีการเกี้ยเซียะหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สั่งดำเนินการลงโทษต่อไป แต่หากผู้ว่าฯเพิกเฉย สมาคมฯจะนำความไปร้อง สตง. และ ป.ป.ช. ต่อไป
นอกจากนั้น จะได้นำชาวบ้านในซอยถาวรธวัช 1 ที่คัดค้านโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนและก่อสร้างทางยกระดับข้ามแยกถาวรธวัชและถนนซอยรามคำแหง 24 เขตบางกะปิ เนื่องจากถูกลิดรอนสิทธิการเวนคืนที่ดินจาก กทม. แต่จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรมากนัก แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับชาวชุมชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เดินทางไปยื่นคำร้องและคัดต้านโครงการดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 8 ก.พ.เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานผู้ว่าฯ กทม. ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า

ประชาธิปัตย์ เชื่อประชาชนไว้วางใจ เลือกคนของพรรค ในการเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช เขต 3 ระบุผลงานเป็นที่ประจักษณ์ ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ด้าน ‘จุรินทร์’ สั่งลุยเต็มสูบ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่พรรคได้ส่ง นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรค ว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้เรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคใต้ พูดคุยเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียง โดยกำชับให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดความสุจริตในการหาเสียง นำเสนอนโยบายและผลงานที่เกิดขึ้นเป็นประจักษ์แล้ว ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ

โครงการประกันรายได้ ที่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ทราบดีว่าประกันรายได้ราคายางพารา เป็นอีกโครงการสำคัญที่ผ่านมาเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางเป็นอย่างมาก รวมถึงประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม พี่น้องเกษตรกรก็ชื่นชอบ พอใจในผลงานของพรรค ที่ทำให้วิถีชีวิตของพี่น้องเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เชื่อว่าผลสำเร็จในการทำงานของพรรคที่ไปทำหน้าที่ในรัฐบาลแทนประชาชน จะเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของพี่น้องในเขต 3

หัวหน้าพรรคย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของคนทุกรุ่น เรามีคนรุ่นใหญ่รุ่นอาวุโส รุ่นกลาง รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าเราพร้อมทำงานให้ประชาชนทุกคนทุกรุ่น

นายราเมศ กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวของนายพงศ์สินธุ์ ก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่น ที่คลุกคลีอยู่กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ผ่านการทำหน้าที่ การทำงานให้กับประชาชนมามาก ด้วยความ มุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ถือว่าเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ในการเมืองระดับชาติ ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 3 ไว้วางใจให้เป็น ส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช

ธอส. เพิ่มโอกาสคนมีรายได้น้อยอยากมีบ้าน เตรียมวงเงิน 70,000 ล้านบาท ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่าน 3 โครงการ ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ได้เตรียมกรอบวงเงิน 70,000 ล้านบาท จัดทำ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) ซึ่งครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้หลัก อาทิ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. โครงการสินเชื่อที่อยู่ที่อาศัยเพื่อบุคลากรภาครัฐ” กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ชื่อเรียกอย่างอื่น และลูกจ้างประจำที่เป็นผู้มีสิทธิกู้เงินตามข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทไม่มีเงินฝากที่หน่วยงานต้นสังกัดได้ลงนามร่วมกับ ธอส. สามารถกู้ไม่จำกัดวงเงินกู้สูงสุด อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.65% ปีที่ 2 เท่ากับ 3% ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.65% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.05% และปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.00% หรือเท่ากับ 4.15% และปีที่ 6 จนถึงครบอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,400 บาท ต่อเดือน พิเศษค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองที่ดินจากสถาบันการเงินอื่น ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564

2. โครงการสินเชื่อบ้านคนละหลัง กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน วงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 2.75% ต่อปีปีที่ 3 เท่ากับ MRR-3.40% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ 6.150%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.75% ต่อปีเท่านั้น ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2% และปีที่ 6 จนถึงครบอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาท ต่อเดือน พิเศษฟรี ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564

3. โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท ต่อเดือน วงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3% ปีที่ 2 เท่ากับ 4% ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-1.15% และปีที่ 4 จนถึงครบอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,800 บาท ต่อเดือน ฟรี ค่าธรรมเนียม การยื่นกู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยพร้อมกับการกู้ตามวัตถุประสงค์หลัก ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อทั้ง 3 โครงการ มีส่วนสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) ให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2564 จำนวน 140,167 ล้านบาท จากเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่รวม 215,641 ล้านบาท

รมว.แรงงาน แจงยอดปล่อยกู้กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ปีงบ 64 คงเหลือพร้อมให้กู้ 3.7 ล้าน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หลังปล่อยกู้ดอกเบี้ย 0% นาน 12 งวด ย้ำยังมีวงเงินให้กู้ สำหรับผู้เข้าเงื่อนไขที่กรมการจัดหางานกำหนด

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพคล่องในการใช้จ่ายรวมทั้งการดำเนินการของผู้รับงานไปทำที่บ้าน กระทรวงแรงงานจึงพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน อยู่ในอัตราร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 -12  ภายใต้กรอบวงเงิน 7,000,000 บาท 

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานนอกระบบผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯ ตามที่นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำเสมอในเรื่องการดูแลแรงงานนอกระบบให้สามารถอยู่ได้ มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริมคุ้มครอง และพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 29 มีนาคม 2564) ปล่อยกู้แล้วทั้งสิ้น จำนวน 20 กลุ่ม เป็นเงิน 3,210,000 บาท โดยยังมีวงเงินคงเหลือสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการกู้ยืมเงินกองทุนฯ อีก 3,790,000 บาท ซึ่งผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการเงินทุน และเข้าเกณฑ์เงื่อนไขของกรมการจัดหางาน สามารถยื่นคำขอกู้เงินได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สำหรับการกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ที่คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1- 12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาทนั้น มีเป้าหมายเพื่อให้แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้รับงานไปทำที่บ้าน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเริ่มให้ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา จนถึง 31 สิงหาคม 2564 โดยต้องทำสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 

“คุณสมบัติผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน  มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท 

ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน  มีผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จำนวน 1,034 ราย/กลุ่ม สมาชิกจำนวน 5,993 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จำนวน 509 ราย/กลุ่ม (29 ราย/480 กลุ่ม) เป็นเงิน 52,016,000 บาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top