Monday, 7 July 2025
NewsFeed

‘โปรจีน’ นักกอล์ฟสาวชาวไทยคว้าแชมป์รายการ CME รับเงิน 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงในประวัติศาสตร์กอล์ฟหญิง

(25 พ.ย. 67) ‘โปรจีน’ อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวชาวไทย มืออันดับ 7 ของโลก คว้าแชมป์รายการ CME Group Tour Championship สำเร็จ

สำหรับแชมป์ดังกล่าว นับเป็นแชมป์ LPGA Tour รายการที่ 4 ของโปรจีน และเป็นรายการที่ 2 ในฤดูกาลนี้ ต่อจากการแข่งขัน DOW Championship

ทั้งนี้ ในการแข่งขันวันสุดท้าย โปรจีน ที่เป็นผู้นำร่วมหลังจบวันที่สามกับแองเจิล หยิน โปรชาวอเมริกัน มาเก็บเพิ่มอีก 7 อันเดอร์พาร์ ทำสกอร์รวม 22 อันเดอร์พาร์ 266 เฉือนชนะแองเจิล หยิน ไปได้ 1 สโตรก ทำให้คว้าแชมป์ไปครองสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกอล์ฟไทยคนที่ 2 ต่อจาก ‘โปรเม’ เอรียา จุฑานุกาล ที่คว้าแชมป์รายการนี้เมื่อปี 2017 และทำให้โปรจีนคว้าแชมป์รายการใหญ่ส่งท้ายปีของแอลพีจีเอทัวร์ในฤดูกาลนี้ พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์สูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกอล์ฟหญิงโลก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 138 ล้านบาท

ไอเดียจีนสร้างฮับดิจิทัลกว่างซี เชื่อมอีคอมเมิร์ซอาเซียนที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

เมื่อไม่นานนี้ ตำบลอูเจิ้น มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ได้จัดการประชุมสุดยอดอินเทอร์เน็ตโลก (WIC) แห่งอูเจิ้น ปี 2024 โดยส่วนหนึ่งเป็นการประชุมศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน หัวข้อสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัล แบ่งปันอนาคตดิจิทัลร่วมกัน

คณะเจ้าหน้าที่รัฐจากจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ลาว มาเลเซีย และเมียนมา ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการวงการอินเทอร์เน็ตจากทั้งในและต่างประเทศด้วยเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างจีนกับอาเซียน เพื่ออนาคตใหม่ของเส้นทางสายไหมดิจิทัลที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

อนึ่ง จีนและกลุ่มประเทศอาเซียนมุ่งใช้โอกาสการพัฒนาใหม่จากกระแสดิจิทัลมาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเขตปกครองตนเอง 'กว่างซี' ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นภูมิภาคเดียวของจีนที่เชื่อมต่อกับอาเซียนทางบกและทางทะเล ได้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเปิดกว้างความร่วมมือเส้นทางสายไหมดิจิทัลกับอาเซียน

กว่างซีได้ทำหน้าที่แกนกลางของศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ซึ่งดำเนินงานเชื่อมต่อเครือข่าย แลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงสร้างความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงทางดิจิทัลและสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนในด้านรัฐบาลดิจิทัล วิถีชีวิตดิจิทัล และอุตสาหกรรมดิจิทัลเกือบ 20 โครงการ โดยแพลตฟอร์มบริการข้อมูลสินเชื่อข้ามพรมแดนจีน-อาเซียนของศูนย์ฯ ครอบคลุมผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียนถึง 7.87 ล้านราย และร่วมมือกับธนาคารในและต่างประเทศ 16 แห่ง

นอกจากนั้นศูนย์ฯ ส่งเสริมการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ทั้งการสื่อสาร การสำรวจระยะไกล พลังการประมวลผล และการนำทาง รวมถึงมีการวางเคเบิลออปติกภาคพื้นดินระหว่างประเทศ 12 เส้น พร้อมจัดตั้งศูนย์สารสนเทศ 38 แห่งใน 9 ประเทศอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา

กว่างซีได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการสร้างศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียน ดึงดูดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำอย่างลาซาด้าและชอปปีมาจัดตั้งศูนย์โลจิสติกส์ และสร้างฐานการไลฟ์ตรีมมิงอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนสำหรับอาเซียน

ขณะเดียวกันกว่างซีเร่งสร้างนิคมอุตสาหกรรมปลายทางอัจฉริยะ 5G (ชินโจว) จีน-อาเซียน เดินหน้านิคมอุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลจีน-อาเซียน และลงนามข้อตกลงการลงทุนกับบริษัทเกือบ 30 แห่ง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผลิตโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่างซีตั้งแต่ปี 2023 สูงเกิน 20 ล้านหยวน (ราว 94 ล้านบาท)

ฐานหลักของศูนย์สารสนเทศจีน-อาเซียนในนครหนานหนิงได้รวบรวมบริษัทผู้ประกอบการเศรษฐกิจดิจิทัลมากกว่า 7,200 แห่ง เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 และปริมาณนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของหนานหนิงสูงเกิน 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.76 หมื่นล้านบาท) ติดต่อกัน 2 ปี

ทั้งนี้ ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเพิ่มขึ้นจากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.44 ล้านล้านบาท) ในปี 2004 เป็น 9.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31.37 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกันและกันติดต่อกัน 4 ปี พร้อมเดินหน้าความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่ำ และยานยนต์พลังงานใหม่

ลำปาง-ตำรวจ ภ.จว.ลำปาง แถลงข่าวการจับกุมยาบ้ารายใหญ่  รวม 6.3 ล้านเม็ด

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคาร ตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง(แห่งใหม่) ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ โดยมีนายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง พล.ต.วิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 และพ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว , พ.ต.อ.สังเวียน อินตากูล , พ.ต.อ.คมสันต์ สอาดล้วน รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง , พ.ต.อ.วชิรศักดิ์  ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5 สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 โดยนายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ  ผอ.ปปส.ภาค 5 , นายดนุชา  ไชยวงค์ ผอ.บก.ปปส.ภาค 5 ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ พื้นที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง จำนวน 2 คดี รวมของกลาง 6,296,000 เม็ด ผู้ต้องหา 4 คน

โดยคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 00.05 น. หน่วยจับกุม สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ร่วมกับ ศูนย์สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางและฝ่ายปกครอง อำเภอสบปราบ ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 2 คน คือ นายภูเบศร์ ภูมิลำเนา จ.สุพรรณบุรี และ นายบุญลักษณ์ ภูมิลำเนา จ.นครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่ของ อ.สบปราบ โดยใช้เส้นทางผ่านด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ต่อมา วันที่ 23 พ.ย.67 เวลาประมาณ 00.05 น. ได้มีรถยนต์กระบะ ขับเข้ามายังด่านตรวจตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ เจ้าหน้าที่ชุดคัดกรองรถจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อทำการขอตรวจค้น พบนายภูเบศร์ เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว จึงทำการตรวจค้นร่างกายและรถยนต์กระบะ ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้สังเกตท่าทาง นายภูเบศร์ มีพิรุธมือสั่น มีอาการลุกลี้ลุกลน หลบสายตาอยู่ตลอด คล้ายบุคคลได้กระทำความผิดมา

จากการซักถาม นายภูเบศร์ รับสารภาพว่าตนได้รับการติดต่อจากนายบุญลักษณ์ ให้ทำ
หน้าที่ขับรถนำทาง รถบรรทุก 6 ล้อ โดยมีนายบุญลักษณ์ เป็นผู้ขับขี่ และทราบว่าน่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนในรถบรรทุก คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สืบสวนติดตาม ประสานให้ด่านตรวจ สภ.แม่พริก เพื่อสกัดและทำการตรวจค้น ต่อมาเวลาประมาณ 01.40 น. เจ้าที่ชุดจับกุมของสภ.สบปราบ และ สภ.แม่พริก ได้พบรถคันดังกล่าวบริเวณเขตติดต่อจังหวัดลำปาง-ตาก จึงได้แสดงตัวและนำรถคันดังกล่าวมาเอ็กซเรย์ ที่ด่านตรวจ สภ.แม่พริก พบว่าภายในมีวัตถุต้องสงสัย จำนวน 30 กล่อง เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นยาเสพติด(ยาบ้า) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สภ.สบปราบ จึงได้ควบคุมรถคันดังกล่าว และนายบุญลักษณ์ มายังด่านตรวจยาเสพติด สภ.สบปราบ ตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบกล่องพัสดุสีน้ำตาลจำนวน 30 กระสอบ ภายในบรรจุยาเสพติด(ยาบ้า) จำนวนประมาณ 6,000,000 เม็ด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการขยายผลต่อไป

คดีที่ 2 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 01.30 น. สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ร่วมกับ ศูนย์สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางและ ฝ่ายปกครอง อำเภอสบปราบ จับกุม ผู้ต้องหา 4 คน ผู้ต้องหาที่ 1 คือ นายชาตรี ภูมิลำเนา จ.ตาก ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.สุภาพร ภูมิลำเนา จ.ตาก ผู้ต้องหาที่ 3 นายกายสิทธิ์ ภูมิลำเนา จ.ตาก และผู้ต้องหาที่ 4 น.ส.นงนุช ภูมิลำเนา จ.สุโขทัย โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันตั้งด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ สภ.สบปราบ ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาในพื้นที่ จนกระทั่ง เวลาประมาณ 01.30 น. ได้มีรถยนต์กระบะ ขับเข้ามายังด่านตรวจ เจ้าหน้าที่ชุดคัดกรองรถจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบนาย ชาตรี เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว และน.ส.สุภาพร เป็นผู้โดยสารนั่งมาด้วย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สังเกต นาย ชาตรี แสดงอาการมีพิรุธลุกลี้ลุกลน จึงทำการตรวจค้นและพบว่ารถกระบะคันดังกล่าว ซุกซ่อนยาเสพติด(ยาบ้า)อยู่ตามบริเวณใต้ที่เก็บของฝั่งประตูซ้าย จำนวน 14 ก้อน ฝั่งประตูขวา จำนวน 12 ก้อน บริเวณช่องเข็มขัดนิรภัย ฝั่งประตูซ้าย จำนวน 14 ก้อน ฝั่งประตูขวา จำนวน 14 ก้อน บริเวณช่องลำโพง หลังรถ จำนวน 4 ก้อน ใต้แม็กไลเน่อ ฝั่งซ้ายจำนวน 46 ก้อน ฝั่งขวา จำนวน 44 ก้อน รวมยาเสพติดทั้งหมดจำนวน 148 ก้อน หรือจำนวนประมาณ 296,000 เม็ด

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนเพื่อร่วมกันสอดส่องดูแลลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยสามารถแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด 1599 , สายด่วน 191 , line@inthanon1(ผบช.ภ.5) และ Application Police l lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

วิกฤตชายแดนส่อลุกลาม กองทัพว้าท้าอธิปไตย ปักธง 5 ฐานคุกคามชายแดนไทย ดอยหัวม้าอาจเป็นสนามรบ

โลกเราไม่ไกลกับคำว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ฉันใด ณ วันนี้รู้หรือไม่ว่าไทยเราใกล้จะเกิดสงครามในบ้านตัวเองแล้วฉันนั้นเช่นกัน สืบเนื่องจากประเด็นเขตแดนสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย บริเวณดอยหนองหลวง และ ดอยหัวม้า ด้านตรงข้ามพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในจุดนี้เป็นของแผ่นดินไทย จุดนี้สมัยก่อนไทยใช้เป็นกันชนโดยกองกำลังชนกลุ่มน้อยในยุคคอมมิวนิสต์แผ่อำนาจจากฝั่งพม่า แต่กองกำลังเข้ามายึดได้และประจำอยู่จุดนี้มามากกว่า 30-40 ปีได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานแล้วแม้ฝ่ายไทยจะพยายามผลักกันแต่ไม่สามารถบรรลุผล

ชนวนเหตุมีอยู่ว่าเมื่อทางการไทยทำการปักปันเขตแดนแต่กองกำลังว้ากลับไม่ยอมถอยร่นเข้าไปในดินแดนฝั่งเมียนมา โดยล่าสุดมีการประชุมจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 10.00-10.30 น. ตามแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังว้า ว่าทางการไทยเรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหารือเรื่องการให้กองกำลังว้าถอยออกไปนอกแผ่นดินไทย ซึ่งการประชุมครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายว้าอย่างรุนแรง โดยฝ่ายไทยกำหนดเส้นตายให้เวลาแค่ 30 วันในการถอนกำลังออกจากดอยหัวม้า ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบนิ่งและว้าเหมือนจะยอมปฏิบัติแต่โดยดี แต่ข่าวกรองจากแหล่งข่าวฝั่งว้าระบุว่า หลังการประชุมเสร็จสิ้น กองกำลังว้าสั่งซื้อโดรนศึกและอาวุธจากจีนเทา พร้อมทั้งเสริมอาวุธหนักจากสหพันธรัฐว้าเหนือเข้ามาในบริเวณดังกล่าว

นอกจากฐานหัวม้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว กองกำลังว้ายังมีฐานอีก 5 ฐานที่รุกล้ำดินแดนไทยได้แก่ 
1. ฐานกองเฮือบิน อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
2. ฐานกิ่วช้างกั๊บ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
3. ฐานดอยไฟ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
4. ฐานดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
5. ฐานดอยหัวไก่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

คำถามคือทำไมว้าถึงไม่ยอมเสียพื้นที่ตรงจุดนี้ถึงขั้นยอมแม้กระทั่งเปิดสงครามกับไทยนั่นก็เพราะว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีแหล่งผลิตยาเสพติดอยู่ 5 แหล่งอันได้แก่ เมืองขุนน้ำรวก เมืองท่าใหม่ บ้านแม่โจ๊กในเมืองสาด บ้านนากองมูในเมืองโต๋นและบ้านเปียงเลา

คำถาม ณ วันนี้คือ ไทยพร้อมรบกับกองกำลังว้าแล้วหรือยัง อีกทั้งมีแผนอพยพคนในพื้นที่อย่างไร แผนสำรองอย่างไร เพราะจากวันนี้เหลือไม่ 30 วันแล้วหากสงครามเกิดขึ้นจริง เพราะไทยห่างสงครามไปถึง 13 ปีแล้วนับตั้งแต่สมรภูมิภูมะเขือและไทยได้เสียเขาพระวิหารไปในตอนนั้น แต่เอย่าก็ยังมั่นใจว่าทหารไทยเรายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องที่จะไม่ยอมให้เสียดินแดนแม้ว่าตารางนิ้วเดียวและนี่อาจจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้หากบางกลุ่มหรือบางประเทศที่อยากจะมาแบ่งแยกประเทศไทยหรือยึดเอาดื้อๆ จากการทำสัญญาอะไรก็ตาม

(บุรีรัมย์) ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ตรวจเยี่ยมการฝึก 'การส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ'

ที่ ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และฝ่ายเสนาธิการกองกำลังสุรนารี ตรวจเยี่ยมการฝึก 'การส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ' ในพื้นที่ ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้กำลังพลสามารถปฏิบัติการปฐมพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ได้อย่างถูกวิธี และสามารถนำความรู้ถ่ายทอดให้กับกำลังพลต่อไปได้ 

โดยได้รับการสนับสนุนยุทธโธปกรณ์จากกองทัพภาคที่ 2 เข้าร่วมทำการฝึกในครั้งนี้ ซึ่งจัดกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน โรงพยาบาลค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ โรงพยาบาลบ้านกรวด ร่วมทำการฝึกการส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และขีดความสามารถให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน 

โดยมี ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ 


 

นครนายก - กองพันทหารราบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จัดงานวันพร้อมญาติทหารใหม่ รุ่นปี 2567 ผลัดที่ 2 ณ พัน.ร.รร.จปร.

เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันที่ (24 พ.ย.67) ที่สนามหน้ากองบังคับการกองร้อยที่ 1 พันเอกวัชระ ว่องวิกย์การ ผู้บังคับกองพันทหารราบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นประธานกล่าวเปิดงานวันพร้อมญาติทหารใหม่ รุ่นปี พ.ศ.2567 ผลัดที่ 2 โดยมีญาติทหารใหม่จังหวัดนครนายกและจังหวัดใกล้เคียงได้เตรียมนำอาหารกลางวันมาเลี้ยงสังสรรค์ และไต่ถามความเป็นอยู่ในการที่ลูกหลานเข้ามาทำหน้าที่รับใช้ชาติหลังจากผ่านการฝึก และในวันพร้อมญาติทหารใหม่ได้มีครอบครัวและญาติจำนวนมากเข้าร่วมในงานวันพร้อมญาติทหารใหม่ 

ภายในงานได้จัดให้มีการแสดงของทหารใหม่ให้ผู้ปกครองและญาติทหารใหม่ได้ชมการฝึกบุคคลเบื้องต้น ชมการแสดงมวยไทย ชมการแสดงยิงปืนฉับพลัน ชมการปฏิบัติทางยุทธวิธี และการแสดงมุทิตาจิตของทหารใหม่ พร้อมทหารใหม่ได้พบญาติ

ด้วยกองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จัดให้มีงานวันพร้อมญาติทหารใหม่ รุ่นปี 2567 ผลัดที่ 2 เพื่อรับการฝึกจำนวนทั้งสิ้น 192 นายโดยแยกเป็นสังกัดดังนี้เช่น กองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จำนวน 153 นาย โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จำนวน 19 นาย โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก จำนวน 20 นาย โดยมีภูมิลำเนา 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดระยอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ ห้วงการฝึกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง 7 ธันวาคม 2567 

ซึ่งทหารใหม่สามารถปรับสภาพความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากการดำเนินชีวิตแบบพลเรือนมาเป็นการดำเนินชีวิตแบบทหาร ปรับคุณลักษณะและท่าทางของทหาร เรียนรู้วิธีปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกันภายในกรมกองการปลูกฝังให้เป็นผู้ให้เป็นผู้มีจิตใจดีมีคุณธรรม มีอุดมการณ์ความรักชาติและยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหารใหม่จึงจัดให้มีงานวันพร้อมญาติใหม่ขึ้น ณ กองพันทหารราบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

รัสเซียเสนอสร้างฐานปล่อยจรวดให้พันธมิตรใกล้ชิด ชาติแถบเส้นศูนย์สูตร 'อินโดนีเซีย-มาเลเซีย' รับอานิสงส์

(25 พ.ย.67) ยูริ บอริซอฟ หัวหน้าองค์การอวกาศรัสเซีย (Roscosmos) เปิดเผยต่อสำนักข่าวสปุตนิกว่า รัสเซียมีแผนเสนอที่จะสร้างฐานปล่อยจรวดสู่อวกาศให้กับมิตรประเทศพันธมิตรใกล้ชิด โดยเฉพาะประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งถือเป็นทำเลที่ได้เปรียบในการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ

บอริซอฟ กล่าวว่า ในตอนนี้รัสเซียและชาติพันธมิตรอย่าง อินเดีย จีน และอิหร่านมีโครงการด้านอวกาศอยู่แล้ว แต่เราก็มีแผนที่จะร่วมมือกับแอฟริกาใต้ รวมถึงประเทศที่อยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตรอย่าง อัลจีเรีย ซิมบับเว อินโดนีเซีย และมาเลเซียด้วย

ตามแผนความร่วมมือของ Roscosmos กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างองค์การอวกาศรัสเซียกับชาติพันธมิตร นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และอวกาศแล้ว ยังรวมถึงแผนการที่รัสเซียจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินสำหรับการยิงจรวดขนส่งสู่อวกาศจากดินแดนของตนด้วย "ข้อเสนอเหล่านี้เราพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับมิตรประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นทำเลเหมาะสมต่อการปล่อยจรวดสู่อวกาศ" 

บอริซอฟ ยอมรับว่า นับตั้งแต่ความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้น Roscosmos เป็นหนึ่งในองค์ที่ถูกนานาชาติคว่ำบาตร ได้ส่งผลให้องค์การอวกาศรัสเซียหันไปแสวงหาความร่วมมือกับชาติพันธมิตรอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา

สมุทรปราการ-เจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตรฯ ประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดงคณะสงฆ์วัดหนามแดงสุดอาลัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.67) ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง นำคณะสงฆ์วัดหนามแดง คณะเจ้าหน้าที่สำนักพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร คณะศิษย์ยานุศิษย์และพี่น้องประชาชนตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ร่วมประกอบพิธีงานพระราชทานเพลิงศพสรีระสังขารพระครูสาทรวิหารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 7 ณ เมรุชั่วคราว วัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ 

ซึ่งทางวัดหนามแดงได้รับความเมตตาจากทางคณะสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานและร่วมประกอบพิธีงานพระราชทานเพลิงศพสรีระสังขาร ท่านพระครูสาทรวิหารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 7 อาทิ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถระสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ ทอดผ้าบังสุกุล

พร้อมด้วย พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรมุนี กรรมการมหารเถระสมาคม เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรวิหาร พระธรรมวชิรเมธี รองศาสตราจารย์ ดร. รองอธิการบดี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรมหาวิหาร พระเดชพระคุณพระเทพสมุทรวัชราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่ใน (พระอารามหลวง) 

พระเดชพระคุณพระราชสมุทรวัชราจารย์ เจ้าอาวาสวัดกลางวรวิหาร พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ร่วมทอดผ้าบังสุกุลเป็นต้น

นอกจากนี้ วัดหนามแดงยังได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พร้อมด้วย พระเดชพระคุณพระราชวชิรสารเวที เจ้าอาวาสวัดบางนาใน พระเดชพระคุณพระศรีรัตนเมธี เจ้าอาวาสวัดกิ่งแก้ว พระเดชพระคุณพระเมธีวราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร 

ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาและสวดอภิธรรมเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ท่านพระครูสาทรวิหารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รวมถึงการแสดงธรรมเทศนา โดย พระธรรมวชิรเมธี รองศาสตราจารย์ ดร. รองอธิการบดี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรมหาวิหาร 

จากนั้นในเวลา 17.00 น. คณะเจ้าหน้าที่ได้มีการอัญเชิญไฟพระราชทานเพลิงศพอดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง ณ เมรุชั่วคราว วัดหนามแดง โดยมี นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 

นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี หัวหน้าส่วนราชการ คณะสมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ คณะผู้บริหารท้องถิ่น กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า คณะครู คณะสงฆ์วัดหนามแดงเป็นต้น ตลอดจนข้าราชการตำรวจ ทหาร คณะศิษย์ยานุศิษย์และพี่น้องประชาชนจำนวนมากร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพท่านพระครูสาทรวิหารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง ณ เมรุชั่วคราววัดหนามแดง ซึ่งในพิธีพระราชทานเพลิงศพทางวัดหนามแดง นำโดย ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง พร้อมด้วย คณะสงฆ์วัดหนามแดงได้ดำเนินงานพระราชพิธีจัดอย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่เพื่ออุทิศแด่ท่านพระครูสาทรวิหารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 7 สิริอายุรวม 82 ปี 59 พรรษา

‘พีระพันธุ์’ นำ 4 หน่วยงาน ‘กกพ. - กฟภ. - กฟน.- สธ.’ ผสานกำลังดูแลผู้ป่วยติดเตียง ห้ามงดจ่ายไฟฟ้าทุกกรณี

(25 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง การบูรณาการเพื่อการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจําเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อวางกรอบความร่วมมือในการบูรณาการทำงานคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงานเชิงรุก ให้ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในทุกกรณี

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานเพื่อให้ความคุ้มครองต่อชีวิตและทรัพย์สินกับพี่น้องประชาชนในฐานะผู้ใช้พลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ ซึ่งจะต้องทำควบคู่กันกับความพยายามที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อให้การบริการด้านไฟฟ้าให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

“การให้บริการด้านพลังงานเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ประชาชนผู้ใช้พลังงานต้องได้รับเท่าเทียมกันทุกคนอย่างเป็นธรรม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การให้ความคุ้มครองสิทธิในการดูแลความปลอดภัยต่อชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และขอเน้นย้ำเรื่องผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาลจะต้องไม่ถูกงดจ่ายไฟฟ้าทุกกรณี เพื่อให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นศูนย์” นายพีระพันธุ์ กล่าว 

ดร. พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่าง 4 หน่วยงาน จะเป็นการทำงานเชิงรุกร่วมกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากการถูกงดจ่ายไฟฟ้าทุกคนในทุกกรณี ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลของผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และเป็นปัจจุบัน การร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้ สร้างองค์ความรู้ความเข้าใจถึงสิทธิที่ผู้ป่วยได้รับความคุ้มครองจากการถูกงดจ่ายไฟฟ้า การอำนวยความสะดวกในการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสาร ประสานงานให้กับผู้ใช้พลังงานในหลากหลายช่องทางให้ได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง ผ่านช่องทางที่สะดวกและใกล้ชิดพี่น้องประชาชน ได้แก่ หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขต (คพข.) และเครือข่าย สำนักงาน กกพ. ประจำเขตพื้นที่ รวมถึงสำนักงานที่ทำการการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ 

“สาเหตุหลัก ๆ ที่เราพบปัญหา คือ ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลไม่ได้แจ้งข้อมูลกับทางการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในพื้นที่ ทำให้การไฟฟ้าฯ ขาดข้อมูลและนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหลังจากการงดจ่ายไฟฟ้า ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันประสานข้อมูลเพื่อให้เป็นปัจจุบันและครอบคลุมทุกพื้นที่ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือที่เกิดขึ้น” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าด้วยประสิทธิภาพและศักยภาพเครือข่ายของกระทรวงสาธารณสุขที่เข้มแข็งกระจายอยู่ทุกพื้นที่ลงลึกและครอบคลุมถึงระดับตำบลพร้อมด้วยเครือข่าย อสม. รวมทั้งการมีฐานข้อมูลผู้ป่วยในพื้นที่จะเป็นกลไกสำคัญที่สามารถเข้ามาประสานและทำให้การให้ความคุ้มครองสิทธิผู้ป่วย รวมไปถึงการพัฒนาฐานข้อมูลผู้ป่วยให้เป็นปัจจุบันเพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น

“กระทรวงสาธารณสุขยินดีอย่างยิ่ง พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในการผลักดันและลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน และทุกภาคส่วนจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขของประเทศด้วย” นพ. วีรวุฒิ กล่าว

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พร้อมตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล ในการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าได้ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว MEA ดำเนินการตามประกาศของ สำนักงาน กกพ. มาอย่างต่อเนื่อง โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเดินเครื่องมือทางการแพทย์ โดยเปลี่ยนเป็นการทำงานเชิงรุกผ่านการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ MEA สามารถเข้าถึง และดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ได้รับพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ และ ต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วย

การไฟฟ้านครหลวงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือกันในครั้งนี้ และยืนยันว่าการไฟฟ้านครหลวงจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการพัฒนาบริการไฟฟ้า ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าเพื่อการรักษาพยาบาล 

นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประชาชนทุกคน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างทันท่วงที 

เพื่อการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการไฟฟ้าโดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยระบบ GIS และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่

ห่างไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ PEA ยังวางแผนการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ในแต่ละพื้นที่ให้พร้อมให้บริการแก่ประชาชนที่มีความต้องการใช้งานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ การให้ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างระบบในการบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างระบบการบริหารจัดการไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าในทุกพื้นที่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยั่งยืน

จีนเพ่งเล็งแพลตฟอร์ม สั่งสอบอัลกอริทึม หวังลดเอาเปรียบพนักงานส่งของ-คุมภัยออนไลน์

(25 พ.ย.67) ทางการจีนเรียกร้องแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มตนเองและแก้ไขการควบคุมอัลกอริทึมใดๆ ที่อาจหาประโยชน์จนเอารัดเอาเปรียบพนักงานจัดส่งสิ่งของ

สำนักงานคณะกรรมการกิจการไซเบอร์สเปซส่วนกลางของจีน ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ระบุว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มุ่งจัดการกับระบบอัลกอริทึมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งละเมิดผลประโยชน์ของผู้ใช้งานและพนักงานในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต

ทางการจีนจะดำเนินการปราบปรามการบีบอัดระยะเวลาจัดส่งสิ่งของ ซึ่งมักเพิ่มความกดดันแก่พนักงานจัดส่งสิ่งของที่ต้องเร่งทำเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดส่งล่าช้า นำไปสู่ความเสี่ยงฝ่าฝืนกฎระเบียบทางการจราจรและเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น

บรรดาแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเปิดเผยกฎเกณฑ์ของอัลกอริทึมอย่างชัดแจ้ง ทั้งการประมาณเวลาและการวางแผนเส้นทาง พร้อมตอบสนองคำร้องจากพนักงานจัดส่งสิ่งของโดยทันที หากเกิดกรณีจัดส่งล่าช้าเพราะปัจจัยอันมิอาจควบคุมได้อย่างอุบัติเหตุและสภาพอากาศย่ำแย่

อนึ่ง โครงการนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และครอบคลุมผู้ประกอบธุรกิจอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ เช่น แพลตฟอร์มวิดีโอและชอปปิงออนไลน์ มีเป้าหมายแก้ไขข้อกังวลของชาวเน็ต ซึ่งรวมถึง 'รังไหมข้อมูล' (information cocoon) ผ่านการแนะนำเนื้อหาที่เหมือนกัน และการเลือกปฏิบัติด้านราคาโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ที่แสดงราคาแตกต่างกันตามผู้ใช้งานแต่ละราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top