Monday, 7 July 2025
NewsFeed

เปิดจดหมายปู่บัฟเฟตต์ ตั้งใจบริจาค 1.1 พันล้านดอลลาร์ สานต่อการกุศล ไม่หวังลูกหลานบริหารความรวยต่อ

(27 พ.ย.67) วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกและผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) แสดงจุดยืนของเขาในฐานะที่มีแนวคิดต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไปอีกครั้ง โดยการยืนยันว่าจะไม่ส่งต่อทรัพย์สินที่มีอยู่มหาศาลให้กับลูกหลานทายาท แต่เลือกที่จะบริจาคให้การกุศลแทน พร้อมแต่งตั้งดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

ในจดหมายของบัฟเฟตต์ ที่เขียนถึงกลุ่มผู้ถือหุ้น นักลงทุนระดับตำนาน วัย 94 ปี ได้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของชีวิตเขาในช่วงบั้นปลาย โดยกล่าวว่า ครั้งหนึ่งที่เขาหวังว่าภรรยาคนแรกของเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าและตัดสินใจเรื่องการกระจายทรัพย์สินหลังจากเขาจากไป "เวลาชนะเสมอ แต่สำหรับเขามักจะไม่แน่นอน แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและโหดร้ายมาก บางครั้งถึงขั้นจบชีวิตตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่บางคนก็ต้องรอเป็นศตวรรษก่อนเวลาที่พลัดพรากจะมาเยี่ยมเยียน" 

ในจดหมายที่มีความยาวเกือบ 1,300 คำ บัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาหวังว่าลูก ๆ ทั้งสามของเขา ได้แก่ ซูซี ฮาวเวิร์ด และปีเตอร์ บัฟเฟตต์ ซึ่งมีอายุ 71, 69 และ 66 ปี จะมีชีวิตอยู่นานพอที่จะตัดสินใจได้ว่าทรัพย์สมบัติของพ่อของพวกเขาจะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลใด เมื่อบัฟเฟตต์เสียชีวิต พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ การตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติของพ่ออย่างไร

“ผมไว้ใจลูกทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับคนรุ่นต่อไป ผมไม่อาจคาดเดาความสามารถและความซื่อสัตย์ในการบริหารทรัพย์สินได้” 

บัฟเฟตต์ วางแผนไว้ว่า หากในกรณีที่ลูกๆ ทั้งสามคนของเขา ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ หรือไม่สามารถดูแลทรัพย์สินของเขาตามเจตนารมณ์ได้ เขาได้แต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินที่อาจสืบทอดตำแหน่งอีก 3 คน (กองทรัสตี้ 3 คน) แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร

ในจดหมายบัฟเฟตต์ยังระบุอีกว่า เขาจะเปลี่ยนหุ้น Class A จำนวน 1,600 หุ้นของบริษัทให้เป็นหุ้น Class B จำนวน 2.4 ล้านหุ้น ซึ่งมีสิทธิในการลงคะแนนน้อยกว่า โดย 1.5 ล้านหุ้นจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิซูซาน ทอมป์สัน บัฟเฟตต์ ซึ่งตั้งชื่อตามภรรยาคนแรกของเขาที่เสียชีวิต และอีก 300,000 หุ้นจะถูกแบ่งให้กับสามมูลนิธิที่บริหารโดยลูก ๆ ทั้ง 3 คน รวมมูลค่าเกือบ 1.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 41,500 ล้านบาท) 

“อายุขัยของลูก ๆ ของผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2006 ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคั่งหรือแผนการใด ๆ ที่ยาวไปเกินลูก ๆ ของผม”

บัฟเฟตต์ ระบุในจดหมายว่า หากในวันที่เขาลาโลกและลูก ๆ ยังคงมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน เขาตั้งใจให้ลูก ๆ กระจายหุ้น Berkshire ทั้งหมดของเขาซึ่งคิดเป็น 99.5% ไปในการบริจาคด้านการกุศลตามองค์กรต่าง ๆ

“ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่นคงหรือดำเนินการตามแผนเพื่อความร่ำรวยใด ๆ ที่จะขยายออกไปไกลเกินกว่าลูกๆของผมจะบริหารได้”

ทั้งนี้ ตามรายงานของฟอส์บส์ระบุว่า ตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์ น่าจะมหาเศรษฐีเป็นผู้ใจบุญมากที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้บริจาคเงินมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลต่าง ๆ ตลอดชีวิตของเขา จากการประเมินของฟอส์บส์ บัฟเฟตต์เป็นมหาเศรษฐีที่มีความร่ำรวยสุทธิราว 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลก

'ตชด.ภาค 4' ระดมกำลังลงพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ ช่วยเหลือชาวบ้าน ขนของหนีน้ำท่วมโรงพยาบาล 

(27 พ.ย.67) พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( รอง ผบช.ตชด. ) ในฐานะ โฆษก บช.ตชด. เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้น้ำท่วมภาคใต้ฝั่งตะวันออกหลายจังหวัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) ได้สั่งการตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ทุกกองร้อยระดมกำลังออกช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เข้าถึงยาก มีน้ำท่วมสูง 

โฆษก บช.ตชด.กล่าวด้วยว่า บช.ตชด.ได้กำชับ ให้ ตชด. พร้อมนำยานพาหนะ เรือยาง เรือท้องแบน ช่วยอพยพประชาชาชนโดยเฉพาะผู้ป่วย คนชรา และเด็ก ออกไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง พร้อมเข้าสนับสนุนช่วยเหลือในพื้นที่หน่วยราชการสำคัญ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น รวมถึงให้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และเข้าช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองร้อย ตชด.446 นำโดยพ.ต.ท.อเนชา ตาวัน ผบ.ร้อย ตชด.446 ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสำรวจระดับน้ำในพื้นที่ อำเภอ.แว้ง จว.นราธิวาส ช่วยขนสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นที่สูง

ช่วงเช้าวันนี้ ( 27 พฤศจิกายน 2567 ) พ.ต.อ.มานิต นาโควงศ์ ผกก.ตชด.44 มอบหมายให้ พ.ต.ต.เศรษฐา แสงโพธิ์ดา สว.กก.ตชด.44 จัดกำลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมือง จว.ยะลา โดยเข้าอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และยกสิ่งของไว้ที่สูงให้กับประชาชนที่น้ำท่วมบ้านเรือน

ส่วนในพื้นที่ จว.สงขลา เช้าวันเดียวกัน พ.ต.ท.ภัคพล คุ้มวงศ์ ผบ.ร้อย ตชด.437 ร.ต.อ.ชวิศา บุญมี หน.ชป.ขล.ร้อย ตชด.437 ได้สั่งการให้ชุดจิตอาสาของ กองร้อย ตชด.437 เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม บ้านน้ำลัด ต.สำนักแต้ว อ.สะดา จว.สงขลา 

ด้าน พ.ต.ท.วีระเทพ หลางหวอด รอง ผบ.ฉก.ตชด.43 (1),ร.ต.อ.หญิง สุรัตน์ ฤทธิรัตน์  หน.ฝกร.ฉก.ตชด.43 นำกำลังพร้อมด้วยนางอุบล อุบลมณี ประธานโฆษกชาวบ้านจังหวัดสงขลาและชาวบ้านในพื้นที่เข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉาง อ.นาทวี จว.สงขลา ช่วยขนของขึ้นชั้น 2 เนื่องจากน้ำท่วมในบริเวณชั้น 1

และในพื้นที่ จว.สตูล พ.ต.ท.คำนึง อุ่นปลอด ผบ.ร้อย ตชด.436 มอบหมายให้ ร.ต.อ.อดิเทพ พัดลม ผบ.มว.ฯ/ หน.ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกำลังพล ออกแจ้งเตือนประชาชน และช่วยยกของขึ้นที่สูง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น

อีลอน มัสก์ ชี้ F-35 แพงไปไม่คุ้มใช้งาน แนะทัพสหรัฐพัฒนาโดรนโจมตีแทน เหมือนที่จีน

(27 พ.ย.67) อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อแห่งเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ที่ได้รับการเสนอชื่อจากโดนัลด์ ทรัมป์ ให้รับผิดชอบในการตัดงบประมาณรัฐบาลกลาง ได้โพสต์ข้อความวิจารณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X เกี่ยวกับการพัฒนาฝูงบินขับไล่รุ่นใหม่ F-35 ว่า เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเกินไป แพงเกินความจำเป็น และไม่คุ้มค่าต่อการใช้งาน

“การผลิตเครื่องบินที่ยังต้องอาศัยนักบินขับ อย่าง F-35 เป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดและล้าสมัยในยุคนี้ เพราะเรามีโดรนที่สามารถทำงานนี้ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตนักบิน”

มัสก์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การออกแบบ F-35 ล้มเหลว เพราะมันเหมือนกับ 'Rube Goldberg machine' (อุปกรณ์ที่ทำงานง่าย ๆ แต่กลับมีกลไกซับซ้อนเกินไปหรือกระบวนการที่ยืดยาวเกินความจำเป็น) เนื่องจากมันถูกออกแบบให้ทำหลายหน้าที่เกินไป และยังมีราคาสูงเกินไปโดยไม่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง

พ.อ. คาเรน ควีตคอฟสกี้ อดีตเจ้าหน้าที่เพนตากอน และนายทหารประจำกองทัพอากาศสหรัฐ เผยต่อสปุตนิกว่า สิ่งที่อีลอน มัสก์ กล่าว มีความถูกต้องเพราะ F-35 แทบจะเป็นเครื่องจักร Rube Goldberg สมัยใหม่

ตามข้อมูลของกลาโหมสหรัฐฯพบว่า โครงการพัฒนา F-35 มีมูลค่ามากถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดโครงการหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

ควีตคอฟสกี้ ยังกล่าวว่า F-35 ได้รับการออกแบบบนพื้นฐานที่เน้นไปการบริโภคอย่างสูญเปล่าและฟุ่มเฟือย ในขณะที่ผู้นำกองทัพสหรัฐชุดปัจจุบันยังคงติดหล่ม ไม่สามารถแก้ปัญหาการด้านงบประมาณได้ 

คำกล่าวของควีตคอฟสกี้ ยังสอดคล้องกับมาริโอ นาฟัล ผู้ทรงอิทธิพลในแพลตฟอร์ม X ที่แสดงความเห็นด้วยกับมัสก์ โดยว่า จีนกำลังสร้างโดรนจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน คนโง่บางคนก็ยังคงสร้างเครื่องบินขับไล่ที่มีคนขับ เช่น F-35

ขณะที่ แมตต์ เกตซ์ อดีตสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ และผู้ได้รับเลือกจากทรัมป์ให้เป็นอัยการสูงสุด เรียก F-35 ว่า "ที่ทับกระดาษมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์"

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ รับมอบตำแหน่งประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2568 บูรณาการความร่วมมือประเทศสมาชิก ผลักดันพัฒนาลุ่มน้ำโขง สู่ ‘ศูนย์กลางความรู้และข้อมูลของอนุภูมิภาค’ เตรียมความพร้อมเผชิญความท้าทายทุกรูปแบบ

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้นำคณะเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ครั้งที่ 31 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 29 ณ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ร่วมกับคณะผู้แทนจาก สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผู้แทนหุ้นส่วนการพัฒนา ประเทศคู่เจรจา และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้แทนฝ่ายไทย ประกอบด้วย นายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นางพัชรวีร์ สุวรรณิก ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รักษาราชการแทน รองเลขาธิการ สทนช. ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ สทนช. โดย ฯพณฯ ดร.บุนคำ วอละจิด รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว ประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2567 กล่าวเปิดการประชุม

นายประเสริฐ เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมหารือและกำหนดแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยได้พิจารณาแผนการดำเนินงาน ปี 2568 - 2569 และรับทราบการดำเนินงานตามแผนฯ ปี 2567 เพื่อรับมือกับความท้าทายในลุ่มแม่น้ำโขงที่มีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางน้ำ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเกิดจากการพัฒนา ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีประชาชนกว่าหลายล้านคนในอนุภูมิภาคต้องเผชิญกับอุทกภัย ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและความยั่งยืนของระบบนิเวศ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าความร่วมมือและความมุ่งมั่นร่วมกันจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้มีความพร้อมในการเผชิญกับความท้าทาย เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับวันพรุ่งนี้ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในโอกาสนี้ ยังได้รับมอบตำแหน่งประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นวาระการดำรงตำแหน่งของประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือ ภายใต้กรอบ MRC ซึ่งเป็นกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ค.ศ. 1995 และยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน ค.ศ. 2021 - 2030 โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกับกรอบความร่วมมืออาเซียน วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ และความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างประโยชน์ร่วมกัน ผ่านการมีกลไกการเจรจาหารือและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ส่งเสริมการรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรต่าง ๆ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน คำนึงถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดการรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นธรรม รวมถึงการพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รักษาสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรร่วมกับการแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อให้สามารถตัดสินใจบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสอดคล้องตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อลดและบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม อีกทั้งได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการตั้งรับ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและจากการพัฒนาโครงการต่างๆ ในลุ่มน้ำโขงในอนาคต 

“รัฐบาลไทยมุ่งมั่นและสนับสนุนการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างกรอบ MRC กับกลุ่มประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และกรอบความร่วมมืออื่นๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และนอกภูมิภาค เพื่อผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวในการขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยมุ่งหวังให้มีการประสานงานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และบูรณาการการดำเนินงานผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การศึกษา และวิจัยร่วมกัน ผ่านบทบาทของ MRC ในฐานะ ‘ศูนย์กลางความรู้และข้อมูลของอนุภูมิภาค’ เพื่อประโยชน์โดยตรงของประชาชน อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงและยึดผลประโยชน์ของประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ยกระดับให้แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำแห่งความมั่งคั่ง เชื่อมโยง และพร้อมที่จะเผชิญความท้าทายทุกรูปแบบ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ขณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานในภาพรวม การรายงานความก้าวหน้าของกิจกรรม/แผนงานที่สำคัญ ประกอบด้วย การรายงานการสรรหาและคัดเลือกตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) คนที่ 9 การรายงานการดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของ MRC การรายงานการติดตั้งสถานีใหม่แล้วเสร็จ และการดำเนินการเครือข่ายหลักในการติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง (Core River Monitoring Network: CRMN) การรายงานความร่วมมือกับหุ้นส่วนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การรายงานการวางแผนระดับภูมิภาคเชิงรุก (PRP) และความก้าวหน้าโครงการศึกษาร่วม การรายงานสถานการณ์สภาพอุตุ-อุทกวิทยาและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขงตอนล่างของปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับกำหนดการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 และการประชุมหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 30 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมด้วย

สื่อแฉไบเดนกดดันยูเครน ลดอายุเกณฑ์ 18 ปี สู้ศึกรัสเซีย

(28 พ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพุธ โดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่ไม่ประสงค์ออกนาม ระบุว่า สหรัฐฯ เรียกร้องให้ยูเครนเพิ่มกำลังพลด้วยการลดอายุเกณฑ์ทหารจาก 25 ปี เหลือ 18 ปี พร้อมปรับปรุงกฎหมายเพื่อขยายฐานกำลังพลให้เพียงพอต่อการสู้รบกับรัสเซียที่มีกำลังทหารมากกว่า  

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเผยว่า ยูเครนต้องการกำลังพลเพิ่มอีก 160,000 นาย จากปัจจุบันที่มีกำลังทหารรวมกว่า 1 ล้านนาย แต่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกมองว่ายังไม่เพียงพอ และชี้ว่ากำลังพลมีความสำคัญมากกว่าปัญหาอาวุธในสงครามนี้  

ประเด็นการเกณฑ์ทหารยังคงอ่อนไหวในยูเครน ตลอดสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 3 ปี โดยประชาชนบางส่วนกังวลว่าการลดอายุเกณฑ์จะส่งผลกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจหลังสงคราม  

ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ายูเครนสามารถบริหารจัดการกำลังพลที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแก้ปัญหาผู้หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือไม่เข้ารายงานตัว

เปิดประวัติ คีธ เคลล็อกก์ อดีตนายพล ทรัมป์ตั้งเป็นทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครนคนใหม่

(28 พ.ย.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศว่าเขาได้เสนอชื่อพลเอก คีธ เคลล็อกก์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซียคนใหม่ 

"ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เสนอชื่อพลเอกคีธ เคลล็อกก์ (Keith Kellogg) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษสำหรับยูเครนและรัสเซีย คีธเป็นผู้นำในอาชีพทหารและธุรกิจที่โดดเด่น รวมถึงรับหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ละเอียดอ่อนในรัฐบาลชุดแรกของผม" ทรัมป์ ระบุว่าแพลตฟอร์ม Truth Social

สำนักข่าวสปุตนิกได้เผยประวัติที่น่าสนใจของนายพลเคลล็อกก์ โดยเขามียศเป็นนายพลสามดาวของกองทัพสหรัฐฯ ที่เกษียณอายุราชการแล้วและได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยเขามีประสบการณ์ด้านการทหารและกิจการระหว่างประเทศมากมาย

ก่อนเกษียณเคลล็อกก์ ดำรงตำแหน่งสุดท้ายในปี 2003 คือ ผู้บัญชาการกองบัญชาการ การควบคุม การสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ เขายังทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ระหว่างการโจมตีด้วยการก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายนอีกด้วย

ล่าสุด เคลล็อกก์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติให้กับอดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และดำรงตำแหน่งอื่น ๆ อีกหลายตำแหน่งในช่วงวาระแรกของทรัมป์

เมื่อเดือนเมษายน เขาร่วมเขียนงานวิจัยที่สนับสนุนการยุติความขัดแย้งในยูเครนด้วยสันติภาพ และเสนอเงื่อนไขในการจัดหาเสบียงทางทหารให้กับยูเครนโดยขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลเคียฟจะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัสเซียหรือไม่

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเคียฟสามารถเจรจากับรัสเซียเพื่อเปลี่ยนจากจุดยืนที่แข็งกร้าว และหารือถึง การเก็บภาษีการขายพลังงานของรัสเซียเพื่อจ่ายสำหรับการฟื้นฟูยูเครน

เคลล็อกก์ระบุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่าการที่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวอาจทำให้สมาชิกนาโต้บางส่วนซึ่งจ่ายด้านการป้องกันประเทศไม่ถึง 2% ของ GDP อาจเสียสิทธิ์ในการคุ้มกันประเทศหากถูกโจมตีตามมาตรา 5 นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เขาสามารถจัดการประชุมสุดยอดนาโต้ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของพันธมิตร

ตามคำกล่าวของเคลล็อกก์ นาโต้อาจกลายเป็น 'พันธมิตรแบบแบ่งชั้น' ซึ่งสมาชิกบางส่วนได้รับการคุ้มครองมากขึ้น ตามอัตราการบริจาคเงินที่ให้กับนาโต้

ศาลมาเลย์สั่งรัฐบาล คืนนาฬิกา 172 เรือน รุ่น 'ไพรด์' ให้บริษัท สวอท์ช

(29 พ.ย.67) ศาลมาเลเซียมีคำสั่งให้คืน นาฬิกาสวอท์ช ไพรด์ รุ่นสีรุ้งจำนวน 172 เรือนให้แก่บริษัทสวอท์ช ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ถูกทางการมาเลเซียยึดไปเมื่อปีที่แล้ว โดยศาลตัดสินว่าการยึดนาฬิกาดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียไม่ได้มีหมายศาลในการยึดทรัพย์ และกฎหมายที่ห้ามขายนาฬิกานั้นก็ไม่ได้รับการอนุมัติจากศาล

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม 2566 รัฐบาลมาเลเซียอ้างว่า นาฬิกาไพรด์ ซึ่งมีสัญลักษณ์ LGBTQ+ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดตามกฎหมายและหลักศาสนาของประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม โดยมีกฎหมายห้ามความรักที่ไม่ใช่ระหว่างชายหญิง และผู้กระทำผิดอาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปี โดยเจ้าหน้าที่ยึดสินค้าจากร้านสวอท์ชทั่วมาเลเซีย บริษัทสวอท์ชจึงไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่ถูกยึดไป

ทว่าล่าสุด ศาลได้ตัดสินว่าไม่มีเหตุผลทางกฎหมายในการยึดนาฬิกาเหล่านี้ และถือว่าการยึดทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมสั่งให้ทางการต้องคืนนาฬิกาดังกล่าวแก่บริษัทเอกชนใน 14 วัน นายไซฟุดดิน นาซูชัน อิสมาอิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย กล่าวว่าทีมงานด้านกฎหมายจะพิจารณาคำตัดสินอย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ต่อไป

'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน

(28 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย หลังจากมีข่าวบริษัทผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ปลดคนงาน โดยระบุว่า แรงงาน 4.45 แสนคนยังได้ไปต่อ... 'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน

ทั้งนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ได้เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นเพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าพบหารือกับ นายมุโต โยจิ รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองประเทศ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่ METI มีความร่วมมืออันดีที่มีต่อไทย และย้ำถึงความสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันได้หารือแนวทางและมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยเฉพาะรถยนต์ที่เป็น Product champion ได้แก่ รถปิคอัพ และ Eco car ที่กำลังถูกดิสรัป (Disrupt) จากการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (xEV)

พร้อมทั้งได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้สร้างฐานการผลิตในไทยจำนวน 6 บริษัทแบบตัวต่อตัว (One to One) โดยได้พบหารือกับผู้บริหารระดับ CEO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ โตโยต้า มาสด้า มิตซูบิชิ และอีซูซุ และผู้บริหารระดับ EVP จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ ฮอนด้า และนิสสัน ซึ่งได้แสดงความห่วงใยต่อผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในไทยหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของไฟแนนซ์ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว รวมทั้งปัญหาค่าครองชีพและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ความต้องการและกำลังซื้อของประชาชนลดลง โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็น Product Champions ของไทย ได้แก่ รถปิกอัพ และรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car)

อย่างไรก็ตาม ผลหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายญี่ปุ่นได้รับสัญญาณบวกที่ชัดเจนว่า ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการผลิตและส่งออกของประเทศไทย และจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการผลิตรถปิกอัพ รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car) และรถยนต์ไฮบริด เพื่อตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก (ทั้งในรูปแบบของรถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนครบชุด) โดยคาดว่า ในช่วงเวลา 3-5 ปีนี้ มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 120,000 ล้านบาท 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งตำรวจ ภ.8 และ ภ.9 ดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อุทกภัยอย่างเต็มที่ นำแนวทางที่สั่งถอดบทเรียนในพื้นที่ประสบภัยที่ผ่านมา มาปรับใช้

(28 พ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบเหตุได้อย่างทันท่วงที พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความสะดวกการจราจรในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งดูแลในส่วนของข้าราชการตำรวจ และสถานที่ราชการของตำรวจที่ได้รับผลกระทบด้วย

สถานการณ์อุทกภัยล่าสุดยังคงมีสถานการณ์ 6 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ 
1. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 อำเภอ คือ กาญจนดิษฐ์ , ดอนสัก ระดับน้ำลดลง 
2. จังหวัดนครศรีธรรมราช 5 อำเภอ คือ ชะอวด , เฉลิมพระเกียรติ , พระพรหม , เมืองฯ , ร่อนพิบูลย์ ระดับน้ำลดลง 
3. จังหวัดสงขลา 1 อำเภอ คือ ระโนด ระดับน้ำทรงตัว 
4. จังหวัดปัตตานี 2 อำเภอ คือ มายอ , ทุ่งยางแดง ระดับน้ำเพิ่มขึ้น
5. จังหวัดยะลา 1 อำเภอ คือ บันนังสตา ระดับน้ำเพิ่มขึ้น
6. จังหวัดนราธิวาส 5 อำเภอ คือ บาเจาะ , แว้ง , รือเสาะ , เจาะไอร้อง , สุคิริน ระดับน้ำเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แจ้ง 13 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ เฝ้าระวังสถานการณ์ท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินถล่ม น้ำล้นอ่างเก็บน้ำ น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2567

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ ภ.8 และ ภ.9 ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ในทุกด้าน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสถานการณ์ และจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ตรวจสภาพน้ำท่วมในพื้นที่รับผิดชอบ ประชาสัมพันธ์หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ประสบปัญหา พร้อมทั้งออกลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ป้องกันมิจฉาชีพก่อเหตุซ้ำเติม หากพบให้ดำเนินคดีทุกราย และให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง ตำรวจน้ำ) , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , สำนักงานส่งกำลังบำรุง สนับสนุนทั้งกำลังพล เครื่องมือ ยานพาหนะ และกองบินตำรวจ ให้เตรียมความพร้อมการอพยพช่วยเหลือประชาชน ตำรวจ รวมทั้งสนับสนุนช่วยเหลือทางการแพทย์

นอกจากนี้ ให้นำแนวทางการปฏิบัติกรณีเกิดอุทกภัย ภัยพิบัติ ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ผ่านมา มาปรับใช้ ซึ่งได้สั่งการให้ถอดบทเรียนเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆ ต่อไปไว้แล้ว และเน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นดูแลข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยด้วย โดยเน้นเรื่องความเป็นอยู่และสวัสดิการอย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คิกออฟ 1 ธ.ค.!! สแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง ทั้งในประเทศ-ระหว่างประเทศ ไม่ต้องโชว์พาสปอร์ต-บัตรโดยสาร

(28 พ.ย.67) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า พร้อมให้บริการระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) สำหรับผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่สนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร โดยลดเวลาการใช้บริการที่แต่ละจุดบริการเหลือเพียง 1 นาที จากเดิมที่ใช้เวลา 3 นาที

ผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนได้เมื่อเช็กอินที่สนามบินใน 2 วิธี คือ 
1. เช็กอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะบันทึกข้อมูลใบหน้าและเอกสารการเดินทาง
2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS: Common Use Self Service) โดยเลือกสายการบินและยินยอมลงทะเบียนใบหน้าในระบบ (Consent Notice) แล้วดำเนินการเช็กอินจนได้รับบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) หลังจากนั้น ผู้โดยสารจะทำการสแกนบาร์โค้ดในบัตรโดยสารและทำการเสียบหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชน ก่อนสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการลงทะเบียน

หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD: Common Use Bag Drop) และผ่านจุดตรวจค้นต่างๆ โดยไม่ต้องแสดงพาสปอร์ตและบัตรโดยสารอีกต่อไป ข้อมูลผู้โดยสารที่ถูกบันทึกจะถูกลบทิ้งภายใน 48 ชั่วโมง ตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top