Monday, 7 July 2025
NewsFeed

จีนที่หนึ่งเที่ยวไทย 6 ล้านคน!! ตามด้วย มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ รวมยอด 11 เดือนต่างชาติเที่ยวไทยรวมแล้ว 31 ล้านคน

(27 พ.ย.67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 24 พ.ย. 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 31,313,787 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายกว่า 1,466,408 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 6,096,010 คน มาเลเซีย 4,443,173 คน อินเดีย 1,868,802 คน เกาหลีใต้ 1,647,328 คน และรัสเซีย 1,455,398 คน  

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 พ.ย.) นักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ (Short haul) ฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะชาวจีนที่มีสะสมกว่า 6 ล้านคน และชาวเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้น 14.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวตามฤดูกาล แต่คาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.  

สัปดาห์นี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 749,306 คน เพิ่มขึ้น 1,362 คน (0.18%) จากสัปดาห์ก่อนหน้า เฉลี่ยวันละ 107,044 คน โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 122,020 คน มาเลเซีย 81,886 คน รัสเซีย 50,071 คน อินเดีย 46,259 คน และเกาหลีใต้ 38,959 คน  

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (25 พ.ย.-1 ธ.ค.) คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยสำคัญ เช่น ฤดูกาลท่องเที่ยวของกลุ่มตลาดระยะไกล โดยเฉพาะยุโรป มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไทย 10% ตั้งแต่ ก.ค. ถึงสิ้นปี รวมถึงมาตรการอำนวยความสะดวก เช่น การยกเว้นบัตร ตม.6 และการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบิน

ตร.ลาวรวบ 8 เวียดนาม ต้องสงสัยเอี่ยวเหล้าเถื่อนโฮสเทลวังเวียง หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตต่อเนื่อง 6 ศพ

ตำรวจลาวรวบแล้ว 8 ราย ฐานเอี่ยวเหล้าเถื่อนคร่าชีวิตนักท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ (25 พ.ย.67) เว็บไซต์ The Laotian Times รายงานว่า ตำรวจเมืองวังเวียงได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 8 ราย ซึ่งเป็นพนักงานของ Nana Backpackers Hostel ในข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยทั้งหมดเป็นชาวเวียดนาม อายุระหว่าง 23-44 ปี  

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตรวม 6 ราย ได้แก่ ชาวอเมริกัน 1 ราย, ชาวเดนมาร์ก 2 ราย, ชาวออสเตรเลีย 2 ราย และชาวอังกฤษ 1 ราย สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มปนเปื้อนเมทานอล  

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เมืองวังเวียง ร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเร่งสืบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง รวมถึงรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม  

มีรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 12 คนในพื้นที่ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังดื่มเครื่องดื่มปนเปื้อนจากโฮสเทลเดียวกัน โดยพบเมทานอลในเหล้าและเบียร์  

สถานทูตของเดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ กำลังดำเนินการนำร่างผู้เสียชีวิตกลับประเทศ ขณะที่คณะทำงานเฉพาะกิจยังคงสอบสวนขอบเขตของเหตุการณ์นี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่าอาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน

รู้จัก สส.หญิงแกร่งแห่งเมืองโอ่ง ‘กุลวลี นพอมรบดี’ กับผลงานเด่นสานต่อแก้ภัยแล้งช่วยชาวบ้าน จ.ราชบุรี

(27 พ.ย. 67) ‘กุลวลี นพอมรบดี’สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ราชบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือที่คนในพื้นที่จะเรียกกันติดปากว่า ‘สส. แคมป์’ เป็น สส. ที่มาจากครอบครัวนักการเมือง และทำงานรับใช้ชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่อายุ 25 ปี ในระดับท้องถิ่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนลงเลือกตั้งสนามใหญ่ในปี 2562 และได้รับเลือกเป็น สส. สมัยแรก และในปี 2566 ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่เขต 1 ราชบุรี เลือกเป็น สส. เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน 

สำหรับ ‘กุลวลี’ อยู่ครอบครัวการเมือง นางกอบกุล นพอมรบดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรคไทยรักไทย ในปี 2549 นางกอบกุล เสียชีวิต ขณะนั้น กุลวลี ศึกษา ด้าน accounting finance อยู่ที่ออสเตรเลีย มีการปรึกษากันในครอบครัวว่าจะหยุดเส้นทางการเมืองของตระกูลหรือเดินหน้าต่อ ได้ผลสรุปเดินหน้าต่อ กุลวลี จึงเริ่มเส้นทางการเมืองจากระดับท้องถิ่น ในวัย 25 ปี ในฐานะสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จนก้าวเข้าการเมืองระดับประเทศ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

หนึ่งในผลงานของ กุลวลี ที่สำคัญต่อพื้นที่เขต 1 ในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ที่ ต.บางป่า ที่ผ่านมาพื้นที่ดังกล่าวเคยประสบปัญหาภัยแล้ง ต่อมามีการสร้างคลองขุดลัดขึ้น ต.บางป่าเป็นพื้นที่เกษตรสวนมะพร้าว อาศัยน้ำจากคลองขุดลัดในการทำการเกษตร ในปี 2557 ซึ่ง นายมานิต นพอมรบดี  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็นบิดา ได้ริเริ่มโครงการไว้ และทาง สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการดำเนินโครงการต่อเนื่องมา มีการวางแผนวางท่อส่งน้ำเข้าไปตามสวนของกรมชลประทาน และการสร้างประตูกั้นน้ำ มีสถานีสูบน้ำเติมปริมาณน้ำตลอดเวลา 

อีกพื้นที่คือ ต.พงสวาย เส้นทางเดียวกันกับต.บางป่า ในแนวคลองขุดลัด ที่กำลังดำเนินการของบประมาณในการดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งมีการตั้งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในการเป็นสถานที่ปั่นจักรยาน และวิ่งเพื่อสุขภาพ 

ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานหินเขางู ทาง สส.แคมป์ มีแนวทางที่จะพัฒนาร่วมกันกับ สำนักงานป่านันทนาการ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ และความร่วมมือกับส่วนท้องถิ่น วางแนวโครงการสร้างสกายวอล์ค และมีพื้นที่ หุบลับ หรือ ภูผาแรด เป็นหนึ่งในอันซีน ที่อยู่ในแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวปี 2569

กล่าวได้ว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรในการแก้ปัญหาต่าง ๆ พร้อมกับสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวให้กับทางจังหวัดราชบุรี เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวบ้านในพื้นที่ตลอดเวลา เป็นนักการเมืองที่ทำงานเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง

รู้จัก ‘พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด’ มือทำงาน ‘พีระพันธุ์’ ผู้เบรกงานเหมาขุดถ่านหินเหมืองแม่เมาะกว่า 7 พันล้าน เพื่อประโยชน์ประชาชน

เมื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย...ต้องมาก่อน!
‘รองพีร์’ เบรกจ้างเหมา-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ

ตามที่ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ระงับโครงการจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 ซึ่ง บมจ.สหกลอิควิปเมนท์ (SQ) เป็นผู้ได้รับกำคัดเลือกจาก กฟผ.ที่เสนอราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะจำนวน 2 รายการ มูลค่าสัญญารวม 7,170 ล้านบาท (รวมค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี 2567-2571 นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีหนังสือแจ้งว่า ได้คัดค้านการอนุมัติผลการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด- ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะสัญญาที่ 8/1 โดยวิธีพิเศษ ในวงเงินงบประมาณ 7,250 ล้านบาท ในการประชุมกลั่นกรองของคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

และในเวลาต่อมา บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้มีหนังสือขออุทธรณ์และขอความเป็นธรรมจากการพิจารณาผู้ชนะการประกวดราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดิน และถ่าน ที่เหมืองแม่เมาะ 2 รายการ โดยวิธีพิเศษ ซึ่ง ‘รองพีร์’ เห็นควรให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยด่วน จึงมีหนังสือถึงผู้ว่าฯ กฟผ. ให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะไว้จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น 

พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ผู้เสนอให้ระงับโครงการฯ ดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งกรรมการ กฟผ. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกระทรวงกลาโหม และอดีตอาจารย์กองวิชาคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีประสบการณ์และผลงานมากมาย โดยเคยเป็น ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ, ประธานกรรมการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, ที่ปรึกษาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, อนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและงบประมาณ กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ กสทช., ที่ปรึกษาประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, กรรมการเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแห่งชาติ, กรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ที่ปรึกษาคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และ อนุกรรมการบริหารความเสี่ยง สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

สำหรับประวัติของพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ที่น่าสนใจคือเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยรุ่นที่ 135 นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 29 และหลังจากจบการศึกษาวทบ. (โยธา) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 40 ได้ศึกษาต่อปริญญาโทวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และปริญญาเอก รีโมทเซนซิ่งและเอิร์ธซายน์ มหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นนักวิจัยด้านรีโมทเซนซิ่ง (Remote Sensing and Earth Science) ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า เป็นหนึ่งในนักวิจัยระดับโลกที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญการใช้ข้อมูลดาวเทียมตั้งแต่ใต้พื้นดินไปจนถึงอวกาศ และได้นำองค์ความรู้มาสร้างมาตรการเตือนภัยเพื่อหลีกเลี่ยงและลดความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติภัยทางธรรมชาติ ด้วยวิธีการจัดการอย่างถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสม และเป็นผู้เสนอให้ประเทศไทยสร้างศูนย์รวมข้อมูลเตือนภัยจากดาวเทียมเป็นของตัวเองเพื่อนำข้อมูลนั้นมาส่งเตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย ในห้วงที่ประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์สึนามิ และภัยพิบัติในภาคเหนือ

ด้วยประสบการณ์มากมายในฐานะนักฎหมาย ‘รองพีร์’ จึงมีความเข้มงวดกับโครงการต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งหากมีการร้องเรียนหรืออาจเข้าข่ายไม่เป็นธรรมแล้ว ก็จะให้มีการตรวจสอบทันที ทั้งนี้ พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สะอาด เป็นบุคคลที่ ‘รองพีร์’ ให้ความไว้วางใจ และยังเคยช่วยงาน ‘รองพีร์’ มาแล้ว อาทิ คณะทำงานศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาความเสียหายของรัฐโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เพื่อต่อสู้ในคดีโฮปเวลล์ ทั้งนี้ ในการสั่งการให้ตรวจสอบของ ‘รองพีร์’ มาจากการที่พลโท ดร.เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการ กฟผ. ยื่นหนังสือคัดค้านการอนุมัติผลประมูล ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 ก่อนที่ ITD จะยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการ สำหรับประเด็นที่ต้องทำการตรวจสอบ คือ ความโปร่งใสของการใช้ ‘วิธีพิเศษ’ ในการประมูล เพื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่ กฟผ. ไม่เลือกวิธีประมูลแบบเปิด รวมไปถึงการกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าประมูลที่อาจเอื้อประโยชน์ ความเชื่อมโยงระหว่างผู้มีอำนาจตัดสินใจกับบริษัทที่เข้าประมูล นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ยังได้ส่งหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ครบวาระจำนวน 4 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง จึงขอให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน และการประชุมคณะกรรมการสรรหาไว้ก่อน จนกว่าจะแจ้งให้ทราบต่อไป เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบมากมายและสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย จึงต้องมีการพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทยต่อไป

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' นำทีมพบ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ สรุปผลสอบ ‘ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.’ พบหลายรายส่อทุจริต

(26 พ.ย. 67) นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นำ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กระทรวงพลังงาน กรณีโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่าสืบสวนสอบสวนเข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.)

โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวดำเนินการตามสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนทุจริตโครงการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยมูลค่าตามสัญญาที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกือบ 1 พันล้านบาท ซึ่งผลการตรวจสอบพบมีบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดหลายรายโดยเอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะได้มอบให้กับ กฟผ.ในฐานะผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวภายหลังเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า “ในวันนี้ท่าน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผมและคณะทำงานมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสอบกรณีปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ. หรือโครงการปลูกป่าทิพย์ กฟผ. ซึ่งวันนี้เป็นการนำเรียนให้ท่านรองนายกฯ ทราบเป็นสรุปผลการตรวจสอบที่คณะอนุกรรมการและคณะทำงานได้ดำเนินการ โดยตรวจสอบจากเอกสารโครงการ TOR สัญญาจ้าง และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ซึ่งผลการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถระบุบุคคลและกลุ่มบุคคลทีเข้าข่ายกระทำความผิดที่ต้องให้ กฟผ. ไปดำเนินการต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ท่านรองนายกฯได้ชื่นชมและขอบคุณคณะทำงานด้วย”

สำหรับโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) นั้น เป็นโครงการอันเนื่องมาจากนโยบายการลดคาร์บอนจากการผลิตพลังงานพลังงานไฟฟ้า โดยการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศปีละ 1 แสนไร่ ระยะเวลา 10 ปีรวม 1 ล้านไร่ โดยนอกจากจะเป็นโครงการปลูกป่าแล้วยังต้องมีการบำรุงรักษาป่าต่อเนื่องไปอีก 9 ปีตามโครงการซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณที่สูงโดยโครงการเริ่มดำเนินการในปี 2565 และ 2566 ปัจจุบันโครงการได้ถูกระงับอันเนื่องมาจากการร้องเรียนดังกล่าว

เผยมิสไซล์ Oreshnik บึ้มฐานสหรัฐในอาหรับเพียง 15 นาที ยิงถึงฐานเพิร์ลฮาร์เบอร์-แผ่นดินใหญ่สหรัฐใน 25 นาที

(27 พ.ย.67) สำนักข่าวสปุตนิกเปิดเผยว่า หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เปิดตัวขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ 'Oreshnik' ที่ใช้ตอบโต้ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านั้นยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธ ATACMS จากสหรัฐโจมตีพื้นที่รัสเซีย ชาตินาโต้เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของขีปนาวุธดังกล่าว  

Oreshnik มีพิสัยการยิงครอบคลุมทั่วยุโรปและยังสามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐในตะวันออกกลางได้ในเวลาเพียง 15 นาที นักวิเคราะห์รัสเซียเผยว่า ขีปนาวุธนี้สามารถเข้าถึงฐานทัพในตะวันออกกลาง แปซิฟิก อลาสกา และไซโลขีปนาวุธในสหรัฐได้อย่างรวดเร็ว  

หากยิงจากฐาน Kapustin Yar ในแคว้นอัสตราฮัน ทางตอนใต้ของรัสเซีย จะสามารถโจมตี ฐานทัพสหรัฐในคูเวต ระยะทาง 2,100 กม. ใน 11 นาที  ฐานทัพเรือที่ 5 ในบาห์เรน ระยะทาง 2,500 กม. ใน 12 นาที  ฐานทัพอากาศในกาตาร์ ระยะทาง 2,650 กม. ใน 13 นาที ฐานทัพในจีบูติ แอฟริกา ระยะทาง 4,100 กม. ใน 20 นาที  

สำหรับแถบแปซิฟิกและอลาสกา หากยิงจาก Kamchatka ในไซบีเรีย จะโจมตีฐานทัพในอลาสกา ระยะทาง 2,400 กม. ใน 12 นาที  เกาะกวม ระยะทาง 4,500 กม. ใน 22 นาที เพิร์ลฮาร์เบอร์ ระยะทาง 5,100 กม. ใน 25 นาที  

ขณะที่จากฐาน Chukotka ในรัสเซีย ขีปนาวุธ Oreshnik สามารถยิงถึง ฐานปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปในมอนทานา ระยะทาง 4,700 กม. ใน 23 นาที ไซโลขีปนาวุธในนอร์ทดาโกตา ระยะทาง 4,900 กม. ใน 24 นาที

ดาต้าเซ็นเตอร์-โลจิสติกส์ โตรับตลาดอีวีในไทย ส่วนนิคมอุตฯได้อานิสงส์ 'ทรัมป์ 2.0' ดันราคาที่ดินพุ่ง

(27 พ.ย.67) เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเผยความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่เช่าที่ยอดเยี่ยม โดยคาดว่าผลรวมพื้นที่เช่าของบริษัทในสิ้นปีนี้จะถึง 7.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้เปิดมุมมองในแง่ของเทรนด์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยระบุว่า ตลาดอาคารสำนักงานไม่น่ากังวล แต่กำลังเห็นการย้ายจากอาคารเก่าที่คุณภาพต่ำไปยังอาคารใหม่ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ส่วนในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนา ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แม้กระแสความต้องการจะร้อนแรงก็ตาม

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคแรก ๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่มีการใช้งานแบบเดี่ยว ๆ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่นำอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีความทันสมัย ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายรูปแบบของผู้เช่า

สำหรับตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ นายไมเคิลกล่าวว่า อาคารเก่าในกรุงเทพฯ จำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับอาคารใหม่ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้เจ้าของอาคารเก่าต้องทำการปรับปรุงหรืออัปเกรด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งเทรนด์ Flight to Quality หรือการย้ายไปยังอาคารที่มีคุณภาพดีกว่า จะยังคงเป็นกระแสที่แข็งแกร่งในตลอดปี 2024 และปี 2025

นายไมเคิลเสริมว่า แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2024 จะมีความท้าทาย แต่ตลาดอาคารสำนักงานกลับคึกคัก โดยหลายบริษัทเริ่มย้ายจากอาคารเก่ามายังอาคารใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า ซึ่งแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2025 เนื่องจากมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัวในปีหน้า และหลายบริษัทเตรียมย้ายออฟฟิศ

"แม้ราคาค่าเช่าจะสูงขึ้น แต่เทรนด์ Flight to Quality จะยังคงมีความสำคัญอย่างมาก โดยบริษัทต่าง ๆ ยังต้องการย้ายออกจากอาคารเก่าไปยังออฟฟิศใหม่ที่มีมาตรฐานสูง การเติบโตของอาคารสำนักงานในประเทศไทยจะยังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง" 

นอกจากนี้นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มาแรงในปี 2568 ว่า ในปีหน้าต้องยกให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการที่มีนักลงทุนเข้ามาดูทำเลในเขตนิคมขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่ EEC พื้นที่ย่านสมุทรปราการ รวมถึงตอนเหนือของกรุงเทพฯ 

ส่วนธุรกิจรองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอานิสงส์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งมีความต้องการใช้พื้นที่ตั้งแต่ 20 ถึง 1,000 ไร่

นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึง ผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะทำให้หลายภาคอุตสาหกรรมพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย คาดว่าจะส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของไทยปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

อีกสองธุรกิจที่มีแนวโน้มน่าจับตาคือ ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจโรงแรมได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งเปิดใหม่และซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะที่อาคารสำนักงานให้เช่า จะเติบโตจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ที่มีความทันสมัยในพื้นที่ใจกลางกรุง

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตลาดเช่า เนื่องจากปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านยังสูง และเทรนด์คนรุ่นใหม่สนใจเช่ามากกว่าซื้อ คาดว่าจะดันราคาเช่าคอนโดในเขตกรุงเทพสูงอีก 40%

‘ดร.สุวินัย’ ซูฮก 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ไม่หลงในเงินตรา หลังบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดให้การกุศล

(27 พ.ย. 67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าบั้นปลายของ "เทพสมบัติ" อันดับหนึ่งของโลก

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ปิดฉากอาณาจักรความมั่งคั่งของเขา ด้วยการ บริจาคเงินทั้งหมดของเขาให้การกุศล โดยเขาได้บริจาคเงินให้การกุศลเพิ่มอีก 1.1 พันล้านดอลลาร์ และตั้งทรัสตี 3 คนรับไม้ต่อจากลูกทั้ง 3 เพื่อบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเขาไม่วางใจคนรุ่นต่อไปว่าจะบริหารสินทรัพย์ได้ดีแค่ไหน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างจากมหาเศรษฐีหลายคน ด้วยการตัดสินใจ ไม่สร้างอาณาจักรความมั่งคั่ง ให้กับทายาทของตนเอง

เพราะแทนที่จะส่งต่อทรัพย์สินมหาศาลให้ลูกหลานโดยตรง บัฟเฟตต์กลับเลือกที่จะแต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คนเพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกนำไปใช้เพื่อการกุศลอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง หลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิตลง พร้อมกับบริจาคหุ้น Berkshire Hathaway เพิ่มอีก 1,100 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิทั้ง 4 แห่งของครอบครัว เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเขา

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้ให้สัญญามาโดยตลอดว่าจะบริจาคเงิน 99% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ได้มาตั้งแต่ปี 1965 แทนที่จะทิ้งเป็นมรดกให้กับลูกทั้ง 3 คน เพราะเขามองว่ามรดกอาจทำให้ขาดแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง และสร้างความแตกแยกในครอบครัว 

นอกจากนี้ การที่ทรัพย์สินมหาศาลตกทอดไปยังคนรุ่นหลัง อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางสังคมได้เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนรุ่นถัดไปจะเลือกกระจายทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร

บัฟเฟตต์ไม่ได้ต้องการสร้างอาณาจักรธุรกิจมอบให้ลูกหลาน แต่เลือกที่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับการกุศลแทน เนื่องจากกังวลว่ารุ่นต่อ ๆ ไปอาจไม่สามารถบริหารจัดการความมั่งคั่งมหาศาลได้อย่างเหมาะสม

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็น "เทพสมบัติ" โดยแท้ 
คือเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตที่เหนือเงินตรา เป็นนายของเงินตรา 
โดยที่เงินตราเป็นข้ารับใช้ที่ดีของเขาเท่านั้น
คนแบบนี้น่าจะมีแค่หนึ่งในพันล้าน
ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเป็น "ผู้ชนะถาวร" อย่างชนิดอยู่เหนือเกมการเงิน
แต่กลับกินอยู่อย่างสมถะ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ติดหรู ไม่อวดรวย ไม่ฟุ้งเฟ้อ 
เพราะมีปัญญาญาณที่มองทะลุถึง 'มายาของเงินตรา'
ภายหลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว กลับบริจาคเงินเกือบทั้งหมด (99%) ให้กับการกุศล เพื่อบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่ง

นี่คือการใช้ชีวิตดุจ "เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง" อย่างแท้จริง
เพราะกระทำเช่นนี้ เรื่องราวของเขาจักเป็นตำนานตลอดไปอีกนานเท่านาน

“แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับ ไม่ชอบก็เลื่อนผ่าน บล็อกทุกคนที่ด่าครับ”

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ว่า วันนี้แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ
ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับไม่ชอบก็เลื่อนผ่านครับบล็อกทุกคนที่ด่าครับ

พร้อมกับโพสต์ข้อความในช่องคอมเมนท์ต่ออีกว่า ทุกคนที่ไม่ชอบผมก็เลื่อนผ่านไม่ต้องเข้ามาดูครับเพจทนายคลายทุกข์เป็นเพจให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย

'การบินไทย' ขายหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท ระดม 44,000 ล้านบาท 6-12 ธ.ค.นี้ มั่นใจเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ

(27 พ.ย.67) 'การบินไทย' เผยผลตอบรับการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการดีเกินคาด มีเจ้าหนี้แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมทะลัก 3 เท่าตัว เดินหน้าสู่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีก 9,822.5 ล้านหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงาน และ Private Placement มูลค่าไม่เกิน 44,004.7 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขาย 4.48 บาทต่อหุ้น ระหว่าง 6-12 ธันวาคม 2567

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การบินไทย ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตลอดระยะเวลาในช่วงฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา ที่ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการนำพาการบินไทยบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ เราได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนเพื่อลดค่าใช้จ่าย ปรับฝูงบินและเส้นทางการบิน เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทางบิน สู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่เปี่ยมศักยภาพกว่าที่เคย ในวันนี้การบินไทยประสบผลสำเร็จจากกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนซึ่งประกอบด้วย (1) การแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแบบภาคบังคับเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Mandatory Conversion) คิดเป็นมูลค่า 37,601.9 ล้านบาท โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 14,773.7 ล้านหุ้น 

โดยเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 หรือกระทรวงการคลัง ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างเต็มจำนวนในสัดส่วนร้อยละ 100 ในขณะที่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5, กลุ่มที่ 6 (สถาบันการเงิน) และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างในอัตราร้อยละ 24.50 และ (2) การใช้สิทธิแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นทุนเพิ่มเติมโดยความสมัครใจ (Voluntary Conversion) ซึ่งในระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหนี้จำนวนมากแสดงเจตนารวมกันเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวน 4,911.2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 12,500.1 ล้านบาท พร้อมทั้ง (3) การใช้สิทธิแปลงดอกเบี้ยตั้งพักใหม่เป็นทุนมูลค่า 3,351.2 ล้านบาท และได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,304.5 ล้านหุ้น สุทธิภาษีหัก ณ ที่จ่ายรวม (1) – (3) คิดเป็นภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งสิ้นมูลค่า 53,453.2 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 20,989.4 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินในระดับสากล การบินไทยจะดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนถัดไป ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 9,822.5 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของการบินไทยก่อนการปรับโครงสร้างทุนตามข้อมูลที่ปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่มีที่อยู่ในประเทศไทย และพนักงานของการบินไทย ตามลำดับ ในราคา 4.48 บาทต่อหุ้น 

โดยสามารถจองซื้อและชำระเงินระหว่างวันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2567 ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีหุ้นสามัญคงเหลือจากการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน และพนักงานของบริษัทฯ ตามลำดับ จะดำเนินการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่ราคาเสนอขายเดียวกันต่อไป โดยการกำหนดราคาดังกล่าวที่กำหนดโดยผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการมีความเหมาะสม โดยการพิจารณาจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การประเมินมูลค่ายุติธรรม ทั้งจากวิธีเปรียบเทียบอัตราส่วนตลาด (Market Comparable Approach) เช่น อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Enterprise Value to EBITDA Ratio: EV/EBITDA) อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio: P/E) และวิธีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดของกิจการ (Discounted Cash Flow) ข้อจำกัดและโครงสร้างการเสนอขายภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ความเสี่ยงของนักลงทุนจากการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนกว่าที่หุ้นจะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนประโยชน์และผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับเงินทุนจากการเสนอขายที่เหมาะสม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของการบินไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 แสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและความก้าวหน้าในการฟื้นฟูกิจการ โดยมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 11.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) อยู่ที่ 47,778 ล้าน ASK เพิ่มขึ้น 19.2% สะท้อนถึงศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากแผนฟื้นฟูกิจการที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า  

ในส่วนของกำไร (ขาดทุน) จากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 24,191 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 29,330 ล้านบาท EBITDA ของงวดนี้อยู่ที่ 33,742 ล้านบาท เทียบกับ 37,590 ล้านบาทในปีก่อน การลดลงดังกล่าวเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าซ่อมบำรุงอากาศยานที่สูงขึ้นตามจำนวนเครื่องบินใหม่ ค่าบริการการบินที่เพิ่มขึ้นทั้งจากจำนวนเที่ยวบินและอัตราค่าบริการต่อเที่ยว ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาที่เพิ่มตามปริมาณการจองเที่ยวบิน  

อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่าการลงทุนเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และช่วยให้การบินไทยกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top