Monday, 7 July 2025
NewsFeed

ส่องคลังแสงปราการป้องมอสโก เทคโนโลยียุคโซเวียต ระบบป้องกันขีปนาวุธที่ปูตินสั่งเตรียมพร้อมสูงสุด

(25 พ.ย.67) ดูเหมือนสถานการณ์ความรุนแรงในยูเครนจะคุกรุ่นมากขึ้น จากการที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทิ้งทวนคำสั่งก่อนหมดวาระการดำรงตำแหน่งด้วยการมอบขีปนาวุธแบบ ATACMS  ซึ่งเป็นสุดยอดขีปนาวุธโจมตีพิสัยกลางให้แก่ยูเครน 

ส่งผลให้ล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งใช้ขีปนาวุธ Oreshnik ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นขีปนาวุธเหนือเสียง เดินทางเร็วกว่าเสียง 10 เท่า พิสัยการยิง 5,000 กิโลเมตร ซึ่งสามารถโจมตียุโรปได้ทั้งหมด และรวมไปถึงบางส่วนของฝั่งตะวันตกของสหรัฐ โดยเป้าหมายแรกที่ปูตินสั่งให้ขีปนาวุธ Oreshnik คือเมือง Dnepropetrovsk ของยูเครนซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของ สถานประกอบการด้านการป้องกันยูเครน

คำสั่งโจมตีดังกล่าวของผู้นำมอสโก ทำให้กระทรวงกลาโหมรัสเซียต้องออกมาเปิดเผยถึงความพร้อมในการรับมือโจมตีระรอกใหม่ หากว่ายูเครนใช้อาวุธที่นาโต้มอบให้ โจมตีแผ่นดินรัสเซียด้วยการออกมาเปิดเผยระบบป้องกันขีปนาวุธที่รัสเซียเตรียมพร้อมรับมือ

พล.ท. Aytech Bizhev อดีตรองผู้บัญชาการระบบป้องกันภัยทางอากาศร่วมของ CIS กองทัพอากาศรัสเซีย กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik โดยให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธีการที่มอสโกว์มีไว้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากขีปนาวุธของนาโต้ว่า รัสเซียมีระบบป้องกันขีปนาวุธหลายรูปแบบที่เตรียมพร้อมรับมือ อาทิ 

S-300V ซึ่งถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1988 เป็นการอัปเกรดระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศระยะไกล S-300 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1978 มีระยะยิงต่อเป้าหมายขีปนาวุธ 30-40 กิโลเมตร S-400 ขีปนาวุธที่พัฒนาในช่วง1980-1990 เปิดตัวในปี 2007 สามารถตรวจจับเป้าหมายขีปนาวุธได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร และทำลายได้ในระยะ 60 กิโลเมตร

S-500 ระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศรุ่นล่าสุดของรัสเซีย เริ่มใช้งานในปี 2021 สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร และทำลายได้ในระยะ 200 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังมี A-135 Amur และ A-235 Nudol ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธแบบฐานยิง ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับภัยคุกคามจากขีปนาวุธความเร็วสูงและอวกาศ ใช้งานตั้งแต่ปี 1995 และ 2019 ตามลำดับ มีระยะตรวจจับสูงสุด 6,000 กิโลเมตรด้วยเรดาร์ Don-2N และระยะยิงประมาณ 350-900 กิโลเมตร

อีกหนึ่งระบบคือ Tor ระบบขีปนาวุธระยะสั้น เริ่มใช้งานในปี 1986 ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ขีปนาวุธร่อน และโดรน รวมถึงขีปนาวุธระยะสั้น ระยะตรวจจับและติดตาม 25 กิโลเมตร ระยะยิงสูงสุด 16 กิโลเมตร

และสุดท้าย Buk ระบบขีปนาวุธระยะกลาง พัฒนาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถูกนำมาใช้ในกองทัพตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 สามารถโจมตีขีปนาวุธยุทธวิธี ขีปนาวุธร่อน และขีปนาวุธต่อต้านเรือในระยะ 3-20 กิโลเมตร และที่ระดับความสูงสูงสุด 16 กิโลเมตร

Bizhev กล่าวว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียล้ำหน้ากว่าวิธีการโจมตีที่มันถูกออกแบบมาป้องกันอยู่ประมาณ 5-10 ปี ขาเล่าถึงยุคปลายทศวรรษ 1980 ที่สหภาพโซเวียตเริ่มพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธเป็นครั้งแรก ในขณะที่ NATO กำลังติดตั้งอาวุธขีปนาวุธยุคใหม่ที่มีความแม่นยำสูง ในยุคนั้น ภารกิจหลักของระบบป้องกันขีปนาวุธของโซเวียต (และรัสเซียหลังปี 1991) คือการป้องกันมอสโกและภูมิภาคอุตสาหกรรมตอนกลาง

'ลูกสาวดูเตร์เต' รองประธานาธิบดี ลั่นกลางวงประชุม ขู่สังหาร 'ประธานาธิบดีมาร์กอส' หากเธอถูกปลิดชีพ

(25 พ.ย.67) สองตระกูลการเมืองฟิลิปปินส์เดือดดาลเมื่อ ซารา ดูเตอร์เต บุตรสาวของอดีตผู้นำ โรดริโก ดูเตอร์เต กล่าวในการแถลงผ่านระบบออนไลน์ว่า เธอได้เตรียมการไว้แล้วสำหรับการลอบสังหารมาร์กอสจูเนียร์, ลิซา ภรรยาของเขา และ มาร์ติน โรมวลเดซ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของมาร์กอส หากว่าตัวเธอถูกสังหาร

"ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของฉัน เพราะฉันได้พูดคุยกับใครบางคนไว้แล้ว ฉันบอกเขาว่า หากฉันถูกฆ่า ก็ให้ไปฆ่า BBM, ลิซา อราเนตา และมาร์ติน โรมวลเดซ” เธอกล่าว โดยใช้ชื่อย่อของประธานาธิบดีที่รู้จักกันในชื่อ บองบอง หรือ BBM นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า “ฉันบอกเขาว่า อย่าหยุดจนกว่าคุณจะฆ่าพวกเขาได้ และเขาก็ได้ตอบตกลง”

นอกจากนั้น ในระหว่างการแถลงทางออนไลน์ รองปธน.ดูเตอร์เตยังได้วิจารณ์ประธานาธิบดีมาร์กอสจูเนียร์และย้ำคำพูดก่อนหน้านี้ที่ว่า นายมาร์กอสไม่รู้วิธีการเป็นประธานาธิบดี

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้ ทำเนียบประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ กล่าวถึงคำพูดของรองประธานาธิบดีว่า “ภัยคุกคามที่ชัดเจน” ต่อชีวิตของปธน.มาร์กอส ซึ่งสมควรต้องถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเหมาะสม ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสองตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพล

“ภัยคุกคามต่อชีวิตของประธานาธิบดีจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภัยดังกล่าวถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในลักษณะที่ชัดเจนและแน่นอน” ขณะเดียวกัน เลขาธิการบริหารได้ส่งเรื่องนี้ไปยังหน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีแล้ว

วิวาทะดังกล่าวสะท้อนความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานระหว่างตระกูลมาร์กอส และตระกูลดูเตร์เต แม้ทั้งสองจะร่วมรัฐบาลเดียวกัน ประเด็นขัดแย้งเริ่มมาจากการที่ในเดือนมิถุนายน เมื่อดูเตอร์เตลาออกจากตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของมาร์กอส ขณะเดียวกัน พันธมิตรของมาร์กอสในรัฐสภาได้ตรวจสอบการทำงานของรองประธานาธิบดีในประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งด้านลูกสาวดูเตร์เตกล่าวว่า พันธมิตรของมาร์กอสพยายามสร้างคดีเพื่อถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี

‘สันติสุข’ ยันไม่มีใบสั่ง ‘TOP News’ ห้ามแตะ MOU44 หลังถูกด้อยค่ากล่าวหา “ท็อปนิวส์ถูกห้ามเล่นข่าว mou44”

(25 พ.ย. 67) นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ประกาศข่าว TOP News โพสต์ข้อความระบุว่า Top News เราเป็นสื่อที่ทำหน้าที่อย่างเจียมตัว ไม่เคยโอ้อวดว่ามีอุดมการณ์เหนือใครนะครับ เราจริงใจกับคนดูของเรา 

แปลกใจที่ถูกกล่าวหาว่า “ท็อปนิวส์ถูกห้ามเล่นข่าว mou44”

จากนั้น มีคนบางกลุ่มไปขยายความ เหยียบย่ำท็อปนิวส์ และเยินยอช่องอื่น จึงต้องขอชี้แจงสั้น ๆ เท่านี้นะครับ

ความจริง ใครดูท็อปนิวส์ จะเห็นด้วยตาตัวเองว่าเรานำเสนอข่าว mou 44 โดยตลอด 

คุณคำนูณโพสต์ คุณปานเทพโพสต์ คุณสมชายโพสต์ หมอวรงค์เคลื่อนไหว บทความเปลว สีเงิน ฯลฯ เราก็นำมารายงานสม่ำเสมอ (หลายอันออกซ้ำมากกว่าหนึ่งรายการด้วย) 

ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครอีกเรื่องหนึ่ง ผมยืนยันว่าเรานำเสนออย่างมีเหตุผล โดยไม่มีใครมาสั่งห้ามเลยครับ นี่คือความจริงที่มีหนึ่งเดียวครับ  

ด้วยความเคารพ 
ปล.ในภาพนี่แค่ไถๆ ไวๆ แค่บางส่วน บางรายการเท่านั้น ความเป็นธรรมต้องมี

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์‘ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมสถานที่จัดงาน “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)” เฉลิมพระเกียรติฯ

เมื่อวันที่ (20 พ.ย.67) ณ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการบริหารมูลนิธิ อาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในฐานะ ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดงาน "เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)" เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งมีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 5-10 ธันวาคม 2567นี้ 

เข้าตรวจสถานที่การจัดงานฯ 

- บริเวณสเฟียร์ฮอลล์ ชั้น 5 สำหรับพิธีรับเข็มฯ 
- บริเวณเอ็มกลาสและเอ็มยาร์ด สำหรับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 
- พร้อมร่วมประชุมกับประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายร้านค้า, ฝ่ายการแพทย์, ฝ่ายรักษาความปลอดภัย, ฝ่ายประชาสัมพันธ์, ฝ่ายพิธีการ และฝ่ายสถานที่  เป็นต้น 

ทั้งนี้ทุกฝ่ายรายงานการทำงานให้ประธานทราบ และทุกฝ่ายพร้อมรับปฏิบัติในส่วนที่รับผิดชอบ

‘บีโอไอ’ เผยผลสำเร็จโรดโชว์แดนมังกร ผู้ผลิตแบตฯ – อิเล็กทรอนิกส์ เล็งตบเท้าลงทุนไทย

บีโอไอเผยผลสำเร็จการเยือนประเทศจีน นักลงทุนจีนตบเท้าเข้าร่วมงานสัมมนา กว่า 600 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไทยชิงจังหวะสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตป้อนตลาดโลก พร้อมรุกเจรจาผู้ผลิตแบตเตอรี่ – อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ โดยบริษัทใหญ่ของจีนเตรียมแผนลงทุนในไทยมูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาท

(25 พ.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างวันที่ 19 – 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยการเยือนครั้งนี้ บีโอไอได้ผนึกกำลังกับองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน (CCPIT), Bank of China และสมาคมส่งเสริม Belt and Road จัดงานสัมมนาใหญ่ 'Thailand – China Investment Forum 2024' ณ โรงแรม Shanghai Marriott Marquis มหานครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการลงทุน ซึ่งมีบริษัทชั้นนำของจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 600 ราย นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แสดงถึงการให้ความสำคัญและความสนใจอย่างมากของนักลงทุนจีนที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกสู่ตลาดโลก ในจังหวะเวลาที่ยังมีความกังวลต่อมาตรการกีดกันการค้ารอบใหม่ของสหรัฐอเมริกา

ในงานสัมมนาใหญ่ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยในการเตรียมการเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด น้ำ การเตรียมพร้อมด้านบุคลากร และการอำนวยความสะดวกของภาครัฐ เพื่อให้การลงทุนในประเทศไทยประสบความสำเร็จและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งโอกาสความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะด้าน Digital Economy และ Green Economy

ในขณะที่เลขาธิการบีโอไอ ได้นำเสนอสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และโอกาส การลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาสำคัญ ที่จะเป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ของไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งแบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำของจีนร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความสำเร็จของการทำธุรกิจในประเทศไทย ได้แก่ Bank of China, บริษัท Haier ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะรายใหญ่ และบริษัท Westwell Technology ผู้นำด้าน AI และ Digital Green Logistics อีกทั้งบีโอไอยังได้ร่วมมือกับกลุ่มธนาคารไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และ ไทยพาณิชย์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม WHA, โรจนะ, 304, TRA, TFD และเอส มาร่วมออกบูธให้ข้อมูล เพื่อสนับสนุนนักลงทุนจีนให้สามารถเข้าถึงที่ดิน สินเชื่อและบริการทางการเงิน และเครือข่ายทางธุรกิจที่จะช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนจริงได้อย่างครบวงจร

นอกจากงานสัมมนาแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการบีโอไอ ยังได้หารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับนักลงทุนเป้าหมายรายใหญ่ จำนวน 6 บริษัท ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเตรียมแผนการลงทุนในประเทศไทย คาดว่าจะมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันกว่า 90,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 
- อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ต้นน้ำระดับเซลล์ 2 ราย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่เป็นหัวใจของการผลิตแบตเตอรี่ ให้ความสนใจลงทุนในไทยเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด 

- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 3 ราย ทั้งการผลิตอุปกรณ์ขั้นสูงที่ใช้ในระบบโทรคมนาคม และ Data Center, การวิจัย ออกแบบและผลิตชิป กลุ่มนี้สนใจลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมขั้นสูงจำนวนมาก รวมถึงช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมและขีดความสามารถในการพัฒนา AI ของไทย

- อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ 1 ราย เป็นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก สำหรับใช้บรรจุอาหารและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบและเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรของไทย 

นอกจากนี้ คณะยังได้หารือกับผู้บริหารสมาคมอุตสาหกรรมพลังงานและแบตเตอรี่จีน เกี่ยวกับการสร้างระบบนิเวศของการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว เช่น ระบบการติดตามแบตเตอรี่ตั้งแต่ต้นทาง (Tracking System) ระบบการซ่อมและรวบรวมแบตเตอรี่ใช้แล้ว การนำกลับมาใช้ใหม่ (Repack / Reuse) เทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ รวมถึงการออกกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแล และการจัดหาพื้นที่สำหรับธุรกิจนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถวางแผนเตรียมรองรับปริมาณแบตเตอรี่ใช้แล้วที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผลสำเร็จจากการเยือนจีนในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงกระแสความสนใจในการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักธุรกิจจีน ซึ่งบริษัทจำนวนมากมีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า รวมทั้งมีการตัดสินใจและการเริ่มต้นธุรกิจอย่างรวดเร็ว การนำทีมโรดโชว์โดยท่านรองนายกฯ พิชัย ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่ารัฐบาลไทยพร้อมต้อนรับและสนับสนุนการลงทุนที่มีคุณภาพจากจีน รวมทั้งจะช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะสำคัญในการดึงการลงทุนขนาดใหญ่จากบริษัทชั้นนำที่มีเทคโนโลยีในระดับที่สามารถทำให้เกิดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยครั้งใหญ่ได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอีกหลายอุตสาหกรรม” นายนฤตม์ กล่าว

ส.อ.ท. หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน ยอดขายในประเทศ-ส่งออกทรุด หวังมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปีดันยอด

(25 พ.ย.67) นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงถึงการปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ประจำปี 2567 จากเดิม 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน หลังตลาดทั้งในและต่างประเทศได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเป้าหมายการผลิตใหม่แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ 450,000 คัน ลดลงจากเดิม 550,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน ลดลงจากเดิม 1,150,000 คัน

ข้อมูลการผลิตรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2567 พบว่า ผลิตได้ 118,842 คัน ลดลง 25.13% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปี 2566 และลดลง 2.81% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนปี 2567 เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7.00% และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงถึง 51.70% ขณะที่ยอดรวมการผลิตระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 มีทั้งหมด 1,246,868 คัน ลดลง 19.28%

ปัจจัยที่มีผลต่อการลดลงของยอดขายรถยนต์ในประเทศมาจากการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ โดยจำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาสสามลดลงเหลือ 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี และลดลงจากไตรมาสสามปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชี ขณะที่ยอดหนี้รวมของผู้กู้ซื้อรถยนต์อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสอง และลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสสามปี 2566

นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีงานมอเตอร์เอ็กซ์โปในปลายเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ แต่สถาบันการเงินยังคงมีมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้เสียยังสูง ดังนั้นคาดว่าเป้าหมายยอดขายในประเทศปีนี้ที่เคยตั้งไว้ที่ 550,000 คัน จะปรับลงเป็น 450,000 คัน

ในส่วนของตลาดส่งออก ปัจจัยสำคัญคือสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่อาจกระทบตลาดในตะวันออกกลางและยุโรป รวมถึงสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่น ๆ หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด

ทัพสหรัฐส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำประจำการในเอเชีย เชื่อรอคำสั่งว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(25 พ.ย.67) นิเคอิเอเชียรายงานใน ภายในสัปดาห์นี้จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ 3 ลำเดินทางถึงฝั่งแปซิฟิกตะวันตก หลังจากไม่ได้ประจำการที่นี่มาหลายเดือน เนื่องจากถูกส่งไปตะวันออกกลาง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจเป็นการแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน 

ความคืบหน้าดังกล่าวมีขึ้นในช่วง 50 วันก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

รายงานระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสจอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ พร้อมลูกเรือ 2,702 คน มาถึงท่าเรือโยโกซุกะ ในอ่าวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ท่าเรือที่เป็นที่ตั้งของกองเรือที่ 7 ของสหรัฐ และเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่เรือยูเอสเอสจอร์จ วอชิงตันกลับมายังท่าเรือนี้ นอกจากนี้ เรือยูเอสเอสคาร์ล วินสัน จะเข้าประจำการที่ท่าเรือนี้ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้เช่นกัน

อีกลำหนึ่งคือ เรือยูเอสเอสอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งขณะนี้อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย กำลังมุ่งหน้าผ่านทะเลจีนใต้ โดยอาจมีกำหนดการแวะที่ฐานทัพบนเกาะโอกินาว่า ก่อนจะเดินทางกลับซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียต่อไป

นาวาตรีเคที โคนิก (Katie Koenig) โฆษกกองเรือประจำภูมิภาคแปซิฟิกของสหรัฐ กล่าวว่า การประจำการของเรือบรรทุกเครื่องบินนี้จะช่วยให้กองกำลังทางทะเลและกองกำลังร่วมสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และสหรัฐได้นำเรือที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดมาปฏิบัติภารกิจ ซึ่งมีกำลังในการโจมตีและปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

นับตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสโรนัลด์ เรแกนออกจากท่าโยโกซุกะ สหรัฐไม่ได้มีเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการในแปซิฟิกตะวันตกอีก โดยสหรัฐหันไปให้ความสำคัญต่อพื้นที่ในตะวันออกกลางแทนเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในอิสราเอล

เบรนต์ แซดเลอร์ (Brent Sadler) นักวิจัยจากมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) กล่าวว่าการเพิ่มกำลังทหารในช่วงนี้ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบจากจีน ซึ่งสหรัฐมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน อีกทั้งมองว่าการเพิ่มกำลังของสหรัฐในแปซิฟิกนี้เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนในช่วง 50 วันที่เหลือก่อนการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม 2025 และอาจทำให้การประจำการในตะวันออกกลางลดลง

ด้านจาค็อบ สโตกส์ (Jacob Stokes) รองผู้อำนวยการโครงการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกที่ศูนย์ความมั่นคงอเมริกันใหม่ (Center for a New American Security) หลังจากนี้เราอาจได้เห็นท่าทีอันแข็งกร้าวจากจีน ด้วยการซ้อมรบบริเวณรอบเกาะไต้หวันหรือบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งถ้ามีการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปประจำการเพิ่มขึ้น จะมีทางเลือกที่หลากหลายในการตอบโต้จีนได้มากขึ้น

ห้างดังลาดพร้าวยืนยันไม่ใช่อุจจาระ เศษสีเหลืองกระจายคือ ไขมันจากร้านอาหาร

(25 พ.ย.67) กรณีที่มีการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เผยแพร่คลิปวิดีโอลักษณะของเหลวสีเหลือง คล้ายของเสียจากส้วมกระจายภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว ทำให้ร้านค้าได้รับความเสียหาย 

ล่าสุดทางห้างได้ชี้แจงผ่านเว็บไซต์ข่าวสดว่า พื้นเกิดเหตุอยู่บริเวณชั้น 3 โซนแฟชั่น ติดกับประตูทางเข้าลานจอดรถ ซึ่งเศษก้อนสีเหลืองที่กระจายจนทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอุจจาระนั้น คือก้อนไขมันจากร้านอาหาร ซึ่งเป็นของเสียทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกับอุจจาระ แต่ยืนยันว่าท่อที่แตกไม่ใช่ท่อส้วมอุจจาระอย่างที่เป็นข่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้ท่อแตก เบื้องต้นมีการสันนิษฐานว่าท่ออาจจะมีการอุดตันเยอะเกินไป จึงทำให้น้ำแตกออกมา โดยปกติแล้วทางห้างจะมีโครงการให้ร้านอาหารแต่ละร้านเข้าร่วมในการตรวจเช็กสภาพท่อ พร้อมทั้งให้ผู้รับเหมาเข้ามาดูแลงานระบบ แต่ทั้งนี้บางร้านก็อาจจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ทางห้างกำลังเร่งตรวจสอบย้อนหลังอยู่

จึงขอวิงวอนให้ทุกสื่อช่วยแก้ข่าวที่ลงไปว่าห้างท่อส้วมแตก เนื่องจากตอนนี้ทางห้างได้รับผลกระทบ

MASTER ปักธง 'ผู้นำศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้' ประกาศร่วมมือ 'Lumeo Health' พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย

บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ 'MASTER' ปักธงก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศร่วมมือ 'Lumeo Health' พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย ตอกย้ำการขยายตลาดภูมิภาค – เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย - ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง เพิ่มการแข่งขันในระดับภูมิภาค ผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและเอเชีย กล่าวว่า MASTER GROUP มุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อ และความนิยมในหัตถการความงามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบริการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ เช่น อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบบริการที่มีคุณภาพระดับสากล โดย MASTER ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"มองว่าตลาดภูมิภาคมีการเติบโตสูง และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และคนในท้องถิ่นที่หันมาสนใจศัลยกรรมและความงามมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศอย่างอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และไทย ซึ่งประชากรที่มีกำลังซื้อสูง มีความสนใจการทำศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเราได้เห็นถึงความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าและการเติบโตที่โดดเด่นของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่าย Influencer และช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยสร้างความรู้จัก และเพิ่มความไว้วางใจให้กับ MASTER ในฐานะศูนย์กลางศัลยกรรมความงามระดับภูมิภาค โดยเรามุ่งเน้นการนำเทคนิคทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการให้บริการ และขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค" นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า ต่อจากนี้จะเริ่มเห็น MASTER ก้าวเข้าสู่การเป็น 'Regional  Company' โดยจะมีความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย MASTER ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับ Lumeo Health ซึ่งบริษัทจัดตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานในจาการ์ตา ซึ่ง Lumeo Health โดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาศัลยกรรมความงามและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับการเติบโตภายในประเทศของบริษัทฯ ถือว่าแข็งแกร่ง โดย MASTER GROUP มีจุดให้บริการมากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในทุกภูมิภาค โดยให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นจุดแข็งของเราในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Dr. Queencha Chaidy, Chief Executive Officer Lumeo Health กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าการลงนาม MOU ครั้งนี้จะเป็นการผนึกกำลังอีกขั้นของการพัฒนาด้านศัลยกรรมความงาม ให้เติบโตในระดับภูมิภาค

กองทัพเรือจัดพิธีวางพวงมาลาพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 

(25 พ.ย.67) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถ.สุขุมวิท กม.6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กองทัพเรือ พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตเวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 99 โดยมี พลเรือเอก พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ตลอดจนผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และใกล้เคียง เข้าร่วมในพิธี 

พิธีวางพวงมาลาที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรามหาวชิราวุธ ฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แห่งนี้ กองทัพเรือและทุกภาคส่วนได้ถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงพระราชทานที่ดินทรงสงวนบริเวณอำเภอสัตหีบ ให้แก่ประชาชนคนไทยได้มีที่อยู่อาศัย และกองทัพเรือใช้เป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือในปี พ.ศ.2465 รวมระยะ 99 ปี อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาทางด้านการทหารที่มีพระเนตรกว้างไกล และทรงตระหนักถึงความสำคัญของกองทัพเรือที่จำเป็นต้องมีฐานทัพเรือ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชัยภูมิที่เหมาะสม และเป็นที่มั่นในการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวทำให้กองทัพเรือมีฐานทัพเรือเพื่อเป็นฐานส่งกำลังบำรุง และที่จอดเรือรบ 

รวมทั้งเป็นที่ตั้งหน่วยงานสำคัญตราบจนทุกวันนี้ กระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 พลเรือโท สุทัศน์ ขยิ่ม ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ในขณะนั้น เห็นว่า เหล่าทหารเรือ ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไปทราบถึงเรื่องราวดังกล่าวน้อยมาก ประกอบกับในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ยังไม่มีการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ จึงได้ร่วมกับข้าราชการ ประชาชน และผู้มีจิตศรัทธาจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้นไว้ ณ ริมถนนสุขุมวิท หมายเลข 3 หลักกิโลเมตรที่ 6 เส้นทางระยอง - สัตหีบ ต.สัตหีบ  อ.สัตหีบ เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะ และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่มเย็น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top